ชายหนุ่มเดินกลับเข้าไปในบ้านแล้วยื่นกระเป๋ากับแว่นตาส่งให้มัลลิกา หญิงสาวยกมือไหว้เขาแล้วพูด
"ขอบคุณค่ะคุณอา"
ได้ยินดังนั้นภาวินจึงชักมือกลับไปไม่ยอมส่งของให้ จากนั้นก็ยื่นข้อเสนอ
"เรียกใหม่ซิ...พี่วิน ไม่ใช่คุณอา" เขาพูดไปยิ้มไป เห็นเธอมองไปทางมารดาของเขาราวกับต้องการขอความช่วยเหลือก็อดยิ้มกว้างกว่าเดิมไม่ได้
"ตาวิน" เสียงลากยาวของมารดาเป็นเชิงปรามบุตรชายนั้นทำให้ภาวินหัวเราะออกมาเบา ๆ
"โธ่คุณแม่ครับ หนูมะลิของคุณแม่น่ะเรียนปีสี่แล้วนะ ไอ้คิน ลูกชายคนเล็กของคุณแม่ก็รุ่นราวคราวเดียวกับมะลินั่นแหละ แล้วเรื่องอะไรผมจะยอมให้เขามาเรียกผมว่าอาล่ะ ฟังดูแก่ยังไงก็ไม่รู้"
ภคินีค้อนบุตรชายปะหลับปะเหลือกก่อนจะหันไปพูดกับสาวน้อยข้างตัว
"ก็เรียกพี่ให้เขาชื่นใจหน่อยละกันหนูมะลิ คนเขาไม่อยากแก่"
มัลลิกาอมยิ้มแล้วยกมือไหว้ชายหนุ่มตรงหน้าอีกครั้ง
"ขอบคุณค่ะพี่วิน"
"ค่อยฟังดูดีหน่อย" ภาวินยิ้มกว้างอวดลักยิ้มที่แก้มซ้ายพร้อมกับยื่นกระเป๋ากับแว่นตาส่งคืนเจ้าของ
มัลลิการับของมาถือไว้แล้วหยิบแว่นตาขึ้นมาสวม แว่นสายตาอันใหญ่กรอบสีดำแทบจะกินพื้นที่บนใบหน้ารูปไข่ไปถึงหนึ่งในสามส่วน จากหญิงสาวหน้าตาสะสวยแปรเปลี่ยนเป็นเด็กสาวคงแก่เรียนขึ้นมาทันทีราวกับเป็นคนละคนจนภาวินถึงกับเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ
"มะลิ ทำไมหนูไม่ลองใส่คอนแท็กเลนส์ดูบ้างล่ะ ป้าว่าตอนหนูไม่ใส่แว่นก็สวยดีนี่ลูก"
ภคินีพูดออกไปตามตรงด้วยสายตาของคนที่มากประสบการณ์ในการมองรูปหน้าของผู้หญิง เนื่องจากทำงานอยู่ในแวดวงเครื่องสำอางมานาน พอได้เห็นมัลลิกาตอนที่ไม่มีแว่นสายตาอันใหญ่บดบังใบหน้า ถึงได้รู้ว่าหญิงสาวคนนี้มีเครื่องหน้าที่สมส่วน ไม่ว่าจะเป็นคิ้ว ตา จมูก ปาก ล้วนรับกันอย่างพอเหมาะพอเจาะ หากจับมาแต่งหน้าแต่งตัวเสียใหม่ รับรองว่าจะต้องเป็นคนที่โดดเด่นมากคนหนึ่ง
"ไม่ดีกว่าค่ะ หนูถนัดแบบนี้มากกว่า"
มัลลิกายิ้มเจื่อนพร้อมกับก้มศีรษะลงเล็กน้อย ภคินีจึงไม่พูดเซ้าซี้อีก เพราะเข้าใจดีว่าความชอบของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน
"ถ้าอย่างนั้นหนูโทร. หาคุณแม่เถอะ เดี๋ยวป้าจะคุยให้เอง"
มัลลิกาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าแล้วกดโทร. ไปหามารดา สัญญาณดังเพียงสองครั้งปลายสายก็กดรับ
"คุณแม่คะ ป้านีคุณย่าของหนูพราวที่อยู่ข้างบ้านเราจะคุยด้วยค่ะ" พูดจบเธอก็ยื่นโทรศัพท์ให้เจ้าของบ้าน
ขณะที่รอให้ผู้ใหญ่ทั้งสองคนคุยกัน ภาวินก็เดินออกจากห้องรับแขกเพื่อไปนำรถมาจอดไว้ใกล้ประตู คนเจ็บจะได้ไม่ต้องเดินไกล อีกทั้งหากเขาจำเป็นต้องอุ้มมัลลิกาเดินออกมาจะได้สะดวกเวลาอุ้มเธอขึ้นรถด้วย
เมื่อเข้ามาในห้องรับแขกอีกครั้ง ก็เห็นสามสาวต่างวัยกำลังคุยกันอยู่ เขาจึงส่งเสียงออกไป
"พร้อมรึยังครับสาว ๆ" จากนั้นก็หันไปพูดกับคนเจ็บ
"พอลุกไหวไหมเรา ไหนลองลุกขึ้นยืนหน่อยสิ"
ภาวินเดินเข้ามาใกล้เพื่อคอยประคอง เขายื่นแขนไปด้านหน้าเพื่อให้หญิงสาวใช้เป็นหลักยึดตอนลุกขึ้นยืน
มัลลิกาไม่อยากทำตัวเป็นคนเรื่องมาก และไม่อยากโดนอุ้ม จึงเกาะแขนเขาแล้วกัดฟันลุกขึ้นยืนอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้หัวเข่าจะปวดแปลบขึ้นมาอีก แต่ก็นับว่าดีกว่าตอนที่ตกลงมาจากต้นไม้ใหม่ ๆ
"ถ้าเจ็บก็อย่าฝืนนะ ให้พี่อุ้มไปที่รถดีกว่าไหม"
ชายหนุ่มมองอย่างกังวลเมื่อเห็นใบหน้าซีดเผือดของหญิงสาว มองดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายพยายามข่มความเจ็บเต็มที่ ไม่มีเสียงร้องสักแอะแต่หัวคิ้วขมวดเข้าหากันมุ่น อีกทั้งแรงมือที่เกาะแขนเขานั้นก็บีบแน่นอย่างลืมตัว
"หนูไหวค่ะ พอเดินได้"
"ช้า ๆ ไม่ต้องรีบ พี่เอารถมาจอดไว้ใกล้ประตูแล้ว"
เขาก้มลงไปพูดเสียงอ่อนพลางเดินช้า ๆ เพราะไม่อยากให้เธอฝืนมากเกินไป หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างขอบคุณพร้อมกับอมยิ้มบาง ๆ ก่อนจะก้มหน้าก้มตามองพื้นเช่นเดิม
ภคินีเปิดประตูรถด้านหลังรอไว้แล้วบอกให้พราวนภาขึ้นไปนั่งรอบนรถก่อน เมื่อเห็นว่าภาวินกับมัลลิกาเดินมาถึงรถแล้วจึงเดินไปปิดประตูบ้านแล้วล็อกกุญแจไว้ เพราะบิดาของภาวินรวมถึงบุตรชายคนเล็กอย่างภาคินต่างก็มีกุญแจเข้าบ้านด้วยกันทั้งคู่
"พี่มะลิเจ็บไหม หนูพราวสงสารพี่มะลิจังเลยค่ะ"
น้ำเสียงออดอ้อนของเด็กน้อยทำให้บรรยากาศในรถดูเป็นกันเองขึ้นมาก พราวนภากับมัลลิกานั่งคุยกันกระหนุงกระหนิงอยู่เบาะหลังราวกับเด็กรุ่นเดียวกัน ภาวินลอบมองจากกระจกมองหลังแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ ดูท่าทางพราวนภาจะชอบเพื่อนใหม่ต่างวัยคนนี้มาก ทั้งที่ปกติแล้วหากเป็นหญิงสาวแปลกหน้าที่อายุห่างจากตัวเองมาก พราวนภามักไม่ค่อยยอมสนิทสนมด้วย
"หายเจ็บไปเยอะแล้วค่ะ พรุ่งนี้พี่ก็มาเล่นกับหนูพราวได้เหมือนเดิมนั่นแหละ" มัลลิกาปลอบโยนเด็กน้อย
"ความจริงแล้วที่พี่มะลิตกต้นไม้ก็เป็นความผิดของคุณพ่อเองค่ะ พ่อทำให้พี่มะลิของหนูตกใจ...พี่ขอโทษนะมะลิ" ประโยคหลังภาวินมองหน้าหญิงสาวผ่านกระจก
"ไม่...ไม่เป็นไรค่ะ หนูต่างหากที่ผิด ทั้งที่คุณป้าบอกแล้วว่ามีไม้สอยมะม่วง แต่หนูอยากลองปีนดูเพราะเห็นว่ากิ่งมันเยอะ น่าจะปีนง่าย"
"พี่มะลิปีนต้นไม้เก่งมากเลยนะคะคุณพ่อ ตอนนั้นหนูพราวกับพี่มะลิตีแบดกันแล้วลูกขนไก่ติดบนต้นไม้ พี่มะลิก็ปีนขึ้นไปเก็บแถมยังได้มะม่วงมากินกันด้วย"
พราวนภารีบอวดความสามารถของเพื่อนต่างวัยให้บิดาฟังอย่างภาคภูมิใจ ขณะที่คนถูกพูดถึงนั้นได้แต่ทำหน้าประดักประเดิด
ภาวินหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นหน้าคนถูกเด็กแฉ ภคินีที่นั่งเบาะหน้าคู่บุตรชายจึงหันไปกำชับสองสาวต่างวัย
"คราวหน้าห้ามปีนต้นไม้อีกนะ ทั้งคู่เลยโดย เฉพาะหนูพราวย่าไม่อนุญาตเพราะมันอันตราย เห็นไหมว่าพี่มะลิต้องเจ็บขาเพราะตกต้นไม้ ถ้าหนูพราวไม่อยากเจ็บแบบพี่มะลิ หนูพราวก็ห้ามปีนเด็ดขาดเลยนะคะ"
"ค่ะ" มัลลิกากับพราวนภารับคำพร้อมกัน จากนั้นก็นั่งคุยกันเบา ๆ จนถึงโรงพยาบาล
ชายหนุ่มจอดรถไว้ด้านหน้าแล้วรีบลงไปแจ้งกับบุรุษพยาบาลเพื่อขอรถเข็นสำหรับคนป่วย จากนั้นก็ค่อย ๆ ประคองมัลลิกาลงมาจากรถ กระทั่งอีกฝ่ายนั่งอยู่บนรถเข็นเรียบร้อยดีแล้วเขาจึงหันไปพูดกับทุกคน
"ผมเอารถไปจอดก่อนนะครับคุณแม่ หนูพราวเดินจับมือคุณย่าไว้นะลูก ห้ามปล่อยมือนะ เดี๋ยวพี่มานะมะลิ" พูดจบเขาก็ยิ้มให้หญิงสาวอย่างอ่อนโยนก่อนจะเดินกลับขึ้นไปนั่งบนรถแล้วขับออกไป
มัลลิกายกมือขึ้นทาบตรงตำแหน่งหัวใจอย่างลืมตัว เมื่อรู้สึกได้ว่ามันเต้นกระหน่ำรุนแรงอย่างประหลาด รอยยิ้มของชายหนุ่มข้างบ้านที่ตนเคยแอบมองจากห้องนอนของตัวเองเวลาเขาเล่นกับบุตรสาว ทำให้เธออดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ แทบไม่อยากเชื่อเลยว่าวันนี้รอยยิ้มอ่อนโยนนั้นจะเผื่อแผ่มาถึงเธอด้วย
"หนูพราว หนูอยู่ไหนลูก"ภาวินออกมาจากห้องทำงานแล้วไม่เห็นบุตรสาววัยหกขวบ ที่ก่อนหน้านี้เจ้าตัวยังนั่งเล่นตัวต่ออยู่ในห้องนั่งเล่น จึงกวาดตามองหาพลางส่งเสียงเรียกไปด้วย เขาได้ยินเสียงน้ำจากในครัวจึงเดินไปดูเพราะคิดว่าเจ้าตัวเล็กคงกำลังช่วยย่าทำของว่างอยู่ แต่พอเข้าไปก็เห็นเพียงมารดาของตนอยู่ตามลำพัง ท่านกำลังหั่นแตงโมเป็นชิ้นพอดีคำใส่จานเพื่อเตรียมไว้ให้หลานสาวสุดที่รัก"หนูพราวล่ะครับคุณแม่""อ้าว ไม่ได้อยู่ในห้องนั่งเล่นหรือ ถ้าอย่างนั้นก็คงไปเล่นในสวนหน้าบ้านละมั้ง ช่วงนี้ยายหนูพราวเขามีเพื่อนใหม่เป็นสาวข้างบ้านเรานี่เอง เล่นกันถูกคอเชียว"ภคินีพูดไปยิ้มไปเมื่อนึกถึงตอนที่พราวนภามาเล่าเรื่องเพื่อนใหม่ให้ฟังอย่างตื่นเต้น ซึ่งตนก็พลอยยินดีไปด้วย เพราะเวลาที่หลานสาวมาค้างที่บ้านนี้ทุกวันเสาร์อาทิตย์ มักจะไม่ค่อยมีเพื่อนเล่นวัยเดียวกันนัก ถึงมีก็เป็นเด็กผู้ชายเสียส่วนใหญ่ และเด็กพวกนั้นมักเล่นกันแรงตามประสาวัยทะโมน เธอจึงไม่อยากให้หลานไปเล่นด้วย"จริงหรือครับ ข้างบ้านเราที่ย้ายเข้ามาใหม่ก็มีลูกสาวเหมือนกันหรือ ดีจัง"ภาวินยิ้มกว้างพลางเดินออกจากห้องครัวไปเงียบ ๆ เพื่อไปดูบุตรสาวเล่นกับเ
"โอย..." มัลลิกาหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตนร่วงลงมาทับใครคนหนึ่ง และตอนนี้ก็กำลังนั่งทับร่างเขาอยู่ เธอก้มลงมองแล้วก็ต้องอุทานออกมาเสียงดังด้วยความตกใจ"ว้าย!" หญิงสาวพยายามกระถดตัวถอยมาด้านหลังพร้อมกับรวบกระโปรงนักศึกษาเข้าหาตัว เพราะตอนนี้กระโปรงพลีตของเธอคลุมศีรษะของเขาอยู่ แต่เพราะหัวเข่าที่เจ็บจากแรงกระแทกจึงทำให้เคลื่อนไหวไม่คล่องตัวเท่าไรนัก จึงเผลอหลุดเสียงร้องโอดโอยออกมาอีกครั้งขณะเดียวกัน คนที่เป็นเบาะเนื้อรองรับอยู่ด้านล่างก็รู้สึกโลกสว่างขึ้นมาทันทีเมื่อกระโปรงที่คลุมหน้าอยู่เมื่อครู่ถูกดึงออกไปพร้อมกับกางเกงในลายหน้าแมว จากนั้นก็ถูกแทนที่ด้วยภาพใบหน้าแดงก่ำของหญิงสาวคนหนึ่งในชุดนักศึกษา ซึ่งตอนนี้เจ้าหล่อนกำลังนั่งทับท้องเขาอยู่ และมีทีท่าว่าจะถอยร่นต่ำลงไปเรื่อย ๆ"เดี๋ยวก่อน หยุด! อย่าเพิ่งขยับ" เขารีบห้ามเธอเอาไว้ เพราะขืนปล่อยให้หญิงสาวถอยสะโพกลงไปมากกว่านี้ ตำแหน่งของ "แมวน้อย" ของเธอกับ "ปืนใหญ่" ของเขาอาจจ๊ะเอ๋กันได้"หนูขอโทษค่ะ หนูไม่ได้ตั้งใจ" หญิงสาวยกมือไหว้เขาด้วยสีหน้าราวกับจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ เขาจึงเพิ่งรู้ตัวว่าเมื่อครู่ตนเสียงดัง
แต่สิ่งที่สะท้อนออกมาชัดเจนที่สุดเห็นจะเป็นความโหยหาและความอิจฉา เหมือนเวลาที่เห็นพี่หรือน้องของตนได้ของเล่นแล้วตัวเองไม่ได้ด้วย"อุ๊ย! พี่มะลิเลือดออกค่ะคุณพ่อ พี่มะลิเป็นแผลเลือดออกเลย"พราวนภาร้องบอกบิดาพร้อมกับชี้ไปที่หัวเข่าทั้งสองข้างของมัลลิกา ชายหนุ่มมองตามแล้วก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ"แย่ละ หนูพราวลุกขึ้นก่อนลูก คุณพ่อจะไปช่วยดูแผลให้พี่มะลิก่อน"ครั้นพอพราวนภาลุกขึ้นแล้ว ชายหนุ่มจึงชะโงกหน้าเข้าไปดูแผลที่หัวเข่าของหญิงสาวใกล้ ๆ"พี่ว่าเข้าไปทำแผลในบ้านก่อนดีกว่า ลุกไหวไหมเรา" พูดจบเขาก็ลุกขึ้นยืน และมองหาบาดแผลบริเวณอื่นไปด้วยมัลลิกาพยายามจะลุกขึ้น แต่ก็ปวดแปลบที่หัวเข่าขึ้นมาจนทำให้เธอต้องทรุดลงไปนั่งอยู่ท่าเดิม หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วส่ายหน้าให้ช้า ๆ ด้วยท่าทางน่าสงสาร"หนูเจ็บขาค่ะ ทำยังไงดี""ถ้าอย่างนั้นพี่จะอุ้มเราเข้าไปทำแผลในบ้านก่อน แล้วค่อยไปโรงพยาบาล ตรวจดูสักหน่อยว่ากระดูกหักหรือร้าวตรงไหนบ้างรึเปล่า...ขอโทษนะ"พูดจบเขาก็ก้มลงช้อนตัวมัลลิกาไว้ในวงแขนก่อนจะนิ่วหน้าสูดปากออกมาเบา ๆ เพราะความรู้สึกเจ็บที่กล้ามเนื้อด้านหลังตอนล้มลงกับพื้นแสดงอาการออกมาอีกค
"จะออกเป็นอะไรได้อีกล่ะนอกจากมะม่วง ถ้าออกเป็นอย่างอื่นได้ ป่านนี้แม่แป้นคงจะเอาแป้งไปโรยแล้วขูดหาหวยทุกวันแล้ว"ภคินีพูดกลั้วหัวเราะเมื่อนึกถึงแป้น แม่บ้านที่ตนจ้างไว้แบบเช้ามาเย็นกลับ ซึ่งแป้นเป็นภรรยาของหัวหน้าพนักงานรักษาความปลอดภัยในหมู่บ้าน จึงรับจ้างทำงานบ้านให้กับลูกบ้านในหมู่บ้านด้วย"ก็..." เขาจงใจเว้นช่วงเอาไว้ไม่พูดออกมา ก่อนจะคลี่ยิ้มมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อเห็นใบหน้าของสาวน้อยเปลี่ยนจากซีดเผือดเป็นสีชมพูระเรื่อราวกับรู้ว่าเขาจะพูดอะไรต่อไป"มักกะลีผลไงครับคุณแม่" ทันทีที่เขาพูดจบ หน้าของมัลลิกาก็มีสีเข้มขึ้นอย่างที่คาดไว้"มัก...มักอะไรนะคะคุณพ่อ มันคืออะไรคะ" พราวนภาหันไปถามบิดาด้วยความสนใจ ขณะที่ผู้อาวุโสสุดในที่นั้นหันไปมองค้อนบุตรชายด้วยความหมั่นไส้"มักกะลีผลค่ะหนูพราว เป็นต้นไม้ในนิทานโบราณน่ะ ออกผลมาเป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารัก ใครอยากมีลูกก็จะเด็ดเอาไปเลี้ยงที่บ้าน" ชายหนุ่มเล่าบิดเบือนตำนานไปเล็กน้อยพลางมองใบหน้าแดงก่ำของหญิงสาวอย่างเอ็นดู"บ้านเรามีต้นนั้นด้วยหรือคะ อยู่ตรงไหนหนูพราวไม่เคยเห็น" พราวนภาถามอย่างตื่นเต้นก่อนจะหันไปมองหน้าเพื่อนต่างวัยอย่างมัลลิการาวกับ