ภาวินหยิบธนบัตรใบสีเทาออกมาจากกระเป๋าสตางค์แล้วยื่นส่งให้มัลลิกา เห็นเธอทำท่าไม่อยากรับเขาจึงถือวิสาสะยัดเงินใส่มือให้เธอเสียเอง จากนั้นก็กุมมือเธอไว้หลวม ๆ
"สั่งโกโก้ปั่นหรืออะไรมาก็ได้ เอาที่หนูอยากกินน่ะ ไม่ต้องเกรงใจ จะเหมาเค้กทั้งตู้มาเลยก็ได้พี่ไม่ว่าหรอก"
...ได้นั่งดื่มกาแฟกับสาวทั้งที แถมบรรยากาศยังเป็นใจขนาดนี้จะให้พี่รีบไปไหนล่ะครับที่รัก...
มัลลิกายิ้มอย่างอดไม่อยู่เมื่อได้อ่านใจเขาโดยบังเอิญ หญิงสาวรับคำเบา ๆ พร้อมกับลุกขึ้นยืน ชายหนุ่มจึงปล่อยมือเธอให้เป็นอิสระ
ไม่นานนักมัลลิกาก็เดินถือถาดเครื่องดื่มมานั่งที่เดิมแล้ววางเงินไว้ตรงหน้าชายหนุ่ม "ขอบคุณค่ะ นี่เงินทอน"
ภาวินหยิบเงินมาใส่กระเป๋าเสื้อพลางมองโกโก้ปั่นที่ใส่วิปครีมมากกว่าปกติ และบลูเบอร์รี่ชีสพายที่ตอนนี้ถูกสาวน้อยตรงหน้าตักเข้าปากไปแล้วหนึ่งคำด้วยรอยยิ้ม เห็นท่าทางกินอย่างมีความสุขแบบนี้เขาก็อดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ เพราะดูไปแล้วมัลลิกาก็ชอบขนมหวานไม่ต่างจากพราวนภาบุตรสาวของเขา
ทั้งสองคนนั่งคุยกันท่ามกลางบรรยากาศของแม่น้ำเจ้าพระยาในยามสาย และความวุ่นวายขวักไขว่ของ
ภาวินหยุดยืนหน้าห้องประชุมแต่ยังไม่เคาะประตู เขาหันไปมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างหลังพร้อมกับยิ้มอย่างให้กำลังใจ แม้จะรู้จักมัลลิกาได้ไม่นาน แต่ความรู้สึกของเขาบอกว่าสาวน้อยที่ดูเรียบร้อยไม่มีพิษมีภัยและเหมือนจะใสซื่อคนนี้ แท้จริงแล้วไม่ใช่คนที่จะยอมถูกคนอื่นกดหัวได้ง่าย ๆ เธอมีไหวพริบในการเอาตัวรอด และฉลาดพูด ดูได้จากเมื่อวานที่เธอใช้เขาเป็นโล่กันเพื่อนชายคนนั้นออกไป ฉะนั้นหากวันนี้มัลลิกาถูกนันทวรรณเล่นงานทางอ้อมในฐานะที่เป็นเด็กเส้นของเขา เจ้าตัวก็คงไม่หวาดกลัวและตกใจเกินไปนัก"มะลิ พี่อยากให้หนูจำไว้ประโยคหนึ่งนะ ที่นี่พี่ใหญ่ที่สุด"เขาบอกเธอเป็นนัยว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สิทธิ์ขาดในการตัดสินใจเป็นของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น"จะจำให้ขึ้นใจเลยค่ะ" เธอยิ้มกว้าง สีหน้าไม่มีร่องรอยกังวลเลยแม้แต่น้อย เห็นดังนั้นเขาจึงเคาะประตูห้องประชุมแล้วเปิดเข้าไปโดยเบี่ยงตัวให้มัลลิกาเป็นฝ่ายเดินเข้าไปก่อนมัลลิกามองคนที่นั่งอยู่ในห้องประชุม เห็นคนคุ้นเคยบางคนนั่งมองอยู่ก่อนแล้วแต่ทำทีเหมือนไม่รู้จักกัน ตนจึงแกล้งทำเป็นว่าไม่เคยเจอกันมาก่อนบ้างภาว
"ถูกต้องครับ ยังดีนะที่คุณจำได้ ผมนึกว่าคุณลืมไปแล้วเสียอีก และผมก็หวังว่าคุณคงจำความหมายของชื่อบริษัทได้นะ ANS ย่อมาจาก ANSWER แปลเป็นไทยก็คือ...คำตอบ แบรนด์ของเราสร้างขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ให้กับผู้หญิงทุกคน และคอลเลกชั่นอาร์ ยู เรดดี้ที่แปลตรงตัวว่าคุณพร้อมหรือยัง ซึ่งกลุ่มเป้าหมายของคอลเลกชั่นนี้ก็คือผู้หญิงที่ไม่เคยแต่งหน้ามาก่อน และอยากจะลองแต่งเป็นครั้งแรก ฉะนั้นเราจึงถามลูกค้าว่าคุณพร้อมที่จะเข้าสู่โลกแห่งเครื่องสำอางหรือยัง" เขาหยุดพูดพลางมองหน้าผู้จัดการที่มักงัดข้อกับเขาเสมอด้วยสายตากดดัน"นี่จึงเป็นคำตอบของผมว่าทำไมถึงให้มะลิเป็นพรีเซ็นเตอร์ และทำไมคุณเบนจี้ถึงไม่เหมาะ หวังว่าคุณคงเข้าใจและคงไม่ต้องให้ผมอธิบายเพิ่มใช่ไหมคุณหน่อย""ค่ะ เข้าใจค่ะ" นันทวรรณตอบโดยไม่มองหน้าผู้เป็นนาย แม้เจ้าตัวจะพยายามสะกดความไม่พอใจเอาไว้ แต่สีหน้าก็ยังแสดงออกจนภาวินรับรู้ได้อยู่ดี"ดีครับ เข้าใจก็ดี ถ้าอย่างนั้นก็ยึดตามที่ผมพูดไปเมื่อกี้ละกัน สำหรับเรื่องการจ้างคุณเบนจี้มารีวิวสินค้า คุณก็เอาไปปรึกษากับฝ่ายการตลาดดู...เอาเป็นว่าตกลงตามนี้นะ คงไม่มีอะไรแล้วใช่ไหม" เขายิ้มม
"ห้องปกครองอยู่ทางนี้ครับ" นฤบดินทร์ชี้ไปทางห้องฝ่ายปกครองก่อนจะเดินนำทุกคนไปห้องนั้น ระหว่างเดินไป นฤบดินทร์ไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียวจนพี่สาวต้องเป็นฝ่ายถามเสียเอง"ฝั่งนั้นเขามากันรึยัง""ยังมั้ง ไม่รู้เหมือนกัน อาจารย์ไม่เห็นบอกอะไร" เด็กชายเบี่ยงหน้ามาตอบเมื่อทุกคนมาถึงฝ่ายปกครองแล้ว อาจารย์ที่ประจำอยู่ห้องนั้นก็พาไปนั่งรอคู่กรณีในห้อง ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไรกัน ผู้ปกครองของอีกฝ่ายก็มาถึงพอดี ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับออดหมดคาบเรียนดังขึ้นภาวินกับมัลลิกามองมารดาของเด็กผู้ชายที่ถูกนฤบดินทร์จัดการจนหมดสภาพพลางลอบสบตากันเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไร เพราะอีกฝ่ายเดินเชิดหน้าเข้ามาอย่างวางท่ากดข่มเต็มที่ อาจเพราะเห็นว่าภาวินยังดูอายุไม่มาก ส่วนมัลลิกาก็อยู่ในชุดนักศึกษา จึงมองพวกตนอย่างดูแคลน"อย่างที่ดิฉันแจ้งให้ทางผู้ปกครองทุกท่านทราบทางจดหมายค่ะ ว่าทางโรงเรียนขอรบกวนเวลาให้มาคุยเรื่องที่เด็ก ๆ ทะเลาะวิวาทต่อยตีกันตอนไปเข้าค่ายลูกเสือ และทางฝั่งหัสนัยก็บาดเจ็บจนถึงขั้นต้องเย็บหลายเข็ม ทางโรงเรียนเห็นว่าเรื่องนี้เป็นความผิดร้ายแรงมาก จึงได้เชิญทางผู้ปกครองมา
"แม่มะลิ หล่อนแน่ใจนะว่าบริษัทนั้นเขาจะรับพวกเราไปฝึกงานจริง ๆ น่ะ" อรุณวตีถามพลางพับเอกสารการขอฝึกงานใส่ซองแล้วเก็บในกระเป๋าสะพาย"ก็จริงน่ะสิ ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ฉันคุยกับพี่เขาแล้ว พี่เขาโอเค เขาบอกว่าได้เอกสารเมื่อไรก็ไปยื่นได้เลย" มัลลิกาตอบโดยที่สายตาไม่ละไปจากหน้าจอโทรศัพท์เพราะกำลังแชตคุยกับน้องชายอยู่อรุณวตียกมือขึ้นประสานกันไว้กลางอกแล้วยิ้มด้วยสีหน้าชวนฝัน"ไม่แน่นะแก ถ้าฉันได้ไปทำงานที่นั่น อาจจะมีคนเห็นความงามของฉันแล้วจับไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้แบรนด์เขาเหมือนแกก็ได้นะ อ๊าย...ฉันควรทำตัวยังไงดียายมะลิ ยายเพลง ตื่นเต้นอ่า""อีสายัณห์ เขายังไม่ได้อัญเชิญหล่อนย่ะ อย่าเพิ่งเพ้อ" เพลงพิณใช้นิ้วผลักหน้าผากเพื่อนเบา ๆ"อีเพลง! อยากโดนกะเทยตบไหมยะ ฉันจะได้จัดให้ สายงสายัณห์อะไรฉันไม่รู้จัก ปากเสียจริงนังนี่" อรุณวตีสะบัดหน้าไปอีกทาง ก่อนเหลือบตามองมัลลิกาที่นั่งยิ้มกริ่มไปพลางขยับนิ้วแชตไปพลางจึงอดถามไม่ได้"แชตคุยกับผู้ชายหรือไงยะ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่"มัลลิกายิ้มกว้างกว่าเดิมพร้อมกับยักคิ้วให้เพื่อนแทนคำตอบ ทำเอาคนถา
มัลลิกาไม่ได้คาดหวังว่าจะได้เงินจากเขา แต่เธอก็อดเสียดายไม่ได้ เพราะแว่นอันนี้ตัดมาราคาหลักหมื่น เธอไม่อยากรบกวนเงินของบิดามารดาเนื่องจากว่าตอนย้ายบ้านท่านทั้งสองต้องใช้เงินก้อนใหญ่เพื่อตกแต่งและซื้อเฟอร์นิเจอร์เข้าบ้าน อีกทั้งเงินที่ได้จากการถ่ายแบบลิปสติกให้เอเอ็นเอสก็หมดไปกับค่ารักษาพยาบาลที่ต้องจ่ายให้คู่กรณีของนฤบดินทร์ไปแล้วชายหนุ่มมองด้านขวามือว่ามีรถผ่านมาหรือไม่ เมื่อมั่นใจว่าปลอดภัยจึงเดินไปหยิบแว่นตาของหญิงสาวแล้วเดินกลับมา เขามองสภาพยับเยินของมันพลางถอนหายใจแผ่ว"ผมยินดีจ่ายค่าตัดแว่นให้นะเพราะผมผิดเองแหละที่ไม่ดูให้ดีเสียก่อน ว่าแต่..." เขาก้มมองเธอแล้วโบกมือไปมาตรงหน้าก่อนพูดว่า"ไม่มีแว่นแล้วมองเห็นรึเปล่า สายตาสั้นมากไหม"มัลลิกากลอกตาอย่างระอา ไม่เข้าใจว่าทำไมคนที่สายตาปกติถึงชอบคิดว่าคนสายตาสั้นจะมองอะไรไม่เห็นเลยเวลาไม่ได้ใส่แว่น"แค่สายตาสั้นค่ะ ไม่ได้ตาบอดสักหน่อย ไม่ได้ใส่ก็แค่เบลอเท่านั้นเอง"ชายหนุ่มพยักหน้าให้แล้วยิ้มจืดเจื่อน"คือว่าตอนนี้ผมมีเงินติดตัวแค่พันกว่าบาทเอง แต่แว่นของน้องนี่...""ฉันเรียนป
ตอนอยู่บ้านเก่า มัลลิกาเคยมีประสบการณ์ที่ไม่ดีกับรถตู้โดยสาร ตอนนั้นเป็นเวลาค่ำแล้วและเหลือเธอแค่คนเดียวบนรถ เหตุการณ์เหมือนจะปกติดีเพราะคนขับก็ทำหน้าที่ขับไปส่งเธอที่หน้าหมู่บ้าน แต่โชคร้ายที่วันนั้นมีกลุ่มเด็กแว้นมาประลองความเร็วกันบนถนนตั้งแต่หัวค่ำ และดูเหมือนว่าโชเฟอร์รถตู้จะมีความแค้นกับวัยรุ่นกลุ่มนี้ จึงขับไล่บี้บรรดารถจักรยานยนต์พวกนั้นอย่างบ้าคลั่ง และผลสุดท้ายคือรถตู้ที่เธอนั่งมาโดนกลุ่มเด็กแว้นล้อมกักไว้อยู่ตรงกลางตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งบัดนี้ เธอยังไม่เคยเห็นรถจักรยานยนต์จำนวนมากมายหลายสิบคันแบบนี้มาก่อน พวกนั้นเร่งเครื่องเสียงดังพร้อมกับขับวนไปรอบรถตู้พลางใช้เท้าถีบที่ตัวรถเป็นระยะ ๆ ตามมาด้วยเสียงด่าทอ และท้าทายเพื่อให้คนขับรถตู้เปิดประตูรถลงไป วันนั้นเธอแทบสติแตกด้วยความตกใจและเสียขวัญ โทรศัพท์หาบิดามารดาก็ยังพูดแทบไม่รู้เรื่องเพราะลิ้นพันกันไปหมดโชคดีที่พ่อเลี้ยงของเธอรีบรุดมาหา ท่านเดินดุ่ม ๆ เข้ามาเพียงลำพังอย่างไม่กลัวใครหน้าไหน จำได้ว่าวันนั้นท่านพูดอะไรบางอย่างกับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งคงเป็นหัวโจกของกลุ่มนี้ จากนั้นก็เดินมาถึงตัวรถแล้วพยายามจะเปิดประต
นฤเบศร์จอดรถไว้ริมกำแพงรั้วของคฤหาสน์หลังใหญ่ในหมู่บ้านย่านชานเมือง หลังจากดับเครื่องแล้วคนที่นั่งอยู่ในรถจึงเปิดประตูลงมายืนอยู่ข้างกัน มัลลิกาขยับแว่นสายตาอันใหม่ให้เข้าที่พลางเงยหน้ามองคฤหาสน์ตรงหน้าด้วยแววตาเรียบเฉย ขณะที่มัญชุดากับนฤเบศร์ได้แต่หันมองหน้ากันแต่ไร้คำพูด"หนูรู้สึกเหมือนกำลังเดินเข้าแดนพิศวงเลยค่ะ" มัลลิกาละสายตาจากบ้านหลังใหญ่พลางถอนหายใจแผ่ว"รีบเข้าไปกันเถอะ ตอนนี้คนยังมาไม่เยอะเท่าไร คุยกับคุณท่านเสร็จแล้วจะได้รีบกลับ" นฤเบศร์พยักหน้าให้ภรรยากับลูกเลี้ยง ก่อนจะเดินนำทุกคนไปยังหน้าประตูรั้วอัลลอยด์แล้วกดกริ่งเรียกคนในบ้านให้ออกมาเปิดประตู รอไม่นานนักก็เห็นชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินเร็ว ๆ มาเปิดประตูให้"คุณเบศร์กับคุณดานั่นเอง คุณหนูมะลิก็มาด้วย เชิญครับเชิญ"ศรทักทายอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส มัลลิกาจึงยกมือไหว้และคุยกับอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มเจิดจ้าเช่นกัน เพราะอย่างไรเสียศรก็เป็นคนเก่าคนแก่ของที่นี่ โดยมีหน้าที่เป็นคนขับรถและดูแลสวน"สวัสดีค่ะลุงศร ลุงนี่ดูไม่แก่ลงเลยนะคะ มากี่ทีก็เหมือนเดิมไม่เปลี่ยน อีกหน่อยหนูคงต้องมาข
"นอกจากขี้ประจบแล้วยังหลงตัวเองอีกด้วยนะแม่มะลิ เรานี่จริง ๆ เลยเชียว" โฉมฉายหัวเราะเบา ๆ"โธ่เอ๊ย แค่ถ่ายแบบลิปสติกเซตเดียวก็หลงตัวเองซะแล้ว คิดว่าจะดังแล้วได้เข้าวงการบันเทิงละสิท่า"น้ำเสียงเย้นหยันแบบเดียวกับที่ได้ฟังมาก่อนหน้านี้ไม่กี่นาทีโพล่งขึ้นมากลางวงอีกครั้ง แต่ครั้งนี้คนพูดเป็นบุตรสาว ส่วนผู้เป็นมารดานั้นก็ยืนกอดอกอยู่ข้างกัน"อ้าว เธอได้เข้าวงการบันเทิงแล้วหรือยายเบญ ได้ถ่ายโฆษณาหรือถ่ายอะไรล่ะ ฉันจะได้รอดู" มัลลิกาโต้กลับไป เพราะตั้งแต่เจอกันที่บริษัทเอเอ็นเอสคราวนั้นอีกฝ่ายก็ไม่ได้มาวอแวอะไรตนอีก แต่เธอมั่นใจว่าวันนี้เบญญาภาจะต้องหาเรื่องกลั่นแกล้งตนแน่"ถึงตอนนี้จะยังไม่มี แต่ยายเบญก็ถือว่าเป็นบล็อกเกอร์ชื่อดังที่ใคร ๆ ก็รู้จัก แบรนด์เครื่องสำอางยี่ห้อดังเวลาเขาออกสินค้าใหม่เขาก็ส่งมาให้ยายเบญได้ลองใช้ก่อนแล้วก็รีวิวให้เขาเพื่อเพิ่มยอดขาย ไม่เหมือนหล่อนหรอกแม่มะลิ คงเป็นพรีเซ็นเตอร์ได้แค่รุ่นเดียวก็คงหายเข้ากลีบเมฆ ไม่มีคนจ้างอีก"บุญญาพรพูดยกยอบุตรสาวตัวเอง เบญญาภาก็เชิดหน้าแล้วยิ้มอย่างคนเหนือกว่า มัญชุดาเหยียดยิ้มมุมปากอย่างขบขัน
มัลลิกานั่งแช่อยู่ในสระว่ายน้ำส่วนตัว หญิงสาวยกแขนขึ้นวางบนขอบสระแล้วเอาคางเกยไว้ สองตาทอดมองผืนน้ำสีฟ้าสุดลูกหูลูกตาอย่างผ่อนคลาย มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเมื่อได้ยินเสียงใครบางคนกำลังก้าวลงน้ำมาเช่นกัน จากนั้นแผ่นหลังของเธอก็ถูกทาบทับด้วยแผงอกหนั่นแน่นตามมาด้วยอ้อมแขนที่กอดรัดเอวไว้ และมีริมฝีปากอุ่นร้อนตามมาพรมจูบไปทั่วลาดไหล่"ชอบที่นี่ไหม" เสียงทุ้มเอ่ยถามชิดริมหู หญิงสาวห่อไหล่ตามสัญชาตญาณเพราะรู้สึกจั๊กจี้"ชอบค่ะ น้ำสีสวยมากเลย อากาศดีด้วยไม่ร้อนอย่างที่คิด" ทั้งที่ตอนนี้เธออยู่กลางแจ้งท่ามกลางแสงแดดอ่อน แต่กลับไม่ร้อนเหมือนแดดเมืองไทย"ชอบก็ดีแล้ว พี่นวดให้นะ เดินทางมาถึงเหนื่อย ๆ"ภาวินขันอาสาอย่างเอาใจ เขานั่งซ้อนอยู่ด้านหลังแล้วค่อย ๆ บีบนวดต้นแขน หัวไหล่ แต่ไป ๆ มา ๆ กลับนวดวนเวียนอยู่แต่ก้อนเนื้อนุ่มหยุ่นสองก้อนที่อยู่ด้านหน้า บั้นท้ายก็ถูกสิ่งนั้นของเขาบดเบียดอย่างเป็นจังหวะ"ฮื้อ...พี่วินเนี่ยมือซนตลอดเลย" หญิงสาวครางเบา ๆ เมื่อเขาล้วงเข้าไปในชุดว่ายน้ำชิ้นบนแล้วใช้นิ้วหมุนวนปลายยอดอย่างปลุกเร้าภาวินมองไปรอบด้
ภาวินมองคนที่นั่งหลับมาตลอดทางด้วยสายตารักใคร่ วันนี้เขาได้ใช้เวลาอยู่กับเธอทั้งวัน ได้นอนกกกอดเธอไว้ในอ้อมแขนจนเขาแทบสำลักความสุข เขารู้ว่าตนยังไม่อิ่มแต่ก็ต้องรีบพาหญิงสาวกลับกรุงเทพฯ เพราะไม่อยากให้ค่ำเกินไปชายหนุ่มจอดรถหน้าบ้านมัลลิกาในตอนหัวค่ำ ก่อนหน้านี้เขาโทรศัพท์บอกมารดาของเธอแล้วว่าจะพาหญิงสาวแวะกินมื้อเย็นแล้วค่อยกลับเข้าบ้าน จึงไม่ห่วงว่าเธอจะถูกบิดามารดาดุ"มะลิ ถึงบ้านแล้วครับ" เขาสะกิดมัลลิกาเบา ๆ หญิงสาวตื่นขึ้นแล้วมองซ้ายมองขวาอย่างงัวเงีย"ถึงบ้านหนูแล้ว หรือจะไปนอนบ้านพี่ดี" เจ้าตัวหันมาค้อนใส่เขาทันทีก่อนจะเปิดประตูลงไปยืนข้างรถแล้วโบกมือให้ แต่สภาพของเธอเหมือนคนยังไม่ตื่นดี เขาจึงอดไม่ไหวอีกต่อไป หัวเราะออกมาในที่สุด"ตื่นได้แล้ว หลับมาตลอดทางยังไม่พออีกหรือแม่คุณ" เขาถามกลั้วหัวเราะ เธอยู่หน้าใส่เขาแล้วพูดว่า"เพราะใครล่ะ" จากนั้นหญิงสาวก็หันหลังเดินจากไป เขามองจนเธอเข้าบ้านแล้วจึงขับเลยไปที่บ้านของตัวเองบ้างบิดามารดาของภาวินนั่งดูข่าวภาคค่ำอยู่ในห้องนั่งเล่น ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาแล้วนั่งบนโซฟาอีกตัว อ
"ใส่ทำไม พี่อยากอ่อยคนแถวนี้นี่นา" ไม่พูดเปล่า แต่เขายังแบมือมาทางเธอราวกับต้องการให้วางมือลงไปบนมือของเขามัลลิกายื่นมือไปวางลงบนมืออุ่นข้างนั้น ชายหนุ่มกระตุกเบา ๆ หญิงสาวจึงทรุดนั่งข้างกายเขาแต่โดยดี"เย็น ๆ ค่อยกลับเนอะ หรือจะค้างดี" ภาวินถามพลางนวดมือให้เธอไปด้วย จึงทำให้มัลลิการับรู้ความในใจของชายหนุ่มอีกจนได้...พี่แค่อยากพาหนูมาผ่อนคลาย เห็นอุดอู้อยู่ในบ้านเป็นเดือน ๆ..."พี่ก็โทร. ไปขอคุณพ่อให้หนูสิคะ" เธอแกล้งหยอกเขาเล่น แต่ภาวินกลับคิดจะทำจริง ๆ"ก็ได้นะ พี่มีเบอร์คุณพ่อของหนูอยู่"ชายหนุ่มทำท่าจะยืนขึ้น หญิงสาวจึงรีบกอดแขนเขาไว้ทันทีเพราะกลัวว่าเขาจะโทรศัพท์ไปขออนุญาตกับบิดาของตนจริง ๆ"ไม่เอา! พี่ก็รู้อยู่ว่าคุณพ่อไม่อนุญาตหรอก ขืนโทร. ไปมีหวังโดนจี้ให้กลับบ้านตอนนี้แน่" พูดจบเธอก็ถูกเขากอดไว้แล้วเอนตัวลงนอนไปด้วยกัน โดยที่หญิงสาวนอนเอาหูแนบอกฟังเสียงหัวใจของเขาที่เต้นอยู่ข้างใน"บ้านก็ติดกันอย่างนั้น ยังไงก็หนีพี่ไม่พ้นหรอก"เขาปัดผมของเธอออกจากลาดไหล่แล้วใช้มือลูบต้นแขนเปลือยเปล่าของหญิงสาวไปมา ผิ
มัลลิการักษาตัวอยู่โรงพยาบาลอีกสองอาทิตย์ก็ได้กลับบ้าน แผลที่แก้มเริ่มไม่เจ็บเท่าไรแล้ว แต่แผลที่ถูกกระจกบาดและแผลถลอกพอตกสะเก็ดกลับดูน่ากลัวจนมัลลิกาไม่กล้าส่องกระจกดูหน้าตัวเอง หญิงสาวยังเดินด้วยตัวเองไม่ได้ ต้องอาศัยไม้ค้ำช่วยพยุง ในแต่ละวันเธอจึงได้แต่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในบ้าน ภาวินจึงนึกสนุกด้วยการนำเครื่องสำอางมาให้หญิงสาวได้ลองหัดแต่งหน้าโดยแนะนำให้เธอเริ่มศึกษาจากยูทูบช่วงอาทิตย์แรกมัลลิกายังใช้แปรงและอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างเก้กังเพราะไม่เคยใช้ แต่พออาทิตย์ถัดมาหญิงสาวก็เริ่มคล่องขึ้น และเริ่มสนุกกับการแปลงโฉมใบหน้าของตัวเองในรูปแบบต่าง ๆ เธอเริ่มเข้าเว็บไซต์ และติดตามแฟนเพจที่เกี่ยวกับความสวยความงาม ครีมหรือโลชั่นยี่ห้อไหนที่โด่งดังเรื่องช่วยลบรอยแผลเป็น เธอก็คลิกสั่งออนไลน์เพื่อเอามาลองใช้หลายยี่ห้อมัญชุดานั่งมองบุตรสาวที่กำลังทดลองสีลิปสติกกับข้อมือของตัวเองแล้วก็ได้แต่ยิ้ม เมื่อก่อนมัลลิกาไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้เพราะชอบคิดว่าตนไม่สวย แต่งไปก็ไม่มีใครดู แต่พอแม่สาวน้อยของเธอเริ่มมีความรักก็เริ่มหัดดูแลตัวเองมากขึ้น หนำซ้ำยังดูมีความสุขดีด้วย
มัลลิกายังคงไม่ยอมออกจากผ้าห่ม แต่เสียงสะอื้นนั้นไม่มีแล้ว ราวกับเจ้าตัวกำลังชั่งใจว่าจะโผล่หน้าออกมาคุยกับเขาดีหรือไม่"ถ้าอย่างนั้น พี่ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม" ชายหนุ่มเอื้อมมือไปวางบนศีรษะของเธอเบา ๆ ก่อนพูดต่อ"ถ้าหากว่าคนที่ถูกรถชนเป็นพี่ คนที่ต้องนอนอยู่ตรงนี้เป็นพี่ และพี่ต้องมีแผลเป็นบนหน้าบ้าง หนูจะบอกเลิกพี่รึเปล่า หนูจะเลิกรักพี่แล้วหันไปคบคนอื่นไหม"คนนอนคลุมโปงส่ายหน้าไปมาแล้วตอบ "ไม่ ทำไมหนูต้องทำอย่างนั้น"ภาวินยิ้มออกทันที "ใช่ไหมล่ะ แล้วทำไมพี่ต้องทำอย่างนั้นล่ะครับ"ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วก้มลงไปจูบบริเวณที่คาดว่าน่าจะเป็นหน้าผากของหญิงสาวผ่านทางผ้าห่ม"หนูพราวถามหาพี่มะลิทุกวันเลย ไว้วันเสาร์นี้พี่จะพาหนูพราวมาเยี่ยมด้วยนะ"พอพูดถึงพราวนภา คนในผ้าห่มก็เลิกผ้าออก เผยให้เห็นใบหน้าแดงก่ำและเปลือกตาบวมจากการร้องไห้เมื่อครู่ เจ้าตัวสูดน้ำมูกทีหนึ่งแล้วถาม"หนูพราวเป็นยังไงบ้างคะ หนูผลักแรงขนาดนั้นไม่รู้หัวเข่ากระแทกพื้นจนเป็นแผลรึเปล่า"ภาวินมองหญิงสาวด้วยสายตาอ่อนเชื่อม ตัวเองเป็นอย่างนี้ยังอุตส่าห์ถามถึงคนอื่
มัลลิกาเบิกตากว้างเมื่อได้ยินอย่างนั้น แม้จะคาดเดาไว้อยู่แล้วแต่ก็อดใจหายและเศร้าอยู่ลึก ๆ ไม่ได้ ถึงปรีชญาจะทำไม่ดีกับเธอไว้มากมาย แต่อย่างไรเสียก็ยังเคยคบหากันอย่างสนิทสนมมาก่อน"ทำไมตาลเขาต้องทำอย่างนั้นคะคุณพ่อ""เขาป่วยเป็นโรคหลายบุคลิกน่ะ ตอนนี้ถึงจะจับตัวได้แล้วแต่ก็ยังดำเนินคดีอะไรไม่ได้ เพราะต้องให้เขารักษาจนอาการดีขึ้นก่อน""อ้าว เขาไม่ติดคุกหรือ แล้วถ้าเขาออกมาขับรถไล่ชนหนูอีกล่ะคะ" มัลลิกาถามหน้าตื่น คิดในใจว่าถ้าโดนชนอีกครั้งคงไม่มีชีวิตรอดแน่นอน"พ่อก็ห่วงเรื่องนี้อยู่ เพราะไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่จะกักตัวเขาไว้รักษาอาการแบบไหน พ่อกลัวว่าเขาจะปล่อยให้มันไปรักษาที่บ้านแล้วมันก็จะออกมาก่อเรื่องอีก""แย่จัง...แล้วตกลงเจอแพตที่ไหนคะ"เธออยากรู้ว่าตติยะลงมือกับปรีชญาแบบไหน และทำอย่างไรจึงสามารถซ่อนศพไว้ได้นานขนาดนั้นโดยที่ไม่มีใครหาเจอ"ศพลอยมาติดกับกอผักตบข้างวัดริมแม่น้ำเจ้าพระยาน่ะ แต่ผลการชันสูตรบอกว่าตายเพราะถูกบีบคอจนขาดอากาศหายใจ"นฤเบศร์เล่าให้บุตรสาวฟังไปตามความจริงโดยไม่คิดปิดบัง เพราะคนที่เป็นทั้งเหยื่อและฆาตกรก
ความเจ็บปวดรวดร้าวที่แผ่ลามไปทั่วร่างราวกับทุกชิ้นส่วนของร่างกายกำลังถูกจับแยกออกจากกันทำให้คนที่หลับใหลไปหลายวันในห้องผู้ป่วยวิกฤติค่อย ๆ รู้สึกตัวตื่น เปลือกตาหนักอึ้งเปิดปรือขึ้นอย่างยากลำบาก กลิ่นอันเป็นลักษณะเฉพาะของโรงพยาบาลทำให้คนที่เพิ่งตื่นจากฝันรู้ว่าตอนนี้ตนอยู่ที่ไหนเสียงครางแผ่วเล็ดลอดออกจากลำคอ รู้สึกเจ็บไปทั้งตัวจนไม่รู้ว่าเจ็บตรงไหนบ้าง มัลลิกาพยายามมองไปรอบด้าน แต่เพราะนอนสลบไปหลายวันสายตาจึงยังปรับระยะได้ไม่ดีนัก จนเธอต้องยกมือข้างหนึ่งที่ไม่เจ็บเท่าไรขึ้นมาวางทาบที่เปลือกตาทั้งสองข้างตามความเคยชินทว่าตอนที่เอามือปิดตานั้น หญิงสาวสัมผัสได้ถึงสิ่งแปลกปลอมที่ติดอยู่บนผิวแก้มข้างซ้ายของตน เธอทั้งเจ็บทั้งตึงบริเวณนี้จึงลองวางมือทาบลงไปบนสิ่งที่ติดอยู่บนแก้มอะไรน่ะ ผ้าปิดแผลหรือ ทำไมใหญ่จัง...มัลลิกาขมวดคิ้วมุ่น พยายามคิดทบทวนเหตุการณ์ล่าสุดที่ตนพอจะจำได้อยู่เป็นนาน เธอจำได้ว่าก่อนหน้านี้ตนนั่งเล่นอยู่ที่สวนสาธารณะของหมู่บ้านกับภาวิน นั่งดูพราวนภาตีแบดมินตัน และหลังจากนั้น...จำได้แล้ว! เธอถูกรถชนนั่นเองตอน
นฤเบศร์ขับรถไปส่งภรรยาที่บ้าน จากนั้นก็ขับต่อไปยังโรงพยาบาลทางจิตเวชที่ตติยะถูกกักตัวไว้เพื่อทำการทดสอบสภาพจิต เมื่อไปถึงเขาแจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่าตนขอเข้าเยี่ยม เจ้าหน้าที่จึงพาเขาไปนั่งรออยู่ในห้องห้องหนึ่ง จากนั้นไม่นาน ตติยะก็เดินเข้ามาในห้องโดยไร้เครื่องพันธนาการร่างกาย แต่มีเจ้าหน้าที่ชายคอยตามประกบอยู่สองคนนฤเบศร์มองคนที่กำลังยกมือไหว้ตนด้วยสายตาเย็นชา จนกระทั่งตติยะนั่งลงแล้วเขาจึงเอ่ยปากพูด"ดูท่าทางสุขสบายดีนะ""ผมไม่รู้เรื่องจริง ๆ นะครับ ผมไม่ได้ทำ ผมรักมะลิจะตายใคร ๆ ก็รู้ คุณอาลองไปถามเพื่อนของเธอดูก็ได้ ผมไม่มีทางทำร้ายมะลิแน่นอน ไอ้คนที่ทำ...""มันก็คือมึงนั่นแหละ!"นฤเบศร์ตบโต๊ะเสียงดังอย่างเหลืออดจนตติยะสะดุ้ง เจ้าหน้าที่ทั้งสองคนเดินเข้ามาใกล้เพราะเกรงว่าเขาจะทำอันตรายผู้ต้องหา นฤเบศร์จึงหันไปบอกกับสองคนนั้น"ผมไม่ทำอะไรมันหรอกไม่ต้องห่วง แม้ว่าผมอยากจะฆ่ามันให้ตายคามือก็เถอะ" จากนั้นก็หันมาเล่นงานตติยะต่อด้วยอารมณ์กราดเกรี้ยว"มึงมันฉลาดดีนี่ ฆ่าคนมาเท่าไรแล้วล่ะ พอโดนจับได้ก็มาบอกว่าเป็นโรคจิตจำอะไ
"แกไม่ต้องห่วงแม่ดากับหนูมะลิหรอกนะ แม่รับปากว่าจะทำตามที่แกขอเอาไว้ แม่เลี้ยงหนูมะลิมาตั้งหลายปีแม่ก็รักมะลิเหมือนหลานแท้ ๆ นั่นแหละ"มัลลิการ้องไห้ออกมาทันทีเมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นจากโฉมฉาย"คุณย่าขา หนูก็รักคุณย่านะคะ"ครั้นพอหญิงสาวร้องไห้ออกมา จู่ ๆ ก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดทรมานไปทั้งร่างราวกับร่างกายกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ แขนขาหนักอึ้งกระดิกไม่ได้แม้แต่ปลายนิ้ว รู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นที่ขมับทั้งสองข้างจากน้ำตาที่ไหลกลิ้งลงไปรวมกันอยู่ตรงนั้น และที่สำคัญ นอกจากจะเจ็บไปทั่วทั้งตัวแล้วมัลลิกายังรู้สึกว่าบนใบหน้าซีกหนึ่งปวดตุบ ๆ อยู่ตลอดเวลาเหมือนเมื่อครั้งที่ตนตกจากต้นไม้แล้วหัวเข่าเป็นแผล เพียงแต่ครั้งนี้เจ็บกว่านั้นมากนักพิษจากบาดแผลและความเจ็บปวดที่ได้รับ ทำให้สติสัมปชัญญะของมัลลิกาค่อย ๆ เลือนไปจนทุกอย่างดับวูบไปอีกครั้ง"หลายวันแล้วนะเบศร์ ทำไมยายหนูยังไม่ฟื้นสักที" มัญชุดาได้แต่ยืนมองบุตรสาวที่ยังหลับใหลอยู่บนเตียงคนไข้ ร่างกายมีบาดแผลและร่องรอยฟกช้ำไปทั่วร่าง ขาข้างหนึ่งต้องใส่เฝือก สายน้ำเกลื