แชร์

บทที่ 1 มักกะลีผล - 50%

แต่สิ่งที่สะท้อนออกมาชัดเจนที่สุดเห็นจะเป็นความโหยหาและความอิจฉา เหมือนเวลาที่เห็นพี่หรือน้องของตนได้ของเล่นแล้วตัวเองไม่ได้ด้วย

"อุ๊ย! พี่มะลิเลือดออกค่ะคุณพ่อ พี่มะลิเป็นแผลเลือดออกเลย"

พราวนภาร้องบอกบิดาพร้อมกับชี้ไปที่หัวเข่าทั้งสองข้างของมัลลิกา ชายหนุ่มมองตามแล้วก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

"แย่ละ หนูพราวลุกขึ้นก่อนลูก คุณพ่อจะไปช่วยดูแผลให้พี่มะลิก่อน"

ครั้นพอพราวนภาลุกขึ้นแล้ว ชายหนุ่มจึงชะโงกหน้าเข้าไปดูแผลที่หัวเข่าของหญิงสาวใกล้ ๆ

"พี่ว่าเข้าไปทำแผลในบ้านก่อนดีกว่า ลุกไหวไหมเรา" พูดจบเขาก็ลุกขึ้นยืน และมองหาบาดแผลบริเวณอื่นไปด้วย

มัลลิกาพยายามจะลุกขึ้น แต่ก็ปวดแปลบที่หัวเข่าขึ้นมาจนทำให้เธอต้องทรุดลงไปนั่งอยู่ท่าเดิม หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วส่ายหน้าให้ช้า ๆ ด้วยท่าทางน่าสงสาร

"หนูเจ็บขาค่ะ ทำยังไงดี"

"ถ้าอย่างนั้นพี่จะอุ้มเราเข้าไปทำแผลในบ้านก่อน แล้วค่อยไปโรงพยาบาล ตรวจดูสักหน่อยว่ากระดูกหักหรือร้าวตรงไหนบ้างรึเปล่า...ขอโทษนะ"

พูดจบเขาก็ก้มลงช้อนตัวมัลลิกาไว้ในวงแขนก่อนจะนิ่วหน้าสูดปากออกมาเบา ๆ เพราะความรู้สึกเจ็บที่กล้ามเนื้อด้านหลังตอนล้มลงกับพื้นแสดงอาการออกมาอีกครั้ง

"คุณพ่ออุ้มพี่มะลิไม่ไหวหรือคะ" พราวนภาได้ยินเสียงบิดาสูดปากก็ถามอย่างเป็นห่วง มัลลิกาเองเมื่อได้ยินอย่างนั้นก็ยิ่งรู้สึกเกรงใจ

"คุณอาปล่อยให้หนูลงเดินเองก็ได้นะคะ หนูตัวหนักจะตาย"

พอได้ยินคำเรียกขานที่เขาไม่อยากฟังก็ยิ่งทำให้ภาวินเกิดแรงฮึด เขาเพิ่งอายุสามสิบสามย่างสามสิบสี่ อุ้มผู้หญิงตัวเล็ก ๆ แค่คนเดียวทำไมเขาจะทำไม่ได้

"ใครบอกไม่ไหว แค่นี้สบายมาก" เขากัดฟันเดินเร็ว ๆ เข้าบ้านไป เมื่อถึงห้องรับแขกก็วางหญิงสาวลงบนโซฟาตัวยาวอย่างเบามือ จากนั้นก็ลอบผ่อนลมหายใจช้า ๆ เก็บอาการเหนื่อยหอบไม่ให้เธอเห็น

"นั่งตรงนี้นะ พี่จะไปหยิบอุปกรณ์ทำแผลมา" พูดจบเขาก็เดินเร็ว ๆ ไปทางห้องครัว สวนกับมารดาที่เดินถือจานผลไม้ออกมาพอดี

"ตายแล้ว! หนูมะลิเป็นอะไรน่ะลูก ไปโดนอะไรมา" ภคินีเห็นหัวเข่าของมัลลิกาถลอกเป็นแผลจนเลือดซึมก็ตกใจ

"หนูตกต้นไม้ค่ะ แล้วตอนที่ตกลงมาหัวเข่ามันไปครูดกับกิ่งไม้ด้วยก็เลยเป็นแผล" มัลลิกาตอบเสียงอ่อย เพราะตนเป็นฝ่ายเข้ามาซุกซนในบ้านของคนอื่นแท้ ๆ แต่ดันมาทำให้เจ้าของบ้านเดือดร้อนไปด้วย

"น่าตีจริงเชียว โตเป็นสาวเป็นนางแล้วยังปีนต้นไม้เป็นลิงเป็นค่างไปได้นะเรา แล้วนี่อย่าบอกนะว่าปีนต้นไม้ทั้งที่ยังใส่ชุดนักศึกษาอยู่แบบนี้น่ะ"

ภคินีถามทั้งที่รู้คำตอบอยู่เต็มอก ยิ่งเห็นอีกฝ่ายก้มหน้างุดแล้วพยักหน้าให้ช้า ๆ เป็นเชิงยอมรับก็อดยิ้มอย่างอ่อนใจไม่ได้ แม้มัลลิกาจะอายุยี่สิบเอ็ดปีและเรียนอยู่ปีสี่แล้วก็ตาม แต่นิสัยและความคิดความอ่านบางครั้งก็ยังดูไร้เดียงสาอยู่มากจนน่าเป็นห่วง

"พี่มะลิบอกว่ากลับมาจากโรงเรียนก็รีบมาหาหนูพราวที่บ้านเลยค่ะ เพราะรู้ว่าวันนี้หนูพราวมาเลยไม่ได้เปลี่ยนชุด" พราวนภารีบแก้ตัวให้เพื่อนต่างวัยทันทีเพราะเกรงว่าพี่มะลิจะถูกคุณย่าดุ

"คุณย่าก็ไม่ได้คิดจะดุพี่มะลิของหนูหรอกลูก แต่เราเป็นผู้หญิง ใส่กระโปรงปีนต้นไม้มันไม่งาม จำไว้นะทั้งสองคนเลย ถ้าคนอื่นมาเห็นกางเกงในเราเข้าก็แย่น่ะสิ เป็นสาวเป็นนางจะให้คนอื่นมาเห็นกางเกงในไม่ได้นะ"

ได้ยินเช่นนั้นมัลลิกาก็นึกถึงตอนที่ตนหล่นลงมาคร่อมตัวภาวินไว้ หนำซ้ำกระโปรงยังคลุมศีรษะเขาอีกด้วย ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเขาเห็นกางเกงในของเธอเข้าแล้วเต็มตา...น่าอายชะมัด

"พวกเพื่อนผู้ชายในห้องชอบมาเปิดกระโปรงหนูพราวด้วยค่ะคุณย่า ต้นหอมก็โดน ข้าวฟ่างก็โดน โดนกันหลายคนเลยล่ะ" พราวนภารีบฟ้องคุณย่าทันทีพร้อมกับทำปากยื่นอย่างไม่พอใจ

"ใคร! ใครมันมาเปิดกระโปรงลูกสาวพ่อ หนูพราวบอกคุณพ่อสิลูก คุณพ่อจะไปจัดการให้"

ภาวินเดินถืออุปกรณ์ทำแผลเข้ามานั่งบนโซฟาอีกตัวใกล้กับมัลลิกา แต่สายตามองบุตรสาวสุดที่รักอย่างหวงแหน เพราะพราวนภาหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูจึงมักชอบถูกเพื่อนผู้ชายในห้องเรียนกลั่นแกล้งเพื่อเรียกร้องความสนใจตามประสาเด็กผู้ชายอยู่เสมอ

"กัปตันค่ะคุณพ่อ แล้วก็พอร์ช เต้ ไทม์ และอีกหลายคนเลยค่ะ หนูพราวไม่ได้โดนคนเดียวนะคะ เพื่อนผู้หญิงอีกหลายคนก็โดน"

"แล้วหนูทำยังไงล่ะลูก ฟ้องคุณครูรึเปล่า" ภาวินยังคงถามต่อ แต่มือเริ่มหยิบสำลีออกจากห่อเพื่อจะเช็ดแผลให้คนตกต้นไม้

"ฟ้องแล้วคุณครูก็แค่ทำโทษด้วยการตีมือนิดเดียวเองค่ะ ไม่เห็นเจ็บเลย หนูพราวไปบอกแม่จันทร์ แม่เลยให้ใส่กางเกงขาสั้นไว้ในกระโปรงด้วย แล้วก็บอกว่าถ้าโดนเปิดกระโปรงอีกให้ทำเฉย ๆ อย่าสนใจ เดี๋ยวเขาก็เลิกแกล้งไปเอง"

เด็กน้อยพูดพลางขยับเข้ามาใกล้บิดาด้วยความอยากรู้อยากเห็นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะทำแผลให้เพื่อนต่างวัย

"คราวหน้าถ้ามีคนมาเปิดกระโปรงอีก หนูต่อยหน้าไปแรง ๆ เลยนะลูก อย่าไปยอมเชียว ถ้ามีปัญหาอะไรเดี๋ยวคุณพ่อจะไปจัดการให้หนูเอง" ชายหนุ่มกำมือเป็นรูปกำปั้น แต่ถูกมารดาเอ็ดเข้าใส่

"ไปสอนลูกอย่างนั้นได้ยังไงตาวิน เดี๋ยวหนูพราวก็กลายเป็นคนที่ชอบใช้กำลังตัดสินปัญหาหรอก หนูจันทร์เขาอุตส่าห์แก้ปัญหาอย่างละมุนละม่อมแต่เรากลับไปสอนตรงกันข้ามซะงั้น"

"โธ่ คุณแม่ครับ สมัยนี้การนิ่งเฉยมันไม่สามารถแก้ปัญหาได้ในบางสถานการณ์หรอกนะครับ การยอมครั้งแรกสำหรับเราอาจจะคิดแค่ว่าอยากให้เรื่องมันจบไป แต่คนอื่นเขาไม่คิดอย่างนั้น เขาจะคิดว่าเรารังแกได้ง่ายแล้วก็จะหาเรื่องมารังแกไม่จบไม่สิ้น ผมอยากให้หนูพราวสู้คนมากกว่า"

ภาวินยักไหล่อย่างไม่ยี่หระก่อนจะเอาสำลีจุ่มแอลกอฮอล์สำหรับล้างแผล จากนั้นก็ยื่นมือไปเพื่อจะเช็ดรอบ ๆ แผลที่หัวเข่าของมัลลิกา ส่วนมืออีกข้างก็ทำท่าจะเลิกกระโปรงขึ้นแต่ถูกภคินีผู้เป็นมารดาดึงมือเอาไว้ก่อน

"แม่ทำให้หนูมะลิเอง" ภคินีลอบถลึงตาใส่บุตรชายที่เผลอไผลถึงเนื้อถึงตัวสาวน้อยข้างบ้าน แม้ว่าภาวินอาจจะไม่ได้คิดอะไรเกินเลย แต่อย่างไรเสียการทำแบบนี้ก็ไม่เหมาะนักเพราะมัลลิกาก็ไม่ใช่เด็กแล้ว

ครั้นพอถูกมารดาเตือนด้วยสายตา ภาวินจึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตนลืมตัวไป ชายหนุ่มถูจมูกไปมาแก้เก้อพลางมองหญิงสาวที่นั่งเม้มปากแน่นเพื่อสะกดกลั้นอาการเจ็บแสบตอนล้างแผล ใบหน้าอ่อนเยาว์ซีดเผือด มือทั้งสองข้างขยุ้มชายเสื้อของตัวเองเอาไว้แน่น ดูแล้วทั้งน่าสงสารและน่าขำไปพร้อมกัน

"ผมนึกว่าต้นมะม่วงหน้าบ้านเรานั่นจะออกผลเป็นมะม่วงอย่างเดียวเสียอีก ที่ไหนได้ ออกผลอย่างอื่นก็ได้ด้วย" ชายหนุ่มพูดไปยิ้มไปเพราะต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของมัลลิกาจากแผลที่หัวเข่ามาที่ตนแทน และก็ได้ผลเมื่อเจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมองเขา

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status