"โอย..."
มัลลิกาหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตนร่วงลงมาทับใครคนหนึ่ง และตอนนี้ก็กำลังนั่งทับร่างเขาอยู่ เธอก้มลงมองแล้วก็ต้องอุทานออกมาเสียงดังด้วยความตกใจ
"ว้าย!" หญิงสาวพยายามกระถดตัวถอยมาด้านหลังพร้อมกับรวบกระโปรงนักศึกษาเข้าหาตัว เพราะตอนนี้กระโปรงพลีตของเธอคลุมศีรษะของเขาอยู่ แต่เพราะหัวเข่าที่เจ็บจากแรงกระแทกจึงทำให้เคลื่อนไหวไม่คล่องตัวเท่าไรนัก จึงเผลอหลุดเสียงร้องโอดโอยออกมาอีกครั้ง
ขณะเดียวกัน คนที่เป็นเบาะเนื้อรองรับอยู่ด้านล่างก็รู้สึกโลกสว่างขึ้นมาทันทีเมื่อกระโปรงที่คลุมหน้าอยู่เมื่อครู่ถูกดึงออกไปพร้อมกับกางเกงในลายหน้าแมว จากนั้นก็ถูกแทนที่ด้วยภาพใบหน้าแดงก่ำของหญิงสาวคนหนึ่งในชุดนักศึกษา ซึ่งตอนนี้เจ้าหล่อนกำลังนั่งทับท้องเขาอยู่ และมีทีท่าว่าจะถอยร่นต่ำลงไปเรื่อย ๆ
"เดี๋ยวก่อน หยุด! อย่าเพิ่งขยับ" เขารีบห้ามเธอเอาไว้ เพราะขืนปล่อยให้หญิงสาวถอยสะโพกลงไปมากกว่านี้ ตำแหน่งของ "แมวน้อย" ของเธอกับ "ปืนใหญ่" ของเขาอาจจ๊ะเอ๋กันได้
"หนูขอโทษค่ะ หนูไม่ได้ตั้งใจ" หญิงสาวยกมือไหว้เขาด้วยสีหน้าราวกับจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ เขาจึงเพิ่งรู้ตัวว่าเมื่อครู่ตนเสียงดังมากไปหน่อยจนเธอคิดว่าเขาโกรธ
"ไม่ใช่ พี่ไม่ได้ดุเธอนะอย่าเข้าใจผิด แต่ที่ไม่อยากให้ขยับก็เพราะว่า...เอ่อ...เพราะหลังพี่ยอกนิดหน่อยน่ะ จุกท้องด้วยก็เลยอยากให้อยู่เฉย ๆ ก่อน"
หญิงสาวได้ยินอย่างนั้นก็เบิกตากว้าง เธอก้มหน้าลงมองท้องของเขา จึงเพิ่งเห็นว่าตอนนี้ตนเองกำลังนั่งคร่อมทับท้องเขาอยู่ เธอเองก็ไม่ใช่เด็กน้อยไม่ประสีประสา เป็นถึงนักศึกษาปีสี่แล้วจึงเข้าใจดีว่า "ท่า" ของเธอกับเขาตอนนี้หมิ่นเหม่เพียงใด หากมีใครมาเห็นเข้าคงไม่ดีแน่
"หนูขอโทษค่ะ หนูจะรีบลงนะคะ"
มัลลิกาลนลานลงจากตัวภาวินอย่างทุลักทุเล แต่เพราะเจ็บเข่าจึงต้องหาวิธีลงให้ดี หญิงสาวโน้มตัวไปข้างหน้าแล้วใช้มือทั้งสองข้างช่วยพยุงตัวโดยเอามือยันไว้กับพื้น จากนั้นก็ค่อย ๆ ไถลตัวลงไปด้านซ้ายจนขาและสะโพกของด้านนั้นแตะพื้นหญ้าได้แล้ว เธอจึงลากขาขวาที่กำลังพาดเอวชายหนุ่มอยู่ตามมาด้วย โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าตั้งแต่ตอนที่ไถลตัวลงไปจนกระทั่งลากขาอีกข้างผ่านตัวเขานั้น ทั้งสีหน้าและทุกอิริยาบถถูกประทับไว้ในสายตาภาวินทั้งหมด
เธอมีผิวเนียนใส ใบหน้ารูปไข่ไร้เครื่องสำอาง จมูกโด่งกำลังดี หน่วยตาเรียว หางตาชี้ขึ้นเล็กน้อยเหมือนตาหงส์ คิ้วของเธอเข้มดกดำเหมือนคิ้วผู้ชาย และเรียวยาวพาดไปตั้งแต่หัวตาจนถึงหางตา เธอไม่ได้กันคิ้วให้เรียวเล็กเหมือนหญิงสาวคนอื่น ๆ จึงยิ่งทำให้ส่วนบนของใบหน้าโดดเด่นสะดุดตาทันทีที่มอง ริมฝีปากก็อวบอิ่มเป็นสีชมพูธรรมชาติ ไม่มีการแต่งแต้มสีสันลงไปแม้แต่น้อย ทุกอย่างเป็นธรรมชาติสรรค์สร้างมาทั้งหมด และทำให้เขาได้แต่มองอย่างเพลิดเพลิน
"โอย..." นั่นไง โดนเข้าจนได้!
ชายหนุ่มได้แต่คิดในใจ ไม่กล้าพูดออกมาให้สาวน้อยตรงหน้าได้ยิน สาเหตุเพราะตอนที่เธอลากขาผ่านตัวเขาไปนั้น ขาเรียว ๆ ของเธอมันลากผ่านปืนใหญ่ของเขาไปด้วย
เขาไม่ใช่คนทะลึ่งหรือลามก และยิ่งไม่ใช่คนที่หื่นไม่รู้เวล่ำเวลา แต่ท่าโน้มตัวมาด้านหน้าทั้งที่กำลังนั่งคร่อมทับตัวเขาอยู่ หนำซ้ำยังมีเสียงครางผสานกับเสียงลมหายใจเบา ๆ ตอนเธอตั้งหน้าตั้งตาจะลงไปจากตัวเขานั้นช่างดูเซ็กซี่และร้อนแรงจนเขาอดจินตนาการเกินเลยไปไม่ได้จริง ๆ
"โอ๊ย!" ภาวินร้องได้แค่นั้นก็คู้ตัวงอเป็นกุ้งแล้วหันไปอีกทางทันที ใบหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวดของเขาทำให้หญิงสาวถึงกับหน้าเสีย
"คุณอา! คุณอาเป็นอะไรคะ" เธอถามเสียงสั่นพลางมองสำรวจร่างกายของเขาไปด้วย เห็นชายหนุ่มเอามือกุมเป้ากางเกงไว้แล้วก็ต้องยกมือขึ้นปิดปากแน่น ก่อนจะค่อย ๆ ปล่อยออกแล้วถามอย่างไม่แน่ใจนัก
"เมื่อกี้...โดนหรือคะ" เธอรู้อยู่ว่าจังหวะที่ชักเท้ากลับมา ส้นเท้าของตนไปกระแทกถูกจุดยุทธศาสตร์ของเขาเข้า
"เต็ม ๆ เลย" เสียงอู้อี้ของชายหนุ่มตอบมาไม่ดังเท่าไร แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้มัลลิการู้สึกผิดยิ่งขึ้นไปอีก เธอยกมือขึ้นไหว้เขาอีกครั้งแล้วพูดเสียงอ่อยอย่างสำนึกผิดว่า
"หนูขอโทษนะคะคุณอาที่ทำให้ต้องเจ็บตัวขนาดนี้"
ภาวินชะงักนิ่งอยู่กับที่ทันที ความเจ็บและจุกตรงส่วนนั้นยังคงมีอยู่ แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับสรรพนามที่เธอใช้เรียกเขา
"เมื่อกี้เธอเรียกพี่ว่าอะไรนะ" เขาถามย้ำเพื่อให้แน่ใจ
มัลลิกายังคงพนมมือไหว้อยู่อย่างนั้น คิ้วได้รูปเลิกขึ้นอย่างแปลกใจก่อนจะตอบไปตามตรง
"เรียกคุณอาค่ะ ก็คุณอาเป็นพ่อของหนูพราวไม่ใช่หรือคะ หนูเรียกคุณว่าคุณอาก็ถูกต้องแล้วนี่" ตอบเสร็จก็นึกขึ้นได้ว่าบางทีชายหนุ่มตรงหน้าอาจจะไม่ชอบให้คนแปลกหน้ามานับญาติด้วยจึงรีบพูดต่อ
"แต่ถ้าคุณไม่สะดวก หนูเรียกคุณว่าคุณพ่อหนูพราวก็ได้นะคะ หนูชื่อมะลิค่ะ อยู่บ้านข้าง ๆ นี่"
"มะ...ไม่ใช่อย่างนั้น ความจริงแล้วเรียก..." เขายังพูดไม่ทันจบ คำว่า "พี่" ยังไม่ทันหลุดจากปาก เสียงใสของบุตรสาวสุดที่รักก็ดังแทรกขึ้นเสียก่อน
"พี่มะลิขา อุ๊ยคุณพ่อ ทำไมคุณพ่อนอนตรงนั้นล่ะคะ" พราวนภาเดินเข้ามาหาพร้อมถือตะกร้าใบไม่ใหญ่นัก
"คุณพ่อเห็นแดดมันร่มแล้วก็เลยอยากนอนตากลมเย็น ๆ ค่ะ หนูพราวฉุดแขนคุณพ่อให้ลุกขึ้นนั่งหน่อยสิลูก" ภาวินยกแขนทั้งสองข้างขึ้นเพื่อให้บุตรสาวตัวน้อยดึงมือ พราวนภาเห็นดังนั้นจึงรีบวางตะกร้าไว้ข้างตัวมัลลิกา จากนั้นก็จับมือทั้งสองข้างของบิดาแล้วออกแรงดึง
"อึ๊บบบบ" พราวนภาออกแรงฉุดบิดาให้ลุกขึ้นนั่งจนสำเร็จ ก่อนจะทรุดตัวนั่งกับพื้นหญ้าบ้าง
"ทำไมหนูพราวไปเอาตะกร้านานจังคะ" มัลลิกาอดถามไม่ได้ แต่คิดไปแล้วก็ถือว่าเป็นเรื่องดีที่เด็กน้อยไม่มาเห็นฉากหวาดเสียวระหว่างตนกับบิดาเมื่อครู่
"หนูพราวปวดอึค่ะก็เลยเข้าห้องน้ำก่อน พออึเสร็จก็เลยขอตะกร้ากับคุณย่า แล้วพี่มะลิเก็บมะม่วงได้กี่ลูกแล้วคะ" ถามจบก็หันมองไปรอบ ๆ แต่ไม่เห็นมะม่วงเลยแม้แต่ลูกเดียว
มัลลิกาทำหน้ารู้สึกผิด อุตส่าห์สัญญากับเพื่อนต่างวัยไว้ว่าจะเด็ดมะม่วงมาให้ แต่ตนกลับตกต้นไม้ หนำซ้ำยังทำให้เจ้าของบ้านเจ็บตัวอีก
"พี่มะลิของหนูตกต้นไม้ค่ะก็เลยเก็บมะม่วงไม่ได้ และตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป คุณพ่อขอสั่งห้ามหนูพราวกับพี่มะลิปีนต้นไม้อีกนะคะ มันอันตรายรู้ไหมลูก ถ้าตกลงมาขาหักหรือหัวแตกจะทำยังไงคะ คุณพ่อเป็นห่วงหนูนะไม่อยากให้หนูเจ็บตัว"
ภาวินยกตัวพราวนภาให้มานั่งบนตักแล้วก้มลงหอมแก้มอย่างแสนรัก พลางเหลือบมองไปทางหญิงสาวที่นั่งเงียบอยู่ตรงหน้า
มัลลิกามองมาที่เขากับพราวนภานิ่ง แต่ชายหนุ่มรู้ว่าเธอกำลังตกอยู่ในภวังค์ของตน แววตาคู่นั้นมีหลากหลายอารมณ์ความรู้สึกจนภาวินเดาไม่ออกว่าหญิงสาวกำลังคิดอะไรอยู่
แต่สิ่งที่สะท้อนออกมาชัดเจนที่สุดเห็นจะเป็นความโหยหาและความอิจฉา เหมือนเวลาที่เห็นพี่หรือน้องของตนได้ของเล่นแล้วตัวเองไม่ได้ด้วย"อุ๊ย! พี่มะลิเลือดออกค่ะคุณพ่อ พี่มะลิเป็นแผลเลือดออกเลย"พราวนภาร้องบอกบิดาพร้อมกับชี้ไปที่หัวเข่าทั้งสองข้างของมัลลิกา ชายหนุ่มมองตามแล้วก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ"แย่ละ หนูพราวลุกขึ้นก่อนลูก คุณพ่อจะไปช่วยดูแผลให้พี่มะลิก่อน"ครั้นพอพราวนภาลุกขึ้นแล้ว ชายหนุ่มจึงชะโงกหน้าเข้าไปดูแผลที่หัวเข่าของหญิงสาวใกล้ ๆ"พี่ว่าเข้าไปทำแผลในบ้านก่อนดีกว่า ลุกไหวไหมเรา" พูดจบเขาก็ลุกขึ้นยืน และมองหาบาดแผลบริเวณอื่นไปด้วยมัลลิกาพยายามจะลุกขึ้น แต่ก็ปวดแปลบที่หัวเข่าขึ้นมาจนทำให้เธอต้องทรุดลงไปนั่งอยู่ท่าเดิม หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วส่ายหน้าให้ช้า ๆ ด้วยท่าทางน่าสงสาร"หนูเจ็บขาค่ะ ทำยังไงดี""ถ้าอย่างนั้นพี่จะอุ้มเราเข้าไปทำแผลในบ้านก่อน แล้วค่อยไปโรงพยาบาล ตรวจดูสักหน่อยว่ากระดูกหักหรือร้าวตรงไหนบ้างรึเปล่า...ขอโทษนะ"พูดจบเขาก็ก้มลงช้อนตัวมัลลิกาไว้ในวงแขนก่อนจะนิ่วหน้าสูดปากออกมาเบา ๆ เพราะความรู้สึกเจ็บที่กล้ามเนื้อด้านหลังตอนล้มลงกับพื้นแสดงอาการออกมาอีกค
"จะออกเป็นอะไรได้อีกล่ะนอกจากมะม่วง ถ้าออกเป็นอย่างอื่นได้ ป่านนี้แม่แป้นคงจะเอาแป้งไปโรยแล้วขูดหาหวยทุกวันแล้ว"ภคินีพูดกลั้วหัวเราะเมื่อนึกถึงแป้น แม่บ้านที่ตนจ้างไว้แบบเช้ามาเย็นกลับ ซึ่งแป้นเป็นภรรยาของหัวหน้าพนักงานรักษาความปลอดภัยในหมู่บ้าน จึงรับจ้างทำงานบ้านให้กับลูกบ้านในหมู่บ้านด้วย"ก็..." เขาจงใจเว้นช่วงเอาไว้ไม่พูดออกมา ก่อนจะคลี่ยิ้มมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อเห็นใบหน้าของสาวน้อยเปลี่ยนจากซีดเผือดเป็นสีชมพูระเรื่อราวกับรู้ว่าเขาจะพูดอะไรต่อไป"มักกะลีผลไงครับคุณแม่" ทันทีที่เขาพูดจบ หน้าของมัลลิกาก็มีสีเข้มขึ้นอย่างที่คาดไว้"มัก...มักอะไรนะคะคุณพ่อ มันคืออะไรคะ" พราวนภาหันไปถามบิดาด้วยความสนใจ ขณะที่ผู้อาวุโสสุดในที่นั้นหันไปมองค้อนบุตรชายด้วยความหมั่นไส้"มักกะลีผลค่ะหนูพราว เป็นต้นไม้ในนิทานโบราณน่ะ ออกผลมาเป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารัก ใครอยากมีลูกก็จะเด็ดเอาไปเลี้ยงที่บ้าน" ชายหนุ่มเล่าบิดเบือนตำนานไปเล็กน้อยพลางมองใบหน้าแดงก่ำของหญิงสาวอย่างเอ็นดู"บ้านเรามีต้นนั้นด้วยหรือคะ อยู่ตรงไหนหนูพราวไม่เคยเห็น" พราวนภาถามอย่างตื่นเต้นก่อนจะหันไปมองหน้าเพื่อนต่างวัยอย่างมัลลิการาวกับ
ชายหนุ่มเดินกลับเข้าไปในบ้านแล้วยื่นกระเป๋ากับแว่นตาส่งให้มัลลิกา หญิงสาวยกมือไหว้เขาแล้วพูด"ขอบคุณค่ะคุณอา"ได้ยินดังนั้นภาวินจึงชักมือกลับไปไม่ยอมส่งของให้ จากนั้นก็ยื่นข้อเสนอ"เรียกใหม่ซิ...พี่วิน ไม่ใช่คุณอา" เขาพูดไปยิ้มไป เห็นเธอมองไปทางมารดาของเขาราวกับต้องการขอความช่วยเหลือก็อดยิ้มกว้างกว่าเดิมไม่ได้"ตาวิน" เสียงลากยาวของมารดาเป็นเชิงปรามบุตรชายนั้นทำให้ภาวินหัวเราะออกมาเบา ๆ"โธ่คุณแม่ครับ หนูมะลิของคุณแม่น่ะเรียนปีสี่แล้วนะ ไอ้คิน ลูกชายคนเล็กของคุณแม่ก็รุ่นราวคราวเดียวกับมะลินั่นแหละ แล้วเรื่องอะไรผมจะยอมให้เขามาเรียกผมว่าอาล่ะ ฟังดูแก่ยังไงก็ไม่รู้"ภคินีค้อนบุตรชายปะหลับปะเหลือกก่อนจะหันไปพูดกับสาวน้อยข้างตัว"ก็เรียกพี่ให้เขาชื่นใจหน่อยละกันหนูมะลิ คนเขาไม่อยากแก่"มัลลิกาอมยิ้มแล้วยกมือไหว้ชายหนุ่มตรงหน้าอีกครั้ง"ขอบคุณค่ะพี่วิน""ค่อยฟังดูดีหน่อย" ภาวินยิ้มกว้างอวดลักยิ้มที่แก้มซ้ายพร้อมกับยื่นกระเป๋ากับแว่นตาส่งคืนเจ้าของมัลลิการับของมาถือไว้แล้วหยิบแว่นตาขึ้นมาสวม แว่นสายตาอันใหญ่กรอบสีดำแทบจะกินพื้นที่บนใบหน้ารูปไข่ไปถึงหนึ่งในสามส่วน จากหญิงสาวหน้าตาสะสวยแปรเป
"หนูพราว หนูอยู่ไหนลูก"ภาวินออกมาจากห้องทำงานแล้วไม่เห็นบุตรสาววัยหกขวบ ที่ก่อนหน้านี้เจ้าตัวยังนั่งเล่นตัวต่ออยู่ในห้องนั่งเล่น จึงกวาดตามองหาพลางส่งเสียงเรียกไปด้วย เขาได้ยินเสียงน้ำจากในครัวจึงเดินไปดูเพราะคิดว่าเจ้าตัวเล็กคงกำลังช่วยย่าทำของว่างอยู่ แต่พอเข้าไปก็เห็นเพียงมารดาของตนอยู่ตามลำพัง ท่านกำลังหั่นแตงโมเป็นชิ้นพอดีคำใส่จานเพื่อเตรียมไว้ให้หลานสาวสุดที่รัก"หนูพราวล่ะครับคุณแม่""อ้าว ไม่ได้อยู่ในห้องนั่งเล่นหรือ ถ้าอย่างนั้นก็คงไปเล่นในสวนหน้าบ้านละมั้ง ช่วงนี้ยายหนูพราวเขามีเพื่อนใหม่เป็นสาวข้างบ้านเรานี่เอง เล่นกันถูกคอเชียว"ภคินีพูดไปยิ้มไปเมื่อนึกถึงตอนที่พราวนภามาเล่าเรื่องเพื่อนใหม่ให้ฟังอย่างตื่นเต้น ซึ่งตนก็พลอยยินดีไปด้วย เพราะเวลาที่หลานสาวมาค้างที่บ้านนี้ทุกวันเสาร์อาทิตย์ มักจะไม่ค่อยมีเพื่อนเล่นวัยเดียวกันนัก ถึงมีก็เป็นเด็กผู้ชายเสียส่วนใหญ่ และเด็กพวกนั้นมักเล่นกันแรงตามประสาวัยทะโมน เธอจึงไม่อยากให้หลานไปเล่นด้วย"จริงหรือครับ ข้างบ้านเราที่ย้ายเข้ามาใหม่ก็มีลูกสาวเหมือนกันหรือ ดีจัง"ภาวินยิ้มกว้างพลางเดินออกจากห้องครัวไปเงียบ ๆ เพื่อไปดูบุตรสาวเล่นกับเ