หน้าหลัก / โรแมนติก / เล่ห์โอบรัก / บทที่ 3 บุกถ้ำเสือเพื่อหาลูกแมว - 100%

แชร์

บทที่ 3 บุกถ้ำเสือเพื่อหาลูกแมว - 100%

ผู้เขียน: จรสจันทร์
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-03-17 11:00:55

มัลลิกาย้ายบ้านมาอยู่หมู่บ้านจัดสรรแห่งนี้ได้เดือนเศษแล้ว และเคยเจอกับสมาชิกเกือบทุกคนในบ้านของพราวนภา แม้กระทั่งภาคินบุตรชายคนเล็กของภคินีที่ปกติจะพักอยู่คอนโดมิเนียมใกล้มหาวิทยาลัย เธอก็ยังเคยคุยกับเขาหลายครั้ง มีเพียงภาวินเท่านั้นที่เธอได้แต่มองเขาจากบ้านของตัวเองแต่ไม่เคยคุยด้วยเพราะไม่มีโอกาสได้เจอหน้ากันจัง ๆ ทว่าพอได้เจอกัน เหตุการณ์ตอนนั้นก็ช่างน่าอายเหลือเกิน

"มีหนูพราว คุณพ่อ คุณปู่แล้วก็คุณย่าค่ะ วันนี้อาคินไม่มา" พราวนภาตอบเสียงใส ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อนึกอะไรขึ้นได้จึงรีบพูดอย่างตื่นเต้น

"พี่มะลิขา เราเข้าไปเล่นในห้องทำงานคุณพ่อกันดีไหมคะ"

มัลลิกาส่ายหน้าหวือทันที "ไม่ดีค่ะ พี่ว่าห้องทำงานเป็นที่ที่เราไม่ควรเข้าไปเล่นมากที่สุด เพราะในนั้นจะมีงานและเอกสารเยอะแยะ ถ้าเราทำหายหรือทำเลอะขึ้นมา คุณพ่อจะดุเอาได้นะคะ"

"เมื่อคืนหนูพราวเห็นคุณพ่อเอาลิปกับที่ทาตาทาแก้มมาวางบนโต๊ะเยอะแยะเลยค่ะ หนูพราวก็เลยอยากชวนพี่มะลิไปเล่นแต่งหน้ากัน"

พราวนภาเงยหน้ามองเพื่อนต่างวัยด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวัง แต่มัลลิกายังคงยิ้มบาง ๆ ก่อนจะโน้มตัวลงไปแล้วพูดอย่างใจเย็น

"พี่มะลิสัญญาว่าจะเล่นแต่งหน้าเป็นเพื่อนหนูพราวแน่นอน แต่ต้องมีข้อแม้ว่าหนูพราวต้องขออนุญาตคุณพ่อก่อน เพราะลิปสติกกับเครื่องสำอางพวกนั้นคุณพ่ออาจจะเอามาทำงานก็ได้" พูดจบก็ยื่นนิ้วก้อยออกไป เด็กน้อยจึงเอานิ้วก้อยของตัวเองมาเกี่ยวเอาไว้แล้วยิ้ม

"ก็ได้ค่ะ"

มัลลิกายิ้มกว้างพลางลูบศีรษะของเด็กหญิงด้วยความเอ็นดู พราวนภาเป็นเด็กที่น่ารักและว่านอนสอนง่าย ต้องยกความดีความชอบให้กับผู้ที่เลี้ยงดูและอบรมสั่งสอนมา

เธอเคยเห็นมารดาของพราวนภาแล้วตอนที่อีกฝ่ายมารับบุตรสาวกลับบ้าน ผู้หญิงคนนั้นมักจะมาพร้อมกับชายหนุ่มคนหนึ่งเสมอ ที่น่าแปลกคือผู้ชายคนนั้นดูสนิทสนมคุ้นเคยกับคนในบ้านหลังนี้เป็นอย่างยิ่ง ทั้งที่หากมองตามหลักความเป็นจริงแล้วเขาคือพ่อเลี้ยงของพราวนภา และคนบ้านนี้ไม่น่าจะให้ความสนิทสนมและเป็นกันเองราวกับญาติสนิทคนหนึ่งแบบนั้นได้ ถึงแม้ว่าภาวินกับภรรยาเก่าจะจบกันไปด้วยดีก็ตาม

ดูอย่างพ่อเลี้ยงของเธอเป็นตัวอย่าง ตั้งแต่บิดาบังเกิดเกล้าของเธอเสียชีวิตไปแล้วมารดาแต่งงานใหม่ ครอบครัวทางฝั่งบิดาของเธอก็ไม่เคยญาติดีกับพ่อเลี้ยงเลยสักครั้ง บางทีเวลาได้เจอหน้ากัน ญาติทางฝั่งบิดาแท้ ๆ ของเธอยังมีท่าทางรังเกียจเดียดฉันท์พ่อเลี้ยง รวมไปถึงการพูดแขวะให้เธอได้ยินอยู่บ่อย ๆ และเพราะเหตุนี้เองพ่อเลี้ยงกับมารดาของเธอจึงแทบไม่โผล่หน้าไปที่บ้านคุณย่าของเธอเลยถ้าไม่จำเป็น

เสียงโทรศัพท์มือถือของมัลลิกาดังขึ้นขัดความคิดที่ติดอยู่ในหัว หญิงสาวหยิบมันออกมาจากกระเป๋ากางเกงเพื่อดูชื่อคนที่โทร. เข้ามา เมื่อเห็นว่าเป็นใครหัวคิ้วก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อยพลางกลอกตาไปมาอย่างครุ่นคิด ก่อนจะก้มลงบอกกับพราวนภา

"หนูพราวเข้าไปหยิบของเล่นในบ้านก่อนก็ได้นะคะ พี่มะลิจะรอที่ศาลา"

พราวนภาพยักหน้ารับแล้ววิ่งเข้าไปในบ้าน เธอจึงกดรับสายแล้วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "ว่าไงแพต"

"มะลิ แกได้ที่ฝึกงานรึยัง" เสียงหวานจากปลายสายทำให้มัลลิกาได้แต่ลอบถอนหายใจแผ่ว

"ได้แล้ว ไปทำที่บริษัทของคนรู้จักน่ะ" เธอตอบไปตามตรงเพราะอย่างไรเสียเรื่องนี้ก็ต้องรู้กันทุกคนอยู่แล้ว

"อ้าว แกไม่ได้ไปทำที่กงสุลกับพ่อแกหรือ แล้วบริษัทที่แกจะไปทำเขาทำธุรกิจเกี่ยวกับอะไร"

"เป็นบริษัทเครื่องสำอาง เผอิญว่าบริษัทที่ฉันจะไปทำน่ะ เจ้าของบริษัทเขาอยู่ข้างบ้านฉันนี่เอง คุยกันไปมาเขาก็เลยบอกให้ลองไปทำที่บริษัทของเขาดู"

หญิงสาวบอกยี่ห้อเครื่องสำอางให้เพื่อนรับทราบ ขณะที่อธิบาย มัลลิกาก็พอเดาได้ว่าอีกฝ่ายโทรศัพท์มาทำไม และสิ่งที่เธอคาดเดาไว้ก็ไม่ผิดไปจากที่คิดนัก

"ดีจัง ฉันยังหาไม่ได้เลย ฉันขอไปทำกับแกด้วยได้ไหม แกช่วยคุยกับคนข้างบ้านแกให้หน่อยสิ นะมะลินะ"

น้ำเสียงตื่นเต้นของคนปลายสายไม่ได้ทำให้มัลลิการู้สึกดีหรือตื่นเต้นไปด้วยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม หญิงสาวได้แต่กลอกตาไปมาอย่างไม่สบอารมณ์ แต่กระนั้นก็ยังแบ่งรับแบ่งสู้

"คุยน่ะคุยได้ แต่เขาจะโอเคไหม ตรงนี้ฉันไม่รับปากนะแพต มันต้องแล้วแต่เขาน่ะ"

"ฉันรู้น่า เฮ้อ สบายใจสักที ขอบใจเธอมากนะมะลิ ฉันไม่รบกวนแล้วละ พรุ่งนี้เจอกันที่มหา'ลัยนะ"

"อืม พรุ่งนี้เจอกัน"

มัลลิกากดวางสายแล้วโทร. ออกไปหาเพื่อนอีกคนทันที สัญญาณดังไม่ทันครบหนึ่งครั้งปลายสายก็กดรับด้วยความรวดเร็ว

"เฮลโหลว...ว่าที่มิสทิฟฟานีพูดสายค่ะ"

น้ำเสียงที่จงใจดัดให้แหลมเล็กอย่างมีจริตจะก้านนั้น เรียกรอยยิ้มให้ปรากฏบนใบหน้าของมัลลิกาได้ทันที

"คุณอรุณวตีคะ ไม่ทราบว่าได้ที่ฝึกงานรึยัง"

เธอเรียกชื่อใหม่ของเพื่อนที่เพิ่งได้รับอนุญาตจากมารดาให้เปลี่ยนจากชื่อเดิมคือสายัณห์เมื่อตอนปิดเทอมที่ผ่านมา พลางนึกหน้าผู้เป็นเจ้าของชื่อไปด้วย ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงกำลังยิ้มร่าจนหน้าบานเป็นแน่

"ฉันยังไม่ได้หาเลยแก ช่วงนี้กำลังยุ่งวุ่นวายเรื่องร้านเสื้อของพี่มดน่ะ แกหาได้แล้วหรือ"

"ได้แล้ว เป็นบริษัทเครื่องสำอางยี่ห้อเอเอ็นเอสไง เจ้าของบริษัทเขาอยู่ข้างบ้านฉัน แกมาสมัครกับฉันไหมล่ะ เมื่อกี้ยายแพตก็เพิ่งโทร. มา นางจะไปสมัครที่เดียวกับฉันเหมือนกัน นี่ฉันว่าจะโทร. ไปถามยายเพลงด้วยว่าหาได้รึยัง เผื่อพวกเราสี่คนจะได้ทำงานด้วยกันไง เนอะ"

"ว้าย! ฉันเป็นสาวกยี่ห้อนี้ อุ๊ยตายแล้ว ตื่นเต้น ฉันทำด้วย"

ปลายสายยังคงกรี๊ดกร๊าดไม่หยุดจนมัลลิกาต้องเอาโทรศัพท์ออกห่างจากหูเล็กน้อยก่อนส่ายหน้าช้า ๆ อย่างจนใจ เพราะรู้ดีว่าเพื่อนชายแต่ใจเป็นหญิงคนนี้ชื่นชอบของสวย ๆ งาม ๆ เป็นที่สุดโดยเฉพาะเครื่องสำอาง

"โอเค ถ้าอย่างนั้นแกก็เตรียมเอกสารไว้นะ แล้วพรุ่งนี้เจอกันที่มหา'ลัย"

มัลลิกาคุยกับอรุณวตีอีกไม่กี่ประโยคก็วางสาย จากนั้นหญิงสาวก็กดโทร. ออกไปหาเพลงพิณ เพื่อนอีกคนในกลุ่มทันที แต่โทร. ไม่ติดเธอจึงเลือกส่งข้อความไปทางไลน์แทน

มัลลิกาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะต้องชวนเพื่อนในกลุ่มไปฝึกงานที่บริษัทของภาวินด้วยกัน ถ้าไม่เพราะปรีชญาเป็นฝ่ายโทรศัพท์มาขอร้อง ซึ่งหญิงสาวค่อนข้างมั่นใจว่าภาวินจะต้องอนุญาตให้เพื่อนของเธอไปฝึกงานด้วยกันแน่นอน ฉะนั้นเธอจึงถือโอกาสชวนเพื่อนคนอื่นไปทำด้วยกันเสียเลย

หากเป็นเพื่อนคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นอรุณวตีหรือเพลงพิณ มัลลิกาย่อมไม่มีปัญหาถ้าต้องทำงานร่วมกับอีกฝ่าย แต่เพราะเป็นปรีชญา ผู้ที่คำพูดและการแสดงออกสวนทางกับความคิดในใจอย่างสิ้นเชิง มัลลิกาจึงไม่ค่อยสะดวกใจนักถ้าต้องเสแสร้งทำเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรตลอดเวลา ทั้งที่ภายในใจของอีกฝ่ายนั้นทั้งดูถูกและต่อว่าตนอย่างไม่มีชิ้นดี

"พี่มะลิขา คุณย่าชวนมากินน้ำแข็งใสค่ะ พี่มะลิเอาน้ำหวานสีอะไรคะ"

เสียงเรียกของพราวนภาทำให้มัลลิกาต้องเปลี่ยนทิศทางการเดินจากศาลากลางสวนเป็นหน้าบ้านทันที

"พี่เอาน้ำแดงค่ะ ราดนมข้นหวานด้วยนะ เยอะ ๆ เลย" เธอตะโกนตอบกลับไปพลางค่อย ๆ เดินไปทางหน้าบ้านอย่างไม่รีบร้อน

ขณะเดียวกัน ในห้องทำงานของนฤเบศร์ หนุ่มใหญ่เจ้าของห้องกำลังนั่งเผชิญหน้ากับหนุ่มรุ่นน้องที่มีรั้วบ้านติดกัน แม้บรรยากาศไม่ดูเคร่งเครียดจนเกินไปนัก แต่ก็ยังห่างไกลจากคำว่าเป็นกันเองอยู่ไม่น้อย

"คุณอาไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมรับรองว่าจะดูแลหนูมะลิอย่างดี เรื่องการเดินทางก็ไม่ต้องกังวล เพราะอย่างที่ผมบอกไปนั่นแหละว่าให้น้องเขากลับกับผม แต่ถ้าวันไหนที่ผมติดธุระ หรือต้องไปต่างประเทศ ผมจะบอกมะลิเขาล่วงหน้า แล้วให้มะลิเขากลับกับคุณพ่อคุณแม่ผม เพราะถ้าผมไม่อยู่ที่บริษัท พวกท่านคนใดคนหนึ่งก็จะเข้าบริษัทแทนครับ"

นฤเบศร์พยักหน้ารับรู้ช้า ๆ ก่อนถอนหายใจแผ่ว

"ผมอาจจะเรื่องเยอะไปหน่อย ยังไงก็ต้องขอโทษด้วย แต่ผมก็ไม่กล้าปล่อยให้ยายหนูนั่งรถกลับบ้านเองอยู่ดี"

"ผมเข้าใจคุณอาครับเพราะผมเองก็มีลูกสาว ถ้าหนูพราวเจอเหตุการณ์แบบนั้นผมก็คงจำฝังใจเหมือนกัน" ภาวินยิ้มอ่อน เริ่มเข้าใจพฤติกรรมแปลก ๆ หลายอย่างของคนตรงหน้ามากขึ้น

หากคนคิดอกุศล คงคิดว่าพ่อเลี้ยงคนนี้คิดไม่ซื่อกับลูกเลี้ยง แต่พอเขาได้มาพูดคุยเปิดอกกับอีกฝ่าย เขาก็สัมผัสได้ว่านฤเบศร์รักและเป็นห่วงมัลลิกาจากใจจริงไม่ต่างจากพ่อแท้ ๆ คนหนึ่ง

"แต่ดีที่ยายหนูเป็นคนมองโลกในแง่ดีและปรับตัวเก่ง แกจำเรื่องคราวนั้นไว้เป็นบทเรียนแต่ก็ไม่หวาดกลัวจนฝังใจ จะว่าไปแล้วความคิดความอ่านของยายหนูยังเด็กมาก ผมกลัวว่าตอนไปฝึกงานแกจะถูกคนอื่นมาหลอกเอาได้ เพราะฉะนั้นผมเลยอยากรบกวนให้คุณวินช่วยดูแกหน่อย ถ้ามีหนุ่ม ๆ มาวอแวคุณก็ช่วยตักเตือนแทนผมได้ไหม คิดเสียว่ายายหนูเป็นลูกหลานของคุณคนหนึ่งก็ได้" นฤเบศร์ยิ้มบาง ๆ พลางมองหน้าคนฟัง ซึ่งขณะนี้รอยยิ้มแข็งค้างไปแล้ว

"ได้ครับ ไม่มีปัญหา" ภาวินแทบจะกัดฟันพูดเพราะเข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายดีว่า การที่พูดมาแบบนี้ ไม่ใช่หมายถึงต้องการตักเตือนเขาทางอ้อมว่าอย่าได้คิดเกินเลยในเชิงชู้สาวกับมัลลิกาหรอกหรือ

"ขอบคุณคุณวินมากครับที่เข้าใจ อย่างว่าแหละครับ ต่อให้ลูกโตแค่ไหนแต่ในสายตาของคนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ยังเห็นลูกเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ อยู่วันยังค่ำ และผมก็เชื่อว่าในวันที่หนูพราวโตขึ้นทุกวัน ๆ คุณวินจะเข้าใจเรื่องนี้ดีเลยละ"

สายตาของนฤเบศร์อ่อนโยนลงจนคนมองอดคิดตามไปด้วยไม่ได้ หากวันหนึ่งพราวนภาโตเป็นสาวแล้วมีหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่มาตามเทียวไล้เทียวขื่อ ถึงเวลานั้นเขาจะเป็นอย่างไรบ้างหนอ

แน่นอนว่าคงปวดใจและใจหายไม่น้อยเลย

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทที่เกี่ยวข้อง

  • เล่ห์โอบรัก   บทที่ 4 นางแบบจำเป็น - 25%

    มัลลิกานั่งกินน้ำแข็งใสคนละถ้วยกับพราวนภาในห้องนั่งเล่นพลางดูภาพยนตร์แอนิเมชันทางเคเบิลทีวีไปด้วย ส่วนภคินีกำลังนั่งอ่านเอกสารบางอย่างบนโซฟาอีกตัวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดระหว่างนั้นภาวินเดินเข้ามาในห้องที่ทุกคนนั่งอยู่พอดี สายตาของมัลลิกากับพราวนภาจึงเบนไปหาผู้ที่เข้ามาใหม่โดยพร้อมกัน และเด็กน้อยก็เป็นฝ่ายเอ่ยทักบิดาก่อน"คุณพ่อกินน้ำแข็งใสไหมคะ คุณย่าทำให้ ของหนูพราวมีขนมปังกับวุ้นสี ๆ ด้วยละ""หนูหม่ำเลยลูก พ่อเพิ่งดื่มกาแฟมาค่ะ"ชายหนุ่มเดินมานั่งบนโซฟาตัวที่ใกล้กับมัลลิกาเพราะเหลือว่างเพียงตัวเดียว เขามองมารดาที่เงยหน้ามาดูเขาแว่บหนึ่งก่อนจะรวบเอกสารทั้งหมดมาไว้ในมือแล้วลุกขึ้นยืน"มาพอดีเลยตาวิน เข้าไปคุยกับแม่ในห้องทำงานหน่อยสิ คุณพ่อก็รออยู่ในนั้นแหละ" ภคินีพูดกับบุตรชายจบก็หันมาบอกมัลลิกา"หนูมะลินั่งเล่นกับน้องก่อนนะลูก ขอป้าไปคุยเรื่องงานกับพี่เขาหน่อย""ได้ค่ะคุณป้า" หญิงสาวรับคำพลางหันไปมองชายหนุ่มที่กำลังลุกขึ้นยืน เขาหันมองเธอเช่นกันพร้อมส่งยิ้มบาง ๆ มาให้ ก่อนจะเดินตามผู้เป็นมารดาไปมัลลิกาถอนหายใจ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-03-17
  • เล่ห์โอบรัก   บทที่ 4 นางแบบจำเป็น - 50%

    มัลลิกาฟังจบก็เบิกตากว้างพร้อมกับยกนิ้วชี้เข้าหาตัวแล้วพูดราวกับไม่เชื่อหูตัวเองว่า"หนูเนี่ยนะคะ! คุณป้าจะให้หนูเป็นนางแบบลิปสติกหรือคะ""ใช่จ้ะ ป้าคิดว่าหนูน่ะเหมาะสมที่สุดแล้ว หนูรู้ตัวไหมว่าหนูมีปากที่สวยมาก ความจริงแล้วหนูก็สวยไปทั้งหน้านั่นแหละ ขอโทษนะจ๊ะหนูมะลิ ขอป้าถอดแว่นหนูออกหน่อย"ไม่พูดเปล่า ภคินีถือวิสาสะถอดแว่นสายตาอันใหญ่ของมัลลิกาออก จากนั้นก็ปัดผมที่ตกลงมาบดบังบางส่วนของใบหน้าออกไปแล้วเอามือกุมแก้มเนียนใสทั้งสองข้างของหญิงสาวเอาไว้พลางจับหันไปทางซ้ายและขวาอย่างเบามือ"หนูพราวก็ว่าพี่มะลิสวยค่ะ หนูพราวชอบพี่มะลิ คุณพ่อก็บอกว่าชอบพี่มะลิเหมือนกัน" พราวนภายิ้มกว้างพลางพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วยกับผู้เป็นย่า"จริงหรือลูก คุณพ่อบอกว่าชอบพี่มะลิหรือ"ภคินีถามอย่างตื่นเต้น ตอนแรกตนนึกว่าบุตรชายคงจะสนใจสาวข้างบ้านแค่ชั่วครั้งชั่วคราวเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายหน้าตาน่ารักจึงอดแซวเล่นตามประสาหนุ่มโสดที่เห็นสาวถูกใจไม่ได้ แต่พอได้ยินหลานสาวพูดแบบนี้ตนก็มั่นใจแล้วว่าภาวินตั้งใจจะจีบมัลลิกาจริง ๆ เสียแล้ว"ใช่ค่ะ คุณพ่อยังให้หนูพราวมาบอกพ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-03-17
  • เล่ห์โอบรัก   บทที่ 4 นางแบบจำเป็น - 75%

    มัลลิกาเงยหน้ามองภาวินพลางคิดตามที่เขาพูด จากนั้นคำพูดชื่นชมจากคนอื่นก็ผุดขึ้นมาในหัวประโยคแล้วประโยคเล่า เพียงแต่ทุกครั้งที่มีคนชมเธอมักจะบอกตัวเองเสมอว่าเขาชมไปตามมารยาท เธอไม่ได้เป็นอย่างที่คนอื่นชมเลยแม้แต่น้อย จะว่าไปแล้วเธอก็มีข้อเสียที่แก้ไม่หาย นั่นคือเธอไม่เคยเก็บคำชมของคนอื่นมาใส่ใจ แต่คำต่อว่าดูแคลนทั้งหลายเธอกลับจำฝังหัว"ก็ถูกของพี่นะคะ" เธอยิ้มบาง ๆ ให้เขา ชายหนุ่มก็กำลังมองเธออยู่เช่นกัน"หนูแค่ขาดความมั่นใจในตัวเอง ซึ่งตรงนี้พี่อยากให้หนูคิดใหม่ทำใหม่ ใครจะพูดอะไรก็ไม่ต้องไปสนใจ แค่เรารู้จักตัวเองดีก็พอ หนูรู้ไหมว่าในสายตาของพี่ หนูเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดคนหนึ่ง"ทันทีที่เขาพูดจบ มัลลิกาก็รู้สึกหน้าร้อนวูบ ไม่ต้องส่องกระจกก็รู้ว่าหน้าเธอคงแดงก่ำจนลามมาถึงลำคอแล้วเป็นแน่ และริมฝีปากก็คอยแต่จะคลี่ยิ้มอยู่ร่ำไป แม้ว่าเธอจะพยายามฝืนไว้อย่างสุดความสามารถก็ตามภาวินมองคนที่กำลังเขินจนทำอะไรไม่ถูกอย่างเอ็นดู ใจนึกอยากจะหยอดคำหวานอีกสักประโยคสองประโยคแต่ก็เกรงว่าอีกฝ่ายจะมองเขาเป็นพวกปากหวานก้นเปรี้ยว สุดท้ายจึงได้แต่เก็บคำพูดเหล่านั้นทดไว้ในใจ อี

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-03-17
  • เล่ห์โอบรัก   บทที่ 4 นางแบบจำเป็น - 100%

    "นี่หนูมะลิจ้ะ นางแบบลิปสติกคนใหม่ของเอเอ็นเอส"ภคินีแนะนำพรีเซ็นเตอร์คนใหม่ของแบรนด์ด้วยสีหน้าเต็มใจนำเสนอเต็มที่ จันทร์เจ้ามองหญิงสาวที่ดูอ่อนวัยกว่าตนแล้วยิ้มให้อย่างจริงใจ"น่ารักดีค่ะคุณแม่ หน้าใสมากเลย ยังเรียนอยู่ใช่ไหมคะ" จันทร์เจ้าเรียกภคินีว่าคุณแม่ตามอย่างชินดนัย"หนูเรียนอยู่ปีสี่ค่ะ" มัลลิกาตอบอย่างนอบน้อมกึ่งขัดเขินที่ถูกชมซึ่งหน้าชินดนัยกับจันทร์เจ้านั่งคุยสัพเพเหระกันอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงก็ขอตัวเพราะเกรงว่าจะไม่ทันรอบชมภาพยนตร์ ครั้นพอแขกไปแล้ว ภคินีจึงหันมาให้ความสนใจกับนางแบบจำเป็นตรงหน้าทันที"โอเคจ้ะ ก่อนอื่นต้องเตรียมผิวหน้าก่อน" พูดพลางหยิบขวดเคลนเซอร์กับสำลีมาถือไว้แล้วหันไปบอกบุตรชายว่า"ไปเตรียมกล้องสิตาวิน ไม่ใช่ว่าแบตหมดแล้วต้องมานั่งรอชาร์จนะ""คร้าบ คุณแม่" ภาวินยิ้มบาง ๆ พร้อมกับลุกขึ้นทันที เข้าใจดีว่าที่มารดาไล่ให้เขาไปเตรียมกล้องถ่ายรูปนั้นเป็นเพราะเกรงว่ามัลลิกาจะเขินที่ต้องมาแต่งหน้าต่อหน้าผู้ชายคล้อยหลังบุตรชายแล้ว ภคินีจึงเริ่มลงมือทีละขั้นตอนโดยมีพราวนภานั่งมองตาแป๋วด้วยความสนใจอยู่ข้าง

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-03-18
  • เล่ห์โอบรัก   บทที่ 5 ญาติตัวดี - 35%

    มัลลิกาหลับตานิ่งตอนที่ภาวินแต้มลิปสติกลงบนริมฝีปาก เธอไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง และยิ่งไม่กล้าสบตากับเขา ใจนึกอยากให้เขาแต่งหน้าให้เธอเสร็จเร็ว ๆ แต่ดูเหมือนชายหนุ่มจะทำทุกอย่างอย่างเชื่องช้าจนหญิงสาวอยากคิดว่าเขาจงใจยืดเวลาให้นานขึ้นเพื่อแกล้งเธอเสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นขัดจังหวะทำให้มัลลิกาสะดุ้งเล็กน้อย ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างขึ้นทันทีซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ภาวินแต่งหน้าให้เธอเสร็จแล้วเช่นกัน หญิงสาวรีบหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมากดรับสายเมื่อเห็นว่าผู้ที่โทร. เข้ามาคือนฤเบศร์ผู้เป็นพ่อเลี้ยง"ค่ะคุณพ่อ"ภาวินปล่อยให้มัลลิกาคุยโทรศัพท์ส่วนตนก็หันมาหาบุตรสาวที่กำลังนั่งรอให้ตนแต่งหน้าให้อย่างใจจดใจจ่อ เขาเห็นแล้วอดยิ้มไม่ได้ มารดาของเขาถูกใจเหลือเกินที่หลานสาวรักสวยรักงามแบบนี้ระหว่างที่ชายหนุ่มแต่งหน้าให้พราวนภา มัลลิกาก็วางสายจากบิดาแล้วนั่งมองเขาใช้ปลายพู่กันค่อย ๆ แต้มบนริมฝีปากเล็ก ๆ ของบุตรสาว มือไม้ของเขาดูคล่องแคล่วมาก เธอไม่ค่อยเห็นผู้ชายแท้ ๆ จะเชี่ยวชาญเรื่องการใช้แปรงแต่งหน้าและเครื่องสำอางเท่าไร ส่วนใหญ่คนที่

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-03-18
  • เล่ห์โอบรัก   บทที่ 5 ญาติตัวดี - 70%

    "อุ๊ย ที่บ้านโทร. ตามอีกแล้ว หนูไปก่อนนะคะ...ไม่ต้องไปส่งหรอกค่ะ เดี๋ยวหนูเดินออกไปเอง บ๊ายบายค่ะหนูพราว เสาร์หน้าเจอกันนะคะ"มัลลิกาโบกมือให้เพื่อนตัวน้อยแล้วเดินออกจากห้องไปไม่เร็วนักเพราะยังเจ็บหัวเข่าอยู่ เธอเดินมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงรั้วบ้านของตัวเองแล้วจึงเปิดซองสีน้ำตาลนั้นออกดู จากนั้นก็เบิกตากว้างเมื่อเห็นธนบัตรใบสีเทาอยู่ในนั้นปึกหนึ่งจึงลองนับจากในซองเพราะไม่กล้าหยิบออกมาด้านนอก"โห! ตั้งสองหมื่นแน่ะ ถ่ายรูปแค่นี้เองเนี่ยนะ"มัลลิกายืนมองรถบัสสองชั้นที่จอดเรียงรายหน้าอาคารเรียนด้วยแววตาระยิบระยับ บรรดานักเรียนในชุดลูกเสือและเนตรนารีเดินกันขวักไขว่ เสียงจอแจหยอกล้อพูดคุยกันอย่างสนุกสนานนั้นทำให้หญิงสาวอดนึกไปถึงตอนที่ตนเป็นนักเรียนมัธยมต้นไม่ได้ขณะที่มัลลิกายืนรอน้องชายอยู่กับมารดาและพ่อเลี้ยงนั้น ก็มีเด็กผู้ชายตัวผอมเก้งก้างคนหนึ่งเดินสะพายเป้ใบใหญ่มาทางนี้ หญิงสาวอมยิ้มมองน้องชายต่างบิดาที่อายุห่างกันเก้าปี เธอรอจนกระทั่งอีกฝ่ายเดินมาถึงรถจึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าที่คอของนฤบดินทร์มีรอยแผลครูดเป็นทางยาวประมาณหนึ่งฝ่

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-03-18
  • เล่ห์โอบรัก   บทที่ 5 ญาติตัวดี - 100%

    "ไอ้ดิน!" มัลลิกาเบิกตากว้างอ้าปากค้างเพราะถือว่าเรื่องใหญ่ไม่น้อย จากนั้นก็กวาดตามองสภาพของน้องชายตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า จึงพบว่าใบหน้าขาวใสนั้นมีเพียงรอยขีดข่วนและรอยฟกช้ำเล็กน้อยที่ตอนแรกเธอนึกว่าเกิดจากกิจกรรมการเข้าฐานของลูกเสือสำรอง แผลที่ชัดเจนที่สุดก็มีแค่รอยครูดที่คอ นอกนั้นก็ไม่มีส่วนใดที่จะมองออกว่าไปต่อยตีกับคนอื่นมา"แกทำเขาหนักขนาดนั้น แต่แกเจ็บตัวแค่นี้เนี่ยนะ"นฤบดินทร์ยักไหล่แล้วเบ้ปากก่อนพูดว่า"ก็บอกแล้วว่ามันสู้ผมไม่ได้ เก่งแต่ปากก็แบบนี้แหละ"มัลลิกากุมขมับทันทีเพราะเรื่องแบบนี้หากบิดามารดารู้เข้าคงเป็นเรื่องใหญ่แน่ และที่สำคัญก็คือทางนี้ต้องจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลให้คู่กรณีอีกด้วยครั้นพอคิดถึงเรื่องเงิน หญิงสาวก็นึกขึ้นได้ว่าตนมีเงินก้อนหนึ่งจากการเป็นนางแบบลิปสติก บางทีเธออาจใช้เงินนั้นจ่ายให้อีกฝ่ายก็เป็นได้"โอเค ถ้าทางโรงเรียนส่งจดหมายเรียกผู้ปกครอง แกก็เอามาให้พี่ก็แล้วกัน พี่จะโดดเรียนไปพบอาจารย์ฝ่ายปกครองกับแกเอง"แผลที่ขาของมัลลิกาดีขึ้นเล็กน้อย แม้จะยังรู้สึกเจ็บหัวเข่าบ้างเวลาที่

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-03-18
  • เล่ห์โอบรัก   บทที่ 6 หนูก็สู้คนนะ - 25%

    หลังจากกินมื้อเช้าเสร็จ มัลลิกา ปรีชญา และตติยะก็เดินกลับเข้าไปในมหาวิทยาลัยเพราะอรุณวตีกับเพลงพิณส่งข้อความมาบอกว่ารออยู่ที่คณะอักษรศาสตร์ ตติยะเรียนบริหารธุรกิจชายหนุ่มจึงแยกตัวเดินไปอีกทางโดยมีปรีชญาหยุดยืนมองตามแผ่นหลังของเขาไปตลอดมัลลิกาเห็นปรีชญามองตามตติยะตาละห้อยจึงเดินดุ่ม ๆ ไปข้างหน้าไม่สนใจอีกฝ่าย จึงไม่รู้ว่าขณะที่ตนตั้งหน้าตั้งตาเดินหนีปรีชญานั้น ตติยะหันมองกลับมาที่ตน แต่ชายหนุ่มเห็นเพียงหญิงสาวอีกคนที่ส่งยิ้มมาให้ เขาจึงยิ้มตอบไปตามมารยาทแล้วหันหน้ากลับไปตามเดิมปรีชญาได้แต่ข่มความไม่พอใจไว้แล้วเดินตามหลังคนที่ตนเกลียดไปช้า ๆ เธอไม่เข้าใจว่ามัลลิกามีดีตรงไหน เพราะหากเทียบรูปร่างหน้าตากันแล้ว เธอมั่นใจว่าตนมีดีกว่าอีกฝ่าย ตั้งแต่ปีหนึ่งจนกระทั่งบัดนี้ เธอมีผู้ชายทั้งรุ่นเดียวกันและรุ่นพี่มาตามจีบไม่เคยขาด ในขณะที่มัลลิกาแทบไม่เคยมีผู้ชายคนไหนชายตามอง ยกเว้นตติยะ และตติยะก็เป็นผู้ชายที่เธอหมายปองแต่เขากลับไม่เคยเหลียวแลเลยสักครั้ง"ไงยะแม่นางแบบลิปสติกคนใหม่ ต๊าย...ถ้าฉันไม่เห็นกับตานี่ฉันไม่เชื่อเด็ดขาดว่าผู้หญิงคนนั้นคือหล่อนน่ะน

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-03-19

บทล่าสุด

  • เล่ห์โอบรัก   บทที่ 24 พ่อตากับลูกเขย - บทส่งท้าย

    มัลลิกานั่งแช่อยู่ในสระว่ายน้ำส่วนตัว หญิงสาวยกแขนขึ้นวางบนขอบสระแล้วเอาคางเกยไว้ สองตาทอดมองผืนน้ำสีฟ้าสุดลูกหูลูกตาอย่างผ่อนคลาย มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเมื่อได้ยินเสียงใครบางคนกำลังก้าวลงน้ำมาเช่นกัน จากนั้นแผ่นหลังของเธอก็ถูกทาบทับด้วยแผงอกหนั่นแน่นตามมาด้วยอ้อมแขนที่กอดรัดเอวไว้ และมีริมฝีปากอุ่นร้อนตามมาพรมจูบไปทั่วลาดไหล่"ชอบที่นี่ไหม" เสียงทุ้มเอ่ยถามชิดริมหู หญิงสาวห่อไหล่ตามสัญชาตญาณเพราะรู้สึกจั๊กจี้"ชอบค่ะ น้ำสีสวยมากเลย อากาศดีด้วยไม่ร้อนอย่างที่คิด" ทั้งที่ตอนนี้เธออยู่กลางแจ้งท่ามกลางแสงแดดอ่อน แต่กลับไม่ร้อนเหมือนแดดเมืองไทย"ชอบก็ดีแล้ว พี่นวดให้นะ เดินทางมาถึงเหนื่อย ๆ"ภาวินขันอาสาอย่างเอาใจ เขานั่งซ้อนอยู่ด้านหลังแล้วค่อย ๆ บีบนวดต้นแขน หัวไหล่ แต่ไป ๆ มา ๆ กลับนวดวนเวียนอยู่แต่ก้อนเนื้อนุ่มหยุ่นสองก้อนที่อยู่ด้านหน้า บั้นท้ายก็ถูกสิ่งนั้นของเขาบดเบียดอย่างเป็นจังหวะ"ฮื้อ...พี่วินเนี่ยมือซนตลอดเลย" หญิงสาวครางเบา ๆ เมื่อเขาล้วงเข้าไปในชุดว่ายน้ำชิ้นบนแล้วใช้นิ้วหมุนวนปลายยอดอย่างปลุกเร้าภาวินมองไปรอบด้

  • เล่ห์โอบรัก   บทที่ 23 ฝึกรัก - 100%

    ภาวินมองคนที่นั่งหลับมาตลอดทางด้วยสายตารักใคร่ วันนี้เขาได้ใช้เวลาอยู่กับเธอทั้งวัน ได้นอนกกกอดเธอไว้ในอ้อมแขนจนเขาแทบสำลักความสุข เขารู้ว่าตนยังไม่อิ่มแต่ก็ต้องรีบพาหญิงสาวกลับกรุงเทพฯ เพราะไม่อยากให้ค่ำเกินไปชายหนุ่มจอดรถหน้าบ้านมัลลิกาในตอนหัวค่ำ ก่อนหน้านี้เขาโทรศัพท์บอกมารดาของเธอแล้วว่าจะพาหญิงสาวแวะกินมื้อเย็นแล้วค่อยกลับเข้าบ้าน จึงไม่ห่วงว่าเธอจะถูกบิดามารดาดุ"มะลิ ถึงบ้านแล้วครับ" เขาสะกิดมัลลิกาเบา ๆ หญิงสาวตื่นขึ้นแล้วมองซ้ายมองขวาอย่างงัวเงีย"ถึงบ้านหนูแล้ว หรือจะไปนอนบ้านพี่ดี" เจ้าตัวหันมาค้อนใส่เขาทันทีก่อนจะเปิดประตูลงไปยืนข้างรถแล้วโบกมือให้ แต่สภาพของเธอเหมือนคนยังไม่ตื่นดี เขาจึงอดไม่ไหวอีกต่อไป หัวเราะออกมาในที่สุด"ตื่นได้แล้ว หลับมาตลอดทางยังไม่พออีกหรือแม่คุณ" เขาถามกลั้วหัวเราะ เธอยู่หน้าใส่เขาแล้วพูดว่า"เพราะใครล่ะ" จากนั้นหญิงสาวก็หันหลังเดินจากไป เขามองจนเธอเข้าบ้านแล้วจึงขับเลยไปที่บ้านของตัวเองบ้างบิดามารดาของภาวินนั่งดูข่าวภาคค่ำอยู่ในห้องนั่งเล่น ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาแล้วนั่งบนโซฟาอีกตัว อ

  • เล่ห์โอบรัก   บทที่ 23 ฝึกรัก - 70%

    "ใส่ทำไม พี่อยากอ่อยคนแถวนี้นี่นา" ไม่พูดเปล่า แต่เขายังแบมือมาทางเธอราวกับต้องการให้วางมือลงไปบนมือของเขามัลลิกายื่นมือไปวางลงบนมืออุ่นข้างนั้น ชายหนุ่มกระตุกเบา ๆ หญิงสาวจึงทรุดนั่งข้างกายเขาแต่โดยดี"เย็น ๆ ค่อยกลับเนอะ หรือจะค้างดี" ภาวินถามพลางนวดมือให้เธอไปด้วย จึงทำให้มัลลิการับรู้ความในใจของชายหนุ่มอีกจนได้...พี่แค่อยากพาหนูมาผ่อนคลาย เห็นอุดอู้อยู่ในบ้านเป็นเดือน ๆ..."พี่ก็โทร. ไปขอคุณพ่อให้หนูสิคะ" เธอแกล้งหยอกเขาเล่น แต่ภาวินกลับคิดจะทำจริง ๆ"ก็ได้นะ พี่มีเบอร์คุณพ่อของหนูอยู่"ชายหนุ่มทำท่าจะยืนขึ้น หญิงสาวจึงรีบกอดแขนเขาไว้ทันทีเพราะกลัวว่าเขาจะโทรศัพท์ไปขออนุญาตกับบิดาของตนจริง ๆ"ไม่เอา! พี่ก็รู้อยู่ว่าคุณพ่อไม่อนุญาตหรอก ขืนโทร. ไปมีหวังโดนจี้ให้กลับบ้านตอนนี้แน่" พูดจบเธอก็ถูกเขากอดไว้แล้วเอนตัวลงนอนไปด้วยกัน โดยที่หญิงสาวนอนเอาหูแนบอกฟังเสียงหัวใจของเขาที่เต้นอยู่ข้างใน"บ้านก็ติดกันอย่างนั้น ยังไงก็หนีพี่ไม่พ้นหรอก"เขาปัดผมของเธอออกจากลาดไหล่แล้วใช้มือลูบต้นแขนเปลือยเปล่าของหญิงสาวไปมา ผิ

  • เล่ห์โอบรัก   บทที่ 23 ฝึกรัก - 35%

    มัลลิการักษาตัวอยู่โรงพยาบาลอีกสองอาทิตย์ก็ได้กลับบ้าน แผลที่แก้มเริ่มไม่เจ็บเท่าไรแล้ว แต่แผลที่ถูกกระจกบาดและแผลถลอกพอตกสะเก็ดกลับดูน่ากลัวจนมัลลิกาไม่กล้าส่องกระจกดูหน้าตัวเอง หญิงสาวยังเดินด้วยตัวเองไม่ได้ ต้องอาศัยไม้ค้ำช่วยพยุง ในแต่ละวันเธอจึงได้แต่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในบ้าน ภาวินจึงนึกสนุกด้วยการนำเครื่องสำอางมาให้หญิงสาวได้ลองหัดแต่งหน้าโดยแนะนำให้เธอเริ่มศึกษาจากยูทูบช่วงอาทิตย์แรกมัลลิกายังใช้แปรงและอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างเก้กังเพราะไม่เคยใช้ แต่พออาทิตย์ถัดมาหญิงสาวก็เริ่มคล่องขึ้น และเริ่มสนุกกับการแปลงโฉมใบหน้าของตัวเองในรูปแบบต่าง ๆ เธอเริ่มเข้าเว็บไซต์ และติดตามแฟนเพจที่เกี่ยวกับความสวยความงาม ครีมหรือโลชั่นยี่ห้อไหนที่โด่งดังเรื่องช่วยลบรอยแผลเป็น เธอก็คลิกสั่งออนไลน์เพื่อเอามาลองใช้หลายยี่ห้อมัญชุดานั่งมองบุตรสาวที่กำลังทดลองสีลิปสติกกับข้อมือของตัวเองแล้วก็ได้แต่ยิ้ม เมื่อก่อนมัลลิกาไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้เพราะชอบคิดว่าตนไม่สวย แต่งไปก็ไม่มีใครดู แต่พอแม่สาวน้อยของเธอเริ่มมีความรักก็เริ่มหัดดูแลตัวเองมากขึ้น หนำซ้ำยังดูมีความสุขดีด้วย

  • เล่ห์โอบรัก   บทที่ 22 ตื่นจากฝัน - 100%

    มัลลิกายังคงไม่ยอมออกจากผ้าห่ม แต่เสียงสะอื้นนั้นไม่มีแล้ว ราวกับเจ้าตัวกำลังชั่งใจว่าจะโผล่หน้าออกมาคุยกับเขาดีหรือไม่"ถ้าอย่างนั้น พี่ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม" ชายหนุ่มเอื้อมมือไปวางบนศีรษะของเธอเบา ๆ ก่อนพูดต่อ"ถ้าหากว่าคนที่ถูกรถชนเป็นพี่ คนที่ต้องนอนอยู่ตรงนี้เป็นพี่ และพี่ต้องมีแผลเป็นบนหน้าบ้าง หนูจะบอกเลิกพี่รึเปล่า หนูจะเลิกรักพี่แล้วหันไปคบคนอื่นไหม"คนนอนคลุมโปงส่ายหน้าไปมาแล้วตอบ "ไม่ ทำไมหนูต้องทำอย่างนั้น"ภาวินยิ้มออกทันที "ใช่ไหมล่ะ แล้วทำไมพี่ต้องทำอย่างนั้นล่ะครับ"ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วก้มลงไปจูบบริเวณที่คาดว่าน่าจะเป็นหน้าผากของหญิงสาวผ่านทางผ้าห่ม"หนูพราวถามหาพี่มะลิทุกวันเลย ไว้วันเสาร์นี้พี่จะพาหนูพราวมาเยี่ยมด้วยนะ"พอพูดถึงพราวนภา คนในผ้าห่มก็เลิกผ้าออก เผยให้เห็นใบหน้าแดงก่ำและเปลือกตาบวมจากการร้องไห้เมื่อครู่ เจ้าตัวสูดน้ำมูกทีหนึ่งแล้วถาม"หนูพราวเป็นยังไงบ้างคะ หนูผลักแรงขนาดนั้นไม่รู้หัวเข่ากระแทกพื้นจนเป็นแผลรึเปล่า"ภาวินมองหญิงสาวด้วยสายตาอ่อนเชื่อม ตัวเองเป็นอย่างนี้ยังอุตส่าห์ถามถึงคนอื่

  • เล่ห์โอบรัก   บทที่ 22 ตื่นจากฝัน - 70%

    มัลลิกาเบิกตากว้างเมื่อได้ยินอย่างนั้น แม้จะคาดเดาไว้อยู่แล้วแต่ก็อดใจหายและเศร้าอยู่ลึก ๆ ไม่ได้ ถึงปรีชญาจะทำไม่ดีกับเธอไว้มากมาย แต่อย่างไรเสียก็ยังเคยคบหากันอย่างสนิทสนมมาก่อน"ทำไมตาลเขาต้องทำอย่างนั้นคะคุณพ่อ""เขาป่วยเป็นโรคหลายบุคลิกน่ะ ตอนนี้ถึงจะจับตัวได้แล้วแต่ก็ยังดำเนินคดีอะไรไม่ได้ เพราะต้องให้เขารักษาจนอาการดีขึ้นก่อน""อ้าว เขาไม่ติดคุกหรือ แล้วถ้าเขาออกมาขับรถไล่ชนหนูอีกล่ะคะ" มัลลิกาถามหน้าตื่น คิดในใจว่าถ้าโดนชนอีกครั้งคงไม่มีชีวิตรอดแน่นอน"พ่อก็ห่วงเรื่องนี้อยู่ เพราะไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่จะกักตัวเขาไว้รักษาอาการแบบไหน พ่อกลัวว่าเขาจะปล่อยให้มันไปรักษาที่บ้านแล้วมันก็จะออกมาก่อเรื่องอีก""แย่จัง...แล้วตกลงเจอแพตที่ไหนคะ"เธออยากรู้ว่าตติยะลงมือกับปรีชญาแบบไหน และทำอย่างไรจึงสามารถซ่อนศพไว้ได้นานขนาดนั้นโดยที่ไม่มีใครหาเจอ"ศพลอยมาติดกับกอผักตบข้างวัดริมแม่น้ำเจ้าพระยาน่ะ แต่ผลการชันสูตรบอกว่าตายเพราะถูกบีบคอจนขาดอากาศหายใจ"นฤเบศร์เล่าให้บุตรสาวฟังไปตามความจริงโดยไม่คิดปิดบัง เพราะคนที่เป็นทั้งเหยื่อและฆาตกรก

  • เล่ห์โอบรัก   บทที่ 22 ตื่นจากฝัน - 35%

    ความเจ็บปวดรวดร้าวที่แผ่ลามไปทั่วร่างราวกับทุกชิ้นส่วนของร่างกายกำลังถูกจับแยกออกจากกันทำให้คนที่หลับใหลไปหลายวันในห้องผู้ป่วยวิกฤติค่อย ๆ รู้สึกตัวตื่น เปลือกตาหนักอึ้งเปิดปรือขึ้นอย่างยากลำบาก กลิ่นอันเป็นลักษณะเฉพาะของโรงพยาบาลทำให้คนที่เพิ่งตื่นจากฝันรู้ว่าตอนนี้ตนอยู่ที่ไหนเสียงครางแผ่วเล็ดลอดออกจากลำคอ รู้สึกเจ็บไปทั้งตัวจนไม่รู้ว่าเจ็บตรงไหนบ้าง มัลลิกาพยายามมองไปรอบด้าน แต่เพราะนอนสลบไปหลายวันสายตาจึงยังปรับระยะได้ไม่ดีนัก จนเธอต้องยกมือข้างหนึ่งที่ไม่เจ็บเท่าไรขึ้นมาวางทาบที่เปลือกตาทั้งสองข้างตามความเคยชินทว่าตอนที่เอามือปิดตานั้น หญิงสาวสัมผัสได้ถึงสิ่งแปลกปลอมที่ติดอยู่บนผิวแก้มข้างซ้ายของตน เธอทั้งเจ็บทั้งตึงบริเวณนี้จึงลองวางมือทาบลงไปบนสิ่งที่ติดอยู่บนแก้มอะไรน่ะ ผ้าปิดแผลหรือ ทำไมใหญ่จัง...มัลลิกาขมวดคิ้วมุ่น พยายามคิดทบทวนเหตุการณ์ล่าสุดที่ตนพอจะจำได้อยู่เป็นนาน เธอจำได้ว่าก่อนหน้านี้ตนนั่งเล่นอยู่ที่สวนสาธารณะของหมู่บ้านกับภาวิน นั่งดูพราวนภาตีแบดมินตัน และหลังจากนั้น...จำได้แล้ว! เธอถูกรถชนนั่นเองตอน

  • เล่ห์โอบรัก   บทที่ 21 ความจริงที่พูดไม่ได้ - 100%

    นฤเบศร์ขับรถไปส่งภรรยาที่บ้าน จากนั้นก็ขับต่อไปยังโรงพยาบาลทางจิตเวชที่ตติยะถูกกักตัวไว้เพื่อทำการทดสอบสภาพจิต เมื่อไปถึงเขาแจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่าตนขอเข้าเยี่ยม เจ้าหน้าที่จึงพาเขาไปนั่งรออยู่ในห้องห้องหนึ่ง จากนั้นไม่นาน ตติยะก็เดินเข้ามาในห้องโดยไร้เครื่องพันธนาการร่างกาย แต่มีเจ้าหน้าที่ชายคอยตามประกบอยู่สองคนนฤเบศร์มองคนที่กำลังยกมือไหว้ตนด้วยสายตาเย็นชา จนกระทั่งตติยะนั่งลงแล้วเขาจึงเอ่ยปากพูด"ดูท่าทางสุขสบายดีนะ""ผมไม่รู้เรื่องจริง ๆ นะครับ ผมไม่ได้ทำ ผมรักมะลิจะตายใคร ๆ ก็รู้ คุณอาลองไปถามเพื่อนของเธอดูก็ได้ ผมไม่มีทางทำร้ายมะลิแน่นอน ไอ้คนที่ทำ...""มันก็คือมึงนั่นแหละ!"นฤเบศร์ตบโต๊ะเสียงดังอย่างเหลืออดจนตติยะสะดุ้ง เจ้าหน้าที่ทั้งสองคนเดินเข้ามาใกล้เพราะเกรงว่าเขาจะทำอันตรายผู้ต้องหา นฤเบศร์จึงหันไปบอกกับสองคนนั้น"ผมไม่ทำอะไรมันหรอกไม่ต้องห่วง แม้ว่าผมอยากจะฆ่ามันให้ตายคามือก็เถอะ" จากนั้นก็หันมาเล่นงานตติยะต่อด้วยอารมณ์กราดเกรี้ยว"มึงมันฉลาดดีนี่ ฆ่าคนมาเท่าไรแล้วล่ะ พอโดนจับได้ก็มาบอกว่าเป็นโรคจิตจำอะไ

  • เล่ห์โอบรัก   บทที่ 21 ความจริงที่พูดไม่ได้ - 70%

    "แกไม่ต้องห่วงแม่ดากับหนูมะลิหรอกนะ แม่รับปากว่าจะทำตามที่แกขอเอาไว้ แม่เลี้ยงหนูมะลิมาตั้งหลายปีแม่ก็รักมะลิเหมือนหลานแท้ ๆ นั่นแหละ"มัลลิการ้องไห้ออกมาทันทีเมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นจากโฉมฉาย"คุณย่าขา หนูก็รักคุณย่านะคะ"ครั้นพอหญิงสาวร้องไห้ออกมา จู่ ๆ ก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดทรมานไปทั้งร่างราวกับร่างกายกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ แขนขาหนักอึ้งกระดิกไม่ได้แม้แต่ปลายนิ้ว รู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นที่ขมับทั้งสองข้างจากน้ำตาที่ไหลกลิ้งลงไปรวมกันอยู่ตรงนั้น และที่สำคัญ นอกจากจะเจ็บไปทั่วทั้งตัวแล้วมัลลิกายังรู้สึกว่าบนใบหน้าซีกหนึ่งปวดตุบ ๆ อยู่ตลอดเวลาเหมือนเมื่อครั้งที่ตนตกจากต้นไม้แล้วหัวเข่าเป็นแผล เพียงแต่ครั้งนี้เจ็บกว่านั้นมากนักพิษจากบาดแผลและความเจ็บปวดที่ได้รับ ทำให้สติสัมปชัญญะของมัลลิกาค่อย ๆ เลือนไปจนทุกอย่างดับวูบไปอีกครั้ง"หลายวันแล้วนะเบศร์ ทำไมยายหนูยังไม่ฟื้นสักที" มัญชุดาได้แต่ยืนมองบุตรสาวที่ยังหลับใหลอยู่บนเตียงคนไข้ ร่างกายมีบาดแผลและร่องรอยฟกช้ำไปทั่วร่าง ขาข้างหนึ่งต้องใส่เฝือก สายน้ำเกลื

สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status