ทั้งคนทั้งสัตว์อสูรรวมทั้งหมด 15 ชีวิต กระโจนไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็วจนเกิดเป็นภาพติดตา ยิ่งเข้าใกล้กลิ่นหอมปริศนายิ่งรุนแรงชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ พอ ๆ กับต้นไม้ที่ขึ้นติดกันอย่างหนาแน่นเดินทางมาได้ 10 ลี้(5กม.) ต้าเป่ากับต้าไป๋จึงหยุดนิ่งใต้ต้นไม้ใหญ่ อันเป็นจุดที่มีกลิ่นหอมปริศนาเข้มข้นชัดเจนที่สุดผู้เยาว์ของตระกูลเว่ยรู้สึกตกตะลึงและอัศจรรย์ใจ เมื่อต้นไม้ตรงหน้ามีขนาดร้อยคนโอบ ลำต้นของมันสูงใหญ่มองไม่เห็นยอด แตกกิ่งก้านมากมายทอดยาว ใบหนาดกปกคลุมผืนฟ้า จนแสงอาทิตย์ยังส่องลอดผ่านมายังใต้ต้นไม่ได้ ดูเหมือนทึบทว่าบรรยากาศกลับร่มรื่นปลอดโปร่งยิ่งนักพวกเขาไม่เคยเห็นต้นไม้ขนาดใหญ่เช่นนี้มาก่อน!“พฤกษาบรรพกาล” มีแค่เพียงเว่ยซือหงที่ไม่ได้ประหลาดใจอันใดนัก เพราะต้นไม้ตรงหน้ามีอยู่ในมิติของนางเต็มไปหมด แยกเป็นเอกเทศมีอยู่นับหมื่นต้นเลยแหละ “ต้นไม้เก่าแก่จากอดีตกาลเช่นนั้นหรือ ใหญ่โตนัก” เว่ยซือหลางกล่าวคำสายตายังไม่ละจากต้นไม้ตรงหน้า“ตัดกิ่งเล็ก ๆ พกไว้ยามนอนน่าจะหลับสบายนะขอรับพี่ใหญ่” เว่ยซือเหลียงผู้เป็นน้องชายมองต้นไม้ใหญ่ด้วยสายตาหลงใหลพฤกษาบรรพกาล ตามตำราของวิเศษจากอดีตกาลกล่าวไว้
‘ท่านปู่ต้นไม้ขออภัยที่รบกวนเวลาพักผ่อนของท่านนะเจ้าคะ’ เว่ยซือหงหลับตาสื่อจิตพูดคุยกับต้นไม้บรรพกาลด้วยท่าเดิม‘ท่านเรียกหาข้าด้วยเหตุใดหรือขอรับ’ เสียงชราของจิตวิญญาณต้นไม้ตอบกลับมาด้วยความอ่อนโยน“ท่านปู่ต้นไม้ อาหงชื่อเว่ยซือหง อยากจะขอกิ่งเล็ก ๆ จากพฤกษาบรรพกาลของท่านสักกิ่ง ไม่ทราบว่าท่านมอบให้ได้หรือไม่เจ้าคะ”‘ท่านอยากได้กิ่งไม้ของข้าหรือ’‘เจ้าค่ะ แต่อาหงไม่ได้ขอเปล่า ๆ นะเจ้าคะ อาหงยินดีแลกเปลี่ยนกับน้ำพลังปราณ แต่หากท่านปู่มอบให้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ อาหงยังยินดีมอบน้ำพลังปราณให้ท่านปู่ต้นไม้เหมือนเดิม เป็นการขออภัยที่มารบกวนเจ้าค่ะ’‘แค่กิ่งไม้เล็ก ๆ กิ่งเดียวเหตุใดจะให้ไม่ได้เล่า หากเป็นท่านพวกเราเหล่าพฤกษาล้วนยินดีสละอยู่แล้ว’‘ท่านปู่ต้นไม้ล้ออาหงเล่นแล้ว ก่อนหน้านี้อาหงก็เคยขอกิ่งเล็ก ๆ เช่นนี้จากพฤกษาบรรพกาลต้นอื่น แต่ก็ไม่เคยได้เลยเจ้าค่ะ’ เว่ยซือหงไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวนั้นจึงแย้งกลับ‘นั่นเป็นเพราะมันยังไม่ถึงเวลาของพวกเขา’ เสียงชราของจิตวิญญาณต้นไม้ตอบกลับด้วยความใจเย็น‘เวลา? เวลาอันใดหรือเจ้าคะ’‘ไว้ถึงเวลาท่านจะรับรู้เอง เอาละข้าต้องกลับไปจำศีลแล้ว ข้าขอให้ท่
“ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่ได้เจอมัน” เว่ยซือหลางที่เว้นช่วงไปนานเพราะมัวแต่คิดถึงคุณและโทษจากผึ้งมรกตกล่าวอีกครั้ง “ผึ้งมรกตมีพิษรุนแรงและอันตรายมาก แต่น้ำหวานของมันก็วิเศษมากพอที่เราจะลองเสี่ยงเหมือนกันนะขอรับพี่ใหญ่” แม้จะรู้ว่าอันตรายแต่เว่ยซือเหลียงไม่ยินดีตัดใจตอนนี้ไม่เพียงเจ้าสงสงเท่านั้นที่อยากกินน้ำผึ้งหยก เว่ยซือเหลียงยังไม่อาจตัดใจ แล้วเว่ยซือหงจะปล่อยผ่านหรือ นางไม่เพียงอยากได้น้ำผึ้งหยกเท่านั้น นางอยากได้ผึ้งมรกตไปเลี้ยงด้วย!“อาหงคิดว่าเราโชคดีนะเจ้าคะ”“ใช่! โชคดีที่หงเอ๋อร์เจอน้ำพลังปราณ สมบัติวิเศษที่ไม่ว่าจะคนหรือสัตว์อสูรก็ยากจะปฏิเสธ” เว่ยซือหลางตอบพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ เขาให้น้องนำน้ำพลังปราณที่ใส่ในโหลแก้วใบใหญ่ออกมา แล้วตนเป็นคนถือไว้เองหึ่ง หึ่งพลันนั้นผึ้งมรกตที่เกาะรังผึ้งนิ่ง ๆ ราวไม่มีชีวิตพลันแตกออกจากรัง ก่อนผึ้งตัวใหญ่เท่ากาน้ำชาจะปรากฏด้านหน้ารังผึ้ง โดยมีผึ้งอีกนับหมื่นอยู่ด้านหลังราชินีผึ้งมรกต หรือเรียกอีกอย่างว่าราชินีผึ้งพิษปรากฏออกมาแล้ว!“ระดับจักรพรรดิ!”หลังได้ยินคำพูดของเว่ยซือหลางคนอื่น ๆ มีท่าทีระมัดระวังตัวมากขึ้น ทั้งยังย้ายตัวเองมาอยู
“หึ่ง หึ่ง ถึงจะน่าสนใจ แต่เสียดายยิ่งนัก พวกข้าไม่อาจอยู่ในพื้นที่ที่พลังปราณถดถอยได้” ถึงจะไม่เคยออกไปนอกดินแดนลับ แต่มันย่อมรู้ว่าด้านนอกต้องไม่ดีเท่าที่ที่พวกมันอยู่ตอนนี้แน่ เพราะถ้าดีจริงมนุษย์พวกนี้คงไม่เข้ามาแสวงโชค และขอแลกเปลี่ยนน้ำผึ้งหยกกับพวกมันเช่นนี้หรอกได้ยินคำกล่าวของราชินีผึ้งมรกต และอากัปกิริยาของพวกมัน ดวงตาของเด็กหญิงพลันทอประกายวูบไหวฉายความเจ้าเล่ห์“เรื่องนั้นข้าต้องรู้อยู่แล้วสิ เพียงแต่ว่าข้ามีสถานที่เหมาะ ๆ ไม่ด้อยไปกว่าที่นี่นัก สำหรับให้พวกเจ้าอยู่อาศัยอย่างไรเล่า จึงได้เอ่ยชวน”“นะ นี่เจ้าพูดจริงหรือ” ราชินีผึ้งมรกตตัวหนึ่งเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น สายตายังจับจ้องโหลน้ำพลังปราณทั้งสิบไม่เลิก“จริงสิ ข้าไม่โกหก”ได้รับคำยืนยันจากเด็กมนุษย์เหล่าผึ้งยิ่งอยากไปด้วย เพราะการที่นางเรียกน้ำพลังปราณสิบโหลออกมาหลอกล่อพวกมันง่าย ๆ อย่างไม่เสียดายเช่นนี้ย่อมหมายความว่า นางมีมันในครอบครองมากกว่าอย่างไรเล่า ต่อให้ผึ้งมรกตตัวอื่น ๆ จะพูดคุยกับนางไม่ได้ แต่มันก็ไม่ได้โง่!ด้วยเหตุนั้นตอนนี้สถานการณ์ด้านหน้าของนางจึงเริ่มวุ่นวายเพราะพวกผึ้งตกลงกันไม่ได้“สถานที่ที่เจ้าพ
กลุ่มของเว่ยซือหงเดินห่างออกมาจากต้นพฤกษาบรรพกาลไม่ไกลนัก ราว 150 จั้ง(500เมตร) ก็พบสมุนไพรที่ใช้ปรุงโอสถถอนพิษผึ้งมรกตแล้วหนึ่งชนิดเบื้องหน้าของทุกคนปรากฏหญ้ากอเล็ก ๆ ขึ้นเต็มไปหมดอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากส่วนหนึ่งของใบมีสีแดง สิ่งนี้คือหญ้าหยาดน้ำค้างหญ้าหยาดน้ำค้าง ใบเป็นใบเดี่ยว ฐานใบแหลมติดกอ ทอดราบไปกับพื้นดิน ซ้อนกันเป็นชั้น ใบเรียงเวียนเป็นวงกลม ขนาดใบยาว 2 ชุ่น(ราว7ซม.) แผ่นใบมีขนต่อมสีแดงยาวปกคลุมเป็นจำนวนมาก บริเวณปลายขนมีหยดน้ำใสเกาะพราวราวหยาดน้ำค้างในยามเช้า อันเป็นที่มาของชื่อเรียก และมีดอกสีขาวด้วยเพราะลักษณะเด่นของหญ้าหยาดน้ำค้างคือ ต่อมขนสีแดงกับหยดน้ำที่เกาะอยู่บริเวณปลาย จึงสังเกตเห็นได้ง่ายเมื่อพบแล้วหนึ่งชนิดพวกเขาไม่ได้รีบร้อนเก็บพวกมัน เนื่องจากหญ้าหยาดน้ำค้างต้องเก็บช่วงย่ำรุ่งเท่านั้น จึงจะมีประสิทธิภาพเต็มสิบส่วน ไม่ต้องกังวลว่าจะเสียหายหรือสูญเสียสรรพคุณด้านใดด้านหนึ่งไปด้วยเหตุนั้นกลุ่มของเว่ยซือหงจึงหันมามองหาที่พักง่าย ๆ ใช้พักผ่อนรอเวลาแทน“เราเจอหญ้าหยาดน้ำค้างแล้ว แต่หญ้าจันทร์เสี้ยวจะไปหาจากไหนเล่าเจ้าคะคุณหนู” หลิงจูสงสัยยิ่งนัก แม้ราชินีผึ้งมร
“ว่าไงนะ! การผสานธาตุน้ำและธาตุลมจะทำให้เกิดธาตุน้ำแข็งเช่นนั้นหรือ”“ขอรับพี่ใหญ่ ทว่าหากต้องการผสานธาตุจนเกิดธาตุใหม่ ต้องมีธาตุต้นกำเนิดนะขอรับ หากไม่มีก็ผสานไม่ได้” เว่ยซือเหลียงบอกตามความรู้ที่เขาได้รับมาเว่ยซือหลางนิ่งนานจึงกล่าวว่า “เช่นนั้นหากมีคนครอบครองต้นกำเนิดธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุดิน ก็สามารถผสานกับธาตุอื่นจนเกิดเป็นธาตุใหม่ขึ้นมาใช่หรือไม่”“ข้าไม่แน่ใจขอรับ เพราะความรู้ที่ได้รับบอกแค่ว่าวารีแรกกำเนิดผสานลมแล้วจะเป็นน้ำแข็งเท่านั้น แต่ข้าคิดว่าเป็นเช่นนั้นขอรับ”“เช่นนั้นเหตุใดน้องรองไม่ผสานกับธาตุอื่นของตัวเองละ จะผสานธาตุกับสัตว์อสูรทำไม หรือมันมีข้อจำกัด” เว่ยซือหลางไม่ปล่อยผ่านโดยง่าย“พี่ใหญ่เข้าใจถูกแล้วขอรับ ผู้ครอบครองธาตุต้นกำเนิด ไม่สามารถใช้ธาตุต้นกำเนิดผสานกับธาตุที่มีในร่างกายได้ขอรับ หากต้องการธาตุใหม่ต้องทำการผสานธาตุของสัตว์อสูรในพันธสัญญา”“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”“ถึงจะน่าตกใจและน่ายินดีที่มีธาตุใช้โจมตีมากขึ้น แต่ธาตุที่ผสานไม่สามารถคงอยู่ได้ตลอดนะขอรับ พูดง่าย ๆ ก็คือจะใช้เมื่อใดค่อยผสานธาตุเมื่อนั้น ทีนี้พอเข้าใจแล้วหรือยังขอรับ”เว่ยซือหลางพยักหน้ารับคำ
อาชาวายุจึงเล่าเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาสด ๆ ร้อน ๆ ของตนเองให้กลุ่มมนุษย์ตรงหน้าฟัง ตัวมันเป็นสัตว์อสูรรักสงบและค่อนข้างมีใจโอบอ้อมอารี หากไม่ใช่ศัตรูทางธรรมชาติมันล้วนดีด้วยอยู่แล้วพอเจอมนุษย์ที่ได้รับบาดเจ็บเข้าสองคน มันสงสารจึงเข้าไปช่วยบอกว่ามีสมุนไพรที่รักษาบาดแผลได้นะ โดยลืมไปว่าพวกมนุษย์มีโอสถอยู่แล้ว ไม่เหมือนพวกมันยามเจ็บไข้ได้ป่วยต้องกินเพียงสมุนไพรที่มีสรรพคุณในการรักษามนุษย์สองคนนั้นตามมันไปยังสมุนไพรต้นดังกล่าวดี ๆ หลังเก็บเกี่ยวสมุนไพรและรักษาตัวเองจนหาย ใครจะคิดว่าความใจดีของมันจะทำให้มนุษย์ทั้งสองโลภโมโทสัน บังคับให้มันพาไปหาสมุนไพรล้ำค่า ทั้งยังคิดจะเก็บมันเข้าแหวนเก็บสัตว์อสูรอีก พอมันไม่ยอมเลยมีการต่อสู้กัน ตัวมันมีพลังถึงระดับจักรพรรดิย่อมเอาชนะมาได้อยู่แล้ว แต่ที่โกรธเพราะมนุษย์สองคนนั้นเจ้าเล่ห์โปรยพิษใส่มันน่ะสิ ดีที่มันหลบมาได้จึงโดนเพียงน้อยนิด ถึงจะน่าเจ็บใจแต่มันกลัวตายจึงรีบมากินสมุนไพรที่มีสรรพคุณล้างพิษอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมากินอาหารที่มันชื่นชอบอย่างหญ้าแสงจันทร์นี่แหละกลุ่มของเว่ยซือหงหลังได้สดับรับฟังเรื่องราว พลันรู้สึกสงสารอาชาวายุไม่น้อย มันจึงได้รั
กลุ่มผู้เยาว์ตระกูลเว่ยออกเดินทางแรมเดือน ภายในแหวนมิติของแต่ละคนเต็มไปด้วยทรัพยากรล้ำค่ามากมาย ทั้งนี้หลังติดตามเว่ยซือเหลียงมานานนับเดือน อาชาวายุก็ยินยอมพร้อมใจเป็นสัตว์อสูรในพันธสัญญาของเขาในที่สุด เนื่องจากมันไม่อาจทำใจมองผ่านความจริงใจ และน้ำพลังปราณที่อีกฝ่ายเอาออกมาปรนเปรอมันได้กล่าวได้ว่าตอนนี้มันดูดีและมีความสุขกว่าก่อนหน้านี้เสียอีกถ้ารู้ว่ามีสมบัติวิเศษเช่นนี้ มันตกลงทำพันธสัญญาไปตั้งนานแล้ว! ทั้งยังจะไปพาพี่น้องของมันมาร่วมด้วย! เพียงแต่มันสายไปแล้วอาชาวายุที่ภายหลังเว่ยซือเหลียง ได้ตั้งชื่อตามสีตัวของมันให้ว่าเสี่ยวเฮย คิดด้วยความเสียดายเดินทางต่อได้เพียงครึ่งวัน เว่ยซือหลางพลันรู้สึกกระสับกระส่าย หลายครั้งที่ใบหน้าของเขาเผยความลังเลไม่แน่ใจ แต่พอมองน้องสาวน้องชายทั้งสองแล้ว เป็นต้องสลัดความรู้สึกนั้นทิ้งไปทุกครั้งยิ่งนานอาการของเขายิ่งชัดขึ้น จนเว่ยซือหงและเว่ยซือเหลียงจับสังเกตได้“พี่ใหญ่เป็นอะไรไปหรือขอรับ ข้าสังเกตมานานแล้ว ท่านดูสับสน ไม่เป็นตัวของตัวเองแปลก ๆ”“นั่นสิเจ้าคะพี่ใหญ่ หรือว่าไม่สบาย?”เว่ยซือหลางมองน้องทั้งสองพลางส่ายหน้า“จะไม่เป็นอันใดได้อย่าง
เห็นดังนั้น เว่ยซือหลิวจึงวางใจ ปล่อยให้นางฝึกฝนด้วยตนเอง ส่วนเขาก็กลับไปตั้งใจบ่มเพาะอย่างจริงจัง ตัวเว่ยซือหลางและเว่ยซือเหลียงเองก็จากไปบ่มเพาะเช่นกันเว่ยซือหงยังคงฝึกทักษะการต่อสู้ต่อไปแม้จะไม่มีคู่ซ้อม นางไม่คิดไปนั่งบ่มเพาะ เพราะพอใจในระดับพลังตอนนี้ของตนแล้ว ขอแค่อยากเลื่อนระดับ แค่หลับตานางก็สามารถเลื่อนไปยังระดับราชันได้ทันที ดังนั้นการบ่มเพาะสำหรับนางแล้วไม่จำเป็นเลยเด็กหญิงตั้งหน้าตั้งตาฝึกยุทธ์ขัดเกลาฝีมือของตนต่อไปไม่หยุดยั้ง กระบวนท่าของนางก็เฉียบคมและดุดันขึ้นเรื่อย ๆทั้งรวดเร็วและอันตรายมั่นใจได้เลยว่า หากได้ประมือกับพี่ชายทั้งสองอีก ต่อให้ไม่อาจเอาชนะ แต่นางก็ไม่แพ้อย่างแน่นอน พอใจในพัฒนาการของตนยิ่งนักเว่ยซือหงจึงสลับไปศึกษาศาสตร์อักขระและปรุงยาบ้าง สลับสับเปลี่ยนไปเช่นนี้อย่างไม่รู้เบื่อ วันเวลาในมิติผลันเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แม้ทุกคนจะมีใบหน้าและอายุเท่าเดิม เพราะเวลาในมิติไม่ส่งผลต่อมนุษย์ ทว่าระดับพลังของพวกเขานั้นคนละเรื่องไปเลย มันพัฒนาอย่างมากชนิดที่ว่าหากพวกเขาไม่ได้มีโอกาสเข้ามาฝึกฝนในมิติพฤกษาสวรรค์ พวกเขาก็ไม่อาจคิดฝันว่าตนเองจะมาถึงระดับนี้!เว่ย
ความจริงแล้วตระกูลเว่ยไม่ได้อาศัยอยู่ในจวน แต่พวกเขามารวมตัวกันอยู่ภายในมิติพฤกษาสวรรค์เว่ยซือหลินกับหลินซือเหยา แม่สามีลูกสะใภ้พากันเดินชมแปลงสมุนไพรพลังปราณระดับเซียนที่เคยเห็นชื่อแค่ในตำราด้วยความตื่นตาตื่นใจเว่ยซือหลิวกับเว่ยซือซานเองพากันศึกษากลยุทธ์ด้านการศึกสงครามในเรือนตำราส่วนสามพี่น้อง เว่ยซือหลาง เว่ยซือเหลียง และเว่ยซือหง พากันนอนกินผลไม้ปราณนิ่ง ๆ เนื่องจากพวกเขาเที่ยวเล่นในมิติจนพอแล้วกระทั่งได้เวลาอาหารกลางวัน ทุกคนก็มารวมตัวรับประทานอาหารพร้อมกันที่จุดเดียว จากนั้นเว่ยซือหลิวก็เอ่ยแจกแจงสิ่งที่แต่ละคนต้องทำขึ้นว่า“หลังจากนี้ข้าคิดว่าให้ทุกคนตั้งใจทำการบ่มเพาะดีกว่า ด้วยความช่วยเหลือจากมิติพฤกษาสวรรค์ พวกเจ้าทุกคนน่าจะเลื่อนระดับพลังปราณได้ไม่ยาก”“ข้าเห็นด้วยกับท่านพ่อนะขอรับ แต่นั่งบ่มเพาะนาน ๆ อย่างเดียวอาจเบื่อได้ เช่นนั้นให้ศึกษาอย่างอื่นที่ตนสนใจด้วยดีหรือไม่ขอรับ” เว่ยซือหลิวเสนอแนะ“จริงด้วยขอรับท่านปู่ ทำเช่นนี้จะได้คลายความเบื่อหน่าย การบ่มเพาะของพวกเราอาจจะก้าวหน้าเร็วขึ้น” เว่ยซือเหลียงเห็นด้วยกับความคิดบิดา“เช่นนั้นก็จัดเวลาด้วยตนเอง ศึกษาสิ่งที่สนใจส
“ได้ เริ่มจากข้าเลยแล้วกัน” หวังไท่หยางเป็นคนตรงไปตรงมาเอ่ยรับคำ ก่อนที่จะเอ่ยถึงข้อเสนอที่ตนเตรียมมาให้พ่อลูกตระกูลเว่ยและคนอื่น ๆ ได้ฟังถัดจากเขาคนอื่น ๆ ก็เริ่มนำเสนอข้อเสนอหรือสิ่งแลกเปลี่ยนของตนเองบ้าง การพูดคุยครั้งนี้เป็นไปอย่างดุเดือด ไม่มีใครยอมใคร ทั้งเว่ยซือหลิวและเว่ยซือซานเองยังต้องคิดให้ถี่ถ้วนก่อนจะตัดสินใจยอมรับข้อเสนอหรือแลกเปลี่ยนกับอีกฝ่ายหรือไม่การเจรจาเริ่มตั้งแต่ยามซื่อ(09:00-10:59) จนถึงยามซวี(19:00-20:59) โดยมีการหยุดพักรับประทานอาหารหนึ่งครั้งเท่านั้น การพูดคุยตกลงกันถึงได้สิ้นสุดลงโดยที่แต่ละคนมีรอยยิ้มบนใบหน้า บ่งบอกว่าการเจรจามันผ่านไปได้ด้วยดี“ยินดีที่ได้ร่วมมือนะน้องเว่ย” หรงเทียนฮ่าว “ยินดีที่ได้ร่วมมือเช่นกันน้องเว่ย” หวังไท่หยาง “หวังว่าเราจะได้ร่วมมือกันอีกนะน้องเว่ย” ฉินตงหยาง“หากน้องเว่ยมีของดีอย่าลืมบอกพวกเราด้วยนะ” อิงหลันฮวาจาก ‘นายท่านตระกูลเว่ย’ ปัจจุบันเปลี่ยนคำเรียกขานว่า ‘น้องเว่ย’ ชี้ชัดว่าจากการพูดคุยครั้งนี้ พวกเขาพัฒนาความสัมพันธ์กันไม่น้อยเลยทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นผลมาจากทุกข้อเสนอได้รับการตอบรับอย่างดีนั่นแหละ หากไม่ใช่เช่นนั้น
โอหยางจิง ตัวแทนจากหอเทพโอสถโอหยางเจี๋ย ตัวแทนจากสมาคมอักขระหรงเทียนฮ่าว ตัวแทนจากนิกายมังกรสวรรค์อิงหลันฮวา ตัวแทนจากนิกายจากบุปผาสวรรค์หวังไท่หยาง ตัวแทนจากนิกายพยัคฆ์สวรรค์ฉินตงหยาง ตัวแทนจากนิกายวิหคสวรรค์ตัวแทนที่มาจากนิกายทั้งสี่ ฟังจากที่โอหยางจิงที่เคยบอกกล่าวล่วงหน้าล้วนแต่เป็นเจ้านิกาย เป็นตัวตนยิ่งใหญ่ที่เขาสองพ่อลูกไม่อาจเสียมารยาทได้ก่อนหน้านี้พวกเขาได้ศึกษาประวัติดินแดนเบื้องบนหรือที่ถูกกล่าวขานว่าทวีปศักดิ์สิทธิ์มาแล้วอย่างคร่าว ๆ ทวีปศักดิ์สิทธิ์ เป็นทวีปที่ปกครองตนเอง ไม่มีราชวงศ์ แบ่งออกเป็น 4 ดินแดน 4 นิกายหรือสำนักศึกษาอันเป็นขุมอำนาจสำคัญ ได้แก่ ดินแดนมังกร ดินแดนพยัคฆ์ ดินแดนวิหค และดินแดนบุปผาดินแดนมังกร เป็นดินแดนที่มีพื้นที่ใหญ่และเฟื่องฟูมีความเจริญก้าวหน้ามากที่สุด จึงถูกจัดให้เป็นเมืองหลวงของทวีปศักดิ์สิทธิ์ ดินแดนมังกรเป็นที่ตั้งของนิกายมังกรสวรรค์ โดยตระกูลหรงจัดเป็นตระกูลใหญ่และเรืองอำนาจมากที่สุดในดินแดนนี้ทิศเหนือของดินแดนมังกรคือดินแดนวิหค ที่อยู่บนเทือกเขาสูงไม่อาจเดินทางด้วยวิธีธรรมดา จำต้องขึ้นเรือเหาะหรือเรือบินเท่านั้น ดินแดนวิหคเป็นที่
เพียงสามวันหลังจากกลุ่มผู้เยาว์กลับออกมาจากการสำรวจดินแดนลับ ข้อเสนอที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์และหลุมพรางมากมายก็ถูกยื่นตรงเข้าหาพวกเขา หลายคนมีความคิดตื้นเขินเห็นแก่ผลประโยชน์เล็กน้อยก็สูญเสียบางอย่างที่ล้ำค่าไป ทว่ามีอีกหลายคนที่มีความคิดอ่านลึกซึ้ง จึงอยู่ในช่วงเจรจาต่อรอง ตระกูลเว่ยเป็นหนึ่งในคนกลุ่มหลังนี้เพียงแต่ว่าตระกูลเว่ยมีความแตกต่างจากคนอื่นอยู่บ้าง นั่นเป็นเพราะพวกเขามีแต้มต่อที่เยอะมาก ทั้งยังไม่เห็นแก่ผลประโยชน์เล็กน้อยยังไม่นับรวมการที่เว่ยซือหลิวมีพลังปราณระดับราชัน จากที่คิดว่าอาจถูกกดดัน กลายเป็นว่าตัวตนของตระกูลเว่ยไปกดดันผู้ที่มาเจรจาต่อรองผลประโยชน์แทนแม้จะเป็นเช่นนั้น ประตูของตระกูลเว่ยก็ไม่ได้เงียบเหงาเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังมีคนเข้าออกอย่างต่อเนื่อง เพราะยังไม่มีข่าวว่าพวกเขาตกลงปลงใจกับขุมอำนาจใด หมายความว่าพวกเขายังมีหวังต่อตระกูลเว่ยอยู่ทรัพยากรที่เด็ก ๆ ตระกูลเว่ยเก็บเกี่ยวมาได้นั้นหอมหวานเกินไป ต่อให้การเจรจาต่อรองจะเป็นไปได้ยาก พวกเขาก็ไม่อาจตัดใจได้ จนกว่าจะมีข่าวว่าตระกูลเว่ยจับมือตกลงผลประโยชน์กับกลุ่มอำนาจใดไปแล้วนั่นแหละ พวกเขาจึงจะถอยในคนเหล่านั้น บา
“เรื่องที่อาหงสามารถพาทุกคนเข้าไปยังมิติของตัวเองได้นั้นเป็นเรื่องจริงเจ้าค่ะ กล่าวให้ถูกคืออาหงสามารถพาทุกคนเข้ามิติได้ตั้งแต่ตอนที่ตัวเองอยู่ในระดับแม่ทัพแล้ว ทว่ามันต้องแลกกับการต้องทำพันธสัญญาเลือดกับทุกคน คล้ายการทำพันธสัญญาทาสที่จะไม่ทรยศหรือหักหลังอาหง”“...”“แต่ทุกคนเป็นครอบครัวของอาหงนะเจ้าคะ อาหงจะทำพันธสัญญาเช่นนั้นกับพวกท่านได้อย่างไร จึงไม่เคยเอ่ยถึงหรือบอกกล่าวความจริงนี้ให้ฟัง ด้วยเหตุนั้นอาหงจึงเริ่มศึกษามิติของตนเองมาเรื่อย ๆ ว่าจะมีวิธีใดบ้างที่จะพาทุกคนเข้าไปในมิติได้โดยไม่ต้องทำพันธสัญญากดขี่เช่นนั้น และอาหงก็ค้นพบ”“...”“นั่นก็คือต้องเพิ่มความเเข็งแกร่งให้ตนเองมาก ๆ อย่างน้อยต้องมีพลังระดับจักรพรรดิเป็นอย่างต่ำ ถึงจะสามารถพาทุกคนเข้ามิติได้โดยไม่ต้องทำพันธสัญญาดังกล่าว เพียงแต่ว่า...” เด็กหญิงรู้สึกลำบากใจเล็กน้อยที่จะเอ่ยส่วนที่เหลือออกไป“เด็กดี ไม่ต้องกังวล เอ่ยออกมาเถิด เป็นเช่นไรเดี๋ยวพวกแม่ตัดสินใจกันเอง เจ้าไม่ต้องคิดมาก” หลิวลี่หงปลอบบุตรสาว ไม่อยากให้นางกังวลเกินไปนัก อายุเพียงเท่านี้ก็คิดทำหลายอย่างเพื่อครอบครัวมากเกินไปแล้ว“เฮ้อ มิติของอาหงมันพิเศษเจ
ณ จวนตระกูลเว่ยเมื่อกลับเข้ามาภายในจวนตระกูลเว่ย ทายาททั้งสามต่างถูกเว่ยซือหลิว หลินซือเหยา เว่ยซือซาน และหลิวลี่หง สลับสับเปลี่ยนกันกอดพวกเขาทีละคน ๆ ก่อนคนในครอบครัวทั้งหมดจะร่วมตระกองกอดกันเป็นกลุ่มก้อนขนาดใหญ่ ถ่ายทอดความคิดถึง รักใคร่ และห่วงใยผ่านอ้อมกอดนั้นเว่ยซือหลาง เว่ยซือเหลียงและเว่ยซือหงซึ่งห่างจากครอบครัวไปนาน ต่างหลับตาซึมซับความอบอุ่นจากอ้อมกอดของทุกคนอย่างยินดี ครั้นเมื่อต้องผละกอดจึงอดรู้สึกเสียดายไม่ได้“ท่านปู่ท่านย่า ท่านพ่อท่านแม่ อาหงคิดถึงพวกท่านจังเลยเจ้าค่ะ” เว่ยซือหงเอ่ยบอกความรู้สึกของตน ทั้งยังออดอ้อนคนในครอบครัวนับตั้งแต่ขึ้นรถม้าจวบจนถึงจวนของตนก็ยังเอ่ยเสียงหวานไม่หยุด ทำเอาบิดามารดาและท่านปู่ท่านย่าของนางใจเหลวไปตาม ๆ กัน“พวกเราก็คิดถึงอาหงเช่นกัน ไหนดูสิ เจ้าตัวน้อยของย่าผอมลงบ้างหรือไม่” หลินซือเหยาคว้าตัวหลานสาวเข้ามากอดแล้วจับนางพลิกหมุนไปมา ครั้นเห็นว่าหลานรักยังสมบูรณ์ดีจึงยิ้มออกมา“ท่านย่าไม่ต้องห่วง อาหงกินดีอยู่ดีมากเจ้าค่ะ”“ฮ่าฮ่า พวกปู่เห็นแล้วละ มาเถอะ มานั่งคุยกันดี ๆ ดีกว่า” เว่ยซือหลิวเดินนำเข้าไปยังห้องหนังสือของจวน“อาหลางอาเหลีย
เหตุการณ์วุ่นวายยังไม่ทันจะผ่านพ้น เจ้าเข่ออ้ายสัตว์อสูรตุ่นดินที่ถูกลืมไปชั่วขณะพลันปรากฏออกมาตรงหน้าเว่ยซือหง แม้ว่าตอนมองสัตว์อสูรในพันธสัญญาทั้งสองของนางจะหวาด ๆ อยู่บ้างก็ตามที ทว่านั่นไม่ใช่ประเด็นประเด็นมันอยู่ที่เด็กคนนี้ลืมมัน!“นายหญิง!” สัตว์อสูรระดับจักรพรรดิแต่ขี้ใจน้อยเอ่ยเสียงดังด้วยน้ำเสียงแง่งอน“อ๊ะ เข่ออ้าย เป็นอย่างไรบ้าง สบายดีใช่ไหม” เว่ยซือหงไม่ได้ลืม เพียงแต่ยังไม่ได้ทักเฉย ๆ“ฮือ... นายหญิงลืมเข่ออ้าย ไหนนายหญิงบอกว่าหลังกลับออกจากถ้ำจะทำพันธสัญญากับข้าอย่างไรเล่าขอรับ” ไม่พูดเปล่าด้วยความน้อยใจน้ำตาหยดใส ๆ จึงพรั่งพรูออกจากดวงตาเล็ก ๆ คู่นั้นเว่ยซือหงนิ่งงันปรับอารมณ์ “เปล่านะ ข้าไม่ได้ลืม เพียงอยากแนะนำเสี่ยวเฟิ่งกับเสี่ยวไป๋ให้ทุกคนรู้จักก่อน เข่ออ้ายไม่ต้องร้อง ข้าไม่ได้ลืมจริง ๆ”“จริงนะขอรับ”“จริงสิ”“เช่นนั้นเรามาทำพันธสัญญากันเลยดีหรือไม่ขอรับ เข่ออ้ายรอนายหญิงมานานแล้ว” มันเอ่ยอย่างกระตือรือร้น ใจหนึ่งก็กลัวสัตว์อสูรสองตัวของนายหญิงตัวเล็ก แต่มันกลัวไม่ได้ทำพันธสัญญากับคนที่มันหมายปองมากกว่าเว่ยซือหงหลุดเสียงหัวเราะเล็ก ๆ ก่อนจะทำพันธสัญญากับมันตา
“น้องเล็ก! พี่ใหญ่! ในที่สุดพวกท่านก็กลับมาแล้ว รู้หรือไม่ว่าอีกเพียงสามวันจะครบกำหนดที่ดินแดนลับจะปิดตัวลงแล้วนะ พวกท่านหายเข้าไปในถ้ำเป็นเดือน ๆ เชียว!” เว่ยซือเหลียงที่นั่งรอพี่ชายน้องสาวด้วยความกลุ้มใจอยู่นั้น โล่งใจทันทีที่เห็นร่างของทั้งสองเดินออกจากถ้ำ ในขณะที่ปากก็บ่นทั้งสองไม่หยุด“ขออภัยเจ้าค่ะพี่รอง พวกเราอยู่ในถ้ำไม่รู้วันคืนจริง ๆ เจ้าค่ะ ด้านในมีแต่ความมืด พวกเราคาดเดาวันเวลาไม่ได้เลย”“จริงของน้องเล็ก ขอโทษด้วยที่ทำให้เป็นห่วง”“เฮ้อ ไม่เป็นอันใดก็ดีแล้วขอรับ ข้าเพียงร้อนใจกลัวพวกท่านจะกลับออกมาไม่ทัน แล้วจะถูกขังไว้ในดินแดนลับนี้”ก่อนหน้านี้เขาร้อนใจแทบตาย วันแรก ๆ ก็ไม่เท่าใด ทว่าพอผ่านไปสองอาทิตย์ยังไม่เห็นวี่แววทั้งสองจะกลับออกจากถ้ำ พวกเขาก็เริ่มกระวนกระวาย ภายในหัวคิดไปต่าง ๆ นานา กระทั่งจะเก็บเกี่ยวทรัพยากรในมิติทับซ้อนแห่งนี้ต่อยังไม่มีเรี่ยวแรงหรือจิตใจอยากจะทำ ดีที่ช่วงแรกเก็บเกี่ยวของสำคัญ ๆ มาเยอะแล้ว จึงไม่น่าเสียดายเท่าใดนัก“เอาละ ๆ ตอนนี้พวกข้ากลับออกมาแล้ว พวกเจ้าทุกคนก็วางใจเถิด”“ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วขอรับ” เว่ยซือเหลียงเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดแง่งอน ส