เสียงพยาบาลขานชื่อของมัลลิกาเพื่อเข้าห้องตรวจ การสนทนาของทุกคนจึงหยุดลงแค่นั้น ภาวินลุกขึ้นเข็นรถให้หญิงสาวแล้วเดินตามพยาบาลไปยังห้องตรวจโดยภคินีกับพราวนภานั่งรออยู่ที่เดิม
ทั้งสี่คนใช้เวลาอยู่ในโรงพยาบาลร่วมชั่วโมงเพราะต้องเอกซเรย์หัวเข่าของมัลลิกาด้วยว่าร้าวหรือไม่ ซึ่งผลที่ออกมาก็ทำให้ทุกคนโล่งใจ เพราะหญิงสาวเพียงฟกช้ำจนกล้ามเนื้ออักเสบจากแรงกระแทก และมีบาดแผลที่ครูดไถลกับต้นไม้เท่านั้น ส่วนกระดูกไม่มีรอยร้าวจึงไม่จำเป็นต้องใส่เฝือก
หลังจากจ่ายเงินค่ารักษาและรับยาเสร็จเรียบร้อยทุกคนก็กลับบ้าน ตอนขากลับโทรศัพท์ของมัลลิกามีสายเรียกเข้าจากมารดาเข้ามาพอดี ทุกคนจึงรู้ว่าบิดามารดาของเธอกลับมาถึงบ้านแล้วเรียบร้อย และเวลานี้ต่างก็นั่งรอบุตรสาวด้วยความเป็นห่วง
ภาวินขับรถมาถึงหน้าบ้านของมัลลิกา เขาเห็นชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานคนหนึ่งกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาเปิดประตูรั้วออกกว้างทั้งสองด้าน ชายหนุ่มจึงเข้าใจทันทีว่าอีกฝ่ายต้องการให้ตนขับเข้าไปจอดด้านใน เขาจึงเคลื่อนรถไปหยุดตรงบริเวณที่ใกล้กับประตูบ้านมากที่สุดเพื่อไม่ให้คนเจ็บต้องเดินมากนัก
เมื่อรถจอดสนิท มัลลิกาก็เปิดประตูฝั่งที่นั่งอยู่แล้วทำท่าจะก้าวลงมา แต่คนที่ยืนรออยู่ก่อนแล้วรีบเข้ามาโอบประคองอย่างเป็นห่วง
"ค่อย ๆ นะลูก ให้พ่ออุ้มไปดีกว่าไหม"
"หนูเดินได้ค่ะ ไม่ค่อยเจ็บเท่าไรแล้ว มันแค่จี๊ด ๆ เป็นบางทีเท่านั้น"
มัลลิกายิ้มกว้างจนตาหยี ก่อนจะหันไปยกมือไหว้ภคินีกับภาวินพร้อมพูดเสียงแผ่ว
"ขอบคุณคุณป้ากับพี่วินมากนะคะ แล้วก็...หนูขอโทษด้วยค่ะที่ทำให้เดือดร้อนกันไปหมดเลย"
"ผมต้องขอบคุณคุณนีกับลูกชายด้วยนะครับที่เป็นธุระพายายหนูไปโรงพยาบาล" นฤเบศร์ยิ้มให้ทั้งคู่อย่างจริงใจ เป็นเวลาเดียวกับที่มัญชุดามารดาของมัลลิกาเดินออกมาจากบ้านพอดี
ขณะที่ผู้ใหญ่ทั้งสามคนยืนคุยกัน ภาวินก็มองหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมกอดของบิดาพลางยิ้มอ่อน มัลลิกาเองก็เงยหน้ามาสบตากับเขาเช่นกัน เธอยิ้มให้เหมือนยิ้มตามมารยาท แต่ใบหน้ากลับขึ้นสีระเรื่ออย่างน่าเอ็นดู
หลังจากร่ำลาและกล่าวขอบคุณกันเสร็จแล้ว ภาวินก็ขับรถออกจากบ้านของหญิงสาวโดยมีมารดาของมัลลิกาเป็นคนเดินมาปิดรั้ว ส่วนคนเจ็บนั้นถูกผู้เป็นบิดาประคองเข้าไปในบ้าน
"ท่าทางคุณพ่อจะหวงลูกสาวเหมือนกันนะครับ ทั้งหวงทั้งห่วงเลย แต่ดูแล้วก็อบอุ่นดีจัง"
ภาวินเปรยขึ้นทั้งรอยยิ้ม ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมัลลิกาถึงดูซุกซนเหมือนเด็กไม่โต อีกทั้งยังดูไร้เดียงสาอย่างที่หาได้ยากสำหรับหญิงสาววัยเท่านี้ นั่นก็เพราะมีบิดามารดาที่ทะนุถนอมราวกับไข่ในหินนั่นเอง
"แม่ได้ยินมาว่าคุณเบศร์น่ะไม่ใช่พ่อแท้ ๆ ของหนูมะลิหรอกนะ เขาเป็นพ่อเลี้ยงน่ะ สามีเก่าของคุณดา หรือพ่อของหนูมะลิเขาเสียไปตั้งแต่หนูมะลิเพิ่งได้แปดเก้าขวบเองมั้ง คุณดาถึงได้แต่งงานใหม่ และคุณเบศร์ก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลนะ เห็นว่าเป็นเพื่อนสนิทของพ่อหนูมะลินั่นแหละ"
ภคินีพูดถึงครอบครัวของเพื่อนบ้านตามที่ตนได้ยินมา ซึ่งคนที่ฟังอยู่ถึงกับขมวดคิ้วทันทีด้วยความแปลกใจ
"พ่อเลี้ยงงั้นหรือครับ" ชายหนุ่มมีสีหน้าไม่เชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน ก่อนจะถามมารดาอีกครั้ง
"แล้วคุณแม่รู้ได้ยังไง"
"ก็แม่แป้นน่ะสิมาเล่าให้แม่ฟัง แม่แป้นเขาก็รับจ้างทำงานบ้านให้บ้านนี้เหมือนกัน เราก็รู้อยู่ว่าแม่คนนี้กว้างขวางจะตายไป มีเรื่องไหนที่รอดหูรอดตานางไปบ้าง"
ภคินีถอนหายใจแผ่ว แม่บ้านชั่วคราวที่รับจ้างทำความสะอาดให้ลูกบ้านในหมู่บ้านนั้นเป็นคนซอกแซก และช่างสอดรู้สอดเห็นเรื่องคนอื่นเป็นที่สุด บ้านไหนผัวเมียทะเลาะกัน บ้านไหนเป็นเมียน้อยเสี่ย หรือแม้กระทั่งลูกสาวลูกชายของบ้านไหนพาแฟนมาค้างด้วยในวันที่พ่อแม่ไม่อยู่ แม่แป้นผู้กว้างขวางก็ยังอุตส่าห์ไปรู้เรื่องของเขามาจนได้ หากวันไหนได้มีโอกาสคุยกันยาว ๆ วันนั้นเธอจะได้รับรู้เรื่องลับ ๆ ของเพื่อนบ้านแทบทุกหลังคาเรือน
ทางด้านคนที่เป็นหัวข้อสนทนานั้น เวลานี้กำลังนั่งล้อมวงดูแผลที่หัวเข่าของมัลลิกาอยู่ในห้องรับแขก หัวคิ้วของนฤเบศร์ขมวดมุ่นเมื่อเห็นแผลขนาดเกือบสองนิ้วที่ผิวหนังชั้นนอกถูกครูดหายไปบนหัวเข่าทั้งสองข้าง ใจนึกอยากจะดุลูกเลี้ยงที่ไม่ระวังตัว แต่พอเห็นอีกฝ่ายก้มหน้างุดท่าทางราวกับสำนึกผิดแล้วก็ทำให้เขาดุไม่ลง
"มะลิ" มัญชุดาเรียกบุตรสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนจะถอนหายใจแผ่ว
"ขา...คุณแม่" มัลลิกาขานรับพลางเงยหน้ามองคนทั้งคู่ด้วยสายตาออดอ้อน
"หนูโตแล้วนะลูก ทำไมยังเล่นอะไรเป็นเด็ก ๆ อีก อีกไม่นานหนูก็จะเรียนจบและต้องหางานทำแล้วนะ ถ้าหนูยังทำตัวเป็นเด็กแบบนี้แล้วจะให้แม่กับพ่อวางใจได้ยังไงลูก"
มัญชุดาให้รู้สึกอ่อนใจกับบุตรสาวคนโต แม้อีกฝ่ายจะเรียนดีเป็นที่น่าภาคภูมิใจ แต่อุปนิสัยและความคิดความอ่านกลับไร้เดียงสาจนน่าเป็นห่วง ในอนาคตหากมัลลิกาต้องไปอยู่ในสังคมคนทำงาน เธอไม่แน่ใจว่าบุตรสาวของตนคนนี้จะเอาตัวรอดในสังคมปัจจุบันได้หรือไม่
"หนูแค่ตกต้นไม้เองนะคะ ไม่ได้ทำอะไรร้ายแรงสักหน่อย แล้วมันก็เป็นเหตุสุดวิสัยด้วย" คนพูดทำหน้าง้ำ เข้าใจอยู่ว่าพวกท่านเป็นห่วง และเธอก็รู้ตัวเองดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่พวกท่านกลับมองเธอเป็นเด็กอยู่ตลอดเวลาทั้งที่เธอก็แค่ทำในสิ่งที่ตนอยากทำเท่านั้นเอง
"แล้วถ้าแข้งขาหักขึ้นมาจะทำยังไง รู้ไหมว่าแค่กระดูกร้าวก็ต้องใส่เฝือกเป็นเดือนเชียวนะ แล้วเทอมนี้หนูต้องฝึกงานไม่ใช่หรือลูก ถ้าต้องใส่เฝือกขึ้นมาจริง ๆ หนูก็ต้องไปทำงานทั้งที่มีเฝือกติดขาไปอย่างนั้นหรือ"
ผู้เป็นมารดาเห็นบุตรสาวก้มหน้างุดอีกครั้งจึงอดหันไปมองสามีไม่ได้ เขาส่ายหน้าให้ช้า ๆ เป็นเชิงบอกให้เธอหยุดดุลูก จึงได้แต่กลอกตาไปทางอื่นอย่างเหนื่อยใจ เขาก็เป็นเสียแบบนี้ ให้ท้ายมัลลิกาและตามใจอีกฝ่ายจนแทบจะประเคนให้ทุกอย่าง บุตรสาวของเธอถึงได้ไม่รู้จักโตสักที
"มะลิ หนูไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดเถอะลูก จะได้ลงมากินข้าวเย็นกัน ขากลับตอนผ่านอยุธยาพ่อแวะซื้อกุ้งเผาของโปรดของหนูมาด้วยนะ"
นฤเบศร์ลูบศีรษะลูกเลี้ยงอย่างอ่อนโยนก่อนจะหันไปพูดกับภรรยา
"ดา คุณไปเฝ้าลูกอาบน้ำหน่อยละกัน ยายหนูขาเจ็บอยู่ ผมกลัวจะหกล้มในห้องน้ำอีก"
เขามองสองแม่ลูกที่ประคองกันขึ้นบันไดไปด้วยแววตาอ่อนโยน จากนั้นจึงเดินเข้าห้องครัวเพื่อลงมือเตรียมมื้อเย็นที่ตนซื้อแบบสำเร็จรูปมาจากข้างนอก
เมื่อได้เข้ามาอยู่ในห้องน้ำตามลำพัง มัลลิกาก็ถอนหายใจยาวก่อนจะยิ้มบาง ๆ พ่อเลี้ยงกับมารดาของเธอนั้นดูกังวลเหลือเกินว่าเธอจะใช้ชีวิตอย่างประมาทเพราะประสบการณ์น้อย กลัวว่าเธอจะถูกคนอื่นหลอก และคิดอยู่เสมอว่าบุตรสาวของตนนั้นใสซื่อไม่ทันคน เธออยากบอกพวกท่านเหลือเกินว่า...คิดผิดแล้ว
ท่านทั้งสองไม่เคยรู้เลยว่าบุตรสาวของตนนั้นรอดปากเหยี่ยวปากกามาได้ก็เพราะความสามารถพิเศษที่ติดตัวมานี่เอง สังคมมหาวิทยาลัยก็ไม่ต่างอะไรกับสังคมของการทำงาน การชิงดีชิงเด่น การหักหลังหลอกลวง ความอิจฉาริษยา หรือถ้าจะพูดให้ถูกคือความรู้สึกในแง่ลบหรือด้านมืดในใจคนทั้งหลายเหล่านั้น เธอล้วนสัมผัสมาหมดแล้ว แม้กระทั่งคนที่เธอเคยคิดว่าเป็นเพื่อนสนิทก็ยังก่นด่าเธออย่างสาดเสียเทเสียอยู่ในใจ ทั้งที่เบื้องหน้าที่ตนเห็นนั้นคือรอยยิ้มสดใสอย่างเป็นกันเอง
เพราะเหตุนี้มัลลิกาจึงชอบเล่นกับเด็กเล็ก เพราะเด็กก็เหมือนผ้าขาว ไม่มีความคิดซับซ้อน อยู่กับเด็กน้อยทำให้เธอไม่ต้องเปลืองสมองในการรับมือ อีกทั้งการเล่นกับเด็ก ๆ ก็ทำให้ตนรู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก
แต่ถ้าอยู่กับคนอื่นหญิงสาวจะทำตัวเองให้เหมือนคนที่วิ่งเล่นอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์ มองโลกในแง่ดี มองทุกอย่างเป็นสีพาสเทล และทำในสิ่งที่ใจปรารถนา ก็ในเมื่อทุกคนล้วนใส่หน้ากากเข้าหากันแล้วทำไมเธอจะทำบ้างไม่ได้เล่า ดังนั้นผู้คนรอบตัวของหญิงสาวจึงถูกมัลลิกาจัดกลุ่มอยู่ในใจเงียบ ๆ ไว้แค่สองกลุ่ม คือคบได้กับคบไม่ได้
ใครดีกับเธอทั้งต่อหน้าและลับหลังเธอก็ดีตอบ แต่ถ้าใครตีสองหน้าใส่ เธอก็มีวิธีดัดหลังอีกฝ่ายเช่นกัน
"มะลิ แม่ลืมโทรศัพท์ไว้ข้างล่าง เดี๋ยวแม่ขึ้นมานะลูก"
เสียงของมารดาตะโกนมาจากหน้าห้องน้ำ ปลุกให้หญิงสาวที่นอนแช่อยู่ในอ่างตื่นจากภวังค์ของตน
"ค่ะคุณแม่" หญิงสาวตะโกนตอบกลับไป จากนั้นจึงแหงนศีรษะเอาท้ายทอยรองไว้กับขอบอ่าง ความคิดล่องลอยไปหาชายหนุ่มข้างบ้าน ผู้ที่ตนเคยแอบมองเขาจากทางหน้าต่างเพราะชอบความสดใสและเสียงหัวเราะของสองพ่อลูกเวลาที่เล่นด้วยกัน
เขาเป็นคนดีหรือไม่มัลลิกาก็ยังให้คำตอบกับตัวเองไม่ได้เพราะเรื่องแบบนี้ต้องดูกันไปนาน ๆ แต่ที่แน่ ๆ คือครอบครัวของเขาจัดอยู่ในกลุ่มคนประเภทที่คบได้ไม่มีพิษมีภัย เธอจึงรู้สึกสบายใจทุกครั้งที่เจอแต่กระนั้น การอ่านใจคนอื่นของเธอก็ยังมีข้อจำกัด เพราะมีอยู่สามคนที่เธอไม่สามารถอ่านใจได้ นั่นก็คือมารดา น้องชาย และพ่อเลี้ยงสำหรับมารดากับน้องชายนั้น เธอเข้าใจว่าเพราะทั้งสองคนมีสายเลือดเดียวกันกับตน แต่สำหรับพ่อเลี้ยงนั้นไม่ใช่ เขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเธอเลยแม้แต่น้อย แล้วทำไมเธอถึงไม่สามารถอ่านใจเขาได้เล่าวันต่อมาอาการเจ็บหัวเข่าของมัลลิกาดีขึ้น และแผลก็ไม่มีเลือดซึมออกมาแล้ว หญิงสาวต้องพยายามเดินหรือนั่งอย่างระมัดระวัง แต่ก็มีบางครั้งที่เผลอนั่งชันเข่าจนแผลปริ เธอได้แต่สูดปากเบา ๆ ด้วยความเจ็บ กระนั้นมารดาก็ยังอุตส่าห์ได้ยินเข้าจนได้"อีกวันสองวันคงเริ่มตกสะเก็ด ถึงตอนนั้นหนูก็ต้องระวังให้มากขึ้นนะมะลิ เพราะถ้าแผลปริบ่อย ๆ มันจะหายช้า แล้วช่วงที่เป็นสะเก็ดแข็งก็จะคันมาก หนูอย่าไปเกาเชียวล่ะ ไม่อย่างนั้นได้มีแผลเป็นติดตัวแน่"
หลังจากรับประทานมื้อเช้ากันเสร็จเรียบร้อย มัลลิกาก็ยกจานชามทั้งหมดไปล้างในครัว ขณะเดียวกันก็คอยแอบมองพ่อเลี้ยงไปด้วยว่าอีกฝ่ายจะขึ้นไปอาบน้ำตอนไหน ครั้นพอเห็นนฤเบศร์เดินขึ้นบันไดไปแล้วจึงรีบไปหามารดาแล้วจับแขนท่านเขย่าเบา ๆ"คุณแม่ขา ช่วยพูดกับคุณพ่อหน่อยสิคะเรื่องฝึกงานน่ะ หนูไม่อยากไปทำที่กงสุลเลย มีแต่คนแก่หัวโบราณถ้าหนูต้องไปฝึกงานที่นั่นหลายเดือนหนูต้องบ้าตายแน่"เหตุผลสำคัญอีกอย่างที่หญิงสาวไม่ได้พูดออกไปก็คือหากเธอไปทำงานกับพ่อเลี้ยงก็เท่ากับว่าต้องอยู่ในสายตาของอีกฝ่ายตลอด หนำซ้ำต้องไปกลับพร้อมท่านทุกวัน ชีวิตอิสระที่จะได้ไปเตร็ดเตร่ตามห้างสรรพสินค้าหรือร้านไอศกรีมกับเพื่อนก็จะหายวับไปทันที"ฟังพูดเข้า ที่กงสุลไม่ได้มีแต่คนแก่สักหน่อย หนุ่ม ๆ สาว ๆ ที่เพิ่งเรียนจบแล้วเข้าไปทำงานที่นั่นก็เยอะเหมือนกัน และเด็กฝึกงานก็ไม่ใช่มีแค่หนูคนเดียว มีจากมหา'ลัยอื่นด้วย"ผู้เป็นมารดาพูดแก้ไขความเข้าใจผิดของบุตรสาว ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นเจ้าตัวทำหน้าง้ำแล้วเอาแก้มมาถูที่ไหล่ของตนอย่างออดอ้อน"โธ่ คุณแม่อ้ะ ก็น่าจะรู้ว่าทำไมหนูถึงไม
และเพราะมัวแต่มองเจ้าตัวเล็ก หญิงสาวจึงไม่ทันเห็นสายตาระยิบระยับกับมุมปากที่ยกขึ้นอย่างสมใจของคนตัวโต และยิ่งไม่มีทางรู้ว่าก่อนหน้าที่พ่อลูกคู่นี้จะเดินมาถึงรั้วที่กั้นเขตบ้าน ผู้เป็นพ่อได้ "ชี้แนะ" อะไรบางอย่างกับบุตรสาวตัวน้อยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว"หนูพราวจะมาอีกทีวันศุกร์แน่ะ ต้องคิดถึงพี่มะลิมากแน่ ๆ เลยค่ะ"พราวนภายังคงพูดตามที่ได้รับการชี้แนะมาจากผู้เป็นบิดา แต่คนฟังนั้นกลับเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยเพราะดูเหมือนเด็กน้อยจะขี้อ้อนผิดปกติ หญิงสาวจึงหันไปมองคนตัวโตที่ยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงพลางทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ด้วยการมองไปเรื่อยเปื่อย"ถ้าพี่มะลิขอคุณพ่อคุณแม่ได้ พี่จะไปเล่นกับหนูพราวที่บ้านนะคะ"มัลลิกาไม่กล้าให้ความหวังพราวนภานักเพราะไม่แน่ใจกับอารมณ์ของบิดาในวันนี้ ดูท่านไม่ค่อยพอใจที่เธอจะไปฝึกงานกับบริษัทอื่น แต่ท่านก็ไม่อาจแย้งเหตุผลของมารดาได้ ตอนที่เธอไปยืนแอบฟังอยู่หน้าประตูห้องทำงาน คำพูดของมารดาที่ทำให้บิดายอมจำนนก็คือ...ยายหนูโตแล้ว ปล่อยให้เขาออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวเองบ้าง เราอยู่ดูแลเขาไปชั่วชีวิตไม่ได้หรอกนะ...ความจริงแล้ว
มัลลิกาย้ายบ้านมาอยู่หมู่บ้านจัดสรรแห่งนี้ได้เดือนเศษแล้ว และเคยเจอกับสมาชิกเกือบทุกคนในบ้านของพราวนภา แม้กระทั่งภาคินบุตรชายคนเล็กของภคินีที่ปกติจะพักอยู่คอนโดมิเนียมใกล้มหาวิทยาลัย เธอก็ยังเคยคุยกับเขาหลายครั้ง มีเพียงภาวินเท่านั้นที่เธอได้แต่มองเขาจากบ้านของตัวเองแต่ไม่เคยคุยด้วยเพราะไม่มีโอกาสได้เจอหน้ากันจัง ๆ ทว่าพอได้เจอกัน เหตุการณ์ตอนนั้นก็ช่างน่าอายเหลือเกิน"มีหนูพราว คุณพ่อ คุณปู่แล้วก็คุณย่าค่ะ วันนี้อาคินไม่มา" พราวนภาตอบเสียงใส ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อนึกอะไรขึ้นได้จึงรีบพูดอย่างตื่นเต้น"พี่มะลิขา เราเข้าไปเล่นในห้องทำงานคุณพ่อกันดีไหมคะ"มัลลิกาส่ายหน้าหวือทันที "ไม่ดีค่ะ พี่ว่าห้องทำงานเป็นที่ที่เราไม่ควรเข้าไปเล่นมากที่สุด เพราะในนั้นจะมีงานและเอกสารเยอะแยะ ถ้าเราทำหายหรือทำเลอะขึ้นมา คุณพ่อจะดุเอาได้นะคะ""เมื่อคืนหนูพราวเห็นคุณพ่อเอาลิปกับที่ทาตาทาแก้มมาวางบนโต๊ะเยอะแยะเลยค่ะ หนูพราวก็เลยอยากชวนพี่มะลิไปเล่นแต่งหน้ากัน"พราวนภาเงยหน้ามองเพื่อนต่างวัยด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวัง แต่มัลลิกายังคงยิ้มบาง ๆ ก่อนจะโน้มตัวลงไปแล้วพูดอ
มัลลิกานั่งกินน้ำแข็งใสคนละถ้วยกับพราวนภาในห้องนั่งเล่นพลางดูภาพยนตร์แอนิเมชันทางเคเบิลทีวีไปด้วย ส่วนภคินีกำลังนั่งอ่านเอกสารบางอย่างบนโซฟาอีกตัวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดระหว่างนั้นภาวินเดินเข้ามาในห้องที่ทุกคนนั่งอยู่พอดี สายตาของมัลลิกากับพราวนภาจึงเบนไปหาผู้ที่เข้ามาใหม่โดยพร้อมกัน และเด็กน้อยก็เป็นฝ่ายเอ่ยทักบิดาก่อน"คุณพ่อกินน้ำแข็งใสไหมคะ คุณย่าทำให้ ของหนูพราวมีขนมปังกับวุ้นสี ๆ ด้วยละ""หนูหม่ำเลยลูก พ่อเพิ่งดื่มกาแฟมาค่ะ"ชายหนุ่มเดินมานั่งบนโซฟาตัวที่ใกล้กับมัลลิกาเพราะเหลือว่างเพียงตัวเดียว เขามองมารดาที่เงยหน้ามาดูเขาแว่บหนึ่งก่อนจะรวบเอกสารทั้งหมดมาไว้ในมือแล้วลุกขึ้นยืน"มาพอดีเลยตาวิน เข้าไปคุยกับแม่ในห้องทำงานหน่อยสิ คุณพ่อก็รออยู่ในนั้นแหละ" ภคินีพูดกับบุตรชายจบก็หันมาบอกมัลลิกา"หนูมะลินั่งเล่นกับน้องก่อนนะลูก ขอป้าไปคุยเรื่องงานกับพี่เขาหน่อย""ได้ค่ะคุณป้า" หญิงสาวรับคำพลางหันไปมองชายหนุ่มที่กำลังลุกขึ้นยืน เขาหันมองเธอเช่นกันพร้อมส่งยิ้มบาง ๆ มาให้ ก่อนจะเดินตามผู้เป็นมารดาไปมัลลิกาถอนหายใจ
มัลลิกาฟังจบก็เบิกตากว้างพร้อมกับยกนิ้วชี้เข้าหาตัวแล้วพูดราวกับไม่เชื่อหูตัวเองว่า"หนูเนี่ยนะคะ! คุณป้าจะให้หนูเป็นนางแบบลิปสติกหรือคะ""ใช่จ้ะ ป้าคิดว่าหนูน่ะเหมาะสมที่สุดแล้ว หนูรู้ตัวไหมว่าหนูมีปากที่สวยมาก ความจริงแล้วหนูก็สวยไปทั้งหน้านั่นแหละ ขอโทษนะจ๊ะหนูมะลิ ขอป้าถอดแว่นหนูออกหน่อย"ไม่พูดเปล่า ภคินีถือวิสาสะถอดแว่นสายตาอันใหญ่ของมัลลิกาออก จากนั้นก็ปัดผมที่ตกลงมาบดบังบางส่วนของใบหน้าออกไปแล้วเอามือกุมแก้มเนียนใสทั้งสองข้างของหญิงสาวเอาไว้พลางจับหันไปทางซ้ายและขวาอย่างเบามือ"หนูพราวก็ว่าพี่มะลิสวยค่ะ หนูพราวชอบพี่มะลิ คุณพ่อก็บอกว่าชอบพี่มะลิเหมือนกัน" พราวนภายิ้มกว้างพลางพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วยกับผู้เป็นย่า"จริงหรือลูก คุณพ่อบอกว่าชอบพี่มะลิหรือ"ภคินีถามอย่างตื่นเต้น ตอนแรกตนนึกว่าบุตรชายคงจะสนใจสาวข้างบ้านแค่ชั่วครั้งชั่วคราวเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายหน้าตาน่ารักจึงอดแซวเล่นตามประสาหนุ่มโสดที่เห็นสาวถูกใจไม่ได้ แต่พอได้ยินหลานสาวพูดแบบนี้ตนก็มั่นใจแล้วว่าภาวินตั้งใจจะจีบมัลลิกาจริง ๆ เสียแล้ว"ใช่ค่ะ คุณพ่อยังให้หนูพราวมาบอกพ
มัลลิกาเงยหน้ามองภาวินพลางคิดตามที่เขาพูด จากนั้นคำพูดชื่นชมจากคนอื่นก็ผุดขึ้นมาในหัวประโยคแล้วประโยคเล่า เพียงแต่ทุกครั้งที่มีคนชมเธอมักจะบอกตัวเองเสมอว่าเขาชมไปตามมารยาท เธอไม่ได้เป็นอย่างที่คนอื่นชมเลยแม้แต่น้อย จะว่าไปแล้วเธอก็มีข้อเสียที่แก้ไม่หาย นั่นคือเธอไม่เคยเก็บคำชมของคนอื่นมาใส่ใจ แต่คำต่อว่าดูแคลนทั้งหลายเธอกลับจำฝังหัว"ก็ถูกของพี่นะคะ" เธอยิ้มบาง ๆ ให้เขา ชายหนุ่มก็กำลังมองเธออยู่เช่นกัน"หนูแค่ขาดความมั่นใจในตัวเอง ซึ่งตรงนี้พี่อยากให้หนูคิดใหม่ทำใหม่ ใครจะพูดอะไรก็ไม่ต้องไปสนใจ แค่เรารู้จักตัวเองดีก็พอ หนูรู้ไหมว่าในสายตาของพี่ หนูเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดคนหนึ่ง"ทันทีที่เขาพูดจบ มัลลิกาก็รู้สึกหน้าร้อนวูบ ไม่ต้องส่องกระจกก็รู้ว่าหน้าเธอคงแดงก่ำจนลามมาถึงลำคอแล้วเป็นแน่ และริมฝีปากก็คอยแต่จะคลี่ยิ้มอยู่ร่ำไป แม้ว่าเธอจะพยายามฝืนไว้อย่างสุดความสามารถก็ตามภาวินมองคนที่กำลังเขินจนทำอะไรไม่ถูกอย่างเอ็นดู ใจนึกอยากจะหยอดคำหวานอีกสักประโยคสองประโยคแต่ก็เกรงว่าอีกฝ่ายจะมองเขาเป็นพวกปากหวานก้นเปรี้ยว สุดท้ายจึงได้แต่เก็บคำพูดเหล่านั้นทดไว้ในใจ อี
"นี่หนูมะลิจ้ะ นางแบบลิปสติกคนใหม่ของเอเอ็นเอส"ภคินีแนะนำพรีเซ็นเตอร์คนใหม่ของแบรนด์ด้วยสีหน้าเต็มใจนำเสนอเต็มที่ จันทร์เจ้ามองหญิงสาวที่ดูอ่อนวัยกว่าตนแล้วยิ้มให้อย่างจริงใจ"น่ารักดีค่ะคุณแม่ หน้าใสมากเลย ยังเรียนอยู่ใช่ไหมคะ" จันทร์เจ้าเรียกภคินีว่าคุณแม่ตามอย่างชินดนัย"หนูเรียนอยู่ปีสี่ค่ะ" มัลลิกาตอบอย่างนอบน้อมกึ่งขัดเขินที่ถูกชมซึ่งหน้าชินดนัยกับจันทร์เจ้านั่งคุยสัพเพเหระกันอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงก็ขอตัวเพราะเกรงว่าจะไม่ทันรอบชมภาพยนตร์ ครั้นพอแขกไปแล้ว ภคินีจึงหันมาให้ความสนใจกับนางแบบจำเป็นตรงหน้าทันที"โอเคจ้ะ ก่อนอื่นต้องเตรียมผิวหน้าก่อน" พูดพลางหยิบขวดเคลนเซอร์กับสำลีมาถือไว้แล้วหันไปบอกบุตรชายว่า"ไปเตรียมกล้องสิตาวิน ไม่ใช่ว่าแบตหมดแล้วต้องมานั่งรอชาร์จนะ""คร้าบ คุณแม่" ภาวินยิ้มบาง ๆ พร้อมกับลุกขึ้นทันที เข้าใจดีว่าที่มารดาไล่ให้เขาไปเตรียมกล้องถ่ายรูปนั้นเป็นเพราะเกรงว่ามัลลิกาจะเขินที่ต้องมาแต่งหน้าต่อหน้าผู้ชายคล้อยหลังบุตรชายแล้ว ภคินีจึงเริ่มลงมือทีละขั้นตอนโดยมีพราวนภานั่งมองตาแป๋วด้วยความสนใจอยู่ข้าง
มัลลิกานั่งแช่อยู่ในสระว่ายน้ำส่วนตัว หญิงสาวยกแขนขึ้นวางบนขอบสระแล้วเอาคางเกยไว้ สองตาทอดมองผืนน้ำสีฟ้าสุดลูกหูลูกตาอย่างผ่อนคลาย มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเมื่อได้ยินเสียงใครบางคนกำลังก้าวลงน้ำมาเช่นกัน จากนั้นแผ่นหลังของเธอก็ถูกทาบทับด้วยแผงอกหนั่นแน่นตามมาด้วยอ้อมแขนที่กอดรัดเอวไว้ และมีริมฝีปากอุ่นร้อนตามมาพรมจูบไปทั่วลาดไหล่"ชอบที่นี่ไหม" เสียงทุ้มเอ่ยถามชิดริมหู หญิงสาวห่อไหล่ตามสัญชาตญาณเพราะรู้สึกจั๊กจี้"ชอบค่ะ น้ำสีสวยมากเลย อากาศดีด้วยไม่ร้อนอย่างที่คิด" ทั้งที่ตอนนี้เธออยู่กลางแจ้งท่ามกลางแสงแดดอ่อน แต่กลับไม่ร้อนเหมือนแดดเมืองไทย"ชอบก็ดีแล้ว พี่นวดให้นะ เดินทางมาถึงเหนื่อย ๆ"ภาวินขันอาสาอย่างเอาใจ เขานั่งซ้อนอยู่ด้านหลังแล้วค่อย ๆ บีบนวดต้นแขน หัวไหล่ แต่ไป ๆ มา ๆ กลับนวดวนเวียนอยู่แต่ก้อนเนื้อนุ่มหยุ่นสองก้อนที่อยู่ด้านหน้า บั้นท้ายก็ถูกสิ่งนั้นของเขาบดเบียดอย่างเป็นจังหวะ"ฮื้อ...พี่วินเนี่ยมือซนตลอดเลย" หญิงสาวครางเบา ๆ เมื่อเขาล้วงเข้าไปในชุดว่ายน้ำชิ้นบนแล้วใช้นิ้วหมุนวนปลายยอดอย่างปลุกเร้าภาวินมองไปรอบด้
ภาวินมองคนที่นั่งหลับมาตลอดทางด้วยสายตารักใคร่ วันนี้เขาได้ใช้เวลาอยู่กับเธอทั้งวัน ได้นอนกกกอดเธอไว้ในอ้อมแขนจนเขาแทบสำลักความสุข เขารู้ว่าตนยังไม่อิ่มแต่ก็ต้องรีบพาหญิงสาวกลับกรุงเทพฯ เพราะไม่อยากให้ค่ำเกินไปชายหนุ่มจอดรถหน้าบ้านมัลลิกาในตอนหัวค่ำ ก่อนหน้านี้เขาโทรศัพท์บอกมารดาของเธอแล้วว่าจะพาหญิงสาวแวะกินมื้อเย็นแล้วค่อยกลับเข้าบ้าน จึงไม่ห่วงว่าเธอจะถูกบิดามารดาดุ"มะลิ ถึงบ้านแล้วครับ" เขาสะกิดมัลลิกาเบา ๆ หญิงสาวตื่นขึ้นแล้วมองซ้ายมองขวาอย่างงัวเงีย"ถึงบ้านหนูแล้ว หรือจะไปนอนบ้านพี่ดี" เจ้าตัวหันมาค้อนใส่เขาทันทีก่อนจะเปิดประตูลงไปยืนข้างรถแล้วโบกมือให้ แต่สภาพของเธอเหมือนคนยังไม่ตื่นดี เขาจึงอดไม่ไหวอีกต่อไป หัวเราะออกมาในที่สุด"ตื่นได้แล้ว หลับมาตลอดทางยังไม่พออีกหรือแม่คุณ" เขาถามกลั้วหัวเราะ เธอยู่หน้าใส่เขาแล้วพูดว่า"เพราะใครล่ะ" จากนั้นหญิงสาวก็หันหลังเดินจากไป เขามองจนเธอเข้าบ้านแล้วจึงขับเลยไปที่บ้านของตัวเองบ้างบิดามารดาของภาวินนั่งดูข่าวภาคค่ำอยู่ในห้องนั่งเล่น ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาแล้วนั่งบนโซฟาอีกตัว อ
"ใส่ทำไม พี่อยากอ่อยคนแถวนี้นี่นา" ไม่พูดเปล่า แต่เขายังแบมือมาทางเธอราวกับต้องการให้วางมือลงไปบนมือของเขามัลลิกายื่นมือไปวางลงบนมืออุ่นข้างนั้น ชายหนุ่มกระตุกเบา ๆ หญิงสาวจึงทรุดนั่งข้างกายเขาแต่โดยดี"เย็น ๆ ค่อยกลับเนอะ หรือจะค้างดี" ภาวินถามพลางนวดมือให้เธอไปด้วย จึงทำให้มัลลิการับรู้ความในใจของชายหนุ่มอีกจนได้...พี่แค่อยากพาหนูมาผ่อนคลาย เห็นอุดอู้อยู่ในบ้านเป็นเดือน ๆ..."พี่ก็โทร. ไปขอคุณพ่อให้หนูสิคะ" เธอแกล้งหยอกเขาเล่น แต่ภาวินกลับคิดจะทำจริง ๆ"ก็ได้นะ พี่มีเบอร์คุณพ่อของหนูอยู่"ชายหนุ่มทำท่าจะยืนขึ้น หญิงสาวจึงรีบกอดแขนเขาไว้ทันทีเพราะกลัวว่าเขาจะโทรศัพท์ไปขออนุญาตกับบิดาของตนจริง ๆ"ไม่เอา! พี่ก็รู้อยู่ว่าคุณพ่อไม่อนุญาตหรอก ขืนโทร. ไปมีหวังโดนจี้ให้กลับบ้านตอนนี้แน่" พูดจบเธอก็ถูกเขากอดไว้แล้วเอนตัวลงนอนไปด้วยกัน โดยที่หญิงสาวนอนเอาหูแนบอกฟังเสียงหัวใจของเขาที่เต้นอยู่ข้างใน"บ้านก็ติดกันอย่างนั้น ยังไงก็หนีพี่ไม่พ้นหรอก"เขาปัดผมของเธอออกจากลาดไหล่แล้วใช้มือลูบต้นแขนเปลือยเปล่าของหญิงสาวไปมา ผิ
มัลลิการักษาตัวอยู่โรงพยาบาลอีกสองอาทิตย์ก็ได้กลับบ้าน แผลที่แก้มเริ่มไม่เจ็บเท่าไรแล้ว แต่แผลที่ถูกกระจกบาดและแผลถลอกพอตกสะเก็ดกลับดูน่ากลัวจนมัลลิกาไม่กล้าส่องกระจกดูหน้าตัวเอง หญิงสาวยังเดินด้วยตัวเองไม่ได้ ต้องอาศัยไม้ค้ำช่วยพยุง ในแต่ละวันเธอจึงได้แต่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในบ้าน ภาวินจึงนึกสนุกด้วยการนำเครื่องสำอางมาให้หญิงสาวได้ลองหัดแต่งหน้าโดยแนะนำให้เธอเริ่มศึกษาจากยูทูบช่วงอาทิตย์แรกมัลลิกายังใช้แปรงและอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างเก้กังเพราะไม่เคยใช้ แต่พออาทิตย์ถัดมาหญิงสาวก็เริ่มคล่องขึ้น และเริ่มสนุกกับการแปลงโฉมใบหน้าของตัวเองในรูปแบบต่าง ๆ เธอเริ่มเข้าเว็บไซต์ และติดตามแฟนเพจที่เกี่ยวกับความสวยความงาม ครีมหรือโลชั่นยี่ห้อไหนที่โด่งดังเรื่องช่วยลบรอยแผลเป็น เธอก็คลิกสั่งออนไลน์เพื่อเอามาลองใช้หลายยี่ห้อมัญชุดานั่งมองบุตรสาวที่กำลังทดลองสีลิปสติกกับข้อมือของตัวเองแล้วก็ได้แต่ยิ้ม เมื่อก่อนมัลลิกาไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้เพราะชอบคิดว่าตนไม่สวย แต่งไปก็ไม่มีใครดู แต่พอแม่สาวน้อยของเธอเริ่มมีความรักก็เริ่มหัดดูแลตัวเองมากขึ้น หนำซ้ำยังดูมีความสุขดีด้วย
มัลลิกายังคงไม่ยอมออกจากผ้าห่ม แต่เสียงสะอื้นนั้นไม่มีแล้ว ราวกับเจ้าตัวกำลังชั่งใจว่าจะโผล่หน้าออกมาคุยกับเขาดีหรือไม่"ถ้าอย่างนั้น พี่ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม" ชายหนุ่มเอื้อมมือไปวางบนศีรษะของเธอเบา ๆ ก่อนพูดต่อ"ถ้าหากว่าคนที่ถูกรถชนเป็นพี่ คนที่ต้องนอนอยู่ตรงนี้เป็นพี่ และพี่ต้องมีแผลเป็นบนหน้าบ้าง หนูจะบอกเลิกพี่รึเปล่า หนูจะเลิกรักพี่แล้วหันไปคบคนอื่นไหม"คนนอนคลุมโปงส่ายหน้าไปมาแล้วตอบ "ไม่ ทำไมหนูต้องทำอย่างนั้น"ภาวินยิ้มออกทันที "ใช่ไหมล่ะ แล้วทำไมพี่ต้องทำอย่างนั้นล่ะครับ"ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วก้มลงไปจูบบริเวณที่คาดว่าน่าจะเป็นหน้าผากของหญิงสาวผ่านทางผ้าห่ม"หนูพราวถามหาพี่มะลิทุกวันเลย ไว้วันเสาร์นี้พี่จะพาหนูพราวมาเยี่ยมด้วยนะ"พอพูดถึงพราวนภา คนในผ้าห่มก็เลิกผ้าออก เผยให้เห็นใบหน้าแดงก่ำและเปลือกตาบวมจากการร้องไห้เมื่อครู่ เจ้าตัวสูดน้ำมูกทีหนึ่งแล้วถาม"หนูพราวเป็นยังไงบ้างคะ หนูผลักแรงขนาดนั้นไม่รู้หัวเข่ากระแทกพื้นจนเป็นแผลรึเปล่า"ภาวินมองหญิงสาวด้วยสายตาอ่อนเชื่อม ตัวเองเป็นอย่างนี้ยังอุตส่าห์ถามถึงคนอื่
มัลลิกาเบิกตากว้างเมื่อได้ยินอย่างนั้น แม้จะคาดเดาไว้อยู่แล้วแต่ก็อดใจหายและเศร้าอยู่ลึก ๆ ไม่ได้ ถึงปรีชญาจะทำไม่ดีกับเธอไว้มากมาย แต่อย่างไรเสียก็ยังเคยคบหากันอย่างสนิทสนมมาก่อน"ทำไมตาลเขาต้องทำอย่างนั้นคะคุณพ่อ""เขาป่วยเป็นโรคหลายบุคลิกน่ะ ตอนนี้ถึงจะจับตัวได้แล้วแต่ก็ยังดำเนินคดีอะไรไม่ได้ เพราะต้องให้เขารักษาจนอาการดีขึ้นก่อน""อ้าว เขาไม่ติดคุกหรือ แล้วถ้าเขาออกมาขับรถไล่ชนหนูอีกล่ะคะ" มัลลิกาถามหน้าตื่น คิดในใจว่าถ้าโดนชนอีกครั้งคงไม่มีชีวิตรอดแน่นอน"พ่อก็ห่วงเรื่องนี้อยู่ เพราะไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่จะกักตัวเขาไว้รักษาอาการแบบไหน พ่อกลัวว่าเขาจะปล่อยให้มันไปรักษาที่บ้านแล้วมันก็จะออกมาก่อเรื่องอีก""แย่จัง...แล้วตกลงเจอแพตที่ไหนคะ"เธออยากรู้ว่าตติยะลงมือกับปรีชญาแบบไหน และทำอย่างไรจึงสามารถซ่อนศพไว้ได้นานขนาดนั้นโดยที่ไม่มีใครหาเจอ"ศพลอยมาติดกับกอผักตบข้างวัดริมแม่น้ำเจ้าพระยาน่ะ แต่ผลการชันสูตรบอกว่าตายเพราะถูกบีบคอจนขาดอากาศหายใจ"นฤเบศร์เล่าให้บุตรสาวฟังไปตามความจริงโดยไม่คิดปิดบัง เพราะคนที่เป็นทั้งเหยื่อและฆาตกรก
ความเจ็บปวดรวดร้าวที่แผ่ลามไปทั่วร่างราวกับทุกชิ้นส่วนของร่างกายกำลังถูกจับแยกออกจากกันทำให้คนที่หลับใหลไปหลายวันในห้องผู้ป่วยวิกฤติค่อย ๆ รู้สึกตัวตื่น เปลือกตาหนักอึ้งเปิดปรือขึ้นอย่างยากลำบาก กลิ่นอันเป็นลักษณะเฉพาะของโรงพยาบาลทำให้คนที่เพิ่งตื่นจากฝันรู้ว่าตอนนี้ตนอยู่ที่ไหนเสียงครางแผ่วเล็ดลอดออกจากลำคอ รู้สึกเจ็บไปทั้งตัวจนไม่รู้ว่าเจ็บตรงไหนบ้าง มัลลิกาพยายามมองไปรอบด้าน แต่เพราะนอนสลบไปหลายวันสายตาจึงยังปรับระยะได้ไม่ดีนัก จนเธอต้องยกมือข้างหนึ่งที่ไม่เจ็บเท่าไรขึ้นมาวางทาบที่เปลือกตาทั้งสองข้างตามความเคยชินทว่าตอนที่เอามือปิดตานั้น หญิงสาวสัมผัสได้ถึงสิ่งแปลกปลอมที่ติดอยู่บนผิวแก้มข้างซ้ายของตน เธอทั้งเจ็บทั้งตึงบริเวณนี้จึงลองวางมือทาบลงไปบนสิ่งที่ติดอยู่บนแก้มอะไรน่ะ ผ้าปิดแผลหรือ ทำไมใหญ่จัง...มัลลิกาขมวดคิ้วมุ่น พยายามคิดทบทวนเหตุการณ์ล่าสุดที่ตนพอจะจำได้อยู่เป็นนาน เธอจำได้ว่าก่อนหน้านี้ตนนั่งเล่นอยู่ที่สวนสาธารณะของหมู่บ้านกับภาวิน นั่งดูพราวนภาตีแบดมินตัน และหลังจากนั้น...จำได้แล้ว! เธอถูกรถชนนั่นเองตอน
นฤเบศร์ขับรถไปส่งภรรยาที่บ้าน จากนั้นก็ขับต่อไปยังโรงพยาบาลทางจิตเวชที่ตติยะถูกกักตัวไว้เพื่อทำการทดสอบสภาพจิต เมื่อไปถึงเขาแจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่าตนขอเข้าเยี่ยม เจ้าหน้าที่จึงพาเขาไปนั่งรออยู่ในห้องห้องหนึ่ง จากนั้นไม่นาน ตติยะก็เดินเข้ามาในห้องโดยไร้เครื่องพันธนาการร่างกาย แต่มีเจ้าหน้าที่ชายคอยตามประกบอยู่สองคนนฤเบศร์มองคนที่กำลังยกมือไหว้ตนด้วยสายตาเย็นชา จนกระทั่งตติยะนั่งลงแล้วเขาจึงเอ่ยปากพูด"ดูท่าทางสุขสบายดีนะ""ผมไม่รู้เรื่องจริง ๆ นะครับ ผมไม่ได้ทำ ผมรักมะลิจะตายใคร ๆ ก็รู้ คุณอาลองไปถามเพื่อนของเธอดูก็ได้ ผมไม่มีทางทำร้ายมะลิแน่นอน ไอ้คนที่ทำ...""มันก็คือมึงนั่นแหละ!"นฤเบศร์ตบโต๊ะเสียงดังอย่างเหลืออดจนตติยะสะดุ้ง เจ้าหน้าที่ทั้งสองคนเดินเข้ามาใกล้เพราะเกรงว่าเขาจะทำอันตรายผู้ต้องหา นฤเบศร์จึงหันไปบอกกับสองคนนั้น"ผมไม่ทำอะไรมันหรอกไม่ต้องห่วง แม้ว่าผมอยากจะฆ่ามันให้ตายคามือก็เถอะ" จากนั้นก็หันมาเล่นงานตติยะต่อด้วยอารมณ์กราดเกรี้ยว"มึงมันฉลาดดีนี่ ฆ่าคนมาเท่าไรแล้วล่ะ พอโดนจับได้ก็มาบอกว่าเป็นโรคจิตจำอะไ
"แกไม่ต้องห่วงแม่ดากับหนูมะลิหรอกนะ แม่รับปากว่าจะทำตามที่แกขอเอาไว้ แม่เลี้ยงหนูมะลิมาตั้งหลายปีแม่ก็รักมะลิเหมือนหลานแท้ ๆ นั่นแหละ"มัลลิการ้องไห้ออกมาทันทีเมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นจากโฉมฉาย"คุณย่าขา หนูก็รักคุณย่านะคะ"ครั้นพอหญิงสาวร้องไห้ออกมา จู่ ๆ ก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดทรมานไปทั้งร่างราวกับร่างกายกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ แขนขาหนักอึ้งกระดิกไม่ได้แม้แต่ปลายนิ้ว รู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นที่ขมับทั้งสองข้างจากน้ำตาที่ไหลกลิ้งลงไปรวมกันอยู่ตรงนั้น และที่สำคัญ นอกจากจะเจ็บไปทั่วทั้งตัวแล้วมัลลิกายังรู้สึกว่าบนใบหน้าซีกหนึ่งปวดตุบ ๆ อยู่ตลอดเวลาเหมือนเมื่อครั้งที่ตนตกจากต้นไม้แล้วหัวเข่าเป็นแผล เพียงแต่ครั้งนี้เจ็บกว่านั้นมากนักพิษจากบาดแผลและความเจ็บปวดที่ได้รับ ทำให้สติสัมปชัญญะของมัลลิกาค่อย ๆ เลือนไปจนทุกอย่างดับวูบไปอีกครั้ง"หลายวันแล้วนะเบศร์ ทำไมยายหนูยังไม่ฟื้นสักที" มัญชุดาได้แต่ยืนมองบุตรสาวที่ยังหลับใหลอยู่บนเตียงคนไข้ ร่างกายมีบาดแผลและร่องรอยฟกช้ำไปทั่วร่าง ขาข้างหนึ่งต้องใส่เฝือก สายน้ำเกลื