Share

บทที่ 1 มักกะลีผล - 100%

ชายหนุ่มเดินกลับเข้าไปในบ้านแล้วยื่นกระเป๋ากับแว่นตาส่งให้มัลลิกา หญิงสาวยกมือไหว้เขาแล้วพูด

"ขอบคุณค่ะคุณอา"

ได้ยินดังนั้นภาวินจึงชักมือกลับไปไม่ยอมส่งของให้ จากนั้นก็ยื่นข้อเสนอ

"เรียกใหม่ซิ...พี่วิน ไม่ใช่คุณอา" เขาพูดไปยิ้มไป เห็นเธอมองไปทางมารดาของเขาราวกับต้องการขอความช่วยเหลือก็อดยิ้มกว้างกว่าเดิมไม่ได้

"ตาวิน" เสียงลากยาวของมารดาเป็นเชิงปรามบุตรชายนั้นทำให้ภาวินหัวเราะออกมาเบา ๆ

"โธ่คุณแม่ครับ หนูมะลิของคุณแม่น่ะเรียนปีสี่แล้วนะ ไอ้คิน ลูกชายคนเล็กของคุณแม่ก็รุ่นราวคราวเดียวกับมะลินั่นแหละ แล้วเรื่องอะไรผมจะยอมให้เขามาเรียกผมว่าอาล่ะ ฟังดูแก่ยังไงก็ไม่รู้"

ภคินีค้อนบุตรชายปะหลับปะเหลือกก่อนจะหันไปพูดกับสาวน้อยข้างตัว

"ก็เรียกพี่ให้เขาชื่นใจหน่อยละกันหนูมะลิ คนเขาไม่อยากแก่"

มัลลิกาอมยิ้มแล้วยกมือไหว้ชายหนุ่มตรงหน้าอีกครั้ง

"ขอบคุณค่ะพี่วิน"

"ค่อยฟังดูดีหน่อย" ภาวินยิ้มกว้างอวดลักยิ้มที่แก้มซ้ายพร้อมกับยื่นกระเป๋ากับแว่นตาส่งคืนเจ้าของ

มัลลิการับของมาถือไว้แล้วหยิบแว่นตาขึ้นมาสวม แว่นสายตาอันใหญ่กรอบสีดำแทบจะกินพื้นที่บนใบหน้ารูปไข่ไปถึงหนึ่งในสามส่วน จากหญิงสาวหน้าตาสะสวยแปรเปลี่ยนเป็นเด็กสาวคงแก่เรียนขึ้นมาทันทีราวกับเป็นคนละคนจนภาวินถึงกับเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ

"มะลิ ทำไมหนูไม่ลองใส่คอนแท็กเลนส์ดูบ้างล่ะ ป้าว่าตอนหนูไม่ใส่แว่นก็สวยดีนี่ลูก"

ภคินีพูดออกไปตามตรงด้วยสายตาของคนที่มากประสบการณ์ในการมองรูปหน้าของผู้หญิง เนื่องจากทำงานอยู่ในแวดวงเครื่องสำอางมานาน พอได้เห็นมัลลิกาตอนที่ไม่มีแว่นสายตาอันใหญ่บดบังใบหน้า ถึงได้รู้ว่าหญิงสาวคนนี้มีเครื่องหน้าที่สมส่วน ไม่ว่าจะเป็นคิ้ว ตา จมูก ปาก ล้วนรับกันอย่างพอเหมาะพอเจาะ หากจับมาแต่งหน้าแต่งตัวเสียใหม่ รับรองว่าจะต้องเป็นคนที่โดดเด่นมากคนหนึ่ง

"ไม่ดีกว่าค่ะ หนูถนัดแบบนี้มากกว่า"

มัลลิกายิ้มเจื่อนพร้อมกับก้มศีรษะลงเล็กน้อย ภคินีจึงไม่พูดเซ้าซี้อีก เพราะเข้าใจดีว่าความชอบของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน

"ถ้าอย่างนั้นหนูโทร. หาคุณแม่เถอะ เดี๋ยวป้าจะคุยให้เอง"

มัลลิกาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าแล้วกดโทร. ไปหามารดา สัญญาณดังเพียงสองครั้งปลายสายก็กดรับ

"คุณแม่คะ ป้านีคุณย่าของหนูพราวที่อยู่ข้างบ้านเราจะคุยด้วยค่ะ" พูดจบเธอก็ยื่นโทรศัพท์ให้เจ้าของบ้าน

ขณะที่รอให้ผู้ใหญ่ทั้งสองคนคุยกัน ภาวินก็เดินออกจากห้องรับแขกเพื่อไปนำรถมาจอดไว้ใกล้ประตู คนเจ็บจะได้ไม่ต้องเดินไกล อีกทั้งหากเขาจำเป็นต้องอุ้มมัลลิกาเดินออกมาจะได้สะดวกเวลาอุ้มเธอขึ้นรถด้วย

เมื่อเข้ามาในห้องรับแขกอีกครั้ง ก็เห็นสามสาวต่างวัยกำลังคุยกันอยู่ เขาจึงส่งเสียงออกไป

"พร้อมรึยังครับสาว ๆ" จากนั้นก็หันไปพูดกับคนเจ็บ

"พอลุกไหวไหมเรา ไหนลองลุกขึ้นยืนหน่อยสิ"

ภาวินเดินเข้ามาใกล้เพื่อคอยประคอง เขายื่นแขนไปด้านหน้าเพื่อให้หญิงสาวใช้เป็นหลักยึดตอนลุกขึ้นยืน

มัลลิกาไม่อยากทำตัวเป็นคนเรื่องมาก และไม่อยากโดนอุ้ม จึงเกาะแขนเขาแล้วกัดฟันลุกขึ้นยืนอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้หัวเข่าจะปวดแปลบขึ้นมาอีก แต่ก็นับว่าดีกว่าตอนที่ตกลงมาจากต้นไม้ใหม่ ๆ

"ถ้าเจ็บก็อย่าฝืนนะ ให้พี่อุ้มไปที่รถดีกว่าไหม"

ชายหนุ่มมองอย่างกังวลเมื่อเห็นใบหน้าซีดเผือดของหญิงสาว มองดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายพยายามข่มความเจ็บเต็มที่ ไม่มีเสียงร้องสักแอะแต่หัวคิ้วขมวดเข้าหากันมุ่น อีกทั้งแรงมือที่เกาะแขนเขานั้นก็บีบแน่นอย่างลืมตัว

"หนูไหวค่ะ พอเดินได้"

"ช้า ๆ ไม่ต้องรีบ พี่เอารถมาจอดไว้ใกล้ประตูแล้ว"

เขาก้มลงไปพูดเสียงอ่อนพลางเดินช้า ๆ เพราะไม่อยากให้เธอฝืนมากเกินไป หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างขอบคุณพร้อมกับอมยิ้มบาง ๆ ก่อนจะก้มหน้าก้มตามองพื้นเช่นเดิม

ภคินีเปิดประตูรถด้านหลังรอไว้แล้วบอกให้พราวนภาขึ้นไปนั่งรอบนรถก่อน เมื่อเห็นว่าภาวินกับมัลลิกาเดินมาถึงรถแล้วจึงเดินไปปิดประตูบ้านแล้วล็อกกุญแจไว้ เพราะบิดาของภาวินรวมถึงบุตรชายคนเล็กอย่างภาคินต่างก็มีกุญแจเข้าบ้านด้วยกันทั้งคู่

"พี่มะลิเจ็บไหม หนูพราวสงสารพี่มะลิจังเลยค่ะ"

น้ำเสียงออดอ้อนของเด็กน้อยทำให้บรรยากาศในรถดูเป็นกันเองขึ้นมาก พราวนภากับมัลลิกานั่งคุยกันกระหนุงกระหนิงอยู่เบาะหลังราวกับเด็กรุ่นเดียวกัน ภาวินลอบมองจากกระจกมองหลังแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ ดูท่าทางพราวนภาจะชอบเพื่อนใหม่ต่างวัยคนนี้มาก ทั้งที่ปกติแล้วหากเป็นหญิงสาวแปลกหน้าที่อายุห่างจากตัวเองมาก พราวนภามักไม่ค่อยยอมสนิทสนมด้วย

"หายเจ็บไปเยอะแล้วค่ะ พรุ่งนี้พี่ก็มาเล่นกับหนูพราวได้เหมือนเดิมนั่นแหละ" มัลลิกาปลอบโยนเด็กน้อย

"ความจริงแล้วที่พี่มะลิตกต้นไม้ก็เป็นความผิดของคุณพ่อเองค่ะ พ่อทำให้พี่มะลิของหนูตกใจ...พี่ขอโทษนะมะลิ" ประโยคหลังภาวินมองหน้าหญิงสาวผ่านกระจก

"ไม่...ไม่เป็นไรค่ะ หนูต่างหากที่ผิด ทั้งที่คุณป้าบอกแล้วว่ามีไม้สอยมะม่วง แต่หนูอยากลองปีนดูเพราะเห็นว่ากิ่งมันเยอะ น่าจะปีนง่าย"

"พี่มะลิปีนต้นไม้เก่งมากเลยนะคะคุณพ่อ ตอนนั้นหนูพราวกับพี่มะลิตีแบดกันแล้วลูกขนไก่ติดบนต้นไม้ พี่มะลิก็ปีนขึ้นไปเก็บแถมยังได้มะม่วงมากินกันด้วย"

พราวนภารีบอวดความสามารถของเพื่อนต่างวัยให้บิดาฟังอย่างภาคภูมิใจ ขณะที่คนถูกพูดถึงนั้นได้แต่ทำหน้าประดักประเดิด

ภาวินหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นหน้าคนถูกเด็กแฉ ภคินีที่นั่งเบาะหน้าคู่บุตรชายจึงหันไปกำชับสองสาวต่างวัย

"คราวหน้าห้ามปีนต้นไม้อีกนะ ทั้งคู่เลยโดย เฉพาะหนูพราวย่าไม่อนุญาตเพราะมันอันตราย เห็นไหมว่าพี่มะลิต้องเจ็บขาเพราะตกต้นไม้ ถ้าหนูพราวไม่อยากเจ็บแบบพี่มะลิ หนูพราวก็ห้ามปีนเด็ดขาดเลยนะคะ"

"ค่ะ" มัลลิกากับพราวนภารับคำพร้อมกัน จากนั้นก็นั่งคุยกันเบา ๆ จนถึงโรงพยาบาล

ชายหนุ่มจอดรถไว้ด้านหน้าแล้วรีบลงไปแจ้งกับบุรุษพยาบาลเพื่อขอรถเข็นสำหรับคนป่วย จากนั้นก็ค่อย ๆ ประคองมัลลิกาลงมาจากรถ กระทั่งอีกฝ่ายนั่งอยู่บนรถเข็นเรียบร้อยดีแล้วเขาจึงหันไปพูดกับทุกคน

"ผมเอารถไปจอดก่อนนะครับคุณแม่ หนูพราวเดินจับมือคุณย่าไว้นะลูก ห้ามปล่อยมือนะ เดี๋ยวพี่มานะมะลิ" พูดจบเขาก็ยิ้มให้หญิงสาวอย่างอ่อนโยนก่อนจะเดินกลับขึ้นไปนั่งบนรถแล้วขับออกไป

มัลลิกายกมือขึ้นทาบตรงตำแหน่งหัวใจอย่างลืมตัว เมื่อรู้สึกได้ว่ามันเต้นกระหน่ำรุนแรงอย่างประหลาด รอยยิ้มของชายหนุ่มข้างบ้านที่ตนเคยแอบมองจากห้องนอนของตัวเองเวลาเขาเล่นกับบุตรสาว ทำให้เธออดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ แทบไม่อยากเชื่อเลยว่าวันนี้รอยยิ้มอ่อนโยนนั้นจะเผื่อแผ่มาถึงเธอด้วย

Bab terkait

Bab terbaru

DMCA.com Protection Status