Share

บทที่ 1 มักกะลีผล - 75%

"จะออกเป็นอะไรได้อีกล่ะนอกจากมะม่วง ถ้าออกเป็นอย่างอื่นได้ ป่านนี้แม่แป้นคงจะเอาแป้งไปโรยแล้วขูดหาหวยทุกวันแล้ว"

ภคินีพูดกลั้วหัวเราะเมื่อนึกถึงแป้น แม่บ้านที่ตนจ้างไว้แบบเช้ามาเย็นกลับ ซึ่งแป้นเป็นภรรยาของหัวหน้าพนักงานรักษาความปลอดภัยในหมู่บ้าน จึงรับจ้างทำงานบ้านให้กับลูกบ้านในหมู่บ้านด้วย

"ก็..." เขาจงใจเว้นช่วงเอาไว้ไม่พูดออกมา ก่อนจะคลี่ยิ้มมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อเห็นใบหน้าของสาวน้อยเปลี่ยนจากซีดเผือดเป็นสีชมพูระเรื่อราวกับรู้ว่าเขาจะพูดอะไรต่อไป

"มักกะลีผลไงครับคุณแม่" ทันทีที่เขาพูดจบ หน้าของมัลลิกาก็มีสีเข้มขึ้นอย่างที่คาดไว้

"มัก...มักอะไรนะคะคุณพ่อ มันคืออะไรคะ" พราวนภาหันไปถามบิดาด้วยความสนใจ ขณะที่ผู้อาวุโสสุดในที่นั้นหันไปมองค้อนบุตรชายด้วยความหมั่นไส้

"มักกะลีผลค่ะหนูพราว เป็นต้นไม้ในนิทานโบราณน่ะ ออกผลมาเป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารัก ใครอยากมีลูกก็จะเด็ดเอาไปเลี้ยงที่บ้าน" ชายหนุ่มเล่าบิดเบือนตำนานไปเล็กน้อยพลางมองใบหน้าแดงก่ำของหญิงสาวอย่างเอ็นดู

"บ้านเรามีต้นนั้นด้วยหรือคะ อยู่ตรงไหนหนูพราวไม่เคยเห็น" พราวนภาถามอย่างตื่นเต้นก่อนจะหันไปมองหน้าเพื่อนต่างวัยอย่างมัลลิการาวกับต้องการหาพวกเพื่อไปตามหาต้นไม้ที่ว่า

"ไม่มีหรอกค่ะ คุณพ่อเข้าใจผิดน่ะ เพราะมักกะลีผลคงไม่ชอบเลี้ยงแมว"

ภาวินยิ้มกว้างเมื่อเห็นหญิงสาวหน้าแดงจนถึงลำคอ คิดแล้วก็แปลกใจตัวเองเหมือนกัน ทั้งที่เพิ่งเจอหน้ามัลลิกาครั้งแรก แต่เขากลับรู้สึกถูกชะตาด้วยอย่างบอกไม่ถูก และที่เขามั่นใจคือตนไม่ได้เอ็นดูเธออย่างลูกหลาน แต่เป็นความรู้สึกของผู้ชายคนหนึ่งยามเจอหญิงสาวที่ถูกใจแล้วอยากทำความรู้จักให้มากขึ้น

"อะไรของเราน่ะตาวิน" ภคินีหรี่ตามองบุตรชายอย่างจับผิดแต่อีกฝ่ายกลับแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ จึงได้แต่หันหน้ากลับมามองสาวน้อยข้างบ้าน ซึ่งเมื่อมองแล้วก็รู้สึกสะดุดใจขึ้นมา

"เอ...ป้าว่าวันนี้หนูมีอะไรแปลกไปนะหนูมะลิ" พูดพลางเอียงศีรษะมองมัลลิกาด้วยความสงสัย ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับดีดนิ้วดังเปาะเมื่อนึกออก

"รู้แล้ว! แว่นตาหนูหายไปไหนลูก ปกติหนูใส่แว่นด้วยนี่นามะลิ"

เมื่อได้ยินอย่างนั้น มัลลิกาก็ยกมือแตะหัวตาของตนแล้วก็นึกขึ้นได้เช่นกัน

"สงสัยคงจะหล่นอยู่ในสวนตอนตกต้นไม้ค่ะคุณป้า หนูมัวแต่เจ็บขา คุณอา...เอ่อ...คุณพ่อหนูพราวอุ้มมาทำแผลก็เลยลืมสนิท"

"ใส่แว่นด้วยหรือเรา สายตาสั้นเท่าไร" ภาวินถามแทรกขึ้นมา

"สองร้อยค่ะ" หญิงสาวตอบเสียงแผ่วแต่ชายหนุ่มก็ยังได้ยิน

"แล้วทำไมเรียกแม่พี่ว่าคุณป้า แต่ดันเรียกพี่ว่าคุณอาล่ะ" จู่ ๆ ภาวินก็เปลี่ยนเรื่องพูดเอาดื้อ ๆ

"ก็พี่มะลิเป็นเพื่อนหนูพราว พี่มะลิก็ต้องเรียกคุณพ่อว่าคุณอาสิคะ"

พราวนภาตอบแทนเพื่อนต่างวัย

"แต่คุณพ่อไม่อยากเป็นคุณอานี่นา" ชายหนุ่มทำเสียงออดอ้อนบุตรสาวแต่สายตาลอบมองไปอีกทางอย่างแนบเนียน

"ยังไม่อยากแก่ว่างั้นเถอะ" ภคินีค่อนบุตรชายอย่างอดไม่ได้ แค่เห็นสายตาและคำพูดหยอกเย้าของภาวิน คนอาบน้ำร้อนมาก่อนอย่างเธอก็เข้าใจดีว่าบุตรชายของตนถูกใจสาวน้อยข้างบ้านเข้าให้แล้ว

"ก็ผมยังไม่แก่จริง ๆ นี่ครับคุณแม่ อายุเพิ่งจะสามสิบนิด ๆ แถมยังโสดสนิทแฟนก็ไม่มีสักคน มีแต่ลูกสาวสุดที่รักอย่างหนูพราวเท่านั้นเอง"

ภคินียิ้มอย่างอ่อนใจกับการประกาศสถานะโสดแบบโต้ง ๆ ของบุตรชายคนโต แต่คร้านจะเบรกความคิดของอีกฝ่ายเพราะคิดว่าจะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามพรหมลิขิต

"เอาละเสร็จแล้วจ้ะ ป้าว่าให้อาวินเขาพาหนูไปหาหมอที่โรงพยาบาลหน่อยดีกว่า ไปเช็กดูหน่อยว่ามีกระดูกร้าวบ้างไหม อย่าปล่อยเอาไว้มันอันตราย หนูอย่าลืมโทร. ไปบอกคุณพ่อคุณแม่ด้วยล่ะ ท่านจะได้ไม่เป็นห่วง"

มัลลิกาอึกอักครู่หนึ่งก่อนจะพูดเสียงแผ่ว

"หนูว่ารอให้คุณพ่อคุณแม่กลับมาก่อนก็ได้ค่ะ แล้วค่อยให้ท่านพาไปหาหมอ คือ...หนูเกรงใจค่ะ"

"ไม่ต้องเกรงใจหรอก เดี๋ยวพาหนูพราวไปด้วยกันนี่แหละ"

ภาวินพูดเสียงอ่อนเพราะรู้ว่าหญิงสาวคงประหม่าและอาจจะกลัวเขาอยู่บ้างเพราะอย่างไรเสียก็เพิ่งเจอหน้ากันวันแรก

"ไปกันเลยดีกว่า พอเดินไหวไหมเรา หรือให้พี่อุ้มไปขึ้นรถดี"

ชายหนุ่มยิ้มบาง ๆ พลางมองเวลาจากนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนัง ก่อนจะหันมาทางเดิมแล้วเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามหญิงสาวตรงหน้า

ภคินีเห็นมัลลิกาลังเลไม่กล้าตอบรับหรือปฏิเสธจึงพยักหน้าอย่างเข้าใจ เพราะอีกฝ่ายยังไม่คุ้นเคยกับภาวินจึงไม่กล้านั่งรถไปไหนด้วยกันสองต่อสอง ถึงแม้ว่าจะมีพราวนภานั่งไปด้วยก็ตาม

"เอาอย่างนี้ละกัน ป้าจะไปด้วย ไปกันทั้งบ้านนี่แหละจะได้ช่วยกันดูแล ว่าแต่หนูปิดบ้านดีแล้วรึยัง"

"หนูคล้องกุญแจบ้านไว้แล้วก่อนจะมาหาหนูพราวที่นี่ค่ะ กระเป๋าสะพายหนูวางเอาไว้ใต้ต้นไม้ รองเท้าก็ถอดไว้แถวนั้น" หญิงสาวชี้ไปทางต้นไม้ที่ตนตกลงมาจนบาดเจ็บ

"แล้วคุณพ่อคุณแม่จะกลับมากี่โมงหรือจ๊ะ มีกุญแจเข้าบ้านกันรึเปล่า"

ภคินีถามอย่างรอบคอบเพราะไม่อยากให้เกิดปัญหาหากผู้ปกครองของมัลลิกากลับมาแล้วไม่เจอบุตรสาว

"วันนี้คงกลับค่ำค่ะเพราะพวกท่านไปทำธุระที่ต่างจังหวัด ส่วนน้องชายหนูก็ไปเข้าค่ายลูกเสือตั้งแต่เมื่อวาน กลับมาพรุ่งนี้ค่ะ" มัลลิกาตอบไปตามความจริง

"ถ้าอย่างนั้นหนูโทรศัพท์ไปบอกคุณแม่ก่อนดีกว่า หรือไม่ก็ให้ป้าคุยกับคุณแม่เอง ท่านจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง" พูดจบภคินีก็หันไปทางบุตรชายแล้วบอก

"ตาวิน ไปหยิบกระเป๋าหนูมะลิมาหน่อยสิ โทรศัพท์หนูอยู่ในกระเป๋าใช่ไหม" ประโยคหลังหันไปถามเจ้าตัว มัลลิกาจึงพยักหน้าพร้อมกับรับคำเสียงแผ่ว

ภาวินยิ้มแล้วลุกออกไปหยิบกระเป๋าตามคำสั่งของมารดา เขาเดินไปยืนใต้ต้นมะม่วงแต่ไม่เห็นกระเป๋าใด ๆ ทั้งสิ้นนอกจากตะกร้าที่พราวนภาถือมาทิ้งเอาไว้ จึงลองเดินไปอีกด้านก็เห็นกระเป๋าสะพายใบเล็กวางแอบอยู่โคนต้นพร้อมกับรองเท้าแตะแบบคีบ ชายหนุ่มก้มลงเก็บแล้วก็ต้องนิ่วหน้าเมื่อรู้สึกเจ็บแปลบที่กล้ามเนื้อจุดเดิม

"สงสัยจะกล้ามเนื้ออักเสบแล้วแน่ ๆ" ภาวินพึมพำเบา ๆ พลางเอี้ยวตัวซ้ายขวา อาการปวดแปลบที่หลังก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น เขาจึงมั่นใจแล้วว่าตนก็บาดเจ็บเช่นกัน และต้องรีบไปพบแพทย์ด้วยก่อนที่จะปวดไปมากกว่านี้

พลันนั้นชายหนุ่มก็เหลือบตาไปเห็นแว่นตากรอบดำตกอยู่ไม่ไกลจากที่ตนยืนอยู่จึงเดินไปเก็บ คราวนี้เขาไม่ก้มตัวแต่ใช้วิธีย่อขาลงเพราะเกรงว่าจะยิ่งทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นบาดเจ็บยิ่งกว่าเดิม

"เด็กสมัยนี้สายตาสั้นกันเยอะจังแฮะ"

เขาเป็นคนที่มีสายตาดีมากเนื่องจากดูแลเอาใจใส่ดวงตาของตัวเองเป็นพิเศษมาตั้งแต่รู้ตัวว่าอยากเป็นนักบิน อะไรที่เสี่ยงต่อการทำให้สายตามีปัญหาเขาจะหลีกเลี่ยงทั้งหมด แม้กระทั่งการเล่มเกมเขาก็แทบไม่แตะต้อง ส่วนการเล่นโซเชียลผ่านโทรศัพท์มือถือนั้น เขาจะเล่นเฉพาะเวลาที่จำเป็นจริง ๆ หากวันไหนที่รู้ตัวว่าดวงตาอ่อนล้าเป็นพิเศษ เขาจะนวดเบา ๆ แล้วใช้ผ้าชุบน้ำเย็นมาวางโปะไว้สักหนึ่งนาทีเพื่อผ่อนคลาย

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status