มัลลิกาหลับตานิ่งตอนที่ภาวินแต้มลิปสติกลงบนริมฝีปาก เธอไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง และยิ่งไม่กล้าสบตากับเขา ใจนึกอยากให้เขาแต่งหน้าให้เธอเสร็จเร็ว ๆ แต่ดูเหมือนชายหนุ่มจะทำทุกอย่างอย่างเชื่องช้าจนหญิงสาวอยากคิดว่าเขาจงใจยืดเวลาให้นานขึ้นเพื่อแกล้งเธอ
เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นขัดจังหวะทำให้มัลลิกาสะดุ้งเล็กน้อย ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างขึ้นทันทีซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ภาวินแต่งหน้าให้เธอเสร็จแล้วเช่นกัน หญิงสาวรีบหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมากดรับสายเมื่อเห็นว่าผู้ที่โทร. เข้ามาคือนฤเบศร์ผู้เป็นพ่อเลี้ยง
"ค่ะคุณพ่อ"
ภาวินปล่อยให้มัลลิกาคุยโทรศัพท์ส่วนตนก็หันมาหาบุตรสาวที่กำลังนั่งรอให้ตนแต่งหน้าให้อย่างใจจดใจจ่อ เขาเห็นแล้วอดยิ้มไม่ได้ มารดาของเขาถูกใจเหลือเกินที่หลานสาวรักสวยรักงามแบบนี้
ระหว่างที่ชายหนุ่มแต่งหน้าให้พราวนภา มัลลิกาก็วางสายจากบิดาแล้วนั่งมองเขาใช้ปลายพู่กันค่อย ๆ แต้มบนริมฝีปากเล็ก ๆ ของบุตรสาว มือไม้ของเขาดูคล่องแคล่วมาก เธอไม่ค่อยเห็นผู้ชายแท้ ๆ จะเชี่ยวชาญเรื่องการใช้แปรงแต่งหน้าและเครื่องสำอางเท่าไร ส่วนใหญ่คนที่ชำนาญด้านนี้มักเป็นสาวประเภทสองมากกว่า
"ทำไมพี่ถึงแต่งหน้าเป็นล่ะคะ ไปเรียนมาหรือ"
เธอจำได้ว่าก่อนหน้านี้เขาเคยเป็นนักบินมาก่อน และเพิ่งมารับช่วงต่อธุรกิจของที่บ้านในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมานี้เอง ดังนั้นการที่ผู้ชายคนหนึ่งจะสามารถแต่งหน้ารวมไปถึงรู้จักการใช้แปรงและอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้คล่องขนาดนี้ก็น่าจะเป็นเพราะไปเรียนศึกษาเพิ่มเติมเป็นแน่
"เรียนเอาจากยูทูบน่ะ มีเพียบเลย" เขาหันมาตอบพร้อมรอยยิ้ม
"ปกติหนูไม่ค่อยเห็นผู้ชายสนใจเรื่องพวกนี้เท่าไร แต่พี่ดูคล่องกว่าหนูอีก"
หญิงสาวพูดไปตามตรง เพราะหากพูดถึงการแต่งหน้าแล้ว เธอแทบไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้เลย
"มันไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวนี่นาว่าเครื่องสำอางควรจะเป็นเรื่องของผู้หญิงเท่านั้น สำหรับพี่แล้วการแต่งหน้าคือศิลปะอย่างหนึ่ง จะว่าไปมันก็เหมือนเวทมนตร์นะเพราะเครื่องสำอางสามารถดึงจุดเด่นกลบจุดด้อยบนใบหน้าของคนได้ และที่สำคัญคือครอบครัวพี่ทำธุรกิจนี้ ถ้าพี่ไม่หัดเรียนรู้สตอรี่ของมันพี่ก็คงบริหารไม่ได้"
มัลลิกายิ้มให้กับคำอธิบายของเขา กำลังคิดจะพูดบางอย่างแต่หางตาก็เห็นว่าภคินีกำลังถือเสื้อผ้าหลายชุดเดินเข้ามาในห้อง
"หนูมะลิลองใส่เสื้อตัวนี้ให้ป้าดูหน่อย...เอ๊ะ"
ภคินีขมวดคิ้วด้วยความสงสัยเมื่อเห็นว่าใบหน้าที่ตนแต่งแต้มไว้ให้นางแบบจำเป็นมีบางอย่างไม่เหมือนเดิม
"นี่เราแต่งหน้าให้น้องใหม่หรือตาวิน" ไม่ต้องไปสืบความที่ไหน เพราะคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ก็มีเพียงภาวินคนเดียวเท่านั้นที่ทำแบบนี้ได้
"คือว่าเมื่อกี้หนูเผลอทำลิปสติกเลอะหน้าค่ะ ยิ่งเช็ดก็ยิ่งเลอะ พี่เขาก็เลยแต่งให้ใหม่"
มัลลิการีบพูดขึ้นอย่างร้อนตัวเพราะเกรงว่าพราวนภาจะชิงเล่าให้ผู้เป็นย่าฟังก่อน
ภคินียิ้มพร้อมกับพยักหน้าช้า ๆ แล้วพูดว่า "ฝีมือเมกอัปดีขึ้นนะ เมื่อก่อนนี่อย่างกับแต่งไปเล่นงิ้ว เอาละ ไปห้องสตูฯ กันเลยดีกว่า"
มัลลิกาเดินตามทุกคนไปยังห้องที่อยู่ด้านในสุดซึ่งอยู่ถัดจากห้องทำงานไปโดยมีห้องน้ำกั้นไว้ หญิงสาวรับเสื้อผ้าจากเจ้าของบ้านมาถือพลางตั้งใจฟังที่อีกฝ่ายบอก
"ถ้าหนูแต่งตัวเสร็จแล้วก็เข้าไปในห้องนั้นนะ พยายามอย่าให้เครื่องสำอางเลอะหน้าอีกล่ะ"
หญิงสาวยิ้มเจื่อนรับคำเบา ๆ ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำแล้วจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้า ชุดที่ภคินีเลือกมาให้นั้นเป็นเดรสแขนกุดลายทางขาวดำคลุมทับด้วยเสื้อเชิ้ตแขนสี่ส่วนสีขาวขนาดพอดีตัว
หลังจากเปลี่ยนชุดเสร็จเรียบร้อย มัลลิกามองตัวเองในกระจกแล้วอดยิ้มไม่ได้ เพราะการแต่งตัวแบบนี้ทำให้ดูก้ำกึ่งระหว่างผู้หญิงวัยรุ่นกับวัยทำงาน ดูไม่เด็กจนเกินไปและดูไม่เคร่งขรึมแบบผู้ใหญ่อีกด้วย
หญิงสาวเดินออกจากห้องน้ำแล้วไปห้องที่อยู่ในสุดตามที่เจ้าของบ้านบอก เมื่อเข้าไปถึงเธอจึงเห็นว่าห้องนั้นคือห้องสำหรับถ่ายภาพโดยเฉพาะ ผนังห้องด้านหนึ่งเป็นตู้กระจกสูงจรดเพดาน ในตู้มีเครื่องสำอางต่าง ๆ วางเรียงรายจนนับไม่ถ้วน หน้าตู้มีโต๊ะตัวยาววางขนานตลอดแนว ตรงกลางห้องมีชุดไฟและแบ็กดรอปรวมถึงอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการถ่ายภาพไม่ต่างจากสตูดิโอทั่วไป ดูแล้วรู้สึกได้ถึงความจริงจังและเป็นการเป็นงานจนเธอรู้สึกเกร็งขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก และเหมือนภาวินจะรู้สึกได้ว่านางแบบจำเป็นเริ่มประหม่าจึงเดินเข้ามาคุยด้วย
"ไม่ต้องเกร็งนะ แค่ถ่ายรูปเอง จะยิ้มก็ได้ไม่ยิ้มก็ได้ พี่จะถ่ายเราแค่ครึ่งตัวเท่านั้น"
"ค่ะ" แม้จะรับคำไปอย่างนั้นแต่ใจจริงเธอก็อดกังวลไม่ได้ กลัวภาพออกไม่ดี กลัวฟีดแบ็กติดลบหลังจากปล่อยภาพออกไปแล้วจะทำให้ผลิตภัณฑ์ของเขาขายไม่ออก
ขณะที่มัลลิกามัวแต่กังวลไปสารพัด ชายหนุ่มก็เดินไปพูดบางอย่างกับบุตรสาวสุดที่รักที่กำลังนั่งเอียงหน้าไปมาอยู่หน้ากระจก เห็นเจ้าตัวเล็กพยักหน้ารับคำบิดาอย่างแข็งขัน ภาวินจึงเดินไปยืนอยู่หลังขาตั้งกล้องมองมารดาของตนถือนิตยสารเล่มหนึ่งเปิดให้มัลลิกาดู
"ลองดูนะจ๊ะ ป้าเชื่อว่าหนูทำได้ ครั้งแรกก็เขินแบบนี้แหละ แต่เดี๋ยวอีกหน่อยก็ชิน" ภคินีชูนิ้วโป้งขึ้นอย่างให้กำลังใจก่อนจะเดินออกมายืนข้างบุตรชาย
"พี่มะลิสวยจังเลยค่ะ โตขึ้นหนูพราวอยากสวยแบบพี่มะลิบ้าง"
พราวนภาโบกมือพร้อมกับรอยยิ้มเจิดจ้า ส่วนคนถูกชมซึ่งหน้านั้นก็เขินจนอดยิ้มออกมาไม่ได้
แชะ! แชะ! แชะ!
เสียงกดชัตเตอร์ดังติดกันสามครั้ง ส่งผลให้มัลลิกาหุบยิ้มทันทีด้วยความตกใจ เธอเลิกคิ้วขึ้นแล้วมองตากล้องเพราะอยากรู้ว่าเมื่อครู่เขาแค่ลองกล้องเล่นหรือถ่ายจริง แต่ชายหนุ่มกลับกดชัตเตอร์รัวอีกครั้ง
"โอเคครับภาพสวยมาก จัดสีต่อไปเลยครับคุณแม่"
พูดจบภาวินก็เดินไปเปลี่ยนฉากด้านหลังด้วยการเลื่อนฉากสีชมพูอ่อนไปเก็บไว้ในผนังแล้วเลื่อนฉากใหม่มาแทนที่ ส่วนมัลลิกานั้นก็ถูกภคินีดึงมานั่งที่โต๊ะแล้วจัดการเช็ดลิปสติกสีเดิมออก จากนั้นก็ทาสีใหม่ลงไป
มัลลิกาต้องเช็ดแล้วทาสีใหม่อยู่แบบนี้ทั้งหมดแปดครั้งเพราะลิปสติกของคอลเลกชั่นนี้มีแปดสี แต่หญิงสาวกลับไม่เบื่อ ตรงกันข้าม เธอเริ่มสนุกกับการแต่งหน้าทาปากถึงกับหยิบลิปสติกขึ้นมาทาด้วยตัวเอง
การถ่ายภาพนิ่งดำเนินไปอย่างราบรื่น นางแบบจำเป็นเริ่มคล่องและไม่เขินกล้องเท่าครั้งแรกแล้ว อีกทั้งยังมีพราวนภากับภคินีสองย่าหลานคอยชวนคุยตลอดเวลา โดยที่ตากล้องสมัครเล่นอย่างภาวินก็คอยกดชัตเตอร์ในอิริยาบถทีเผลอของหญิงสาว ภาพที่ได้จึงดูเป็นธรรมชาติและดูเข้าถึงง่ายอย่างที่เขากับมารดาต้องการพอดี
"ผมจะรีบส่งรูปไปให้กราฟฟิกทำรายละเอียดแล้วเย็นนี้จะเอาขึ้นเฟซบุ๊กเลย" ชายหนุ่มพูดกับมารดาจบก็มองเลยไปทางนางแบบจำเป็นแล้วยิ้มให้
"ขอบคุณมากนะมะลิ ถ้าไม่ได้หนูพี่คงแย่แน่"
"ไม่เป็นไรค่ะ" มัลลิกายิ้มเพราะไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากประโยคนี้ ขณะที่กำลังจะเดินไปหยิบเสื้อผ้าของตนเพื่อเปลี่ยนใส่ชุดเดิมนั้น โทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้นอีกครั้ง หญิงสาวรีบกดรับแล้วเดินเลี่ยงไปทางห้องน้ำทันที
สิบนาทีต่อมา มัลลิกาก็เดินกลับเข้ามาในห้องสตูดิโอพร้อมกับเสื้อผ้าของภคินีที่พับอย่างเรียบร้อย ตอนที่เข้ามานั้นภาวินไม่อยู่ในห้องแล้วเพราะต้องรีบส่งรูปไปให้ฝ่ายกราฟฟิก มีเพียงสองย่าหลานเท่านั้นที่ยังเพลิดเพลินกับบรรดาเครื่องสำอางที่มีอยู่มากมายในตู้
เธอวางเสื้อผ้าไว้บนโต๊ะแล้วบอก "หนูกลับบ้านก่อนนะคะ คุณพ่อโทร. มาเรียกแล้วค่ะ"
"จะกลับแล้วหรือจ๊ะ ว่าแต่คุณพ่อหนูไม่ว่าอะไรใช่ไหม ป้าว่าเย็นนี้จะไปขอโทษคุณพ่อคุณแม่ของหนูสักหน่อยเรื่องที่ให้หนูมาเป็นนางแบบให้โดยไม่ขออนุญาต"
"หนูบอกคุณพ่อคุณแม่แล้วค่ะ ท่านไม่ได้ว่าอะไร แต่ว่าเย็นนี้ที่บ้านคงไม่มีคนอยู่เพราะเดี๋ยวต้องไปรับน้องชายที่กลับจากเข้าค่ายต่างจังหวัดค่ะ เห็นว่ารถบัสจะถึงโรงเรียนตอนบ่ายสี่โมง รับเสร็จก็คงกินข้าวกันจากข้างนอกเลยแล้วค่อยเข้าบ้าน"
ภคินีพยักหน้าพลางลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
"ถ้าอย่างนั้นหนูมะลิรอป้าตรงนี้ก่อนนะ อย่าเพิ่งไป เดี๋ยวป้ามาจ้ะ รอแป๊บเดียว" พูดจบก็เดินเร็ว ๆ ออกจากห้องไป
มัลลิกาเดินไปดูเครื่องสำอางที่วางกองอยู่บนโต๊ะโดยมีพราวนภานั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่หยิบชิ้นนั้นชิ้นนี้มาเปิดดูอย่างตื่นเต้น เธอจึงแกล้งกระเซ้าไป
"ชอบละสิหนูพราว มีแต่สวย ๆ ทั้งนั้นเลย"
"ใช่ค่ะ หนูพราวชอบมาก ถ้ารู้ว่าที่นี่มีที่แต่งหน้าเยอะขนาดนี้หนูพราวคงเข้ามาเล่นตั้งนานแล้ว"
พราวนภาพูดพลางใช้แปรงเกลี่ยบนบลัชออนแล้วเอามาปาดแก้มตัวเองจนแก้มใส ๆ เปลี่ยนเป็นสีชมพูแจ๋ มัลลิกาคิดจะห้ามแต่ก็ได้ยินเสียงภคินีเดินเข้ามาในห้องเสียก่อนจึงหันไปมอง ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่ออีกฝ่ายยื่นซองสีน้ำตาลเข้มมาให้แล้วบอก
"ค่าเหนื่อยของหนูจ้ะ รับไว้เถอะห้ามปฏิเสธ ถึงจะไม่มากมายอะไรแต่ป้าก็อยากให้"
ตอนแรกมัลลิกาไม่กล้ารับเพราะเกรงใจแต่ก็ถูกภคินียัดใส่มือมาจนได้ สุดท้ายหญิงสาวจึงต้องรับซองนั้นไว้แล้วยกมือไหว้ขอบคุณอย่างนอบน้อม
"หนูกลับบ้านก่อนนะคะ หนูพราวคะพี่มะลิกลับบ้านก่อนนะ"
ประโยคหลังเธอหันไปพูดกับเพื่อนตัวน้อย แต่แล้วก็ต้องยิ้มกว้างเมื่อเห็นหน้าที่เต็มไปด้วยสีสันของพราวนภา ส่วนผู้เป็นย่านั้นถึงกับยกมือทาบอก
"หนูพราวสวยไหมคะ"
เด็กน้อยฉีกยิ้มสดใส ลิปสติกสีแดงสดที่ทาเลยริมฝีปากไปนั้นยิ่งส่งให้ปากเล็กกระจุ๋มกระจิ๋มดูกว้างขึ้น พวงแก้มสีชมพูสด เปลือกตาสารพัดสี ทำเอาผู้ใหญ่สองคนเกือบหลุดหัวเราะออกมา
"อุ๊ย ที่บ้านโทร. ตามอีกแล้ว หนูไปก่อนนะคะ...ไม่ต้องไปส่งหรอกค่ะ เดี๋ยวหนูเดินออกไปเอง บ๊ายบายค่ะหนูพราว เสาร์หน้าเจอกันนะคะ"มัลลิกาโบกมือให้เพื่อนตัวน้อยแล้วเดินออกจากห้องไปไม่เร็วนักเพราะยังเจ็บหัวเข่าอยู่ เธอเดินมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงรั้วบ้านของตัวเองแล้วจึงเปิดซองสีน้ำตาลนั้นออกดู จากนั้นก็เบิกตากว้างเมื่อเห็นธนบัตรใบสีเทาอยู่ในนั้นปึกหนึ่งจึงลองนับจากในซองเพราะไม่กล้าหยิบออกมาด้านนอก"โห! ตั้งสองหมื่นแน่ะ ถ่ายรูปแค่นี้เองเนี่ยนะ"มัลลิกายืนมองรถบัสสองชั้นที่จอดเรียงรายหน้าอาคารเรียนด้วยแววตาระยิบระยับ บรรดานักเรียนในชุดลูกเสือและเนตรนารีเดินกันขวักไขว่ เสียงจอแจหยอกล้อพูดคุยกันอย่างสนุกสนานนั้นทำให้หญิงสาวอดนึกไปถึงตอนที่ตนเป็นนักเรียนมัธยมต้นไม่ได้ขณะที่มัลลิกายืนรอน้องชายอยู่กับมารดาและพ่อเลี้ยงนั้น ก็มีเด็กผู้ชายตัวผอมเก้งก้างคนหนึ่งเดินสะพายเป้ใบใหญ่มาทางนี้ หญิงสาวอมยิ้มมองน้องชายต่างบิดาที่อายุห่างกันเก้าปี เธอรอจนกระทั่งอีกฝ่ายเดินมาถึงรถจึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าที่คอของนฤบดินทร์มีรอยแผลครูดเป็นทางยาวประมาณหนึ่งฝ่
"ไอ้ดิน!" มัลลิกาเบิกตากว้างอ้าปากค้างเพราะถือว่าเรื่องใหญ่ไม่น้อย จากนั้นก็กวาดตามองสภาพของน้องชายตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า จึงพบว่าใบหน้าขาวใสนั้นมีเพียงรอยขีดข่วนและรอยฟกช้ำเล็กน้อยที่ตอนแรกเธอนึกว่าเกิดจากกิจกรรมการเข้าฐานของลูกเสือสำรอง แผลที่ชัดเจนที่สุดก็มีแค่รอยครูดที่คอ นอกนั้นก็ไม่มีส่วนใดที่จะมองออกว่าไปต่อยตีกับคนอื่นมา"แกทำเขาหนักขนาดนั้น แต่แกเจ็บตัวแค่นี้เนี่ยนะ"นฤบดินทร์ยักไหล่แล้วเบ้ปากก่อนพูดว่า"ก็บอกแล้วว่ามันสู้ผมไม่ได้ เก่งแต่ปากก็แบบนี้แหละ"มัลลิกากุมขมับทันทีเพราะเรื่องแบบนี้หากบิดามารดารู้เข้าคงเป็นเรื่องใหญ่แน่ และที่สำคัญก็คือทางนี้ต้องจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลให้คู่กรณีอีกด้วยครั้นพอคิดถึงเรื่องเงิน หญิงสาวก็นึกขึ้นได้ว่าตนมีเงินก้อนหนึ่งจากการเป็นนางแบบลิปสติก บางทีเธออาจใช้เงินนั้นจ่ายให้อีกฝ่ายก็เป็นได้"โอเค ถ้าทางโรงเรียนส่งจดหมายเรียกผู้ปกครอง แกก็เอามาให้พี่ก็แล้วกัน พี่จะโดดเรียนไปพบอาจารย์ฝ่ายปกครองกับแกเอง"แผลที่ขาของมัลลิกาดีขึ้นเล็กน้อย แม้จะยังรู้สึกเจ็บหัวเข่าบ้างเวลาที่
หลังจากกินมื้อเช้าเสร็จ มัลลิกา ปรีชญา และตติยะก็เดินกลับเข้าไปในมหาวิทยาลัยเพราะอรุณวตีกับเพลงพิณส่งข้อความมาบอกว่ารออยู่ที่คณะอักษรศาสตร์ ตติยะเรียนบริหารธุรกิจชายหนุ่มจึงแยกตัวเดินไปอีกทางโดยมีปรีชญาหยุดยืนมองตามแผ่นหลังของเขาไปตลอดมัลลิกาเห็นปรีชญามองตามตติยะตาละห้อยจึงเดินดุ่ม ๆ ไปข้างหน้าไม่สนใจอีกฝ่าย จึงไม่รู้ว่าขณะที่ตนตั้งหน้าตั้งตาเดินหนีปรีชญานั้น ตติยะหันมองกลับมาที่ตน แต่ชายหนุ่มเห็นเพียงหญิงสาวอีกคนที่ส่งยิ้มมาให้ เขาจึงยิ้มตอบไปตามมารยาทแล้วหันหน้ากลับไปตามเดิมปรีชญาได้แต่ข่มความไม่พอใจไว้แล้วเดินตามหลังคนที่ตนเกลียดไปช้า ๆ เธอไม่เข้าใจว่ามัลลิกามีดีตรงไหน เพราะหากเทียบรูปร่างหน้าตากันแล้ว เธอมั่นใจว่าตนมีดีกว่าอีกฝ่าย ตั้งแต่ปีหนึ่งจนกระทั่งบัดนี้ เธอมีผู้ชายทั้งรุ่นเดียวกันและรุ่นพี่มาตามจีบไม่เคยขาด ในขณะที่มัลลิกาแทบไม่เคยมีผู้ชายคนไหนชายตามอง ยกเว้นตติยะ และตติยะก็เป็นผู้ชายที่เธอหมายปองแต่เขากลับไม่เคยเหลียวแลเลยสักครั้ง"ไงยะแม่นางแบบลิปสติกคนใหม่ ต๊าย...ถ้าฉันไม่เห็นกับตานี่ฉันไม่เชื่อเด็ดขาดว่าผู้หญิงคนนั้นคือหล่อนน่ะน
"จริงหรือ ทำไมล่ะ" ชายหนุ่มทำหน้าสงสัย ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อยราวกับต้องการจับผิดคำพูดของเธอ"จริงสิ ตาลก็น่าจะรู้ว่าคุณพ่อคุณแม่เราเป็นยังไง ในสายตาของพวกท่าน เราก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กอายุสิบสี่สิบห้าหรอก ดีไม่ดี ต่อให้เราทำงานแล้วท่านก็เห็นเราเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ"ตติยะส่ายหน้าช้า ๆ พร้อมกับแค่นยิ้มพูดเสียงอ่อน"นั่นสินะ พ่อกับแม่ของมะลิหวงเธออย่างกับอะไรดี"...ก่อนเรียนจบ ฉันต้องเอาเธอมาเป็นของฉันให้ได้ มะลิ......ถ้าฉันเห็นเธอคบกับคนอื่นเมื่อไร ฉันเอาเธอตายแน่...มัลลิกาแทบลืมหายใจเมื่ออ่านความคิดสุดท้ายของเขา เธอหลุบตาลงมองมือตนเองก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงใครบางคนเคาะกระจกรถฝั่งคนขับก๊อก ๆ ๆครั้นพอเงยหน้าขึ้นแล้วเห็นว่าผู้ที่มาเคาะคือภาวิน มัลลิกาก็ยิ้มด้วยความดีใจราวกับเจอผู้ช่วยชีวิต โชคดีที่เวลานั้นตติยะหันไปมองคนเคาะพอดีจึงไม่ทันเห็นว่าหญิงสาวยิ้มกว้างแค่ไหน เธอรีบชักมือออกมาจากมือของชายหนุ่มแล้วพูดรัวเร็ว"คุณอาข้างบ้านเราเองตาล เขาสนิทกับคุณพ่อเรามากเลย คงสงสัยว่าทำไมมีรถจอดอยู่หน
"หนูรู้จักกับตาลมาตั้งแต่ปีสองค่ะ รู้จักกันเพราะเจอกันบ่อยในห้องสมุดของมหา’ลัย เพื่อน ๆ บอกว่าเขาชอบหนูถึงได้พยายามมาให้เห็นหน้าบ่อย ๆ แต่ปัญหาคือมีเพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งเขาชอบตาลมาก ก็เลยทำให้เพื่อนคนนั้นไม่ค่อยสนิทใจกับหนูเท่าไร หนูก็เลยพยายามแสดงออกให้ตาลรู้ว่าหนูคิดกับเขาแค่เพื่อน แต่ว่าก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยมีปัญหาเลยนะคะ ดูเขาก็เข้าใจว่าหนูไม่คิดอะไร มีวันนี้แหละที่หนูรู้สึกว่า...ตาลเขาแปลก ๆ"มัลลิกาไม่รู้จะอธิบายอย่างไรให้ภาวินเข้าใจ เป็นเพราะเธออ่านใจคนอื่นได้จึงทำให้รู้ว่าเนื้อแท้ของตติยะไม่ใช่คนสุภาพอย่างที่เห็น"แปลกยังไง" ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ"หนูก็อธิบายไม่ถูกค่ะ เมื่อก่อนหนูคิดว่าเขาเป็นคนเรื่อย ๆ สบาย ๆ มีปัญหาอะไรก็ยิ้มไว้ก่อน แต่วันนี้จู่ ๆ เขาก็เหมือนคนไม่อยู่กับร่องกับรอยยังไงก็ไม่รู้ เหมือนคนเอาแต่ใจที่คุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้" เธอยกข้อมือข้างที่ถูกตติยะบีบไว้แน่นตอนอยู่ในรถขึ้นมาดูก่อนพูดต่อ"เมื่อกี้เขาบีบข้อมือหนูแน่นเหมือนโมโหที่ไม่ได้ดั่งใจเขาจนหนูกลัวเลยละ เมื่อก่อนเขาไม่เคยเป็นแบบนี้เลยนะคะ นี่ถ้าหนูไปเล่าให้เพื่อนในกล
ภาวินหยิบธนบัตรใบสีเทาออกมาจากกระเป๋าสตางค์แล้วยื่นส่งให้มัลลิกา เห็นเธอทำท่าไม่อยากรับเขาจึงถือวิสาสะยัดเงินใส่มือให้เธอเสียเอง จากนั้นก็กุมมือเธอไว้หลวม ๆ"สั่งโกโก้ปั่นหรืออะไรมาก็ได้ เอาที่หนูอยากกินน่ะ ไม่ต้องเกรงใจ จะเหมาเค้กทั้งตู้มาเลยก็ได้พี่ไม่ว่าหรอก"...ได้นั่งดื่มกาแฟกับสาวทั้งที แถมบรรยากาศยังเป็นใจขนาดนี้จะให้พี่รีบไปไหนล่ะครับที่รัก...มัลลิกายิ้มอย่างอดไม่อยู่เมื่อได้อ่านใจเขาโดยบังเอิญ หญิงสาวรับคำเบา ๆ พร้อมกับลุกขึ้นยืน ชายหนุ่มจึงปล่อยมือเธอให้เป็นอิสระไม่นานนักมัลลิกาก็เดินถือถาดเครื่องดื่มมานั่งที่เดิมแล้ววางเงินไว้ตรงหน้าชายหนุ่ม "ขอบคุณค่ะ นี่เงินทอน"ภาวินหยิบเงินมาใส่กระเป๋าเสื้อพลางมองโกโก้ปั่นที่ใส่วิปครีมมากกว่าปกติ และบลูเบอร์รี่ชีสพายที่ตอนนี้ถูกสาวน้อยตรงหน้าตักเข้าปากไปแล้วหนึ่งคำด้วยรอยยิ้ม เห็นท่าทางกินอย่างมีความสุขแบบนี้เขาก็อดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ เพราะดูไปแล้วมัลลิกาก็ชอบขนมหวานไม่ต่างจากพราวนภาบุตรสาวของเขาทั้งสองคนนั่งคุยกันท่ามกลางบรรยากาศของแม่น้ำเจ้าพระยาในยามสาย และความวุ่นวายขวักไขว่ของ
ภาวินหยุดยืนหน้าห้องประชุมแต่ยังไม่เคาะประตู เขาหันไปมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างหลังพร้อมกับยิ้มอย่างให้กำลังใจ แม้จะรู้จักมัลลิกาได้ไม่นาน แต่ความรู้สึกของเขาบอกว่าสาวน้อยที่ดูเรียบร้อยไม่มีพิษมีภัยและเหมือนจะใสซื่อคนนี้ แท้จริงแล้วไม่ใช่คนที่จะยอมถูกคนอื่นกดหัวได้ง่าย ๆ เธอมีไหวพริบในการเอาตัวรอด และฉลาดพูด ดูได้จากเมื่อวานที่เธอใช้เขาเป็นโล่กันเพื่อนชายคนนั้นออกไป ฉะนั้นหากวันนี้มัลลิกาถูกนันทวรรณเล่นงานทางอ้อมในฐานะที่เป็นเด็กเส้นของเขา เจ้าตัวก็คงไม่หวาดกลัวและตกใจเกินไปนัก"มะลิ พี่อยากให้หนูจำไว้ประโยคหนึ่งนะ ที่นี่พี่ใหญ่ที่สุด"เขาบอกเธอเป็นนัยว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สิทธิ์ขาดในการตัดสินใจเป็นของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น"จะจำให้ขึ้นใจเลยค่ะ" เธอยิ้มกว้าง สีหน้าไม่มีร่องรอยกังวลเลยแม้แต่น้อย เห็นดังนั้นเขาจึงเคาะประตูห้องประชุมแล้วเปิดเข้าไปโดยเบี่ยงตัวให้มัลลิกาเป็นฝ่ายเดินเข้าไปก่อนมัลลิกามองคนที่นั่งอยู่ในห้องประชุม เห็นคนคุ้นเคยบางคนนั่งมองอยู่ก่อนแล้วแต่ทำทีเหมือนไม่รู้จักกัน ตนจึงแกล้งทำเป็นว่าไม่เคยเจอกันมาก่อนบ้างภาว
"ถูกต้องครับ ยังดีนะที่คุณจำได้ ผมนึกว่าคุณลืมไปแล้วเสียอีก และผมก็หวังว่าคุณคงจำความหมายของชื่อบริษัทได้นะ ANS ย่อมาจาก ANSWER แปลเป็นไทยก็คือ...คำตอบ แบรนด์ของเราสร้างขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ให้กับผู้หญิงทุกคน และคอลเลกชั่นอาร์ ยู เรดดี้ที่แปลตรงตัวว่าคุณพร้อมหรือยัง ซึ่งกลุ่มเป้าหมายของคอลเลกชั่นนี้ก็คือผู้หญิงที่ไม่เคยแต่งหน้ามาก่อน และอยากจะลองแต่งเป็นครั้งแรก ฉะนั้นเราจึงถามลูกค้าว่าคุณพร้อมที่จะเข้าสู่โลกแห่งเครื่องสำอางหรือยัง" เขาหยุดพูดพลางมองหน้าผู้จัดการที่มักงัดข้อกับเขาเสมอด้วยสายตากดดัน"นี่จึงเป็นคำตอบของผมว่าทำไมถึงให้มะลิเป็นพรีเซ็นเตอร์ และทำไมคุณเบนจี้ถึงไม่เหมาะ หวังว่าคุณคงเข้าใจและคงไม่ต้องให้ผมอธิบายเพิ่มใช่ไหมคุณหน่อย""ค่ะ เข้าใจค่ะ" นันทวรรณตอบโดยไม่มองหน้าผู้เป็นนาย แม้เจ้าตัวจะพยายามสะกดความไม่พอใจเอาไว้ แต่สีหน้าก็ยังแสดงออกจนภาวินรับรู้ได้อยู่ดี"ดีครับ เข้าใจก็ดี ถ้าอย่างนั้นก็ยึดตามที่ผมพูดไปเมื่อกี้ละกัน สำหรับเรื่องการจ้างคุณเบนจี้มารีวิวสินค้า คุณก็เอาไปปรึกษากับฝ่ายการตลาดดู...เอาเป็นว่าตกลงตามนี้นะ คงไม่มีอะไรแล้วใช่ไหม" เขายิ้มม
มัลลิกานั่งแช่อยู่ในสระว่ายน้ำส่วนตัว หญิงสาวยกแขนขึ้นวางบนขอบสระแล้วเอาคางเกยไว้ สองตาทอดมองผืนน้ำสีฟ้าสุดลูกหูลูกตาอย่างผ่อนคลาย มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเมื่อได้ยินเสียงใครบางคนกำลังก้าวลงน้ำมาเช่นกัน จากนั้นแผ่นหลังของเธอก็ถูกทาบทับด้วยแผงอกหนั่นแน่นตามมาด้วยอ้อมแขนที่กอดรัดเอวไว้ และมีริมฝีปากอุ่นร้อนตามมาพรมจูบไปทั่วลาดไหล่"ชอบที่นี่ไหม" เสียงทุ้มเอ่ยถามชิดริมหู หญิงสาวห่อไหล่ตามสัญชาตญาณเพราะรู้สึกจั๊กจี้"ชอบค่ะ น้ำสีสวยมากเลย อากาศดีด้วยไม่ร้อนอย่างที่คิด" ทั้งที่ตอนนี้เธออยู่กลางแจ้งท่ามกลางแสงแดดอ่อน แต่กลับไม่ร้อนเหมือนแดดเมืองไทย"ชอบก็ดีแล้ว พี่นวดให้นะ เดินทางมาถึงเหนื่อย ๆ"ภาวินขันอาสาอย่างเอาใจ เขานั่งซ้อนอยู่ด้านหลังแล้วค่อย ๆ บีบนวดต้นแขน หัวไหล่ แต่ไป ๆ มา ๆ กลับนวดวนเวียนอยู่แต่ก้อนเนื้อนุ่มหยุ่นสองก้อนที่อยู่ด้านหน้า บั้นท้ายก็ถูกสิ่งนั้นของเขาบดเบียดอย่างเป็นจังหวะ"ฮื้อ...พี่วินเนี่ยมือซนตลอดเลย" หญิงสาวครางเบา ๆ เมื่อเขาล้วงเข้าไปในชุดว่ายน้ำชิ้นบนแล้วใช้นิ้วหมุนวนปลายยอดอย่างปลุกเร้าภาวินมองไปรอบด้
ภาวินมองคนที่นั่งหลับมาตลอดทางด้วยสายตารักใคร่ วันนี้เขาได้ใช้เวลาอยู่กับเธอทั้งวัน ได้นอนกกกอดเธอไว้ในอ้อมแขนจนเขาแทบสำลักความสุข เขารู้ว่าตนยังไม่อิ่มแต่ก็ต้องรีบพาหญิงสาวกลับกรุงเทพฯ เพราะไม่อยากให้ค่ำเกินไปชายหนุ่มจอดรถหน้าบ้านมัลลิกาในตอนหัวค่ำ ก่อนหน้านี้เขาโทรศัพท์บอกมารดาของเธอแล้วว่าจะพาหญิงสาวแวะกินมื้อเย็นแล้วค่อยกลับเข้าบ้าน จึงไม่ห่วงว่าเธอจะถูกบิดามารดาดุ"มะลิ ถึงบ้านแล้วครับ" เขาสะกิดมัลลิกาเบา ๆ หญิงสาวตื่นขึ้นแล้วมองซ้ายมองขวาอย่างงัวเงีย"ถึงบ้านหนูแล้ว หรือจะไปนอนบ้านพี่ดี" เจ้าตัวหันมาค้อนใส่เขาทันทีก่อนจะเปิดประตูลงไปยืนข้างรถแล้วโบกมือให้ แต่สภาพของเธอเหมือนคนยังไม่ตื่นดี เขาจึงอดไม่ไหวอีกต่อไป หัวเราะออกมาในที่สุด"ตื่นได้แล้ว หลับมาตลอดทางยังไม่พออีกหรือแม่คุณ" เขาถามกลั้วหัวเราะ เธอยู่หน้าใส่เขาแล้วพูดว่า"เพราะใครล่ะ" จากนั้นหญิงสาวก็หันหลังเดินจากไป เขามองจนเธอเข้าบ้านแล้วจึงขับเลยไปที่บ้านของตัวเองบ้างบิดามารดาของภาวินนั่งดูข่าวภาคค่ำอยู่ในห้องนั่งเล่น ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาแล้วนั่งบนโซฟาอีกตัว อ
"ใส่ทำไม พี่อยากอ่อยคนแถวนี้นี่นา" ไม่พูดเปล่า แต่เขายังแบมือมาทางเธอราวกับต้องการให้วางมือลงไปบนมือของเขามัลลิกายื่นมือไปวางลงบนมืออุ่นข้างนั้น ชายหนุ่มกระตุกเบา ๆ หญิงสาวจึงทรุดนั่งข้างกายเขาแต่โดยดี"เย็น ๆ ค่อยกลับเนอะ หรือจะค้างดี" ภาวินถามพลางนวดมือให้เธอไปด้วย จึงทำให้มัลลิการับรู้ความในใจของชายหนุ่มอีกจนได้...พี่แค่อยากพาหนูมาผ่อนคลาย เห็นอุดอู้อยู่ในบ้านเป็นเดือน ๆ..."พี่ก็โทร. ไปขอคุณพ่อให้หนูสิคะ" เธอแกล้งหยอกเขาเล่น แต่ภาวินกลับคิดจะทำจริง ๆ"ก็ได้นะ พี่มีเบอร์คุณพ่อของหนูอยู่"ชายหนุ่มทำท่าจะยืนขึ้น หญิงสาวจึงรีบกอดแขนเขาไว้ทันทีเพราะกลัวว่าเขาจะโทรศัพท์ไปขออนุญาตกับบิดาของตนจริง ๆ"ไม่เอา! พี่ก็รู้อยู่ว่าคุณพ่อไม่อนุญาตหรอก ขืนโทร. ไปมีหวังโดนจี้ให้กลับบ้านตอนนี้แน่" พูดจบเธอก็ถูกเขากอดไว้แล้วเอนตัวลงนอนไปด้วยกัน โดยที่หญิงสาวนอนเอาหูแนบอกฟังเสียงหัวใจของเขาที่เต้นอยู่ข้างใน"บ้านก็ติดกันอย่างนั้น ยังไงก็หนีพี่ไม่พ้นหรอก"เขาปัดผมของเธอออกจากลาดไหล่แล้วใช้มือลูบต้นแขนเปลือยเปล่าของหญิงสาวไปมา ผิ
มัลลิการักษาตัวอยู่โรงพยาบาลอีกสองอาทิตย์ก็ได้กลับบ้าน แผลที่แก้มเริ่มไม่เจ็บเท่าไรแล้ว แต่แผลที่ถูกกระจกบาดและแผลถลอกพอตกสะเก็ดกลับดูน่ากลัวจนมัลลิกาไม่กล้าส่องกระจกดูหน้าตัวเอง หญิงสาวยังเดินด้วยตัวเองไม่ได้ ต้องอาศัยไม้ค้ำช่วยพยุง ในแต่ละวันเธอจึงได้แต่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในบ้าน ภาวินจึงนึกสนุกด้วยการนำเครื่องสำอางมาให้หญิงสาวได้ลองหัดแต่งหน้าโดยแนะนำให้เธอเริ่มศึกษาจากยูทูบช่วงอาทิตย์แรกมัลลิกายังใช้แปรงและอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างเก้กังเพราะไม่เคยใช้ แต่พออาทิตย์ถัดมาหญิงสาวก็เริ่มคล่องขึ้น และเริ่มสนุกกับการแปลงโฉมใบหน้าของตัวเองในรูปแบบต่าง ๆ เธอเริ่มเข้าเว็บไซต์ และติดตามแฟนเพจที่เกี่ยวกับความสวยความงาม ครีมหรือโลชั่นยี่ห้อไหนที่โด่งดังเรื่องช่วยลบรอยแผลเป็น เธอก็คลิกสั่งออนไลน์เพื่อเอามาลองใช้หลายยี่ห้อมัญชุดานั่งมองบุตรสาวที่กำลังทดลองสีลิปสติกกับข้อมือของตัวเองแล้วก็ได้แต่ยิ้ม เมื่อก่อนมัลลิกาไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้เพราะชอบคิดว่าตนไม่สวย แต่งไปก็ไม่มีใครดู แต่พอแม่สาวน้อยของเธอเริ่มมีความรักก็เริ่มหัดดูแลตัวเองมากขึ้น หนำซ้ำยังดูมีความสุขดีด้วย
มัลลิกายังคงไม่ยอมออกจากผ้าห่ม แต่เสียงสะอื้นนั้นไม่มีแล้ว ราวกับเจ้าตัวกำลังชั่งใจว่าจะโผล่หน้าออกมาคุยกับเขาดีหรือไม่"ถ้าอย่างนั้น พี่ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม" ชายหนุ่มเอื้อมมือไปวางบนศีรษะของเธอเบา ๆ ก่อนพูดต่อ"ถ้าหากว่าคนที่ถูกรถชนเป็นพี่ คนที่ต้องนอนอยู่ตรงนี้เป็นพี่ และพี่ต้องมีแผลเป็นบนหน้าบ้าง หนูจะบอกเลิกพี่รึเปล่า หนูจะเลิกรักพี่แล้วหันไปคบคนอื่นไหม"คนนอนคลุมโปงส่ายหน้าไปมาแล้วตอบ "ไม่ ทำไมหนูต้องทำอย่างนั้น"ภาวินยิ้มออกทันที "ใช่ไหมล่ะ แล้วทำไมพี่ต้องทำอย่างนั้นล่ะครับ"ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วก้มลงไปจูบบริเวณที่คาดว่าน่าจะเป็นหน้าผากของหญิงสาวผ่านทางผ้าห่ม"หนูพราวถามหาพี่มะลิทุกวันเลย ไว้วันเสาร์นี้พี่จะพาหนูพราวมาเยี่ยมด้วยนะ"พอพูดถึงพราวนภา คนในผ้าห่มก็เลิกผ้าออก เผยให้เห็นใบหน้าแดงก่ำและเปลือกตาบวมจากการร้องไห้เมื่อครู่ เจ้าตัวสูดน้ำมูกทีหนึ่งแล้วถาม"หนูพราวเป็นยังไงบ้างคะ หนูผลักแรงขนาดนั้นไม่รู้หัวเข่ากระแทกพื้นจนเป็นแผลรึเปล่า"ภาวินมองหญิงสาวด้วยสายตาอ่อนเชื่อม ตัวเองเป็นอย่างนี้ยังอุตส่าห์ถามถึงคนอื่
มัลลิกาเบิกตากว้างเมื่อได้ยินอย่างนั้น แม้จะคาดเดาไว้อยู่แล้วแต่ก็อดใจหายและเศร้าอยู่ลึก ๆ ไม่ได้ ถึงปรีชญาจะทำไม่ดีกับเธอไว้มากมาย แต่อย่างไรเสียก็ยังเคยคบหากันอย่างสนิทสนมมาก่อน"ทำไมตาลเขาต้องทำอย่างนั้นคะคุณพ่อ""เขาป่วยเป็นโรคหลายบุคลิกน่ะ ตอนนี้ถึงจะจับตัวได้แล้วแต่ก็ยังดำเนินคดีอะไรไม่ได้ เพราะต้องให้เขารักษาจนอาการดีขึ้นก่อน""อ้าว เขาไม่ติดคุกหรือ แล้วถ้าเขาออกมาขับรถไล่ชนหนูอีกล่ะคะ" มัลลิกาถามหน้าตื่น คิดในใจว่าถ้าโดนชนอีกครั้งคงไม่มีชีวิตรอดแน่นอน"พ่อก็ห่วงเรื่องนี้อยู่ เพราะไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่จะกักตัวเขาไว้รักษาอาการแบบไหน พ่อกลัวว่าเขาจะปล่อยให้มันไปรักษาที่บ้านแล้วมันก็จะออกมาก่อเรื่องอีก""แย่จัง...แล้วตกลงเจอแพตที่ไหนคะ"เธออยากรู้ว่าตติยะลงมือกับปรีชญาแบบไหน และทำอย่างไรจึงสามารถซ่อนศพไว้ได้นานขนาดนั้นโดยที่ไม่มีใครหาเจอ"ศพลอยมาติดกับกอผักตบข้างวัดริมแม่น้ำเจ้าพระยาน่ะ แต่ผลการชันสูตรบอกว่าตายเพราะถูกบีบคอจนขาดอากาศหายใจ"นฤเบศร์เล่าให้บุตรสาวฟังไปตามความจริงโดยไม่คิดปิดบัง เพราะคนที่เป็นทั้งเหยื่อและฆาตกรก
ความเจ็บปวดรวดร้าวที่แผ่ลามไปทั่วร่างราวกับทุกชิ้นส่วนของร่างกายกำลังถูกจับแยกออกจากกันทำให้คนที่หลับใหลไปหลายวันในห้องผู้ป่วยวิกฤติค่อย ๆ รู้สึกตัวตื่น เปลือกตาหนักอึ้งเปิดปรือขึ้นอย่างยากลำบาก กลิ่นอันเป็นลักษณะเฉพาะของโรงพยาบาลทำให้คนที่เพิ่งตื่นจากฝันรู้ว่าตอนนี้ตนอยู่ที่ไหนเสียงครางแผ่วเล็ดลอดออกจากลำคอ รู้สึกเจ็บไปทั้งตัวจนไม่รู้ว่าเจ็บตรงไหนบ้าง มัลลิกาพยายามมองไปรอบด้าน แต่เพราะนอนสลบไปหลายวันสายตาจึงยังปรับระยะได้ไม่ดีนัก จนเธอต้องยกมือข้างหนึ่งที่ไม่เจ็บเท่าไรขึ้นมาวางทาบที่เปลือกตาทั้งสองข้างตามความเคยชินทว่าตอนที่เอามือปิดตานั้น หญิงสาวสัมผัสได้ถึงสิ่งแปลกปลอมที่ติดอยู่บนผิวแก้มข้างซ้ายของตน เธอทั้งเจ็บทั้งตึงบริเวณนี้จึงลองวางมือทาบลงไปบนสิ่งที่ติดอยู่บนแก้มอะไรน่ะ ผ้าปิดแผลหรือ ทำไมใหญ่จัง...มัลลิกาขมวดคิ้วมุ่น พยายามคิดทบทวนเหตุการณ์ล่าสุดที่ตนพอจะจำได้อยู่เป็นนาน เธอจำได้ว่าก่อนหน้านี้ตนนั่งเล่นอยู่ที่สวนสาธารณะของหมู่บ้านกับภาวิน นั่งดูพราวนภาตีแบดมินตัน และหลังจากนั้น...จำได้แล้ว! เธอถูกรถชนนั่นเองตอน
นฤเบศร์ขับรถไปส่งภรรยาที่บ้าน จากนั้นก็ขับต่อไปยังโรงพยาบาลทางจิตเวชที่ตติยะถูกกักตัวไว้เพื่อทำการทดสอบสภาพจิต เมื่อไปถึงเขาแจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่าตนขอเข้าเยี่ยม เจ้าหน้าที่จึงพาเขาไปนั่งรออยู่ในห้องห้องหนึ่ง จากนั้นไม่นาน ตติยะก็เดินเข้ามาในห้องโดยไร้เครื่องพันธนาการร่างกาย แต่มีเจ้าหน้าที่ชายคอยตามประกบอยู่สองคนนฤเบศร์มองคนที่กำลังยกมือไหว้ตนด้วยสายตาเย็นชา จนกระทั่งตติยะนั่งลงแล้วเขาจึงเอ่ยปากพูด"ดูท่าทางสุขสบายดีนะ""ผมไม่รู้เรื่องจริง ๆ นะครับ ผมไม่ได้ทำ ผมรักมะลิจะตายใคร ๆ ก็รู้ คุณอาลองไปถามเพื่อนของเธอดูก็ได้ ผมไม่มีทางทำร้ายมะลิแน่นอน ไอ้คนที่ทำ...""มันก็คือมึงนั่นแหละ!"นฤเบศร์ตบโต๊ะเสียงดังอย่างเหลืออดจนตติยะสะดุ้ง เจ้าหน้าที่ทั้งสองคนเดินเข้ามาใกล้เพราะเกรงว่าเขาจะทำอันตรายผู้ต้องหา นฤเบศร์จึงหันไปบอกกับสองคนนั้น"ผมไม่ทำอะไรมันหรอกไม่ต้องห่วง แม้ว่าผมอยากจะฆ่ามันให้ตายคามือก็เถอะ" จากนั้นก็หันมาเล่นงานตติยะต่อด้วยอารมณ์กราดเกรี้ยว"มึงมันฉลาดดีนี่ ฆ่าคนมาเท่าไรแล้วล่ะ พอโดนจับได้ก็มาบอกว่าเป็นโรคจิตจำอะไ
"แกไม่ต้องห่วงแม่ดากับหนูมะลิหรอกนะ แม่รับปากว่าจะทำตามที่แกขอเอาไว้ แม่เลี้ยงหนูมะลิมาตั้งหลายปีแม่ก็รักมะลิเหมือนหลานแท้ ๆ นั่นแหละ"มัลลิการ้องไห้ออกมาทันทีเมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นจากโฉมฉาย"คุณย่าขา หนูก็รักคุณย่านะคะ"ครั้นพอหญิงสาวร้องไห้ออกมา จู่ ๆ ก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดทรมานไปทั้งร่างราวกับร่างกายกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ แขนขาหนักอึ้งกระดิกไม่ได้แม้แต่ปลายนิ้ว รู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นที่ขมับทั้งสองข้างจากน้ำตาที่ไหลกลิ้งลงไปรวมกันอยู่ตรงนั้น และที่สำคัญ นอกจากจะเจ็บไปทั่วทั้งตัวแล้วมัลลิกายังรู้สึกว่าบนใบหน้าซีกหนึ่งปวดตุบ ๆ อยู่ตลอดเวลาเหมือนเมื่อครั้งที่ตนตกจากต้นไม้แล้วหัวเข่าเป็นแผล เพียงแต่ครั้งนี้เจ็บกว่านั้นมากนักพิษจากบาดแผลและความเจ็บปวดที่ได้รับ ทำให้สติสัมปชัญญะของมัลลิกาค่อย ๆ เลือนไปจนทุกอย่างดับวูบไปอีกครั้ง"หลายวันแล้วนะเบศร์ ทำไมยายหนูยังไม่ฟื้นสักที" มัญชุดาได้แต่ยืนมองบุตรสาวที่ยังหลับใหลอยู่บนเตียงคนไข้ ร่างกายมีบาดแผลและร่องรอยฟกช้ำไปทั่วร่าง ขาข้างหนึ่งต้องใส่เฝือก สายน้ำเกลื