แต่สิ่งที่สะท้อนออกมาชัดเจนที่สุดเห็นจะเป็นความโหยหาและความอิจฉา เหมือนเวลาที่เห็นพี่หรือน้องของตนได้ของเล่นแล้วตัวเองไม่ได้ด้วย
"อุ๊ย! พี่มะลิเลือดออกค่ะคุณพ่อ พี่มะลิเป็นแผลเลือดออกเลย"
พราวนภาร้องบอกบิดาพร้อมกับชี้ไปที่หัวเข่าทั้งสองข้างของมัลลิกา ชายหนุ่มมองตามแล้วก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
"แย่ละ หนูพราวลุกขึ้นก่อนลูก คุณพ่อจะไปช่วยดูแผลให้พี่มะลิก่อน"
ครั้นพอพราวนภาลุกขึ้นแล้ว ชายหนุ่มจึงชะโงกหน้าเข้าไปดูแผลที่หัวเข่าของหญิงสาวใกล้ ๆ
"พี่ว่าเข้าไปทำแผลในบ้านก่อนดีกว่า ลุกไหวไหมเรา" พูดจบเขาก็ลุกขึ้นยืน และมองหาบาดแผลบริเวณอื่นไปด้วย
มัลลิกาพยายามจะลุกขึ้น แต่ก็ปวดแปลบที่หัวเข่าขึ้นมาจนทำให้เธอต้องทรุดลงไปนั่งอยู่ท่าเดิม หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วส่ายหน้าให้ช้า ๆ ด้วยท่าทางน่าสงสาร
"หนูเจ็บขาค่ะ ทำยังไงดี"
"ถ้าอย่างนั้นพี่จะอุ้มเราเข้าไปทำแผลในบ้านก่อน แล้วค่อยไปโรงพยาบาล ตรวจดูสักหน่อยว่ากระดูกหักหรือร้าวตรงไหนบ้างรึเปล่า...ขอโทษนะ"
พูดจบเขาก็ก้มลงช้อนตัวมัลลิกาไว้ในวงแขนก่อนจะนิ่วหน้าสูดปากออกมาเบา ๆ เพราะความรู้สึกเจ็บที่กล้ามเนื้อด้านหลังตอนล้มลงกับพื้นแสดงอาการออกมาอีกครั้ง
"คุณพ่ออุ้มพี่มะลิไม่ไหวหรือคะ" พราวนภาได้ยินเสียงบิดาสูดปากก็ถามอย่างเป็นห่วง มัลลิกาเองเมื่อได้ยินอย่างนั้นก็ยิ่งรู้สึกเกรงใจ
"คุณอาปล่อยให้หนูลงเดินเองก็ได้นะคะ หนูตัวหนักจะตาย"
พอได้ยินคำเรียกขานที่เขาไม่อยากฟังก็ยิ่งทำให้ภาวินเกิดแรงฮึด เขาเพิ่งอายุสามสิบสามย่างสามสิบสี่ อุ้มผู้หญิงตัวเล็ก ๆ แค่คนเดียวทำไมเขาจะทำไม่ได้
"ใครบอกไม่ไหว แค่นี้สบายมาก" เขากัดฟันเดินเร็ว ๆ เข้าบ้านไป เมื่อถึงห้องรับแขกก็วางหญิงสาวลงบนโซฟาตัวยาวอย่างเบามือ จากนั้นก็ลอบผ่อนลมหายใจช้า ๆ เก็บอาการเหนื่อยหอบไม่ให้เธอเห็น
"นั่งตรงนี้นะ พี่จะไปหยิบอุปกรณ์ทำแผลมา" พูดจบเขาก็เดินเร็ว ๆ ไปทางห้องครัว สวนกับมารดาที่เดินถือจานผลไม้ออกมาพอดี
"ตายแล้ว! หนูมะลิเป็นอะไรน่ะลูก ไปโดนอะไรมา" ภคินีเห็นหัวเข่าของมัลลิกาถลอกเป็นแผลจนเลือดซึมก็ตกใจ
"หนูตกต้นไม้ค่ะ แล้วตอนที่ตกลงมาหัวเข่ามันไปครูดกับกิ่งไม้ด้วยก็เลยเป็นแผล" มัลลิกาตอบเสียงอ่อย เพราะตนเป็นฝ่ายเข้ามาซุกซนในบ้านของคนอื่นแท้ ๆ แต่ดันมาทำให้เจ้าของบ้านเดือดร้อนไปด้วย
"น่าตีจริงเชียว โตเป็นสาวเป็นนางแล้วยังปีนต้นไม้เป็นลิงเป็นค่างไปได้นะเรา แล้วนี่อย่าบอกนะว่าปีนต้นไม้ทั้งที่ยังใส่ชุดนักศึกษาอยู่แบบนี้น่ะ"
ภคินีถามทั้งที่รู้คำตอบอยู่เต็มอก ยิ่งเห็นอีกฝ่ายก้มหน้างุดแล้วพยักหน้าให้ช้า ๆ เป็นเชิงยอมรับก็อดยิ้มอย่างอ่อนใจไม่ได้ แม้มัลลิกาจะอายุยี่สิบเอ็ดปีและเรียนอยู่ปีสี่แล้วก็ตาม แต่นิสัยและความคิดความอ่านบางครั้งก็ยังดูไร้เดียงสาอยู่มากจนน่าเป็นห่วง
"พี่มะลิบอกว่ากลับมาจากโรงเรียนก็รีบมาหาหนูพราวที่บ้านเลยค่ะ เพราะรู้ว่าวันนี้หนูพราวมาเลยไม่ได้เปลี่ยนชุด" พราวนภารีบแก้ตัวให้เพื่อนต่างวัยทันทีเพราะเกรงว่าพี่มะลิจะถูกคุณย่าดุ
"คุณย่าก็ไม่ได้คิดจะดุพี่มะลิของหนูหรอกลูก แต่เราเป็นผู้หญิง ใส่กระโปรงปีนต้นไม้มันไม่งาม จำไว้นะทั้งสองคนเลย ถ้าคนอื่นมาเห็นกางเกงในเราเข้าก็แย่น่ะสิ เป็นสาวเป็นนางจะให้คนอื่นมาเห็นกางเกงในไม่ได้นะ"
ได้ยินเช่นนั้นมัลลิกาก็นึกถึงตอนที่ตนหล่นลงมาคร่อมตัวภาวินไว้ หนำซ้ำกระโปรงยังคลุมศีรษะเขาอีกด้วย ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเขาเห็นกางเกงในของเธอเข้าแล้วเต็มตา...น่าอายชะมัด
"พวกเพื่อนผู้ชายในห้องชอบมาเปิดกระโปรงหนูพราวด้วยค่ะคุณย่า ต้นหอมก็โดน ข้าวฟ่างก็โดน โดนกันหลายคนเลยล่ะ" พราวนภารีบฟ้องคุณย่าทันทีพร้อมกับทำปากยื่นอย่างไม่พอใจ
"ใคร! ใครมันมาเปิดกระโปรงลูกสาวพ่อ หนูพราวบอกคุณพ่อสิลูก คุณพ่อจะไปจัดการให้"
ภาวินเดินถืออุปกรณ์ทำแผลเข้ามานั่งบนโซฟาอีกตัวใกล้กับมัลลิกา แต่สายตามองบุตรสาวสุดที่รักอย่างหวงแหน เพราะพราวนภาหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูจึงมักชอบถูกเพื่อนผู้ชายในห้องเรียนกลั่นแกล้งเพื่อเรียกร้องความสนใจตามประสาเด็กผู้ชายอยู่เสมอ
"กัปตันค่ะคุณพ่อ แล้วก็พอร์ช เต้ ไทม์ และอีกหลายคนเลยค่ะ หนูพราวไม่ได้โดนคนเดียวนะคะ เพื่อนผู้หญิงอีกหลายคนก็โดน"
"แล้วหนูทำยังไงล่ะลูก ฟ้องคุณครูรึเปล่า" ภาวินยังคงถามต่อ แต่มือเริ่มหยิบสำลีออกจากห่อเพื่อจะเช็ดแผลให้คนตกต้นไม้
"ฟ้องแล้วคุณครูก็แค่ทำโทษด้วยการตีมือนิดเดียวเองค่ะ ไม่เห็นเจ็บเลย หนูพราวไปบอกแม่จันทร์ แม่เลยให้ใส่กางเกงขาสั้นไว้ในกระโปรงด้วย แล้วก็บอกว่าถ้าโดนเปิดกระโปรงอีกให้ทำเฉย ๆ อย่าสนใจ เดี๋ยวเขาก็เลิกแกล้งไปเอง"
เด็กน้อยพูดพลางขยับเข้ามาใกล้บิดาด้วยความอยากรู้อยากเห็นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะทำแผลให้เพื่อนต่างวัย
"คราวหน้าถ้ามีคนมาเปิดกระโปรงอีก หนูต่อยหน้าไปแรง ๆ เลยนะลูก อย่าไปยอมเชียว ถ้ามีปัญหาอะไรเดี๋ยวคุณพ่อจะไปจัดการให้หนูเอง" ชายหนุ่มกำมือเป็นรูปกำปั้น แต่ถูกมารดาเอ็ดเข้าใส่
"ไปสอนลูกอย่างนั้นได้ยังไงตาวิน เดี๋ยวหนูพราวก็กลายเป็นคนที่ชอบใช้กำลังตัดสินปัญหาหรอก หนูจันทร์เขาอุตส่าห์แก้ปัญหาอย่างละมุนละม่อมแต่เรากลับไปสอนตรงกันข้ามซะงั้น"
"โธ่ คุณแม่ครับ สมัยนี้การนิ่งเฉยมันไม่สามารถแก้ปัญหาได้ในบางสถานการณ์หรอกนะครับ การยอมครั้งแรกสำหรับเราอาจจะคิดแค่ว่าอยากให้เรื่องมันจบไป แต่คนอื่นเขาไม่คิดอย่างนั้น เขาจะคิดว่าเรารังแกได้ง่ายแล้วก็จะหาเรื่องมารังแกไม่จบไม่สิ้น ผมอยากให้หนูพราวสู้คนมากกว่า"
ภาวินยักไหล่อย่างไม่ยี่หระก่อนจะเอาสำลีจุ่มแอลกอฮอล์สำหรับล้างแผล จากนั้นก็ยื่นมือไปเพื่อจะเช็ดรอบ ๆ แผลที่หัวเข่าของมัลลิกา ส่วนมืออีกข้างก็ทำท่าจะเลิกกระโปรงขึ้นแต่ถูกภคินีผู้เป็นมารดาดึงมือเอาไว้ก่อน
"แม่ทำให้หนูมะลิเอง" ภคินีลอบถลึงตาใส่บุตรชายที่เผลอไผลถึงเนื้อถึงตัวสาวน้อยข้างบ้าน แม้ว่าภาวินอาจจะไม่ได้คิดอะไรเกินเลย แต่อย่างไรเสียการทำแบบนี้ก็ไม่เหมาะนักเพราะมัลลิกาก็ไม่ใช่เด็กแล้ว
ครั้นพอถูกมารดาเตือนด้วยสายตา ภาวินจึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตนลืมตัวไป ชายหนุ่มถูจมูกไปมาแก้เก้อพลางมองหญิงสาวที่นั่งเม้มปากแน่นเพื่อสะกดกลั้นอาการเจ็บแสบตอนล้างแผล ใบหน้าอ่อนเยาว์ซีดเผือด มือทั้งสองข้างขยุ้มชายเสื้อของตัวเองเอาไว้แน่น ดูแล้วทั้งน่าสงสารและน่าขำไปพร้อมกัน
"ผมนึกว่าต้นมะม่วงหน้าบ้านเรานั่นจะออกผลเป็นมะม่วงอย่างเดียวเสียอีก ที่ไหนได้ ออกผลอย่างอื่นก็ได้ด้วย" ชายหนุ่มพูดไปยิ้มไปเพราะต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของมัลลิกาจากแผลที่หัวเข่ามาที่ตนแทน และก็ได้ผลเมื่อเจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมองเขา
"จะออกเป็นอะไรได้อีกล่ะนอกจากมะม่วง ถ้าออกเป็นอย่างอื่นได้ ป่านนี้แม่แป้นคงจะเอาแป้งไปโรยแล้วขูดหาหวยทุกวันแล้ว"ภคินีพูดกลั้วหัวเราะเมื่อนึกถึงแป้น แม่บ้านที่ตนจ้างไว้แบบเช้ามาเย็นกลับ ซึ่งแป้นเป็นภรรยาของหัวหน้าพนักงานรักษาความปลอดภัยในหมู่บ้าน จึงรับจ้างทำงานบ้านให้กับลูกบ้านในหมู่บ้านด้วย"ก็..." เขาจงใจเว้นช่วงเอาไว้ไม่พูดออกมา ก่อนจะคลี่ยิ้มมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อเห็นใบหน้าของสาวน้อยเปลี่ยนจากซีดเผือดเป็นสีชมพูระเรื่อราวกับรู้ว่าเขาจะพูดอะไรต่อไป"มักกะลีผลไงครับคุณแม่" ทันทีที่เขาพูดจบ หน้าของมัลลิกาก็มีสีเข้มขึ้นอย่างที่คาดไว้"มัก...มักอะไรนะคะคุณพ่อ มันคืออะไรคะ" พราวนภาหันไปถามบิดาด้วยความสนใจ ขณะที่ผู้อาวุโสสุดในที่นั้นหันไปมองค้อนบุตรชายด้วยความหมั่นไส้"มักกะลีผลค่ะหนูพราว เป็นต้นไม้ในนิทานโบราณน่ะ ออกผลมาเป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารัก ใครอยากมีลูกก็จะเด็ดเอาไปเลี้ยงที่บ้าน" ชายหนุ่มเล่าบิดเบือนตำนานไปเล็กน้อยพลางมองใบหน้าแดงก่ำของหญิงสาวอย่างเอ็นดู"บ้านเรามีต้นนั้นด้วยหรือคะ อยู่ตรงไหนหนูพราวไม่เคยเห็น" พราวนภาถามอย่างตื่นเต้นก่อนจะหันไปมองหน้าเพื่อนต่างวัยอย่างมัลลิการาวกับ
ชายหนุ่มเดินกลับเข้าไปในบ้านแล้วยื่นกระเป๋ากับแว่นตาส่งให้มัลลิกา หญิงสาวยกมือไหว้เขาแล้วพูด"ขอบคุณค่ะคุณอา"ได้ยินดังนั้นภาวินจึงชักมือกลับไปไม่ยอมส่งของให้ จากนั้นก็ยื่นข้อเสนอ"เรียกใหม่ซิ...พี่วิน ไม่ใช่คุณอา" เขาพูดไปยิ้มไป เห็นเธอมองไปทางมารดาของเขาราวกับต้องการขอความช่วยเหลือก็อดยิ้มกว้างกว่าเดิมไม่ได้"ตาวิน" เสียงลากยาวของมารดาเป็นเชิงปรามบุตรชายนั้นทำให้ภาวินหัวเราะออกมาเบา ๆ"โธ่คุณแม่ครับ หนูมะลิของคุณแม่น่ะเรียนปีสี่แล้วนะ ไอ้คิน ลูกชายคนเล็กของคุณแม่ก็รุ่นราวคราวเดียวกับมะลินั่นแหละ แล้วเรื่องอะไรผมจะยอมให้เขามาเรียกผมว่าอาล่ะ ฟังดูแก่ยังไงก็ไม่รู้"ภคินีค้อนบุตรชายปะหลับปะเหลือกก่อนจะหันไปพูดกับสาวน้อยข้างตัว"ก็เรียกพี่ให้เขาชื่นใจหน่อยละกันหนูมะลิ คนเขาไม่อยากแก่"มัลลิกาอมยิ้มแล้วยกมือไหว้ชายหนุ่มตรงหน้าอีกครั้ง"ขอบคุณค่ะพี่วิน""ค่อยฟังดูดีหน่อย" ภาวินยิ้มกว้างอวดลักยิ้มที่แก้มซ้ายพร้อมกับยื่นกระเป๋ากับแว่นตาส่งคืนเจ้าของมัลลิการับของมาถือไว้แล้วหยิบแว่นตาขึ้นมาสวม แว่นสายตาอันใหญ่กรอบสีดำแทบจะกินพื้นที่บนใบหน้ารูปไข่ไปถึงหนึ่งในสามส่วน จากหญิงสาวหน้าตาสะสวยแปรเป
"หนูพราว หนูอยู่ไหนลูก"ภาวินออกมาจากห้องทำงานแล้วไม่เห็นบุตรสาววัยหกขวบ ที่ก่อนหน้านี้เจ้าตัวยังนั่งเล่นตัวต่ออยู่ในห้องนั่งเล่น จึงกวาดตามองหาพลางส่งเสียงเรียกไปด้วย เขาได้ยินเสียงน้ำจากในครัวจึงเดินไปดูเพราะคิดว่าเจ้าตัวเล็กคงกำลังช่วยย่าทำของว่างอยู่ แต่พอเข้าไปก็เห็นเพียงมารดาของตนอยู่ตามลำพัง ท่านกำลังหั่นแตงโมเป็นชิ้นพอดีคำใส่จานเพื่อเตรียมไว้ให้หลานสาวสุดที่รัก"หนูพราวล่ะครับคุณแม่""อ้าว ไม่ได้อยู่ในห้องนั่งเล่นหรือ ถ้าอย่างนั้นก็คงไปเล่นในสวนหน้าบ้านละมั้ง ช่วงนี้ยายหนูพราวเขามีเพื่อนใหม่เป็นสาวข้างบ้านเรานี่เอง เล่นกันถูกคอเชียว"ภคินีพูดไปยิ้มไปเมื่อนึกถึงตอนที่พราวนภามาเล่าเรื่องเพื่อนใหม่ให้ฟังอย่างตื่นเต้น ซึ่งตนก็พลอยยินดีไปด้วย เพราะเวลาที่หลานสาวมาค้างที่บ้านนี้ทุกวันเสาร์อาทิตย์ มักจะไม่ค่อยมีเพื่อนเล่นวัยเดียวกันนัก ถึงมีก็เป็นเด็กผู้ชายเสียส่วนใหญ่ และเด็กพวกนั้นมักเล่นกันแรงตามประสาวัยทะโมน เธอจึงไม่อยากให้หลานไปเล่นด้วย"จริงหรือครับ ข้างบ้านเราที่ย้ายเข้ามาใหม่ก็มีลูกสาวเหมือนกันหรือ ดีจัง"ภาวินยิ้มกว้างพลางเดินออกจากห้องครัวไปเงียบ ๆ เพื่อไปดูบุตรสาวเล่นกับเ
"โอย..." มัลลิกาหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตนร่วงลงมาทับใครคนหนึ่ง และตอนนี้ก็กำลังนั่งทับร่างเขาอยู่ เธอก้มลงมองแล้วก็ต้องอุทานออกมาเสียงดังด้วยความตกใจ"ว้าย!" หญิงสาวพยายามกระถดตัวถอยมาด้านหลังพร้อมกับรวบกระโปรงนักศึกษาเข้าหาตัว เพราะตอนนี้กระโปรงพลีตของเธอคลุมศีรษะของเขาอยู่ แต่เพราะหัวเข่าที่เจ็บจากแรงกระแทกจึงทำให้เคลื่อนไหวไม่คล่องตัวเท่าไรนัก จึงเผลอหลุดเสียงร้องโอดโอยออกมาอีกครั้งขณะเดียวกัน คนที่เป็นเบาะเนื้อรองรับอยู่ด้านล่างก็รู้สึกโลกสว่างขึ้นมาทันทีเมื่อกระโปรงที่คลุมหน้าอยู่เมื่อครู่ถูกดึงออกไปพร้อมกับกางเกงในลายหน้าแมว จากนั้นก็ถูกแทนที่ด้วยภาพใบหน้าแดงก่ำของหญิงสาวคนหนึ่งในชุดนักศึกษา ซึ่งตอนนี้เจ้าหล่อนกำลังนั่งทับท้องเขาอยู่ และมีทีท่าว่าจะถอยร่นต่ำลงไปเรื่อย ๆ"เดี๋ยวก่อน หยุด! อย่าเพิ่งขยับ" เขารีบห้ามเธอเอาไว้ เพราะขืนปล่อยให้หญิงสาวถอยสะโพกลงไปมากกว่านี้ ตำแหน่งของ "แมวน้อย" ของเธอกับ "ปืนใหญ่" ของเขาอาจจ๊ะเอ๋กันได้"หนูขอโทษค่ะ หนูไม่ได้ตั้งใจ" หญิงสาวยกมือไหว้เขาด้วยสีหน้าราวกับจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ เขาจึงเพิ่งรู้ตัวว่าเมื่อครู่ตนเสียงดัง