Home / โรแมนติก / เล่ห์โอบรัก / บทที่ 3 บุกถ้ำเสือเพื่อหาลูกแมว - 70%

Share

บทที่ 3 บุกถ้ำเสือเพื่อหาลูกแมว - 70%

last update Last Updated: 2025-03-16 19:00:50

และเพราะมัวแต่มองเจ้าตัวเล็ก หญิงสาวจึงไม่ทันเห็นสายตาระยิบระยับกับมุมปากที่ยกขึ้นอย่างสมใจของคนตัวโต และยิ่งไม่มีทางรู้ว่าก่อนหน้าที่พ่อลูกคู่นี้จะเดินมาถึงรั้วที่กั้นเขตบ้าน ผู้เป็นพ่อได้ "ชี้แนะ" อะไรบางอย่างกับบุตรสาวตัวน้อยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

"หนูพราวจะมาอีกทีวันศุกร์แน่ะ ต้องคิดถึงพี่มะลิมากแน่ ๆ เลยค่ะ"

พราวนภายังคงพูดตามที่ได้รับการชี้แนะมาจากผู้เป็นบิดา แต่คนฟังนั้นกลับเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยเพราะดูเหมือนเด็กน้อยจะขี้อ้อนผิดปกติ หญิงสาวจึงหันไปมองคนตัวโตที่ยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงพลางทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ด้วยการมองไปเรื่อยเปื่อย

"ถ้าพี่มะลิขอคุณพ่อคุณแม่ได้ พี่จะไปเล่นกับหนูพราวที่บ้านนะคะ"

มัลลิกาไม่กล้าให้ความหวังพราวนภานักเพราะไม่แน่ใจกับอารมณ์ของบิดาในวันนี้ ดูท่านไม่ค่อยพอใจที่เธอจะไปฝึกงานกับบริษัทอื่น แต่ท่านก็ไม่อาจแย้งเหตุผลของมารดาได้ ตอนที่เธอไปยืนแอบฟังอยู่หน้าประตูห้องทำงาน คำพูดของมารดาที่ทำให้บิดายอมจำนนก็คือ

...ยายหนูโตแล้ว ปล่อยให้เขาออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวเองบ้าง เราอยู่ดูแลเขาไปชั่วชีวิตไม่ได้หรอกนะ...

ความจริงแล้วมัลลิกาย่อมเข้าใจความกังวลและความเป็นห่วงที่มากเกินไปของพ่อเลี้ยงดี เมื่อก่อนท่านไม่เคยเป็นแบบนี้ ทว่าตั้งแต่เกิดเรื่องครั้งนั้น ท่านก็ตามติดลูกเลี้ยงอย่างเธอจนแทบไม่ให้คลาดสายตา แม้กระทั่งตอนที่เธอไปฉลองสอบเสร็จกับเพื่อนที่คณะ ท่านก็ยังอุตส่าห์ลางานครึ่งวันมาตามดูอยู่ห่าง ๆ โดยไม่เข้ามาคุมแจให้เธอต้องลำบากใจ เป็นเธอเสียอีกที่เกรงใจท่านจนต้องขอตัวกับเพื่อนเพื่อกลับก่อน

"จริง ๆ นะคะ พี่มะลิต้องขอคุณพ่อคุณแม่ให้ได้นะ หนูพราวไม่อยากเล่นคนเดียว ถ้าพี่มะลิไม่มาหนูพราวก็ต้องนั่งเหงาอยู่บ้านรอแม่จันทร์กับลุงชินมารับ"

พราวนภายังคงออดอ้อนไม่หยุด น้ำเสียงออเซาะเจื้อยแจ้วนั้นทำให้ผู้เป็นบิดาอย่างภาวินยังอดก้มหน้าลงมองบุตรสาวของตัวเองด้วยความเอ็นดูไม่ได้

จ้างร้อยเล่นล้านไปเลยลูกพ่อ!

"จริงสิ พี่จะบอกว่าเวลาไปทำงานที่บริษัทพี่น่ะ หนูนั่งรถไปกับพี่ดีกว่า แล้วขากลับเราก็กลับด้วยกันเพราะไหน ๆ บ้านก็ติดกันอยู่แล้ว" ภาวินไม่ลืมที่จะบอกเรื่องสำคัญให้หญิงสาวได้รับทราบ

"หนูเกรงใจค่ะ หนูนั่งรถไปเองก็ได้นะคะ ว่าแต่...บริษัทอยู่แถวไหนหรือคะ" มัลลิกายิ้มแหยที่ลืมถามไปเสียสนิทว่าบริษัทเครื่องสำอางของเขาอยู่ที่ไหน

"แถวรามอินทราน่ะ แต่ขอบอกก่อนว่าบริษัทของพี่ไม่ได้อยู่อาคารสำนักงานสูง ๆ เหมือนตึกตามแหล่งธุรกิจหรอกนะ แต่เป็นพื้นที่ของตัวเองเพราะมันต้องมีคลังเก็บสต็อกสินค้า พอจะนึกภาพออกไหม"

ชายหนุ่มตอบไปตามความจริงเพราะเขาไม่แน่ใจว่าเด็กฝึกงานส่วนใหญ่อยากจะไปทำงานตามตึกสูงใจกลางเมืองหรือเปล่า เพราะถ้ามัลลิกาคาดหวังถึงสถานที่ทำงานแบบนั้นจริง เธอจะได้เปลี่ยนใจไม่ทำกับเขาเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย ดีกว่ามานั่งลำบากใจภายหลัง

มัลลิกาพยักหน้าช้า ๆ เป็นเชิงรับรู้ "นึกออกค่ะ แถวรามอินทราก็ไม่ไกลจากตรงนี้เท่าไร ถ้าจำไม่ผิดเหมือนจะมีรถตู้ที่ผ่านหน้าหมู่บ้านไปรามอินทราด้วยใช่ไหมคะ"

ภาวินทำทีเป็นโบกมือส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย

"อย่าเลย เชื่อพี่เถอะ รอนานมากเลยนะกว่าจะมาสักคัน ยิ่งช่วงนี้ถนนเส้นนั้นกำลังก่อสร้างรถไฟฟ้าด้วย ตอนเช้ารถจะติดมากเลย แล้วบริษัทพี่ก็ไม่ได้อยู่ติดถนนใหญ่นะ มันต้องนั่งวินเข้าซอยไปอีก หนูไปกลับกับพี่นั่นแหละดีที่สุดแล้ว"

บริษัทเครื่องสำอางของเขาอยู่ในซอย แต่ไม่ได้เข้าไปลึกอย่างที่เขาจงใจพูดให้อีกฝ่ายเข้าใจ เพราะความจริงแล้วบริษัทตั้งอยู่ห่างจากหน้าถนนใหญ่เพียงห้าสิบเมตรเท่านั้น บรรดาพนักงานที่ไม่มีรถส่วนตัวก็สามารถเดินเข้าออกได้โดยสะดวก ตอนกลางวันก็สามารถเดินข้ามสะพานลอยไปตลาดสดฝั่งตรงข้ามเพื่อหามื้อเที่ยงกินกันได้ เพราะแถวหน้าตลาดมีอาหารมากมายให้เลือกกิน อีกทั้งยังมีร้านสะดวกซื้อที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงทั้งสองฝั่งอีกด้วย

เห็นมัลลิกามีท่าทีลังเลเขาจึงพูดต่อ "พี่จะคุยกับคุณพ่อคุณแม่ของหนูเอง ท่านจะได้ไม่ต้องกังวล ดีไหม"

ทันทีที่พูดจบ ภาวินก็เห็นร่างสูงโปร่งของนฤเบศร์เดินออกจากบ้านและกำลังตรงมาทางนี้ เขาเดาอารมณ์ของอีกฝ่ายไม่ออกเพราะไม่มีรอยยิ้มอยู่บนหน้า แต่ก็ไม่ได้บึ้งตึงตาขวางใส่ตน เห็นดังนั้นภาวินจึงยกมือไหว้เมื่ออีกฝ่ายเดินมาถึง ก่อนจะแตะหลังพราวนภาเป็นสัญญาณให้ทำความเคารพผู้ใหญ่

"หนูพราวสวัสดีคุณตาสิลูก"

พูดจบภาวินก็ลอบมองสีหน้าของนฤเบศร์ว่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไร เพราะการที่ให้บุตรสาวของตนเรียกอีกฝ่ายว่าคุณตานั้น คล้ายกับจะบอกเป็นนัยว่าตนต้องการให้พราวนภานับถือมัลลิกาเป็นแม่คนหนึ่ง

พ่อเลี้ยงของมัลลิกามองเขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตรแว่บหนึ่งก่อนจะยิ้มอย่างอ่อนโยนพร้อมกับพยักหน้าให้เด็กหญิงตัวน้อยที่กระพุ่มมือย่อตัวไหว้อย่างน่ารัก จากนั้นก็หันมาพูดกับเขา

"ยายหนูบอกผมแล้วละว่าอยากจะไปฝึกงานที่บริษัทคุณ" นฤเบศร์หยุดพูดไปครู่หนึ่งเพื่อหันไปมองหน้ามัลลิกาที่กำลังมองตนอยู่เช่นกันก่อนพูดต่อ

"ผมอนุญาตนะ เพราะคิด ๆ ดูแล้วเขาคงได้ประสบการณ์ในการทำงานมากกว่า"

ภาวินยิ้มพลางพูดอย่างเชื่อมั่น "แน่นอนครับคุณอา ผมบอกมะลิแล้วว่าจะให้เขาลงมือทำงานจริงที่ไม่ใช่แค่การเดินเอกสาร หรือการทำอะไรที่ไม่ได้ประโยชน์เหมือนบริษัทอื่น"

นฤเบศร์จ้องหน้าภาวินครู่หนึ่งก่อนผ่อนลมหายใจช้า ๆ พลางพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้แล้วพูดว่า

"ไม่ทราบว่าคุณพอจะมีเวลาไหม ผมอยากถามอะไรหน่อย"

"ยินดีครับ" ภาวินตอบรับอย่างกระตือรือร้น

"ถ้าอย่างนั้น ผมรบกวนให้คุณมาคุยกันที่บ้านผมดีกว่า" นฤเบศร์ผายมือไปทางบ้านที่อยู่ด้านหลังของตนซึ่งภาวินก็ตอบรับทันทีเช่นกัน

"ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นคุณอาเข้าไปรอผมในบ้านก่อนก็ได้ ผมขอพาหนูพราวเข้าบ้านก่อนแล้วจะรีบตามไป"

มัลลิกาเห็นเป็นโอกาสดีที่จะได้ขออนุญาตพ่อเลี้ยงไปเล่นกับเพื่อนตัวน้อยจึงรีบพูดขึ้นทันที

"คุณพ่อขา หนูขอไปเล่นกับหนูพราวที่บ้านโน้นได้ไหมคะ นะคะคุณพ่อ เย็นนี้หนูพราวก็จะกลับบ้านแล้ว สงสารหนูพราวค่ะ แกไม่มีเพื่อนเล่น" หญิงสาวเขย่าข้อมือของพ่อเลี้ยงเบา ๆ อย่างออดอ้อน

ภาวินมองการกระทำของคนตรงหน้าแล้วก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อยเพราะไม่ค่อยเห็นพ่อเลี้ยงกับลูกเลี้ยงที่สนิทสนมกันขนาดนี้มาก่อน เมื่อวานที่เห็นทั้งคู่โอบประคองกันเขาก็คิดว่าช่างเป็นครอบครัวที่น่ารัก ทว่าพอเขาได้รู้ทีหลังว่านฤเบศร์ไม่ใช่บิดาแท้ ๆ ของมัลลิกาก็อดรู้สึกขัดแย้งในใจไม่ได้ กระนั้นเขาก็ได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ เพราะเรื่องละเอียดอ่อนแบบนี้เขาไม่ควรแตะต้อง

"ไปเล่นก็ระวังตัวด้วยล่ะ อย่าชวนน้องเล่นอะไรแผลง ๆ อีก แล้วก็ระวังแผลด้วย" นฤเบศร์กำชับลูกเลี้ยงเสร็จก็หันมาพูดกับภาวินต่อ

"เชิญครับคุณวิน" นฤเบศร์พูดจบก็เดินกลับเข้าไปในบ้าน มัลลิกาจึงยิ้มร่าขณะที่ก้มไปพูดกับเด็กน้อย

"เดี๋ยวพี่ไปหานะ รอแป๊บหนึ่ง" จากนั้นหญิงสาวก็ค่อย ๆ เดินไปยังหน้าประตูรั้ว ส่วนภาวินก็ก้มลงกระซิบกับบุตรสาว

"อย่าลืมที่คุณพ่อบอกนะคะ"

"หนูพราวไม่ลืมค่ะ" พราวนภาพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะยกมือขึ้นไฮไฟฟ์กับบิดาแล้วพากันเดินไปที่รั้วบ้านเพื่อรอรับมัลลิกาหน้าประตู

คนเจ็บค่อย ๆ เดินมาอย่างไม่รีบร้อน แผลที่หัวเข่าไม่ได้ปิดผ้าก๊อซไว้จึงเห็นสีของยาใส่แผลซึ่งมองดูแล้วน่ากลัวไม่น้อย อีกทั้งมัลลิกาเป็นคนผิวขาว แผลของเธอจึงเห็นเด่นชัดจนภาวินเห็นแล้วอดสงสารไม่ได้

"เดินไหวไหมเรา" เขาถามอย่างเป็นห่วง รู้สึกผิดขึ้นมาทันทีที่หาเรื่องให้หญิงสาวมานั่งที่บ้านตนทั้งที่เธอเจ็บอยู่แท้ ๆ

"คุณพ่ออุ้มพี่มะลิเข้าบ้านเหมือนเมื่อวานได้ไหมคะ พี่มะลิเดินไม่ไหว"

พราวนภาเขย่าข้อมือบิดาพลางเงยหน้าขอร้องแทนคนเจ็บ ทว่ามัลลิการีบโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน

"ไม่ต้องหรอกค่ะพี่เดินเองได้ คุณพ่อหนูพราวอุ้มพี่ไม่ไหวหรอก พี่ตัวหนักจะตายไป เดี๋ยวคุณพ่อหนูพราวหลังเดาะอีก" ครั้นพอพูดถึงตรงนี้ หญิงสาวก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานตนเป็นสาเหตุที่ทำให้ชายหนุ่มตรงหน้าเจ็บหลัง

"จริงสิ หลังของพี่เป็นยังไงบ้างคะ ต้องหาหมอไหม" เธอถามเขาอย่างรู้สึกผิด แต่คนถูกถามนั้นหัวคิ้วกระตุกขึ้นมาทันที

"หาทำไม พี่ไม่ได้เป็นอะไรนี่นา ถึงพี่ไม่ได้ล่ำเหมือนพวกนายแบบแต่พี่ก็แข็งแรงนะจะบอกให้ พี่ยังไม่แก่สักหน่อย ต่อให้อุ้มหนูเข้าบ้านตอนนี้ก็ไม่มีปัญหา สบายมาก"

ภาวินยักไหล่อย่างไม่ยี่หระทั้งที่ความจริงแล้วยังปวดหลังอยู่ เมื่อเช้าตอนอาบน้ำแล้วถูสบู่ด้านหลัง บริเวณกล้ามเนื้อที่อักเสบก็เจ็บจี๊ดขึ้นมาจนเขาถึงกับต้องสูดปากเบา ๆ

"เข้าไปเถอะ พี่จะไปคุยกับคุณพ่อหนูสักหน่อย" ชายหนุ่มยิ้มพลางเดินไปยังบ้านที่อยู่ติดกันแล้วยืนมองซ้ายขวาเหมือนทำอะไรไม่ถูก มัลลิกาจึงพูดขึ้น

"เปิดประตูเล็กแล้วเดินเข้าไปเลยค่ะ"

ได้ยินดังนั้น ภาวินจึงบิดที่จับประตูแล้วเปิดออกก่อนจะก้าวขาเข้าไปในบริเวณบ้าน ขณะที่หญิงสาวก็หันหน้ามาหาพราวนภาแล้วพยักหน้าให้พลางยื่นมือไปกุมมือของเด็กน้อยแล้วพากันเดินเข้าไปในบ้านบ้าง

"วันนี้มีใครอยู่บ้างคะหนูพราว"

เธอถามทั้งที่รู้คำตอบดีเพราะเห็นรถยุโรปคันสีเทาดำจอดอยู่ รถคันนั้นเป็นของพิทยาผู้เป็นประมุขของบ้าน อีกทั้งวันนี้เป็นวันอาทิตย์ ในบ้านของพราวนภาตอนนี้จะต้องมีปู่และย่าของเด็กหญิงที่ตนกำลังจูงมืออยู่แน่นอน

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Related chapters

  • เล่ห์โอบรัก   บทที่ 3 บุกถ้ำเสือเพื่อหาลูกแมว - 100%

    มัลลิกาย้ายบ้านมาอยู่หมู่บ้านจัดสรรแห่งนี้ได้เดือนเศษแล้ว และเคยเจอกับสมาชิกเกือบทุกคนในบ้านของพราวนภา แม้กระทั่งภาคินบุตรชายคนเล็กของภคินีที่ปกติจะพักอยู่คอนโดมิเนียมใกล้มหาวิทยาลัย เธอก็ยังเคยคุยกับเขาหลายครั้ง มีเพียงภาวินเท่านั้นที่เธอได้แต่มองเขาจากบ้านของตัวเองแต่ไม่เคยคุยด้วยเพราะไม่มีโอกาสได้เจอหน้ากันจัง ๆ ทว่าพอได้เจอกัน เหตุการณ์ตอนนั้นก็ช่างน่าอายเหลือเกิน"มีหนูพราว คุณพ่อ คุณปู่แล้วก็คุณย่าค่ะ วันนี้อาคินไม่มา" พราวนภาตอบเสียงใส ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อนึกอะไรขึ้นได้จึงรีบพูดอย่างตื่นเต้น"พี่มะลิขา เราเข้าไปเล่นในห้องทำงานคุณพ่อกันดีไหมคะ"มัลลิกาส่ายหน้าหวือทันที "ไม่ดีค่ะ พี่ว่าห้องทำงานเป็นที่ที่เราไม่ควรเข้าไปเล่นมากที่สุด เพราะในนั้นจะมีงานและเอกสารเยอะแยะ ถ้าเราทำหายหรือทำเลอะขึ้นมา คุณพ่อจะดุเอาได้นะคะ""เมื่อคืนหนูพราวเห็นคุณพ่อเอาลิปกับที่ทาตาทาแก้มมาวางบนโต๊ะเยอะแยะเลยค่ะ หนูพราวก็เลยอยากชวนพี่มะลิไปเล่นแต่งหน้ากัน"พราวนภาเงยหน้ามองเพื่อนต่างวัยด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวัง แต่มัลลิกายังคงยิ้มบาง ๆ ก่อนจะโน้มตัวลงไปแล้วพูดอ

    Last Updated : 2025-03-17
  • เล่ห์โอบรัก   บทที่ 4 นางแบบจำเป็น - 25%

    มัลลิกานั่งกินน้ำแข็งใสคนละถ้วยกับพราวนภาในห้องนั่งเล่นพลางดูภาพยนตร์แอนิเมชันทางเคเบิลทีวีไปด้วย ส่วนภคินีกำลังนั่งอ่านเอกสารบางอย่างบนโซฟาอีกตัวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดระหว่างนั้นภาวินเดินเข้ามาในห้องที่ทุกคนนั่งอยู่พอดี สายตาของมัลลิกากับพราวนภาจึงเบนไปหาผู้ที่เข้ามาใหม่โดยพร้อมกัน และเด็กน้อยก็เป็นฝ่ายเอ่ยทักบิดาก่อน"คุณพ่อกินน้ำแข็งใสไหมคะ คุณย่าทำให้ ของหนูพราวมีขนมปังกับวุ้นสี ๆ ด้วยละ""หนูหม่ำเลยลูก พ่อเพิ่งดื่มกาแฟมาค่ะ"ชายหนุ่มเดินมานั่งบนโซฟาตัวที่ใกล้กับมัลลิกาเพราะเหลือว่างเพียงตัวเดียว เขามองมารดาที่เงยหน้ามาดูเขาแว่บหนึ่งก่อนจะรวบเอกสารทั้งหมดมาไว้ในมือแล้วลุกขึ้นยืน"มาพอดีเลยตาวิน เข้าไปคุยกับแม่ในห้องทำงานหน่อยสิ คุณพ่อก็รออยู่ในนั้นแหละ" ภคินีพูดกับบุตรชายจบก็หันมาบอกมัลลิกา"หนูมะลินั่งเล่นกับน้องก่อนนะลูก ขอป้าไปคุยเรื่องงานกับพี่เขาหน่อย""ได้ค่ะคุณป้า" หญิงสาวรับคำพลางหันไปมองชายหนุ่มที่กำลังลุกขึ้นยืน เขาหันมองเธอเช่นกันพร้อมส่งยิ้มบาง ๆ มาให้ ก่อนจะเดินตามผู้เป็นมารดาไปมัลลิกาถอนหายใจ

    Last Updated : 2025-03-17
  • เล่ห์โอบรัก   บทที่ 4 นางแบบจำเป็น - 50%

    มัลลิกาฟังจบก็เบิกตากว้างพร้อมกับยกนิ้วชี้เข้าหาตัวแล้วพูดราวกับไม่เชื่อหูตัวเองว่า"หนูเนี่ยนะคะ! คุณป้าจะให้หนูเป็นนางแบบลิปสติกหรือคะ""ใช่จ้ะ ป้าคิดว่าหนูน่ะเหมาะสมที่สุดแล้ว หนูรู้ตัวไหมว่าหนูมีปากที่สวยมาก ความจริงแล้วหนูก็สวยไปทั้งหน้านั่นแหละ ขอโทษนะจ๊ะหนูมะลิ ขอป้าถอดแว่นหนูออกหน่อย"ไม่พูดเปล่า ภคินีถือวิสาสะถอดแว่นสายตาอันใหญ่ของมัลลิกาออก จากนั้นก็ปัดผมที่ตกลงมาบดบังบางส่วนของใบหน้าออกไปแล้วเอามือกุมแก้มเนียนใสทั้งสองข้างของหญิงสาวเอาไว้พลางจับหันไปทางซ้ายและขวาอย่างเบามือ"หนูพราวก็ว่าพี่มะลิสวยค่ะ หนูพราวชอบพี่มะลิ คุณพ่อก็บอกว่าชอบพี่มะลิเหมือนกัน" พราวนภายิ้มกว้างพลางพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วยกับผู้เป็นย่า"จริงหรือลูก คุณพ่อบอกว่าชอบพี่มะลิหรือ"ภคินีถามอย่างตื่นเต้น ตอนแรกตนนึกว่าบุตรชายคงจะสนใจสาวข้างบ้านแค่ชั่วครั้งชั่วคราวเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายหน้าตาน่ารักจึงอดแซวเล่นตามประสาหนุ่มโสดที่เห็นสาวถูกใจไม่ได้ แต่พอได้ยินหลานสาวพูดแบบนี้ตนก็มั่นใจแล้วว่าภาวินตั้งใจจะจีบมัลลิกาจริง ๆ เสียแล้ว"ใช่ค่ะ คุณพ่อยังให้หนูพราวมาบอกพ

    Last Updated : 2025-03-17
  • เล่ห์โอบรัก   บทที่ 4 นางแบบจำเป็น - 75%

    มัลลิกาเงยหน้ามองภาวินพลางคิดตามที่เขาพูด จากนั้นคำพูดชื่นชมจากคนอื่นก็ผุดขึ้นมาในหัวประโยคแล้วประโยคเล่า เพียงแต่ทุกครั้งที่มีคนชมเธอมักจะบอกตัวเองเสมอว่าเขาชมไปตามมารยาท เธอไม่ได้เป็นอย่างที่คนอื่นชมเลยแม้แต่น้อย จะว่าไปแล้วเธอก็มีข้อเสียที่แก้ไม่หาย นั่นคือเธอไม่เคยเก็บคำชมของคนอื่นมาใส่ใจ แต่คำต่อว่าดูแคลนทั้งหลายเธอกลับจำฝังหัว"ก็ถูกของพี่นะคะ" เธอยิ้มบาง ๆ ให้เขา ชายหนุ่มก็กำลังมองเธออยู่เช่นกัน"หนูแค่ขาดความมั่นใจในตัวเอง ซึ่งตรงนี้พี่อยากให้หนูคิดใหม่ทำใหม่ ใครจะพูดอะไรก็ไม่ต้องไปสนใจ แค่เรารู้จักตัวเองดีก็พอ หนูรู้ไหมว่าในสายตาของพี่ หนูเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดคนหนึ่ง"ทันทีที่เขาพูดจบ มัลลิกาก็รู้สึกหน้าร้อนวูบ ไม่ต้องส่องกระจกก็รู้ว่าหน้าเธอคงแดงก่ำจนลามมาถึงลำคอแล้วเป็นแน่ และริมฝีปากก็คอยแต่จะคลี่ยิ้มอยู่ร่ำไป แม้ว่าเธอจะพยายามฝืนไว้อย่างสุดความสามารถก็ตามภาวินมองคนที่กำลังเขินจนทำอะไรไม่ถูกอย่างเอ็นดู ใจนึกอยากจะหยอดคำหวานอีกสักประโยคสองประโยคแต่ก็เกรงว่าอีกฝ่ายจะมองเขาเป็นพวกปากหวานก้นเปรี้ยว สุดท้ายจึงได้แต่เก็บคำพูดเหล่านั้นทดไว้ในใจ อี

    Last Updated : 2025-03-17
  • เล่ห์โอบรัก   บทที่ 4 นางแบบจำเป็น - 100%

    "นี่หนูมะลิจ้ะ นางแบบลิปสติกคนใหม่ของเอเอ็นเอส"ภคินีแนะนำพรีเซ็นเตอร์คนใหม่ของแบรนด์ด้วยสีหน้าเต็มใจนำเสนอเต็มที่ จันทร์เจ้ามองหญิงสาวที่ดูอ่อนวัยกว่าตนแล้วยิ้มให้อย่างจริงใจ"น่ารักดีค่ะคุณแม่ หน้าใสมากเลย ยังเรียนอยู่ใช่ไหมคะ" จันทร์เจ้าเรียกภคินีว่าคุณแม่ตามอย่างชินดนัย"หนูเรียนอยู่ปีสี่ค่ะ" มัลลิกาตอบอย่างนอบน้อมกึ่งขัดเขินที่ถูกชมซึ่งหน้าชินดนัยกับจันทร์เจ้านั่งคุยสัพเพเหระกันอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงก็ขอตัวเพราะเกรงว่าจะไม่ทันรอบชมภาพยนตร์ ครั้นพอแขกไปแล้ว ภคินีจึงหันมาให้ความสนใจกับนางแบบจำเป็นตรงหน้าทันที"โอเคจ้ะ ก่อนอื่นต้องเตรียมผิวหน้าก่อน" พูดพลางหยิบขวดเคลนเซอร์กับสำลีมาถือไว้แล้วหันไปบอกบุตรชายว่า"ไปเตรียมกล้องสิตาวิน ไม่ใช่ว่าแบตหมดแล้วต้องมานั่งรอชาร์จนะ""คร้าบ คุณแม่" ภาวินยิ้มบาง ๆ พร้อมกับลุกขึ้นทันที เข้าใจดีว่าที่มารดาไล่ให้เขาไปเตรียมกล้องถ่ายรูปนั้นเป็นเพราะเกรงว่ามัลลิกาจะเขินที่ต้องมาแต่งหน้าต่อหน้าผู้ชายคล้อยหลังบุตรชายแล้ว ภคินีจึงเริ่มลงมือทีละขั้นตอนโดยมีพราวนภานั่งมองตาแป๋วด้วยความสนใจอยู่ข้าง

    Last Updated : 2025-03-18
  • เล่ห์โอบรัก   บทที่ 5 ญาติตัวดี - 35%

    มัลลิกาหลับตานิ่งตอนที่ภาวินแต้มลิปสติกลงบนริมฝีปาก เธอไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง และยิ่งไม่กล้าสบตากับเขา ใจนึกอยากให้เขาแต่งหน้าให้เธอเสร็จเร็ว ๆ แต่ดูเหมือนชายหนุ่มจะทำทุกอย่างอย่างเชื่องช้าจนหญิงสาวอยากคิดว่าเขาจงใจยืดเวลาให้นานขึ้นเพื่อแกล้งเธอเสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นขัดจังหวะทำให้มัลลิกาสะดุ้งเล็กน้อย ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างขึ้นทันทีซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ภาวินแต่งหน้าให้เธอเสร็จแล้วเช่นกัน หญิงสาวรีบหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมากดรับสายเมื่อเห็นว่าผู้ที่โทร. เข้ามาคือนฤเบศร์ผู้เป็นพ่อเลี้ยง"ค่ะคุณพ่อ"ภาวินปล่อยให้มัลลิกาคุยโทรศัพท์ส่วนตนก็หันมาหาบุตรสาวที่กำลังนั่งรอให้ตนแต่งหน้าให้อย่างใจจดใจจ่อ เขาเห็นแล้วอดยิ้มไม่ได้ มารดาของเขาถูกใจเหลือเกินที่หลานสาวรักสวยรักงามแบบนี้ระหว่างที่ชายหนุ่มแต่งหน้าให้พราวนภา มัลลิกาก็วางสายจากบิดาแล้วนั่งมองเขาใช้ปลายพู่กันค่อย ๆ แต้มบนริมฝีปากเล็ก ๆ ของบุตรสาว มือไม้ของเขาดูคล่องแคล่วมาก เธอไม่ค่อยเห็นผู้ชายแท้ ๆ จะเชี่ยวชาญเรื่องการใช้แปรงแต่งหน้าและเครื่องสำอางเท่าไร ส่วนใหญ่คนที่

    Last Updated : 2025-03-18
  • เล่ห์โอบรัก   บทที่ 5 ญาติตัวดี - 70%

    "อุ๊ย ที่บ้านโทร. ตามอีกแล้ว หนูไปก่อนนะคะ...ไม่ต้องไปส่งหรอกค่ะ เดี๋ยวหนูเดินออกไปเอง บ๊ายบายค่ะหนูพราว เสาร์หน้าเจอกันนะคะ"มัลลิกาโบกมือให้เพื่อนตัวน้อยแล้วเดินออกจากห้องไปไม่เร็วนักเพราะยังเจ็บหัวเข่าอยู่ เธอเดินมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงรั้วบ้านของตัวเองแล้วจึงเปิดซองสีน้ำตาลนั้นออกดู จากนั้นก็เบิกตากว้างเมื่อเห็นธนบัตรใบสีเทาอยู่ในนั้นปึกหนึ่งจึงลองนับจากในซองเพราะไม่กล้าหยิบออกมาด้านนอก"โห! ตั้งสองหมื่นแน่ะ ถ่ายรูปแค่นี้เองเนี่ยนะ"มัลลิกายืนมองรถบัสสองชั้นที่จอดเรียงรายหน้าอาคารเรียนด้วยแววตาระยิบระยับ บรรดานักเรียนในชุดลูกเสือและเนตรนารีเดินกันขวักไขว่ เสียงจอแจหยอกล้อพูดคุยกันอย่างสนุกสนานนั้นทำให้หญิงสาวอดนึกไปถึงตอนที่ตนเป็นนักเรียนมัธยมต้นไม่ได้ขณะที่มัลลิกายืนรอน้องชายอยู่กับมารดาและพ่อเลี้ยงนั้น ก็มีเด็กผู้ชายตัวผอมเก้งก้างคนหนึ่งเดินสะพายเป้ใบใหญ่มาทางนี้ หญิงสาวอมยิ้มมองน้องชายต่างบิดาที่อายุห่างกันเก้าปี เธอรอจนกระทั่งอีกฝ่ายเดินมาถึงรถจึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าที่คอของนฤบดินทร์มีรอยแผลครูดเป็นทางยาวประมาณหนึ่งฝ่

    Last Updated : 2025-03-18
  • เล่ห์โอบรัก   บทที่ 5 ญาติตัวดี - 100%

    "ไอ้ดิน!" มัลลิกาเบิกตากว้างอ้าปากค้างเพราะถือว่าเรื่องใหญ่ไม่น้อย จากนั้นก็กวาดตามองสภาพของน้องชายตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า จึงพบว่าใบหน้าขาวใสนั้นมีเพียงรอยขีดข่วนและรอยฟกช้ำเล็กน้อยที่ตอนแรกเธอนึกว่าเกิดจากกิจกรรมการเข้าฐานของลูกเสือสำรอง แผลที่ชัดเจนที่สุดก็มีแค่รอยครูดที่คอ นอกนั้นก็ไม่มีส่วนใดที่จะมองออกว่าไปต่อยตีกับคนอื่นมา"แกทำเขาหนักขนาดนั้น แต่แกเจ็บตัวแค่นี้เนี่ยนะ"นฤบดินทร์ยักไหล่แล้วเบ้ปากก่อนพูดว่า"ก็บอกแล้วว่ามันสู้ผมไม่ได้ เก่งแต่ปากก็แบบนี้แหละ"มัลลิกากุมขมับทันทีเพราะเรื่องแบบนี้หากบิดามารดารู้เข้าคงเป็นเรื่องใหญ่แน่ และที่สำคัญก็คือทางนี้ต้องจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลให้คู่กรณีอีกด้วยครั้นพอคิดถึงเรื่องเงิน หญิงสาวก็นึกขึ้นได้ว่าตนมีเงินก้อนหนึ่งจากการเป็นนางแบบลิปสติก บางทีเธออาจใช้เงินนั้นจ่ายให้อีกฝ่ายก็เป็นได้"โอเค ถ้าทางโรงเรียนส่งจดหมายเรียกผู้ปกครอง แกก็เอามาให้พี่ก็แล้วกัน พี่จะโดดเรียนไปพบอาจารย์ฝ่ายปกครองกับแกเอง"แผลที่ขาของมัลลิกาดีขึ้นเล็กน้อย แม้จะยังรู้สึกเจ็บหัวเข่าบ้างเวลาที่

    Last Updated : 2025-03-18

Latest chapter

  • เล่ห์โอบรัก   บทที่ 24 พ่อตากับลูกเขย - บทส่งท้าย

    มัลลิกานั่งแช่อยู่ในสระว่ายน้ำส่วนตัว หญิงสาวยกแขนขึ้นวางบนขอบสระแล้วเอาคางเกยไว้ สองตาทอดมองผืนน้ำสีฟ้าสุดลูกหูลูกตาอย่างผ่อนคลาย มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเมื่อได้ยินเสียงใครบางคนกำลังก้าวลงน้ำมาเช่นกัน จากนั้นแผ่นหลังของเธอก็ถูกทาบทับด้วยแผงอกหนั่นแน่นตามมาด้วยอ้อมแขนที่กอดรัดเอวไว้ และมีริมฝีปากอุ่นร้อนตามมาพรมจูบไปทั่วลาดไหล่"ชอบที่นี่ไหม" เสียงทุ้มเอ่ยถามชิดริมหู หญิงสาวห่อไหล่ตามสัญชาตญาณเพราะรู้สึกจั๊กจี้"ชอบค่ะ น้ำสีสวยมากเลย อากาศดีด้วยไม่ร้อนอย่างที่คิด" ทั้งที่ตอนนี้เธออยู่กลางแจ้งท่ามกลางแสงแดดอ่อน แต่กลับไม่ร้อนเหมือนแดดเมืองไทย"ชอบก็ดีแล้ว พี่นวดให้นะ เดินทางมาถึงเหนื่อย ๆ"ภาวินขันอาสาอย่างเอาใจ เขานั่งซ้อนอยู่ด้านหลังแล้วค่อย ๆ บีบนวดต้นแขน หัวไหล่ แต่ไป ๆ มา ๆ กลับนวดวนเวียนอยู่แต่ก้อนเนื้อนุ่มหยุ่นสองก้อนที่อยู่ด้านหน้า บั้นท้ายก็ถูกสิ่งนั้นของเขาบดเบียดอย่างเป็นจังหวะ"ฮื้อ...พี่วินเนี่ยมือซนตลอดเลย" หญิงสาวครางเบา ๆ เมื่อเขาล้วงเข้าไปในชุดว่ายน้ำชิ้นบนแล้วใช้นิ้วหมุนวนปลายยอดอย่างปลุกเร้าภาวินมองไปรอบด้

  • เล่ห์โอบรัก   บทที่ 23 ฝึกรัก - 100%

    ภาวินมองคนที่นั่งหลับมาตลอดทางด้วยสายตารักใคร่ วันนี้เขาได้ใช้เวลาอยู่กับเธอทั้งวัน ได้นอนกกกอดเธอไว้ในอ้อมแขนจนเขาแทบสำลักความสุข เขารู้ว่าตนยังไม่อิ่มแต่ก็ต้องรีบพาหญิงสาวกลับกรุงเทพฯ เพราะไม่อยากให้ค่ำเกินไปชายหนุ่มจอดรถหน้าบ้านมัลลิกาในตอนหัวค่ำ ก่อนหน้านี้เขาโทรศัพท์บอกมารดาของเธอแล้วว่าจะพาหญิงสาวแวะกินมื้อเย็นแล้วค่อยกลับเข้าบ้าน จึงไม่ห่วงว่าเธอจะถูกบิดามารดาดุ"มะลิ ถึงบ้านแล้วครับ" เขาสะกิดมัลลิกาเบา ๆ หญิงสาวตื่นขึ้นแล้วมองซ้ายมองขวาอย่างงัวเงีย"ถึงบ้านหนูแล้ว หรือจะไปนอนบ้านพี่ดี" เจ้าตัวหันมาค้อนใส่เขาทันทีก่อนจะเปิดประตูลงไปยืนข้างรถแล้วโบกมือให้ แต่สภาพของเธอเหมือนคนยังไม่ตื่นดี เขาจึงอดไม่ไหวอีกต่อไป หัวเราะออกมาในที่สุด"ตื่นได้แล้ว หลับมาตลอดทางยังไม่พออีกหรือแม่คุณ" เขาถามกลั้วหัวเราะ เธอยู่หน้าใส่เขาแล้วพูดว่า"เพราะใครล่ะ" จากนั้นหญิงสาวก็หันหลังเดินจากไป เขามองจนเธอเข้าบ้านแล้วจึงขับเลยไปที่บ้านของตัวเองบ้างบิดามารดาของภาวินนั่งดูข่าวภาคค่ำอยู่ในห้องนั่งเล่น ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาแล้วนั่งบนโซฟาอีกตัว อ

  • เล่ห์โอบรัก   บทที่ 23 ฝึกรัก - 70%

    "ใส่ทำไม พี่อยากอ่อยคนแถวนี้นี่นา" ไม่พูดเปล่า แต่เขายังแบมือมาทางเธอราวกับต้องการให้วางมือลงไปบนมือของเขามัลลิกายื่นมือไปวางลงบนมืออุ่นข้างนั้น ชายหนุ่มกระตุกเบา ๆ หญิงสาวจึงทรุดนั่งข้างกายเขาแต่โดยดี"เย็น ๆ ค่อยกลับเนอะ หรือจะค้างดี" ภาวินถามพลางนวดมือให้เธอไปด้วย จึงทำให้มัลลิการับรู้ความในใจของชายหนุ่มอีกจนได้...พี่แค่อยากพาหนูมาผ่อนคลาย เห็นอุดอู้อยู่ในบ้านเป็นเดือน ๆ..."พี่ก็โทร. ไปขอคุณพ่อให้หนูสิคะ" เธอแกล้งหยอกเขาเล่น แต่ภาวินกลับคิดจะทำจริง ๆ"ก็ได้นะ พี่มีเบอร์คุณพ่อของหนูอยู่"ชายหนุ่มทำท่าจะยืนขึ้น หญิงสาวจึงรีบกอดแขนเขาไว้ทันทีเพราะกลัวว่าเขาจะโทรศัพท์ไปขออนุญาตกับบิดาของตนจริง ๆ"ไม่เอา! พี่ก็รู้อยู่ว่าคุณพ่อไม่อนุญาตหรอก ขืนโทร. ไปมีหวังโดนจี้ให้กลับบ้านตอนนี้แน่" พูดจบเธอก็ถูกเขากอดไว้แล้วเอนตัวลงนอนไปด้วยกัน โดยที่หญิงสาวนอนเอาหูแนบอกฟังเสียงหัวใจของเขาที่เต้นอยู่ข้างใน"บ้านก็ติดกันอย่างนั้น ยังไงก็หนีพี่ไม่พ้นหรอก"เขาปัดผมของเธอออกจากลาดไหล่แล้วใช้มือลูบต้นแขนเปลือยเปล่าของหญิงสาวไปมา ผิ

  • เล่ห์โอบรัก   บทที่ 23 ฝึกรัก - 35%

    มัลลิการักษาตัวอยู่โรงพยาบาลอีกสองอาทิตย์ก็ได้กลับบ้าน แผลที่แก้มเริ่มไม่เจ็บเท่าไรแล้ว แต่แผลที่ถูกกระจกบาดและแผลถลอกพอตกสะเก็ดกลับดูน่ากลัวจนมัลลิกาไม่กล้าส่องกระจกดูหน้าตัวเอง หญิงสาวยังเดินด้วยตัวเองไม่ได้ ต้องอาศัยไม้ค้ำช่วยพยุง ในแต่ละวันเธอจึงได้แต่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในบ้าน ภาวินจึงนึกสนุกด้วยการนำเครื่องสำอางมาให้หญิงสาวได้ลองหัดแต่งหน้าโดยแนะนำให้เธอเริ่มศึกษาจากยูทูบช่วงอาทิตย์แรกมัลลิกายังใช้แปรงและอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างเก้กังเพราะไม่เคยใช้ แต่พออาทิตย์ถัดมาหญิงสาวก็เริ่มคล่องขึ้น และเริ่มสนุกกับการแปลงโฉมใบหน้าของตัวเองในรูปแบบต่าง ๆ เธอเริ่มเข้าเว็บไซต์ และติดตามแฟนเพจที่เกี่ยวกับความสวยความงาม ครีมหรือโลชั่นยี่ห้อไหนที่โด่งดังเรื่องช่วยลบรอยแผลเป็น เธอก็คลิกสั่งออนไลน์เพื่อเอามาลองใช้หลายยี่ห้อมัญชุดานั่งมองบุตรสาวที่กำลังทดลองสีลิปสติกกับข้อมือของตัวเองแล้วก็ได้แต่ยิ้ม เมื่อก่อนมัลลิกาไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้เพราะชอบคิดว่าตนไม่สวย แต่งไปก็ไม่มีใครดู แต่พอแม่สาวน้อยของเธอเริ่มมีความรักก็เริ่มหัดดูแลตัวเองมากขึ้น หนำซ้ำยังดูมีความสุขดีด้วย

  • เล่ห์โอบรัก   บทที่ 22 ตื่นจากฝัน - 100%

    มัลลิกายังคงไม่ยอมออกจากผ้าห่ม แต่เสียงสะอื้นนั้นไม่มีแล้ว ราวกับเจ้าตัวกำลังชั่งใจว่าจะโผล่หน้าออกมาคุยกับเขาดีหรือไม่"ถ้าอย่างนั้น พี่ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม" ชายหนุ่มเอื้อมมือไปวางบนศีรษะของเธอเบา ๆ ก่อนพูดต่อ"ถ้าหากว่าคนที่ถูกรถชนเป็นพี่ คนที่ต้องนอนอยู่ตรงนี้เป็นพี่ และพี่ต้องมีแผลเป็นบนหน้าบ้าง หนูจะบอกเลิกพี่รึเปล่า หนูจะเลิกรักพี่แล้วหันไปคบคนอื่นไหม"คนนอนคลุมโปงส่ายหน้าไปมาแล้วตอบ "ไม่ ทำไมหนูต้องทำอย่างนั้น"ภาวินยิ้มออกทันที "ใช่ไหมล่ะ แล้วทำไมพี่ต้องทำอย่างนั้นล่ะครับ"ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วก้มลงไปจูบบริเวณที่คาดว่าน่าจะเป็นหน้าผากของหญิงสาวผ่านทางผ้าห่ม"หนูพราวถามหาพี่มะลิทุกวันเลย ไว้วันเสาร์นี้พี่จะพาหนูพราวมาเยี่ยมด้วยนะ"พอพูดถึงพราวนภา คนในผ้าห่มก็เลิกผ้าออก เผยให้เห็นใบหน้าแดงก่ำและเปลือกตาบวมจากการร้องไห้เมื่อครู่ เจ้าตัวสูดน้ำมูกทีหนึ่งแล้วถาม"หนูพราวเป็นยังไงบ้างคะ หนูผลักแรงขนาดนั้นไม่รู้หัวเข่ากระแทกพื้นจนเป็นแผลรึเปล่า"ภาวินมองหญิงสาวด้วยสายตาอ่อนเชื่อม ตัวเองเป็นอย่างนี้ยังอุตส่าห์ถามถึงคนอื่

  • เล่ห์โอบรัก   บทที่ 22 ตื่นจากฝัน - 70%

    มัลลิกาเบิกตากว้างเมื่อได้ยินอย่างนั้น แม้จะคาดเดาไว้อยู่แล้วแต่ก็อดใจหายและเศร้าอยู่ลึก ๆ ไม่ได้ ถึงปรีชญาจะทำไม่ดีกับเธอไว้มากมาย แต่อย่างไรเสียก็ยังเคยคบหากันอย่างสนิทสนมมาก่อน"ทำไมตาลเขาต้องทำอย่างนั้นคะคุณพ่อ""เขาป่วยเป็นโรคหลายบุคลิกน่ะ ตอนนี้ถึงจะจับตัวได้แล้วแต่ก็ยังดำเนินคดีอะไรไม่ได้ เพราะต้องให้เขารักษาจนอาการดีขึ้นก่อน""อ้าว เขาไม่ติดคุกหรือ แล้วถ้าเขาออกมาขับรถไล่ชนหนูอีกล่ะคะ" มัลลิกาถามหน้าตื่น คิดในใจว่าถ้าโดนชนอีกครั้งคงไม่มีชีวิตรอดแน่นอน"พ่อก็ห่วงเรื่องนี้อยู่ เพราะไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่จะกักตัวเขาไว้รักษาอาการแบบไหน พ่อกลัวว่าเขาจะปล่อยให้มันไปรักษาที่บ้านแล้วมันก็จะออกมาก่อเรื่องอีก""แย่จัง...แล้วตกลงเจอแพตที่ไหนคะ"เธออยากรู้ว่าตติยะลงมือกับปรีชญาแบบไหน และทำอย่างไรจึงสามารถซ่อนศพไว้ได้นานขนาดนั้นโดยที่ไม่มีใครหาเจอ"ศพลอยมาติดกับกอผักตบข้างวัดริมแม่น้ำเจ้าพระยาน่ะ แต่ผลการชันสูตรบอกว่าตายเพราะถูกบีบคอจนขาดอากาศหายใจ"นฤเบศร์เล่าให้บุตรสาวฟังไปตามความจริงโดยไม่คิดปิดบัง เพราะคนที่เป็นทั้งเหยื่อและฆาตกรก

  • เล่ห์โอบรัก   บทที่ 22 ตื่นจากฝัน - 35%

    ความเจ็บปวดรวดร้าวที่แผ่ลามไปทั่วร่างราวกับทุกชิ้นส่วนของร่างกายกำลังถูกจับแยกออกจากกันทำให้คนที่หลับใหลไปหลายวันในห้องผู้ป่วยวิกฤติค่อย ๆ รู้สึกตัวตื่น เปลือกตาหนักอึ้งเปิดปรือขึ้นอย่างยากลำบาก กลิ่นอันเป็นลักษณะเฉพาะของโรงพยาบาลทำให้คนที่เพิ่งตื่นจากฝันรู้ว่าตอนนี้ตนอยู่ที่ไหนเสียงครางแผ่วเล็ดลอดออกจากลำคอ รู้สึกเจ็บไปทั้งตัวจนไม่รู้ว่าเจ็บตรงไหนบ้าง มัลลิกาพยายามมองไปรอบด้าน แต่เพราะนอนสลบไปหลายวันสายตาจึงยังปรับระยะได้ไม่ดีนัก จนเธอต้องยกมือข้างหนึ่งที่ไม่เจ็บเท่าไรขึ้นมาวางทาบที่เปลือกตาทั้งสองข้างตามความเคยชินทว่าตอนที่เอามือปิดตานั้น หญิงสาวสัมผัสได้ถึงสิ่งแปลกปลอมที่ติดอยู่บนผิวแก้มข้างซ้ายของตน เธอทั้งเจ็บทั้งตึงบริเวณนี้จึงลองวางมือทาบลงไปบนสิ่งที่ติดอยู่บนแก้มอะไรน่ะ ผ้าปิดแผลหรือ ทำไมใหญ่จัง...มัลลิกาขมวดคิ้วมุ่น พยายามคิดทบทวนเหตุการณ์ล่าสุดที่ตนพอจะจำได้อยู่เป็นนาน เธอจำได้ว่าก่อนหน้านี้ตนนั่งเล่นอยู่ที่สวนสาธารณะของหมู่บ้านกับภาวิน นั่งดูพราวนภาตีแบดมินตัน และหลังจากนั้น...จำได้แล้ว! เธอถูกรถชนนั่นเองตอน

  • เล่ห์โอบรัก   บทที่ 21 ความจริงที่พูดไม่ได้ - 100%

    นฤเบศร์ขับรถไปส่งภรรยาที่บ้าน จากนั้นก็ขับต่อไปยังโรงพยาบาลทางจิตเวชที่ตติยะถูกกักตัวไว้เพื่อทำการทดสอบสภาพจิต เมื่อไปถึงเขาแจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่าตนขอเข้าเยี่ยม เจ้าหน้าที่จึงพาเขาไปนั่งรออยู่ในห้องห้องหนึ่ง จากนั้นไม่นาน ตติยะก็เดินเข้ามาในห้องโดยไร้เครื่องพันธนาการร่างกาย แต่มีเจ้าหน้าที่ชายคอยตามประกบอยู่สองคนนฤเบศร์มองคนที่กำลังยกมือไหว้ตนด้วยสายตาเย็นชา จนกระทั่งตติยะนั่งลงแล้วเขาจึงเอ่ยปากพูด"ดูท่าทางสุขสบายดีนะ""ผมไม่รู้เรื่องจริง ๆ นะครับ ผมไม่ได้ทำ ผมรักมะลิจะตายใคร ๆ ก็รู้ คุณอาลองไปถามเพื่อนของเธอดูก็ได้ ผมไม่มีทางทำร้ายมะลิแน่นอน ไอ้คนที่ทำ...""มันก็คือมึงนั่นแหละ!"นฤเบศร์ตบโต๊ะเสียงดังอย่างเหลืออดจนตติยะสะดุ้ง เจ้าหน้าที่ทั้งสองคนเดินเข้ามาใกล้เพราะเกรงว่าเขาจะทำอันตรายผู้ต้องหา นฤเบศร์จึงหันไปบอกกับสองคนนั้น"ผมไม่ทำอะไรมันหรอกไม่ต้องห่วง แม้ว่าผมอยากจะฆ่ามันให้ตายคามือก็เถอะ" จากนั้นก็หันมาเล่นงานตติยะต่อด้วยอารมณ์กราดเกรี้ยว"มึงมันฉลาดดีนี่ ฆ่าคนมาเท่าไรแล้วล่ะ พอโดนจับได้ก็มาบอกว่าเป็นโรคจิตจำอะไ

  • เล่ห์โอบรัก   บทที่ 21 ความจริงที่พูดไม่ได้ - 70%

    "แกไม่ต้องห่วงแม่ดากับหนูมะลิหรอกนะ แม่รับปากว่าจะทำตามที่แกขอเอาไว้ แม่เลี้ยงหนูมะลิมาตั้งหลายปีแม่ก็รักมะลิเหมือนหลานแท้ ๆ นั่นแหละ"มัลลิการ้องไห้ออกมาทันทีเมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นจากโฉมฉาย"คุณย่าขา หนูก็รักคุณย่านะคะ"ครั้นพอหญิงสาวร้องไห้ออกมา จู่ ๆ ก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดทรมานไปทั้งร่างราวกับร่างกายกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ แขนขาหนักอึ้งกระดิกไม่ได้แม้แต่ปลายนิ้ว รู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นที่ขมับทั้งสองข้างจากน้ำตาที่ไหลกลิ้งลงไปรวมกันอยู่ตรงนั้น และที่สำคัญ นอกจากจะเจ็บไปทั่วทั้งตัวแล้วมัลลิกายังรู้สึกว่าบนใบหน้าซีกหนึ่งปวดตุบ ๆ อยู่ตลอดเวลาเหมือนเมื่อครั้งที่ตนตกจากต้นไม้แล้วหัวเข่าเป็นแผล เพียงแต่ครั้งนี้เจ็บกว่านั้นมากนักพิษจากบาดแผลและความเจ็บปวดที่ได้รับ ทำให้สติสัมปชัญญะของมัลลิกาค่อย ๆ เลือนไปจนทุกอย่างดับวูบไปอีกครั้ง"หลายวันแล้วนะเบศร์ ทำไมยายหนูยังไม่ฟื้นสักที" มัญชุดาได้แต่ยืนมองบุตรสาวที่ยังหลับใหลอยู่บนเตียงคนไข้ ร่างกายมีบาดแผลและร่องรอยฟกช้ำไปทั่วร่าง ขาข้างหนึ่งต้องใส่เฝือก สายน้ำเกลื

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status