"จะออกเป็นอะไรได้อีกล่ะนอกจากมะม่วง ถ้าออกเป็นอย่างอื่นได้ ป่านนี้แม่แป้นคงจะเอาแป้งไปโรยแล้วขูดหาหวยทุกวันแล้ว"
ภคินีพูดกลั้วหัวเราะเมื่อนึกถึงแป้น แม่บ้านที่ตนจ้างไว้แบบเช้ามาเย็นกลับ ซึ่งแป้นเป็นภรรยาของหัวหน้าพนักงานรักษาความปลอดภัยในหมู่บ้าน จึงรับจ้างทำงานบ้านให้กับลูกบ้านในหมู่บ้านด้วย
"ก็..." เขาจงใจเว้นช่วงเอาไว้ไม่พูดออกมา ก่อนจะคลี่ยิ้มมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อเห็นใบหน้าของสาวน้อยเปลี่ยนจากซีดเผือดเป็นสีชมพูระเรื่อราวกับรู้ว่าเขาจะพูดอะไรต่อไป
"มักกะลีผลไงครับคุณแม่" ทันทีที่เขาพูดจบ หน้าของมัลลิกาก็มีสีเข้มขึ้นอย่างที่คาดไว้
"มัก...มักอะไรนะคะคุณพ่อ มันคืออะไรคะ" พราวนภาหันไปถามบิดาด้วยความสนใจ ขณะที่ผู้อาวุโสสุดในที่นั้นหันไปมองค้อนบุตรชายด้วยความหมั่นไส้
"มักกะลีผลค่ะหนูพราว เป็นต้นไม้ในนิทานโบราณน่ะ ออกผลมาเป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารัก ใครอยากมีลูกก็จะเด็ดเอาไปเลี้ยงที่บ้าน" ชายหนุ่มเล่าบิดเบือนตำนานไปเล็กน้อยพลางมองใบหน้าแดงก่ำของหญิงสาวอย่างเอ็นดู
"บ้านเรามีต้นนั้นด้วยหรือคะ อยู่ตรงไหนหนูพราวไม่เคยเห็น" พราวนภาถามอย่างตื่นเต้นก่อนจะหันไปมองหน้าเพื่อนต่างวัยอย่างมัลลิการาวกับต้องการหาพวกเพื่อไปตามหาต้นไม้ที่ว่า
"ไม่มีหรอกค่ะ คุณพ่อเข้าใจผิดน่ะ เพราะมักกะลีผลคงไม่ชอบเลี้ยงแมว"
ภาวินยิ้มกว้างเมื่อเห็นหญิงสาวหน้าแดงจนถึงลำคอ คิดแล้วก็แปลกใจตัวเองเหมือนกัน ทั้งที่เพิ่งเจอหน้ามัลลิกาครั้งแรก แต่เขากลับรู้สึกถูกชะตาด้วยอย่างบอกไม่ถูก และที่เขามั่นใจคือตนไม่ได้เอ็นดูเธออย่างลูกหลาน แต่เป็นความรู้สึกของผู้ชายคนหนึ่งยามเจอหญิงสาวที่ถูกใจแล้วอยากทำความรู้จักให้มากขึ้น
"อะไรของเราน่ะตาวิน" ภคินีหรี่ตามองบุตรชายอย่างจับผิดแต่อีกฝ่ายกลับแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ จึงได้แต่หันหน้ากลับมามองสาวน้อยข้างบ้าน ซึ่งเมื่อมองแล้วก็รู้สึกสะดุดใจขึ้นมา
"เอ...ป้าว่าวันนี้หนูมีอะไรแปลกไปนะหนูมะลิ" พูดพลางเอียงศีรษะมองมัลลิกาด้วยความสงสัย ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับดีดนิ้วดังเปาะเมื่อนึกออก
"รู้แล้ว! แว่นตาหนูหายไปไหนลูก ปกติหนูใส่แว่นด้วยนี่นามะลิ"
เมื่อได้ยินอย่างนั้น มัลลิกาก็ยกมือแตะหัวตาของตนแล้วก็นึกขึ้นได้เช่นกัน
"สงสัยคงจะหล่นอยู่ในสวนตอนตกต้นไม้ค่ะคุณป้า หนูมัวแต่เจ็บขา คุณอา...เอ่อ...คุณพ่อหนูพราวอุ้มมาทำแผลก็เลยลืมสนิท"
"ใส่แว่นด้วยหรือเรา สายตาสั้นเท่าไร" ภาวินถามแทรกขึ้นมา
"สองร้อยค่ะ" หญิงสาวตอบเสียงแผ่วแต่ชายหนุ่มก็ยังได้ยิน
"แล้วทำไมเรียกแม่พี่ว่าคุณป้า แต่ดันเรียกพี่ว่าคุณอาล่ะ" จู่ ๆ ภาวินก็เปลี่ยนเรื่องพูดเอาดื้อ ๆ
"ก็พี่มะลิเป็นเพื่อนหนูพราว พี่มะลิก็ต้องเรียกคุณพ่อว่าคุณอาสิคะ"
พราวนภาตอบแทนเพื่อนต่างวัย
"แต่คุณพ่อไม่อยากเป็นคุณอานี่นา" ชายหนุ่มทำเสียงออดอ้อนบุตรสาวแต่สายตาลอบมองไปอีกทางอย่างแนบเนียน
"ยังไม่อยากแก่ว่างั้นเถอะ" ภคินีค่อนบุตรชายอย่างอดไม่ได้ แค่เห็นสายตาและคำพูดหยอกเย้าของภาวิน คนอาบน้ำร้อนมาก่อนอย่างเธอก็เข้าใจดีว่าบุตรชายของตนถูกใจสาวน้อยข้างบ้านเข้าให้แล้ว
"ก็ผมยังไม่แก่จริง ๆ นี่ครับคุณแม่ อายุเพิ่งจะสามสิบนิด ๆ แถมยังโสดสนิทแฟนก็ไม่มีสักคน มีแต่ลูกสาวสุดที่รักอย่างหนูพราวเท่านั้นเอง"
ภคินียิ้มอย่างอ่อนใจกับการประกาศสถานะโสดแบบโต้ง ๆ ของบุตรชายคนโต แต่คร้านจะเบรกความคิดของอีกฝ่ายเพราะคิดว่าจะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามพรหมลิขิต
"เอาละเสร็จแล้วจ้ะ ป้าว่าให้อาวินเขาพาหนูไปหาหมอที่โรงพยาบาลหน่อยดีกว่า ไปเช็กดูหน่อยว่ามีกระดูกร้าวบ้างไหม อย่าปล่อยเอาไว้มันอันตราย หนูอย่าลืมโทร. ไปบอกคุณพ่อคุณแม่ด้วยล่ะ ท่านจะได้ไม่เป็นห่วง"
มัลลิกาอึกอักครู่หนึ่งก่อนจะพูดเสียงแผ่ว
"หนูว่ารอให้คุณพ่อคุณแม่กลับมาก่อนก็ได้ค่ะ แล้วค่อยให้ท่านพาไปหาหมอ คือ...หนูเกรงใจค่ะ"
"ไม่ต้องเกรงใจหรอก เดี๋ยวพาหนูพราวไปด้วยกันนี่แหละ"
ภาวินพูดเสียงอ่อนเพราะรู้ว่าหญิงสาวคงประหม่าและอาจจะกลัวเขาอยู่บ้างเพราะอย่างไรเสียก็เพิ่งเจอหน้ากันวันแรก
"ไปกันเลยดีกว่า พอเดินไหวไหมเรา หรือให้พี่อุ้มไปขึ้นรถดี"
ชายหนุ่มยิ้มบาง ๆ พลางมองเวลาจากนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนัง ก่อนจะหันมาทางเดิมแล้วเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามหญิงสาวตรงหน้า
ภคินีเห็นมัลลิกาลังเลไม่กล้าตอบรับหรือปฏิเสธจึงพยักหน้าอย่างเข้าใจ เพราะอีกฝ่ายยังไม่คุ้นเคยกับภาวินจึงไม่กล้านั่งรถไปไหนด้วยกันสองต่อสอง ถึงแม้ว่าจะมีพราวนภานั่งไปด้วยก็ตาม
"เอาอย่างนี้ละกัน ป้าจะไปด้วย ไปกันทั้งบ้านนี่แหละจะได้ช่วยกันดูแล ว่าแต่หนูปิดบ้านดีแล้วรึยัง"
"หนูคล้องกุญแจบ้านไว้แล้วก่อนจะมาหาหนูพราวที่นี่ค่ะ กระเป๋าสะพายหนูวางเอาไว้ใต้ต้นไม้ รองเท้าก็ถอดไว้แถวนั้น" หญิงสาวชี้ไปทางต้นไม้ที่ตนตกลงมาจนบาดเจ็บ
"แล้วคุณพ่อคุณแม่จะกลับมากี่โมงหรือจ๊ะ มีกุญแจเข้าบ้านกันรึเปล่า"
ภคินีถามอย่างรอบคอบเพราะไม่อยากให้เกิดปัญหาหากผู้ปกครองของมัลลิกากลับมาแล้วไม่เจอบุตรสาว
"วันนี้คงกลับค่ำค่ะเพราะพวกท่านไปทำธุระที่ต่างจังหวัด ส่วนน้องชายหนูก็ไปเข้าค่ายลูกเสือตั้งแต่เมื่อวาน กลับมาพรุ่งนี้ค่ะ" มัลลิกาตอบไปตามความจริง
"ถ้าอย่างนั้นหนูโทรศัพท์ไปบอกคุณแม่ก่อนดีกว่า หรือไม่ก็ให้ป้าคุยกับคุณแม่เอง ท่านจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง" พูดจบภคินีก็หันไปทางบุตรชายแล้วบอก
"ตาวิน ไปหยิบกระเป๋าหนูมะลิมาหน่อยสิ โทรศัพท์หนูอยู่ในกระเป๋าใช่ไหม" ประโยคหลังหันไปถามเจ้าตัว มัลลิกาจึงพยักหน้าพร้อมกับรับคำเสียงแผ่ว
ภาวินยิ้มแล้วลุกออกไปหยิบกระเป๋าตามคำสั่งของมารดา เขาเดินไปยืนใต้ต้นมะม่วงแต่ไม่เห็นกระเป๋าใด ๆ ทั้งสิ้นนอกจากตะกร้าที่พราวนภาถือมาทิ้งเอาไว้ จึงลองเดินไปอีกด้านก็เห็นกระเป๋าสะพายใบเล็กวางแอบอยู่โคนต้นพร้อมกับรองเท้าแตะแบบคีบ ชายหนุ่มก้มลงเก็บแล้วก็ต้องนิ่วหน้าเมื่อรู้สึกเจ็บแปลบที่กล้ามเนื้อจุดเดิม
"สงสัยจะกล้ามเนื้ออักเสบแล้วแน่ ๆ" ภาวินพึมพำเบา ๆ พลางเอี้ยวตัวซ้ายขวา อาการปวดแปลบที่หลังก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น เขาจึงมั่นใจแล้วว่าตนก็บาดเจ็บเช่นกัน และต้องรีบไปพบแพทย์ด้วยก่อนที่จะปวดไปมากกว่านี้
พลันนั้นชายหนุ่มก็เหลือบตาไปเห็นแว่นตากรอบดำตกอยู่ไม่ไกลจากที่ตนยืนอยู่จึงเดินไปเก็บ คราวนี้เขาไม่ก้มตัวแต่ใช้วิธีย่อขาลงเพราะเกรงว่าจะยิ่งทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นบาดเจ็บยิ่งกว่าเดิม
"เด็กสมัยนี้สายตาสั้นกันเยอะจังแฮะ"
เขาเป็นคนที่มีสายตาดีมากเนื่องจากดูแลเอาใจใส่ดวงตาของตัวเองเป็นพิเศษมาตั้งแต่รู้ตัวว่าอยากเป็นนักบิน อะไรที่เสี่ยงต่อการทำให้สายตามีปัญหาเขาจะหลีกเลี่ยงทั้งหมด แม้กระทั่งการเล่มเกมเขาก็แทบไม่แตะต้อง ส่วนการเล่นโซเชียลผ่านโทรศัพท์มือถือนั้น เขาจะเล่นเฉพาะเวลาที่จำเป็นจริง ๆ หากวันไหนที่รู้ตัวว่าดวงตาอ่อนล้าเป็นพิเศษ เขาจะนวดเบา ๆ แล้วใช้ผ้าชุบน้ำเย็นมาวางโปะไว้สักหนึ่งนาทีเพื่อผ่อนคลาย
ชายหนุ่มเดินกลับเข้าไปในบ้านแล้วยื่นกระเป๋ากับแว่นตาส่งให้มัลลิกา หญิงสาวยกมือไหว้เขาแล้วพูด"ขอบคุณค่ะคุณอา"ได้ยินดังนั้นภาวินจึงชักมือกลับไปไม่ยอมส่งของให้ จากนั้นก็ยื่นข้อเสนอ"เรียกใหม่ซิ...พี่วิน ไม่ใช่คุณอา" เขาพูดไปยิ้มไป เห็นเธอมองไปทางมารดาของเขาราวกับต้องการขอความช่วยเหลือก็อดยิ้มกว้างกว่าเดิมไม่ได้"ตาวิน" เสียงลากยาวของมารดาเป็นเชิงปรามบุตรชายนั้นทำให้ภาวินหัวเราะออกมาเบา ๆ"โธ่คุณแม่ครับ หนูมะลิของคุณแม่น่ะเรียนปีสี่แล้วนะ ไอ้คิน ลูกชายคนเล็กของคุณแม่ก็รุ่นราวคราวเดียวกับมะลินั่นแหละ แล้วเรื่องอะไรผมจะยอมให้เขามาเรียกผมว่าอาล่ะ ฟังดูแก่ยังไงก็ไม่รู้"ภคินีค้อนบุตรชายปะหลับปะเหลือกก่อนจะหันไปพูดกับสาวน้อยข้างตัว"ก็เรียกพี่ให้เขาชื่นใจหน่อยละกันหนูมะลิ คนเขาไม่อยากแก่"มัลลิกาอมยิ้มแล้วยกมือไหว้ชายหนุ่มตรงหน้าอีกครั้ง"ขอบคุณค่ะพี่วิน""ค่อยฟังดูดีหน่อย" ภาวินยิ้มกว้างอวดลักยิ้มที่แก้มซ้ายพร้อมกับยื่นกระเป๋ากับแว่นตาส่งคืนเจ้าของมัลลิการับของมาถือไว้แล้วหยิบแว่นตาขึ้นมาสวม แว่นสายตาอันใหญ่กรอบสีดำแทบจะกินพื้นที่บนใบหน้ารูปไข่ไปถึงหนึ่งในสามส่วน จากหญิงสาวหน้าตาสะสวยแปรเป
"หนูพราว หนูอยู่ไหนลูก"ภาวินออกมาจากห้องทำงานแล้วไม่เห็นบุตรสาววัยหกขวบ ที่ก่อนหน้านี้เจ้าตัวยังนั่งเล่นตัวต่ออยู่ในห้องนั่งเล่น จึงกวาดตามองหาพลางส่งเสียงเรียกไปด้วย เขาได้ยินเสียงน้ำจากในครัวจึงเดินไปดูเพราะคิดว่าเจ้าตัวเล็กคงกำลังช่วยย่าทำของว่างอยู่ แต่พอเข้าไปก็เห็นเพียงมารดาของตนอยู่ตามลำพัง ท่านกำลังหั่นแตงโมเป็นชิ้นพอดีคำใส่จานเพื่อเตรียมไว้ให้หลานสาวสุดที่รัก"หนูพราวล่ะครับคุณแม่""อ้าว ไม่ได้อยู่ในห้องนั่งเล่นหรือ ถ้าอย่างนั้นก็คงไปเล่นในสวนหน้าบ้านละมั้ง ช่วงนี้ยายหนูพราวเขามีเพื่อนใหม่เป็นสาวข้างบ้านเรานี่เอง เล่นกันถูกคอเชียว"ภคินีพูดไปยิ้มไปเมื่อนึกถึงตอนที่พราวนภามาเล่าเรื่องเพื่อนใหม่ให้ฟังอย่างตื่นเต้น ซึ่งตนก็พลอยยินดีไปด้วย เพราะเวลาที่หลานสาวมาค้างที่บ้านนี้ทุกวันเสาร์อาทิตย์ มักจะไม่ค่อยมีเพื่อนเล่นวัยเดียวกันนัก ถึงมีก็เป็นเด็กผู้ชายเสียส่วนใหญ่ และเด็กพวกนั้นมักเล่นกันแรงตามประสาวัยทะโมน เธอจึงไม่อยากให้หลานไปเล่นด้วย"จริงหรือครับ ข้างบ้านเราที่ย้ายเข้ามาใหม่ก็มีลูกสาวเหมือนกันหรือ ดีจัง"ภาวินยิ้มกว้างพลางเดินออกจากห้องครัวไปเงียบ ๆ เพื่อไปดูบุตรสาวเล่นกับเ
"โอย..." มัลลิกาหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตนร่วงลงมาทับใครคนหนึ่ง และตอนนี้ก็กำลังนั่งทับร่างเขาอยู่ เธอก้มลงมองแล้วก็ต้องอุทานออกมาเสียงดังด้วยความตกใจ"ว้าย!" หญิงสาวพยายามกระถดตัวถอยมาด้านหลังพร้อมกับรวบกระโปรงนักศึกษาเข้าหาตัว เพราะตอนนี้กระโปรงพลีตของเธอคลุมศีรษะของเขาอยู่ แต่เพราะหัวเข่าที่เจ็บจากแรงกระแทกจึงทำให้เคลื่อนไหวไม่คล่องตัวเท่าไรนัก จึงเผลอหลุดเสียงร้องโอดโอยออกมาอีกครั้งขณะเดียวกัน คนที่เป็นเบาะเนื้อรองรับอยู่ด้านล่างก็รู้สึกโลกสว่างขึ้นมาทันทีเมื่อกระโปรงที่คลุมหน้าอยู่เมื่อครู่ถูกดึงออกไปพร้อมกับกางเกงในลายหน้าแมว จากนั้นก็ถูกแทนที่ด้วยภาพใบหน้าแดงก่ำของหญิงสาวคนหนึ่งในชุดนักศึกษา ซึ่งตอนนี้เจ้าหล่อนกำลังนั่งทับท้องเขาอยู่ และมีทีท่าว่าจะถอยร่นต่ำลงไปเรื่อย ๆ"เดี๋ยวก่อน หยุด! อย่าเพิ่งขยับ" เขารีบห้ามเธอเอาไว้ เพราะขืนปล่อยให้หญิงสาวถอยสะโพกลงไปมากกว่านี้ ตำแหน่งของ "แมวน้อย" ของเธอกับ "ปืนใหญ่" ของเขาอาจจ๊ะเอ๋กันได้"หนูขอโทษค่ะ หนูไม่ได้ตั้งใจ" หญิงสาวยกมือไหว้เขาด้วยสีหน้าราวกับจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ เขาจึงเพิ่งรู้ตัวว่าเมื่อครู่ตนเสียงดัง
แต่สิ่งที่สะท้อนออกมาชัดเจนที่สุดเห็นจะเป็นความโหยหาและความอิจฉา เหมือนเวลาที่เห็นพี่หรือน้องของตนได้ของเล่นแล้วตัวเองไม่ได้ด้วย"อุ๊ย! พี่มะลิเลือดออกค่ะคุณพ่อ พี่มะลิเป็นแผลเลือดออกเลย"พราวนภาร้องบอกบิดาพร้อมกับชี้ไปที่หัวเข่าทั้งสองข้างของมัลลิกา ชายหนุ่มมองตามแล้วก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ"แย่ละ หนูพราวลุกขึ้นก่อนลูก คุณพ่อจะไปช่วยดูแผลให้พี่มะลิก่อน"ครั้นพอพราวนภาลุกขึ้นแล้ว ชายหนุ่มจึงชะโงกหน้าเข้าไปดูแผลที่หัวเข่าของหญิงสาวใกล้ ๆ"พี่ว่าเข้าไปทำแผลในบ้านก่อนดีกว่า ลุกไหวไหมเรา" พูดจบเขาก็ลุกขึ้นยืน และมองหาบาดแผลบริเวณอื่นไปด้วยมัลลิกาพยายามจะลุกขึ้น แต่ก็ปวดแปลบที่หัวเข่าขึ้นมาจนทำให้เธอต้องทรุดลงไปนั่งอยู่ท่าเดิม หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วส่ายหน้าให้ช้า ๆ ด้วยท่าทางน่าสงสาร"หนูเจ็บขาค่ะ ทำยังไงดี""ถ้าอย่างนั้นพี่จะอุ้มเราเข้าไปทำแผลในบ้านก่อน แล้วค่อยไปโรงพยาบาล ตรวจดูสักหน่อยว่ากระดูกหักหรือร้าวตรงไหนบ้างรึเปล่า...ขอโทษนะ"พูดจบเขาก็ก้มลงช้อนตัวมัลลิกาไว้ในวงแขนก่อนจะนิ่วหน้าสูดปากออกมาเบา ๆ เพราะความรู้สึกเจ็บที่กล้ามเนื้อด้านหลังตอนล้มลงกับพื้นแสดงอาการออกมาอีกค