"หนูพราว หนูอยู่ไหนลูก"
ภาวินออกมาจากห้องทำงานแล้วไม่เห็นบุตรสาววัยหกขวบ ที่ก่อนหน้านี้เจ้าตัวยังนั่งเล่นตัวต่ออยู่ในห้องนั่งเล่น จึงกวาดตามองหาพลางส่งเสียงเรียกไปด้วย เขาได้ยินเสียงน้ำจากในครัวจึงเดินไปดูเพราะคิดว่าเจ้าตัวเล็กคงกำลังช่วยย่าทำของว่างอยู่ แต่พอเข้าไปก็เห็นเพียงมารดาของตนอยู่ตามลำพัง ท่านกำลังหั่นแตงโมเป็นชิ้นพอดีคำใส่จานเพื่อเตรียมไว้ให้หลานสาวสุดที่รัก
"หนูพราวล่ะครับคุณแม่"
"อ้าว ไม่ได้อยู่ในห้องนั่งเล่นหรือ ถ้าอย่างนั้นก็คงไปเล่นในสวนหน้าบ้านละมั้ง ช่วงนี้ยายหนูพราวเขามีเพื่อนใหม่เป็นสาวข้างบ้านเรานี่เอง เล่นกันถูกคอเชียว"
ภคินีพูดไปยิ้มไปเมื่อนึกถึงตอนที่พราวนภามาเล่าเรื่องเพื่อนใหม่ให้ฟังอย่างตื่นเต้น ซึ่งตนก็พลอยยินดีไปด้วย เพราะเวลาที่หลานสาวมาค้างที่บ้านนี้ทุกวันเสาร์อาทิตย์ มักจะไม่ค่อยมีเพื่อนเล่นวัยเดียวกันนัก ถึงมีก็เป็นเด็กผู้ชายเสียส่วนใหญ่ และเด็กพวกนั้นมักเล่นกันแรงตามประสาวัยทะโมน เธอจึงไม่อยากให้หลานไปเล่นด้วย
"จริงหรือครับ ข้างบ้านเราที่ย้ายเข้ามาใหม่ก็มีลูกสาวเหมือนกันหรือ ดีจัง"
ภาวินยิ้มกว้างพลางเดินออกจากห้องครัวไปเงียบ ๆ เพื่อไปดูบุตรสาวเล่นกับเพื่อนใหม่ ผู้เป็นมารดาจึงไม่รู้ว่าเขาเดินออกไปแล้วเพราะมัวแต่หันหลังไปล้างมือในอ่างน้ำ
"ใช่จ้ะ แต่ลูกสาวเขาเรียนมหา’ลัยแล้วนะ ไม่ใช่เด็กเล็กเหมือนยายหนูพราวของเรา แม่เห็นเขาคุยกันถูกคอและเล่นกันดี๊ดีก็เลยวางใจให้หนูมะลิ...อ้าว ตาวินนี่ยังไง จะมาจะไปก็ไม่บอกสักคำ ปล่อยให้พูดคนเดียวอยู่ได้"
ภคินีค้อนปะหลับปะเหลือกไปทางที่บุตรชายเดินไปก่อนจะเดินไปหยิบแอปเปิ้ลในตู้เย็นออกมาหั่นเป็นชิ้นเตรียมไว้เป็นของว่างให้หลานสาว
ภาวินเดินออกไปยังสวนหน้าบ้าน ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นเพียงสนามหญ้ากว้าง ๆ และมีศาลาไม้สักหลังไม่ใหญ่นักตั้งอยู่ใต้ต้นมะม่วงเท่านั้น แต่หลังจากที่มีสมาชิกใหม่อย่างพราวนภามาอยู่ที่นี่ด้วย แม้ว่าจะค้างแค่คืนวันศุกร์กับวันเสาร์ แต่พื้นที่บริเวณนี้ก็มีชิงช้าและกระดานลื่นเพิ่มขึ้นมาเพื่อแก้วตาดวงใจของคนทั้งบ้านด้วย
"อ้าว ไหนล่ะหนูพราว ไม่เห็นมีเลย" ชายหนุ่มพึมพำเบา ๆ เมื่อเดินมาหยุดยืนใต้ต้นมะม่วง พลันนั้นก็ได้ยินเสียงแปลก ๆ ดังมาจากด้านบนราวกับกำลังมีคนกำลังดึงกิ่งไม้เล่นจึงเงยหน้าขึ้นไปดู
หืม...แมวงั้นหรือ
แว่บแรกที่เห็น ภาวินบอกกับตัวเองแบบนั้น ทว่าพอเพ่งมองให้ดีกลับไม่ใช่
"ไม่ใช่นี่หว่า แต่เป็นกางเกงในลายหน้าแมว เอ๊ะ! เดี๋ยวก่อน"
สองคำสุดท้ายชายหนุ่มเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่ไม่เบานัก จึงทำให้คนที่อยู่บนต้นไม้ได้ยินเข้าพอดี ครั้นพอเจ้าตัวก้มหน้าลงมองแล้วเห็นหน้าเขาก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ
"ระวังตก!" ภาวินตะโกนบอกด้วยความตกใจไม่ต่างกันเมื่อเห็นว่าเจ้าตัวปล่อยมือที่จับกิ่งไม้ไว้เพื่อจะรวบกระโปรง แต่เพราะอารามตื่นตกใจจึงทำให้คนที่อยู่บนต้นไม้เสียหลักร่วงลงมา
เห็นดังนั้น ชายหนุ่มจึงรีบเข้าไปกางแขนรอรับตามสัญชาตญาณเพราะกิ่งไม้ที่อีกฝ่ายยืนอยู่นั้นสูงจากพื้นดินไม่น้อย หากตกลงมาแข้งขาหักคงไม่ดีแน่
"กรี๊ดดดด" เสียงกรีดร้องนั้นทำให้ภาวินรู้ทันทีว่าคนที่ปีนต้นไม้เป็นลิงเป็นค่างนั่นไม่ใช่เด็กวัยกำลังโตที่เล่นซุกซนไปตามประสาแต่เป็นสาวเต็มตัวแล้ว และยิ่งมั่นใจมากขึ้นในตอนที่เจ้าตัวหล่นลงมาทับเขาพอดี
พลั่ก!
"โอ๊ย..." เสียงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บหลุดออกมาจากปากของคนทั้งคู่ทันที คนหนึ่งนั้นเจ็บหัวเข่าเพราะกระแทกเข้ากับพื้นหญ้า แต่อีกคนนั้นทั้งเจ็บทั้งจุกเพราะถูกหน้าแข้งของเธอกระแทกลงมาบนหน้าอกเต็มแรงจนหงายหลังลงไปนอนกับพื้นทั้งตัว หนำซ้ำยังถูกกระโปรงสีดำคลุมไว้ทั้งหัวอีกด้วย
มะ...แมว...เต็มหน้ากูเลย!
"โอย..." มัลลิกาหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตนร่วงลงมาทับใครคนหนึ่ง และตอนนี้ก็กำลังนั่งทับร่างเขาอยู่ เธอก้มลงมองแล้วก็ต้องอุทานออกมาเสียงดังด้วยความตกใจ"ว้าย!" หญิงสาวพยายามกระถดตัวถอยมาด้านหลังพร้อมกับรวบกระโปรงนักศึกษาเข้าหาตัว เพราะตอนนี้กระโปรงพลีตของเธอคลุมศีรษะของเขาอยู่ แต่เพราะหัวเข่าที่เจ็บจากแรงกระแทกจึงทำให้เคลื่อนไหวไม่คล่องตัวเท่าไรนัก จึงเผลอหลุดเสียงร้องโอดโอยออกมาอีกครั้งขณะเดียวกัน คนที่เป็นเบาะเนื้อรองรับอยู่ด้านล่างก็รู้สึกโลกสว่างขึ้นมาทันทีเมื่อกระโปรงที่คลุมหน้าอยู่เมื่อครู่ถูกดึงออกไปพร้อมกับกางเกงในลายหน้าแมว จากนั้นก็ถูกแทนที่ด้วยภาพใบหน้าแดงก่ำของหญิงสาวคนหนึ่งในชุดนักศึกษา ซึ่งตอนนี้เจ้าหล่อนกำลังนั่งทับท้องเขาอยู่ และมีทีท่าว่าจะถอยร่นต่ำลงไปเรื่อย ๆ"เดี๋ยวก่อน หยุด! อย่าเพิ่งขยับ" เขารีบห้ามเธอเอาไว้ เพราะขืนปล่อยให้หญิงสาวถอยสะโพกลงไปมากกว่านี้ ตำแหน่งของ "แมวน้อย" ของเธอกับ "ปืนใหญ่" ของเขาอาจจ๊ะเอ๋กันได้"หนูขอโทษค่ะ หนูไม่ได้ตั้งใจ" หญิงสาวยกมือไหว้เขาด้วยสีหน้าราวกับจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ เขาจึงเพิ่งรู้ตัวว่าเมื่อครู่ตนเสียงดัง
แต่สิ่งที่สะท้อนออกมาชัดเจนที่สุดเห็นจะเป็นความโหยหาและความอิจฉา เหมือนเวลาที่เห็นพี่หรือน้องของตนได้ของเล่นแล้วตัวเองไม่ได้ด้วย"อุ๊ย! พี่มะลิเลือดออกค่ะคุณพ่อ พี่มะลิเป็นแผลเลือดออกเลย"พราวนภาร้องบอกบิดาพร้อมกับชี้ไปที่หัวเข่าทั้งสองข้างของมัลลิกา ชายหนุ่มมองตามแล้วก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ"แย่ละ หนูพราวลุกขึ้นก่อนลูก คุณพ่อจะไปช่วยดูแผลให้พี่มะลิก่อน"ครั้นพอพราวนภาลุกขึ้นแล้ว ชายหนุ่มจึงชะโงกหน้าเข้าไปดูแผลที่หัวเข่าของหญิงสาวใกล้ ๆ"พี่ว่าเข้าไปทำแผลในบ้านก่อนดีกว่า ลุกไหวไหมเรา" พูดจบเขาก็ลุกขึ้นยืน และมองหาบาดแผลบริเวณอื่นไปด้วยมัลลิกาพยายามจะลุกขึ้น แต่ก็ปวดแปลบที่หัวเข่าขึ้นมาจนทำให้เธอต้องทรุดลงไปนั่งอยู่ท่าเดิม หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วส่ายหน้าให้ช้า ๆ ด้วยท่าทางน่าสงสาร"หนูเจ็บขาค่ะ ทำยังไงดี""ถ้าอย่างนั้นพี่จะอุ้มเราเข้าไปทำแผลในบ้านก่อน แล้วค่อยไปโรงพยาบาล ตรวจดูสักหน่อยว่ากระดูกหักหรือร้าวตรงไหนบ้างรึเปล่า...ขอโทษนะ"พูดจบเขาก็ก้มลงช้อนตัวมัลลิกาไว้ในวงแขนก่อนจะนิ่วหน้าสูดปากออกมาเบา ๆ เพราะความรู้สึกเจ็บที่กล้ามเนื้อด้านหลังตอนล้มลงกับพื้นแสดงอาการออกมาอีกค
"จะออกเป็นอะไรได้อีกล่ะนอกจากมะม่วง ถ้าออกเป็นอย่างอื่นได้ ป่านนี้แม่แป้นคงจะเอาแป้งไปโรยแล้วขูดหาหวยทุกวันแล้ว"ภคินีพูดกลั้วหัวเราะเมื่อนึกถึงแป้น แม่บ้านที่ตนจ้างไว้แบบเช้ามาเย็นกลับ ซึ่งแป้นเป็นภรรยาของหัวหน้าพนักงานรักษาความปลอดภัยในหมู่บ้าน จึงรับจ้างทำงานบ้านให้กับลูกบ้านในหมู่บ้านด้วย"ก็..." เขาจงใจเว้นช่วงเอาไว้ไม่พูดออกมา ก่อนจะคลี่ยิ้มมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อเห็นใบหน้าของสาวน้อยเปลี่ยนจากซีดเผือดเป็นสีชมพูระเรื่อราวกับรู้ว่าเขาจะพูดอะไรต่อไป"มักกะลีผลไงครับคุณแม่" ทันทีที่เขาพูดจบ หน้าของมัลลิกาก็มีสีเข้มขึ้นอย่างที่คาดไว้"มัก...มักอะไรนะคะคุณพ่อ มันคืออะไรคะ" พราวนภาหันไปถามบิดาด้วยความสนใจ ขณะที่ผู้อาวุโสสุดในที่นั้นหันไปมองค้อนบุตรชายด้วยความหมั่นไส้"มักกะลีผลค่ะหนูพราว เป็นต้นไม้ในนิทานโบราณน่ะ ออกผลมาเป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารัก ใครอยากมีลูกก็จะเด็ดเอาไปเลี้ยงที่บ้าน" ชายหนุ่มเล่าบิดเบือนตำนานไปเล็กน้อยพลางมองใบหน้าแดงก่ำของหญิงสาวอย่างเอ็นดู"บ้านเรามีต้นนั้นด้วยหรือคะ อยู่ตรงไหนหนูพราวไม่เคยเห็น" พราวนภาถามอย่างตื่นเต้นก่อนจะหันไปมองหน้าเพื่อนต่างวัยอย่างมัลลิการาวกับ
ชายหนุ่มเดินกลับเข้าไปในบ้านแล้วยื่นกระเป๋ากับแว่นตาส่งให้มัลลิกา หญิงสาวยกมือไหว้เขาแล้วพูด"ขอบคุณค่ะคุณอา"ได้ยินดังนั้นภาวินจึงชักมือกลับไปไม่ยอมส่งของให้ จากนั้นก็ยื่นข้อเสนอ"เรียกใหม่ซิ...พี่วิน ไม่ใช่คุณอา" เขาพูดไปยิ้มไป เห็นเธอมองไปทางมารดาของเขาราวกับต้องการขอความช่วยเหลือก็อดยิ้มกว้างกว่าเดิมไม่ได้"ตาวิน" เสียงลากยาวของมารดาเป็นเชิงปรามบุตรชายนั้นทำให้ภาวินหัวเราะออกมาเบา ๆ"โธ่คุณแม่ครับ หนูมะลิของคุณแม่น่ะเรียนปีสี่แล้วนะ ไอ้คิน ลูกชายคนเล็กของคุณแม่ก็รุ่นราวคราวเดียวกับมะลินั่นแหละ แล้วเรื่องอะไรผมจะยอมให้เขามาเรียกผมว่าอาล่ะ ฟังดูแก่ยังไงก็ไม่รู้"ภคินีค้อนบุตรชายปะหลับปะเหลือกก่อนจะหันไปพูดกับสาวน้อยข้างตัว"ก็เรียกพี่ให้เขาชื่นใจหน่อยละกันหนูมะลิ คนเขาไม่อยากแก่"มัลลิกาอมยิ้มแล้วยกมือไหว้ชายหนุ่มตรงหน้าอีกครั้ง"ขอบคุณค่ะพี่วิน""ค่อยฟังดูดีหน่อย" ภาวินยิ้มกว้างอวดลักยิ้มที่แก้มซ้ายพร้อมกับยื่นกระเป๋ากับแว่นตาส่งคืนเจ้าของมัลลิการับของมาถือไว้แล้วหยิบแว่นตาขึ้นมาสวม แว่นสายตาอันใหญ่กรอบสีดำแทบจะกินพื้นที่บนใบหน้ารูปไข่ไปถึงหนึ่งในสามส่วน จากหญิงสาวหน้าตาสะสวยแปรเป