"โอย..."
มัลลิกาหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตนร่วงลงมาทับใครคนหนึ่ง และตอนนี้ก็กำลังนั่งทับร่างเขาอยู่ เธอก้มลงมองแล้วก็ต้องอุทานออกมาเสียงดังด้วยความตกใจ
"ว้าย!" หญิงสาวพยายามกระถดตัวถอยมาด้านหลังพร้อมกับรวบกระโปรงนักศึกษาเข้าหาตัว เพราะตอนนี้กระโปรงพลีตของเธอคลุมศีรษะของเขาอยู่ แต่เพราะหัวเข่าที่เจ็บจากแรงกระแทกจึงทำให้เคลื่อนไหวไม่คล่องตัวเท่าไรนัก จึงเผลอหลุดเสียงร้องโอดโอยออกมาอีกครั้ง
ขณะเดียวกัน คนที่เป็นเบาะเนื้อรองรับอยู่ด้านล่างก็รู้สึกโลกสว่างขึ้นมาทันทีเมื่อกระโปรงที่คลุมหน้าอยู่เมื่อครู่ถูกดึงออกไปพร้อมกับกางเกงในลายหน้าแมว จากนั้นก็ถูกแทนที่ด้วยภาพใบหน้าแดงก่ำของหญิงสาวคนหนึ่งในชุดนักศึกษา ซึ่งตอนนี้เจ้าหล่อนกำลังนั่งทับท้องเขาอยู่ และมีทีท่าว่าจะถอยร่นต่ำลงไปเรื่อย ๆ
"เดี๋ยวก่อน หยุด! อย่าเพิ่งขยับ" เขารีบห้ามเธอเอาไว้ เพราะขืนปล่อยให้หญิงสาวถอยสะโพกลงไปมากกว่านี้ ตำแหน่งของ "แมวน้อย" ของเธอกับ "ปืนใหญ่" ของเขาอาจจ๊ะเอ๋กันได้
"หนูขอโทษค่ะ หนูไม่ได้ตั้งใจ" หญิงสาวยกมือไหว้เขาด้วยสีหน้าราวกับจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ เขาจึงเพิ่งรู้ตัวว่าเมื่อครู่ตนเสียงดังมากไปหน่อยจนเธอคิดว่าเขาโกรธ
"ไม่ใช่ พี่ไม่ได้ดุเธอนะอย่าเข้าใจผิด แต่ที่ไม่อยากให้ขยับก็เพราะว่า...เอ่อ...เพราะหลังพี่ยอกนิดหน่อยน่ะ จุกท้องด้วยก็เลยอยากให้อยู่เฉย ๆ ก่อน"
หญิงสาวได้ยินอย่างนั้นก็เบิกตากว้าง เธอก้มหน้าลงมองท้องของเขา จึงเพิ่งเห็นว่าตอนนี้ตนเองกำลังนั่งคร่อมทับท้องเขาอยู่ เธอเองก็ไม่ใช่เด็กน้อยไม่ประสีประสา เป็นถึงนักศึกษาปีสี่แล้วจึงเข้าใจดีว่า "ท่า" ของเธอกับเขาตอนนี้หมิ่นเหม่เพียงใด หากมีใครมาเห็นเข้าคงไม่ดีแน่
"หนูขอโทษค่ะ หนูจะรีบลงนะคะ"
มัลลิกาลนลานลงจากตัวภาวินอย่างทุลักทุเล แต่เพราะเจ็บเข่าจึงต้องหาวิธีลงให้ดี หญิงสาวโน้มตัวไปข้างหน้าแล้วใช้มือทั้งสองข้างช่วยพยุงตัวโดยเอามือยันไว้กับพื้น จากนั้นก็ค่อย ๆ ไถลตัวลงไปด้านซ้ายจนขาและสะโพกของด้านนั้นแตะพื้นหญ้าได้แล้ว เธอจึงลากขาขวาที่กำลังพาดเอวชายหนุ่มอยู่ตามมาด้วย โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าตั้งแต่ตอนที่ไถลตัวลงไปจนกระทั่งลากขาอีกข้างผ่านตัวเขานั้น ทั้งสีหน้าและทุกอิริยาบถถูกประทับไว้ในสายตาภาวินทั้งหมด
เธอมีผิวเนียนใส ใบหน้ารูปไข่ไร้เครื่องสำอาง จมูกโด่งกำลังดี หน่วยตาเรียว หางตาชี้ขึ้นเล็กน้อยเหมือนตาหงส์ คิ้วของเธอเข้มดกดำเหมือนคิ้วผู้ชาย และเรียวยาวพาดไปตั้งแต่หัวตาจนถึงหางตา เธอไม่ได้กันคิ้วให้เรียวเล็กเหมือนหญิงสาวคนอื่น ๆ จึงยิ่งทำให้ส่วนบนของใบหน้าโดดเด่นสะดุดตาทันทีที่มอง ริมฝีปากก็อวบอิ่มเป็นสีชมพูธรรมชาติ ไม่มีการแต่งแต้มสีสันลงไปแม้แต่น้อย ทุกอย่างเป็นธรรมชาติสรรค์สร้างมาทั้งหมด และทำให้เขาได้แต่มองอย่างเพลิดเพลิน
"โอย..." นั่นไง โดนเข้าจนได้!
ชายหนุ่มได้แต่คิดในใจ ไม่กล้าพูดออกมาให้สาวน้อยตรงหน้าได้ยิน สาเหตุเพราะตอนที่เธอลากขาผ่านตัวเขาไปนั้น ขาเรียว ๆ ของเธอมันลากผ่านปืนใหญ่ของเขาไปด้วย
เขาไม่ใช่คนทะลึ่งหรือลามก และยิ่งไม่ใช่คนที่หื่นไม่รู้เวล่ำเวลา แต่ท่าโน้มตัวมาด้านหน้าทั้งที่กำลังนั่งคร่อมทับตัวเขาอยู่ หนำซ้ำยังมีเสียงครางผสานกับเสียงลมหายใจเบา ๆ ตอนเธอตั้งหน้าตั้งตาจะลงไปจากตัวเขานั้นช่างดูเซ็กซี่และร้อนแรงจนเขาอดจินตนาการเกินเลยไปไม่ได้จริง ๆ
"โอ๊ย!" ภาวินร้องได้แค่นั้นก็คู้ตัวงอเป็นกุ้งแล้วหันไปอีกทางทันที ใบหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวดของเขาทำให้หญิงสาวถึงกับหน้าเสีย
"คุณอา! คุณอาเป็นอะไรคะ" เธอถามเสียงสั่นพลางมองสำรวจร่างกายของเขาไปด้วย เห็นชายหนุ่มเอามือกุมเป้ากางเกงไว้แล้วก็ต้องยกมือขึ้นปิดปากแน่น ก่อนจะค่อย ๆ ปล่อยออกแล้วถามอย่างไม่แน่ใจนัก
"เมื่อกี้...โดนหรือคะ" เธอรู้อยู่ว่าจังหวะที่ชักเท้ากลับมา ส้นเท้าของตนไปกระแทกถูกจุดยุทธศาสตร์ของเขาเข้า
"เต็ม ๆ เลย" เสียงอู้อี้ของชายหนุ่มตอบมาไม่ดังเท่าไร แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้มัลลิการู้สึกผิดยิ่งขึ้นไปอีก เธอยกมือขึ้นไหว้เขาอีกครั้งแล้วพูดเสียงอ่อยอย่างสำนึกผิดว่า
"หนูขอโทษนะคะคุณอาที่ทำให้ต้องเจ็บตัวขนาดนี้"
ภาวินชะงักนิ่งอยู่กับที่ทันที ความเจ็บและจุกตรงส่วนนั้นยังคงมีอยู่ แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับสรรพนามที่เธอใช้เรียกเขา
"เมื่อกี้เธอเรียกพี่ว่าอะไรนะ" เขาถามย้ำเพื่อให้แน่ใจ
มัลลิกายังคงพนมมือไหว้อยู่อย่างนั้น คิ้วได้รูปเลิกขึ้นอย่างแปลกใจก่อนจะตอบไปตามตรง
"เรียกคุณอาค่ะ ก็คุณอาเป็นพ่อของหนูพราวไม่ใช่หรือคะ หนูเรียกคุณว่าคุณอาก็ถูกต้องแล้วนี่" ตอบเสร็จก็นึกขึ้นได้ว่าบางทีชายหนุ่มตรงหน้าอาจจะไม่ชอบให้คนแปลกหน้ามานับญาติด้วยจึงรีบพูดต่อ
"แต่ถ้าคุณไม่สะดวก หนูเรียกคุณว่าคุณพ่อหนูพราวก็ได้นะคะ หนูชื่อมะลิค่ะ อยู่บ้านข้าง ๆ นี่"
"มะ...ไม่ใช่อย่างนั้น ความจริงแล้วเรียก..." เขายังพูดไม่ทันจบ คำว่า "พี่" ยังไม่ทันหลุดจากปาก เสียงใสของบุตรสาวสุดที่รักก็ดังแทรกขึ้นเสียก่อน
"พี่มะลิขา อุ๊ยคุณพ่อ ทำไมคุณพ่อนอนตรงนั้นล่ะคะ" พราวนภาเดินเข้ามาหาพร้อมถือตะกร้าใบไม่ใหญ่นัก
"คุณพ่อเห็นแดดมันร่มแล้วก็เลยอยากนอนตากลมเย็น ๆ ค่ะ หนูพราวฉุดแขนคุณพ่อให้ลุกขึ้นนั่งหน่อยสิลูก" ภาวินยกแขนทั้งสองข้างขึ้นเพื่อให้บุตรสาวตัวน้อยดึงมือ พราวนภาเห็นดังนั้นจึงรีบวางตะกร้าไว้ข้างตัวมัลลิกา จากนั้นก็จับมือทั้งสองข้างของบิดาแล้วออกแรงดึง
"อึ๊บบบบ" พราวนภาออกแรงฉุดบิดาให้ลุกขึ้นนั่งจนสำเร็จ ก่อนจะทรุดตัวนั่งกับพื้นหญ้าบ้าง
"ทำไมหนูพราวไปเอาตะกร้านานจังคะ" มัลลิกาอดถามไม่ได้ แต่คิดไปแล้วก็ถือว่าเป็นเรื่องดีที่เด็กน้อยไม่มาเห็นฉากหวาดเสียวระหว่างตนกับบิดาเมื่อครู่
"หนูพราวปวดอึค่ะก็เลยเข้าห้องน้ำก่อน พออึเสร็จก็เลยขอตะกร้ากับคุณย่า แล้วพี่มะลิเก็บมะม่วงได้กี่ลูกแล้วคะ" ถามจบก็หันมองไปรอบ ๆ แต่ไม่เห็นมะม่วงเลยแม้แต่ลูกเดียว
มัลลิกาทำหน้ารู้สึกผิด อุตส่าห์สัญญากับเพื่อนต่างวัยไว้ว่าจะเด็ดมะม่วงมาให้ แต่ตนกลับตกต้นไม้ หนำซ้ำยังทำให้เจ้าของบ้านเจ็บตัวอีก
"พี่มะลิของหนูตกต้นไม้ค่ะก็เลยเก็บมะม่วงไม่ได้ และตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป คุณพ่อขอสั่งห้ามหนูพราวกับพี่มะลิปีนต้นไม้อีกนะคะ มันอันตรายรู้ไหมลูก ถ้าตกลงมาขาหักหรือหัวแตกจะทำยังไงคะ คุณพ่อเป็นห่วงหนูนะไม่อยากให้หนูเจ็บตัว"
ภาวินยกตัวพราวนภาให้มานั่งบนตักแล้วก้มลงหอมแก้มอย่างแสนรัก พลางเหลือบมองไปทางหญิงสาวที่นั่งเงียบอยู่ตรงหน้า
มัลลิกามองมาที่เขากับพราวนภานิ่ง แต่ชายหนุ่มรู้ว่าเธอกำลังตกอยู่ในภวังค์ของตน แววตาคู่นั้นมีหลากหลายอารมณ์ความรู้สึกจนภาวินเดาไม่ออกว่าหญิงสาวกำลังคิดอะไรอยู่
แต่สิ่งที่สะท้อนออกมาชัดเจนที่สุดเห็นจะเป็นความโหยหาและความอิจฉา เหมือนเวลาที่เห็นพี่หรือน้องของตนได้ของเล่นแล้วตัวเองไม่ได้ด้วย"อุ๊ย! พี่มะลิเลือดออกค่ะคุณพ่อ พี่มะลิเป็นแผลเลือดออกเลย"พราวนภาร้องบอกบิดาพร้อมกับชี้ไปที่หัวเข่าทั้งสองข้างของมัลลิกา ชายหนุ่มมองตามแล้วก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ"แย่ละ หนูพราวลุกขึ้นก่อนลูก คุณพ่อจะไปช่วยดูแผลให้พี่มะลิก่อน"ครั้นพอพราวนภาลุกขึ้นแล้ว ชายหนุ่มจึงชะโงกหน้าเข้าไปดูแผลที่หัวเข่าของหญิงสาวใกล้ ๆ"พี่ว่าเข้าไปทำแผลในบ้านก่อนดีกว่า ลุกไหวไหมเรา" พูดจบเขาก็ลุกขึ้นยืน และมองหาบาดแผลบริเวณอื่นไปด้วยมัลลิกาพยายามจะลุกขึ้น แต่ก็ปวดแปลบที่หัวเข่าขึ้นมาจนทำให้เธอต้องทรุดลงไปนั่งอยู่ท่าเดิม หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วส่ายหน้าให้ช้า ๆ ด้วยท่าทางน่าสงสาร"หนูเจ็บขาค่ะ ทำยังไงดี""ถ้าอย่างนั้นพี่จะอุ้มเราเข้าไปทำแผลในบ้านก่อน แล้วค่อยไปโรงพยาบาล ตรวจดูสักหน่อยว่ากระดูกหักหรือร้าวตรงไหนบ้างรึเปล่า...ขอโทษนะ"พูดจบเขาก็ก้มลงช้อนตัวมัลลิกาไว้ในวงแขนก่อนจะนิ่วหน้าสูดปากออกมาเบา ๆ เพราะความรู้สึกเจ็บที่กล้ามเนื้อด้านหลังตอนล้มลงกับพื้นแสดงอาการออกมาอีกค
"จะออกเป็นอะไรได้อีกล่ะนอกจากมะม่วง ถ้าออกเป็นอย่างอื่นได้ ป่านนี้แม่แป้นคงจะเอาแป้งไปโรยแล้วขูดหาหวยทุกวันแล้ว"ภคินีพูดกลั้วหัวเราะเมื่อนึกถึงแป้น แม่บ้านที่ตนจ้างไว้แบบเช้ามาเย็นกลับ ซึ่งแป้นเป็นภรรยาของหัวหน้าพนักงานรักษาความปลอดภัยในหมู่บ้าน จึงรับจ้างทำงานบ้านให้กับลูกบ้านในหมู่บ้านด้วย"ก็..." เขาจงใจเว้นช่วงเอาไว้ไม่พูดออกมา ก่อนจะคลี่ยิ้มมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อเห็นใบหน้าของสาวน้อยเปลี่ยนจากซีดเผือดเป็นสีชมพูระเรื่อราวกับรู้ว่าเขาจะพูดอะไรต่อไป"มักกะลีผลไงครับคุณแม่" ทันทีที่เขาพูดจบ หน้าของมัลลิกาก็มีสีเข้มขึ้นอย่างที่คาดไว้"มัก...มักอะไรนะคะคุณพ่อ มันคืออะไรคะ" พราวนภาหันไปถามบิดาด้วยความสนใจ ขณะที่ผู้อาวุโสสุดในที่นั้นหันไปมองค้อนบุตรชายด้วยความหมั่นไส้"มักกะลีผลค่ะหนูพราว เป็นต้นไม้ในนิทานโบราณน่ะ ออกผลมาเป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารัก ใครอยากมีลูกก็จะเด็ดเอาไปเลี้ยงที่บ้าน" ชายหนุ่มเล่าบิดเบือนตำนานไปเล็กน้อยพลางมองใบหน้าแดงก่ำของหญิงสาวอย่างเอ็นดู"บ้านเรามีต้นนั้นด้วยหรือคะ อยู่ตรงไหนหนูพราวไม่เคยเห็น" พราวนภาถามอย่างตื่นเต้นก่อนจะหันไปมองหน้าเพื่อนต่างวัยอย่างมัลลิการาวกับ
ชายหนุ่มเดินกลับเข้าไปในบ้านแล้วยื่นกระเป๋ากับแว่นตาส่งให้มัลลิกา หญิงสาวยกมือไหว้เขาแล้วพูด"ขอบคุณค่ะคุณอา"ได้ยินดังนั้นภาวินจึงชักมือกลับไปไม่ยอมส่งของให้ จากนั้นก็ยื่นข้อเสนอ"เรียกใหม่ซิ...พี่วิน ไม่ใช่คุณอา" เขาพูดไปยิ้มไป เห็นเธอมองไปทางมารดาของเขาราวกับต้องการขอความช่วยเหลือก็อดยิ้มกว้างกว่าเดิมไม่ได้"ตาวิน" เสียงลากยาวของมารดาเป็นเชิงปรามบุตรชายนั้นทำให้ภาวินหัวเราะออกมาเบา ๆ"โธ่คุณแม่ครับ หนูมะลิของคุณแม่น่ะเรียนปีสี่แล้วนะ ไอ้คิน ลูกชายคนเล็กของคุณแม่ก็รุ่นราวคราวเดียวกับมะลินั่นแหละ แล้วเรื่องอะไรผมจะยอมให้เขามาเรียกผมว่าอาล่ะ ฟังดูแก่ยังไงก็ไม่รู้"ภคินีค้อนบุตรชายปะหลับปะเหลือกก่อนจะหันไปพูดกับสาวน้อยข้างตัว"ก็เรียกพี่ให้เขาชื่นใจหน่อยละกันหนูมะลิ คนเขาไม่อยากแก่"มัลลิกาอมยิ้มแล้วยกมือไหว้ชายหนุ่มตรงหน้าอีกครั้ง"ขอบคุณค่ะพี่วิน""ค่อยฟังดูดีหน่อย" ภาวินยิ้มกว้างอวดลักยิ้มที่แก้มซ้ายพร้อมกับยื่นกระเป๋ากับแว่นตาส่งคืนเจ้าของมัลลิการับของมาถือไว้แล้วหยิบแว่นตาขึ้นมาสวม แว่นสายตาอันใหญ่กรอบสีดำแทบจะกินพื้นที่บนใบหน้ารูปไข่ไปถึงหนึ่งในสามส่วน จากหญิงสาวหน้าตาสะสวยแปรเป
"คุณย่าขา หนูพราวปวดฉี่" พราวนภาเดินมาบอกผู้เป็นย่าพร้อมเขย่ามือเบา ๆ ภคินีจึงหันไปบอกบุตรชายกับคนเจ็บที่กำลังให้รายละเอียดส่วนตัวกับพยาบาลเพื่อทำประวัติคนไข้ใหม่ เพราะมัลลิกายังไม่เคยใช้บริการของโรงพยาบาลนี้มาก่อน"แม่พาหนูพราวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ"ภาวินพยักหน้าให้มารดาก่อนจะเดินไปยืนด้านหลังมัลลิกาเพื่อเปิดทางให้พยาบาลเข้ามาวัดความดันให้หญิงสาว เสร็จเรียบร้อยเขาก็เข็นรถพาเธอไปนั่งรอหมอเรียกที่หน้าห้องตรวจทว่าแทนที่ชายหนุ่มจะจอดรถเข็นโดยให้หันหน้าไปทางเดียวกันกับตน เขากลับหันรถเข็นเข้าหาตัวเองเพื่อให้หญิงสาวนั่งหันหน้าเข้าหาตนมัลลิกาทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะวางมือไว้ตรงไหน และไม่รู้จะมองไปทางใดเพราะเบื้องหน้าก็มีใครบางคนนั่งอมยิ้มอยู่ แม้จะเคยแอบมองเขาอยู่สองสามครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้พูดคุยต่อหน้า จึงรู้สึกประหม่าขัดเขินอย่างไม่คุ้นเคย"เจ็บมากเลยหรือ" จู่ ๆ เขาก็ถามขึ้นมา แม้น้ำเสียงจะอ่อนโยนราวกับเป็นห่วงเป็นใยอย่างล้นเหลือ แต่สีหน้าแววตากลับวิบวับกรุ้มกริ่มแปลก ๆ กระนั้นเธอก็ตอบเขาไปตามตรง"ไม่ถึงขนาดนั้นค่ะ ความจริงก็ดีขึ้นมากแล้ว แค่จี๊ด ๆ ตรงหัวเข่านิดหน่อย"ชายหนุ่มพย
เสียงพยาบาลขานชื่อของมัลลิกาเพื่อเข้าห้องตรวจ การสนทนาของทุกคนจึงหยุดลงแค่นั้น ภาวินลุกขึ้นเข็นรถให้หญิงสาวแล้วเดินตามพยาบาลไปยังห้องตรวจโดยภคินีกับพราวนภานั่งรออยู่ที่เดิมทั้งสี่คนใช้เวลาอยู่ในโรงพยาบาลร่วมชั่วโมงเพราะต้องเอกซเรย์หัวเข่าของมัลลิกาด้วยว่าร้าวหรือไม่ ซึ่งผลที่ออกมาก็ทำให้ทุกคนโล่งใจ เพราะหญิงสาวเพียงฟกช้ำจนกล้ามเนื้ออักเสบจากแรงกระแทก และมีบาดแผลที่ครูดไถลกับต้นไม้เท่านั้น ส่วนกระดูกไม่มีรอยร้าวจึงไม่จำเป็นต้องใส่เฝือกหลังจากจ่ายเงินค่ารักษาและรับยาเสร็จเรียบร้อยทุกคนก็กลับบ้าน ตอนขากลับโทรศัพท์ของมัลลิกามีสายเรียกเข้าจากมารดาเข้ามาพอดี ทุกคนจึงรู้ว่าบิดามารดาของเธอกลับมาถึงบ้านแล้วเรียบร้อย และเวลานี้ต่างก็นั่งรอบุตรสาวด้วยความเป็นห่วงภาวินขับรถมาถึงหน้าบ้านของมัลลิกา เขาเห็นชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานคนหนึ่งกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาเปิดประตูรั้วออกกว้างทั้งสองด้าน ชายหนุ่มจึงเข้าใจทันทีว่าอีกฝ่ายต้องการให้ตนขับเข้าไปจอดด้านใน เขาจึงเคลื่อนรถไปหยุดตรงบริเวณที่ใกล้กับประตูบ้านมากที่สุดเพื่อไม่ให้คนเจ็บต้องเดินมากนักเมื่อรถจอดสนิท มัลลิกาก็เปิดป
เขาเป็นคนดีหรือไม่มัลลิกาก็ยังให้คำตอบกับตัวเองไม่ได้เพราะเรื่องแบบนี้ต้องดูกันไปนาน ๆ แต่ที่แน่ ๆ คือครอบครัวของเขาจัดอยู่ในกลุ่มคนประเภทที่คบได้ไม่มีพิษมีภัย เธอจึงรู้สึกสบายใจทุกครั้งที่เจอแต่กระนั้น การอ่านใจคนอื่นของเธอก็ยังมีข้อจำกัด เพราะมีอยู่สามคนที่เธอไม่สามารถอ่านใจได้ นั่นก็คือมารดา น้องชาย และพ่อเลี้ยงสำหรับมารดากับน้องชายนั้น เธอเข้าใจว่าเพราะทั้งสองคนมีสายเลือดเดียวกันกับตน แต่สำหรับพ่อเลี้ยงนั้นไม่ใช่ เขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเธอเลยแม้แต่น้อย แล้วทำไมเธอถึงไม่สามารถอ่านใจเขาได้เล่าวันต่อมาอาการเจ็บหัวเข่าของมัลลิกาดีขึ้น และแผลก็ไม่มีเลือดซึมออกมาแล้ว หญิงสาวต้องพยายามเดินหรือนั่งอย่างระมัดระวัง แต่ก็มีบางครั้งที่เผลอนั่งชันเข่าจนแผลปริ เธอได้แต่สูดปากเบา ๆ ด้วยความเจ็บ กระนั้นมารดาก็ยังอุตส่าห์ได้ยินเข้าจนได้"อีกวันสองวันคงเริ่มตกสะเก็ด ถึงตอนนั้นหนูก็ต้องระวังให้มากขึ้นนะมะลิ เพราะถ้าแผลปริบ่อย ๆ มันจะหายช้า แล้วช่วงที่เป็นสะเก็ดแข็งก็จะคันมาก หนูอย่าไปเกาเชียวล่ะ ไม่อย่างนั้นได้มีแผลเป็นติดตัวแน่"
หลังจากรับประทานมื้อเช้ากันเสร็จเรียบร้อย มัลลิกาก็ยกจานชามทั้งหมดไปล้างในครัว ขณะเดียวกันก็คอยแอบมองพ่อเลี้ยงไปด้วยว่าอีกฝ่ายจะขึ้นไปอาบน้ำตอนไหน ครั้นพอเห็นนฤเบศร์เดินขึ้นบันไดไปแล้วจึงรีบไปหามารดาแล้วจับแขนท่านเขย่าเบา ๆ"คุณแม่ขา ช่วยพูดกับคุณพ่อหน่อยสิคะเรื่องฝึกงานน่ะ หนูไม่อยากไปทำที่กงสุลเลย มีแต่คนแก่หัวโบราณถ้าหนูต้องไปฝึกงานที่นั่นหลายเดือนหนูต้องบ้าตายแน่"เหตุผลสำคัญอีกอย่างที่หญิงสาวไม่ได้พูดออกไปก็คือหากเธอไปทำงานกับพ่อเลี้ยงก็เท่ากับว่าต้องอยู่ในสายตาของอีกฝ่ายตลอด หนำซ้ำต้องไปกลับพร้อมท่านทุกวัน ชีวิตอิสระที่จะได้ไปเตร็ดเตร่ตามห้างสรรพสินค้าหรือร้านไอศกรีมกับเพื่อนก็จะหายวับไปทันที"ฟังพูดเข้า ที่กงสุลไม่ได้มีแต่คนแก่สักหน่อย หนุ่ม ๆ สาว ๆ ที่เพิ่งเรียนจบแล้วเข้าไปทำงานที่นั่นก็เยอะเหมือนกัน และเด็กฝึกงานก็ไม่ใช่มีแค่หนูคนเดียว มีจากมหา'ลัยอื่นด้วย"ผู้เป็นมารดาพูดแก้ไขความเข้าใจผิดของบุตรสาว ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นเจ้าตัวทำหน้าง้ำแล้วเอาแก้มมาถูที่ไหล่ของตนอย่างออดอ้อน"โธ่ คุณแม่อ้ะ ก็น่าจะรู้ว่าทำไมหนูถึงไม
และเพราะมัวแต่มองเจ้าตัวเล็ก หญิงสาวจึงไม่ทันเห็นสายตาระยิบระยับกับมุมปากที่ยกขึ้นอย่างสมใจของคนตัวโต และยิ่งไม่มีทางรู้ว่าก่อนหน้าที่พ่อลูกคู่นี้จะเดินมาถึงรั้วที่กั้นเขตบ้าน ผู้เป็นพ่อได้ "ชี้แนะ" อะไรบางอย่างกับบุตรสาวตัวน้อยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว"หนูพราวจะมาอีกทีวันศุกร์แน่ะ ต้องคิดถึงพี่มะลิมากแน่ ๆ เลยค่ะ"พราวนภายังคงพูดตามที่ได้รับการชี้แนะมาจากผู้เป็นบิดา แต่คนฟังนั้นกลับเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยเพราะดูเหมือนเด็กน้อยจะขี้อ้อนผิดปกติ หญิงสาวจึงหันไปมองคนตัวโตที่ยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงพลางทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ด้วยการมองไปเรื่อยเปื่อย"ถ้าพี่มะลิขอคุณพ่อคุณแม่ได้ พี่จะไปเล่นกับหนูพราวที่บ้านนะคะ"มัลลิกาไม่กล้าให้ความหวังพราวนภานักเพราะไม่แน่ใจกับอารมณ์ของบิดาในวันนี้ ดูท่านไม่ค่อยพอใจที่เธอจะไปฝึกงานกับบริษัทอื่น แต่ท่านก็ไม่อาจแย้งเหตุผลของมารดาได้ ตอนที่เธอไปยืนแอบฟังอยู่หน้าประตูห้องทำงาน คำพูดของมารดาที่ทำให้บิดายอมจำนนก็คือ...ยายหนูโตแล้ว ปล่อยให้เขาออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวเองบ้าง เราอยู่ดูแลเขาไปชั่วชีวิตไม่ได้หรอกนะ...ความจริงแล้ว
มัลลิกานั่งแช่อยู่ในสระว่ายน้ำส่วนตัว หญิงสาวยกแขนขึ้นวางบนขอบสระแล้วเอาคางเกยไว้ สองตาทอดมองผืนน้ำสีฟ้าสุดลูกหูลูกตาอย่างผ่อนคลาย มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเมื่อได้ยินเสียงใครบางคนกำลังก้าวลงน้ำมาเช่นกัน จากนั้นแผ่นหลังของเธอก็ถูกทาบทับด้วยแผงอกหนั่นแน่นตามมาด้วยอ้อมแขนที่กอดรัดเอวไว้ และมีริมฝีปากอุ่นร้อนตามมาพรมจูบไปทั่วลาดไหล่"ชอบที่นี่ไหม" เสียงทุ้มเอ่ยถามชิดริมหู หญิงสาวห่อไหล่ตามสัญชาตญาณเพราะรู้สึกจั๊กจี้"ชอบค่ะ น้ำสีสวยมากเลย อากาศดีด้วยไม่ร้อนอย่างที่คิด" ทั้งที่ตอนนี้เธออยู่กลางแจ้งท่ามกลางแสงแดดอ่อน แต่กลับไม่ร้อนเหมือนแดดเมืองไทย"ชอบก็ดีแล้ว พี่นวดให้นะ เดินทางมาถึงเหนื่อย ๆ"ภาวินขันอาสาอย่างเอาใจ เขานั่งซ้อนอยู่ด้านหลังแล้วค่อย ๆ บีบนวดต้นแขน หัวไหล่ แต่ไป ๆ มา ๆ กลับนวดวนเวียนอยู่แต่ก้อนเนื้อนุ่มหยุ่นสองก้อนที่อยู่ด้านหน้า บั้นท้ายก็ถูกสิ่งนั้นของเขาบดเบียดอย่างเป็นจังหวะ"ฮื้อ...พี่วินเนี่ยมือซนตลอดเลย" หญิงสาวครางเบา ๆ เมื่อเขาล้วงเข้าไปในชุดว่ายน้ำชิ้นบนแล้วใช้นิ้วหมุนวนปลายยอดอย่างปลุกเร้าภาวินมองไปรอบด้
ภาวินมองคนที่นั่งหลับมาตลอดทางด้วยสายตารักใคร่ วันนี้เขาได้ใช้เวลาอยู่กับเธอทั้งวัน ได้นอนกกกอดเธอไว้ในอ้อมแขนจนเขาแทบสำลักความสุข เขารู้ว่าตนยังไม่อิ่มแต่ก็ต้องรีบพาหญิงสาวกลับกรุงเทพฯ เพราะไม่อยากให้ค่ำเกินไปชายหนุ่มจอดรถหน้าบ้านมัลลิกาในตอนหัวค่ำ ก่อนหน้านี้เขาโทรศัพท์บอกมารดาของเธอแล้วว่าจะพาหญิงสาวแวะกินมื้อเย็นแล้วค่อยกลับเข้าบ้าน จึงไม่ห่วงว่าเธอจะถูกบิดามารดาดุ"มะลิ ถึงบ้านแล้วครับ" เขาสะกิดมัลลิกาเบา ๆ หญิงสาวตื่นขึ้นแล้วมองซ้ายมองขวาอย่างงัวเงีย"ถึงบ้านหนูแล้ว หรือจะไปนอนบ้านพี่ดี" เจ้าตัวหันมาค้อนใส่เขาทันทีก่อนจะเปิดประตูลงไปยืนข้างรถแล้วโบกมือให้ แต่สภาพของเธอเหมือนคนยังไม่ตื่นดี เขาจึงอดไม่ไหวอีกต่อไป หัวเราะออกมาในที่สุด"ตื่นได้แล้ว หลับมาตลอดทางยังไม่พออีกหรือแม่คุณ" เขาถามกลั้วหัวเราะ เธอยู่หน้าใส่เขาแล้วพูดว่า"เพราะใครล่ะ" จากนั้นหญิงสาวก็หันหลังเดินจากไป เขามองจนเธอเข้าบ้านแล้วจึงขับเลยไปที่บ้านของตัวเองบ้างบิดามารดาของภาวินนั่งดูข่าวภาคค่ำอยู่ในห้องนั่งเล่น ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาแล้วนั่งบนโซฟาอีกตัว อ
"ใส่ทำไม พี่อยากอ่อยคนแถวนี้นี่นา" ไม่พูดเปล่า แต่เขายังแบมือมาทางเธอราวกับต้องการให้วางมือลงไปบนมือของเขามัลลิกายื่นมือไปวางลงบนมืออุ่นข้างนั้น ชายหนุ่มกระตุกเบา ๆ หญิงสาวจึงทรุดนั่งข้างกายเขาแต่โดยดี"เย็น ๆ ค่อยกลับเนอะ หรือจะค้างดี" ภาวินถามพลางนวดมือให้เธอไปด้วย จึงทำให้มัลลิการับรู้ความในใจของชายหนุ่มอีกจนได้...พี่แค่อยากพาหนูมาผ่อนคลาย เห็นอุดอู้อยู่ในบ้านเป็นเดือน ๆ..."พี่ก็โทร. ไปขอคุณพ่อให้หนูสิคะ" เธอแกล้งหยอกเขาเล่น แต่ภาวินกลับคิดจะทำจริง ๆ"ก็ได้นะ พี่มีเบอร์คุณพ่อของหนูอยู่"ชายหนุ่มทำท่าจะยืนขึ้น หญิงสาวจึงรีบกอดแขนเขาไว้ทันทีเพราะกลัวว่าเขาจะโทรศัพท์ไปขออนุญาตกับบิดาของตนจริง ๆ"ไม่เอา! พี่ก็รู้อยู่ว่าคุณพ่อไม่อนุญาตหรอก ขืนโทร. ไปมีหวังโดนจี้ให้กลับบ้านตอนนี้แน่" พูดจบเธอก็ถูกเขากอดไว้แล้วเอนตัวลงนอนไปด้วยกัน โดยที่หญิงสาวนอนเอาหูแนบอกฟังเสียงหัวใจของเขาที่เต้นอยู่ข้างใน"บ้านก็ติดกันอย่างนั้น ยังไงก็หนีพี่ไม่พ้นหรอก"เขาปัดผมของเธอออกจากลาดไหล่แล้วใช้มือลูบต้นแขนเปลือยเปล่าของหญิงสาวไปมา ผิ
มัลลิการักษาตัวอยู่โรงพยาบาลอีกสองอาทิตย์ก็ได้กลับบ้าน แผลที่แก้มเริ่มไม่เจ็บเท่าไรแล้ว แต่แผลที่ถูกกระจกบาดและแผลถลอกพอตกสะเก็ดกลับดูน่ากลัวจนมัลลิกาไม่กล้าส่องกระจกดูหน้าตัวเอง หญิงสาวยังเดินด้วยตัวเองไม่ได้ ต้องอาศัยไม้ค้ำช่วยพยุง ในแต่ละวันเธอจึงได้แต่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในบ้าน ภาวินจึงนึกสนุกด้วยการนำเครื่องสำอางมาให้หญิงสาวได้ลองหัดแต่งหน้าโดยแนะนำให้เธอเริ่มศึกษาจากยูทูบช่วงอาทิตย์แรกมัลลิกายังใช้แปรงและอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างเก้กังเพราะไม่เคยใช้ แต่พออาทิตย์ถัดมาหญิงสาวก็เริ่มคล่องขึ้น และเริ่มสนุกกับการแปลงโฉมใบหน้าของตัวเองในรูปแบบต่าง ๆ เธอเริ่มเข้าเว็บไซต์ และติดตามแฟนเพจที่เกี่ยวกับความสวยความงาม ครีมหรือโลชั่นยี่ห้อไหนที่โด่งดังเรื่องช่วยลบรอยแผลเป็น เธอก็คลิกสั่งออนไลน์เพื่อเอามาลองใช้หลายยี่ห้อมัญชุดานั่งมองบุตรสาวที่กำลังทดลองสีลิปสติกกับข้อมือของตัวเองแล้วก็ได้แต่ยิ้ม เมื่อก่อนมัลลิกาไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้เพราะชอบคิดว่าตนไม่สวย แต่งไปก็ไม่มีใครดู แต่พอแม่สาวน้อยของเธอเริ่มมีความรักก็เริ่มหัดดูแลตัวเองมากขึ้น หนำซ้ำยังดูมีความสุขดีด้วย
มัลลิกายังคงไม่ยอมออกจากผ้าห่ม แต่เสียงสะอื้นนั้นไม่มีแล้ว ราวกับเจ้าตัวกำลังชั่งใจว่าจะโผล่หน้าออกมาคุยกับเขาดีหรือไม่"ถ้าอย่างนั้น พี่ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม" ชายหนุ่มเอื้อมมือไปวางบนศีรษะของเธอเบา ๆ ก่อนพูดต่อ"ถ้าหากว่าคนที่ถูกรถชนเป็นพี่ คนที่ต้องนอนอยู่ตรงนี้เป็นพี่ และพี่ต้องมีแผลเป็นบนหน้าบ้าง หนูจะบอกเลิกพี่รึเปล่า หนูจะเลิกรักพี่แล้วหันไปคบคนอื่นไหม"คนนอนคลุมโปงส่ายหน้าไปมาแล้วตอบ "ไม่ ทำไมหนูต้องทำอย่างนั้น"ภาวินยิ้มออกทันที "ใช่ไหมล่ะ แล้วทำไมพี่ต้องทำอย่างนั้นล่ะครับ"ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วก้มลงไปจูบบริเวณที่คาดว่าน่าจะเป็นหน้าผากของหญิงสาวผ่านทางผ้าห่ม"หนูพราวถามหาพี่มะลิทุกวันเลย ไว้วันเสาร์นี้พี่จะพาหนูพราวมาเยี่ยมด้วยนะ"พอพูดถึงพราวนภา คนในผ้าห่มก็เลิกผ้าออก เผยให้เห็นใบหน้าแดงก่ำและเปลือกตาบวมจากการร้องไห้เมื่อครู่ เจ้าตัวสูดน้ำมูกทีหนึ่งแล้วถาม"หนูพราวเป็นยังไงบ้างคะ หนูผลักแรงขนาดนั้นไม่รู้หัวเข่ากระแทกพื้นจนเป็นแผลรึเปล่า"ภาวินมองหญิงสาวด้วยสายตาอ่อนเชื่อม ตัวเองเป็นอย่างนี้ยังอุตส่าห์ถามถึงคนอื่
มัลลิกาเบิกตากว้างเมื่อได้ยินอย่างนั้น แม้จะคาดเดาไว้อยู่แล้วแต่ก็อดใจหายและเศร้าอยู่ลึก ๆ ไม่ได้ ถึงปรีชญาจะทำไม่ดีกับเธอไว้มากมาย แต่อย่างไรเสียก็ยังเคยคบหากันอย่างสนิทสนมมาก่อน"ทำไมตาลเขาต้องทำอย่างนั้นคะคุณพ่อ""เขาป่วยเป็นโรคหลายบุคลิกน่ะ ตอนนี้ถึงจะจับตัวได้แล้วแต่ก็ยังดำเนินคดีอะไรไม่ได้ เพราะต้องให้เขารักษาจนอาการดีขึ้นก่อน""อ้าว เขาไม่ติดคุกหรือ แล้วถ้าเขาออกมาขับรถไล่ชนหนูอีกล่ะคะ" มัลลิกาถามหน้าตื่น คิดในใจว่าถ้าโดนชนอีกครั้งคงไม่มีชีวิตรอดแน่นอน"พ่อก็ห่วงเรื่องนี้อยู่ เพราะไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่จะกักตัวเขาไว้รักษาอาการแบบไหน พ่อกลัวว่าเขาจะปล่อยให้มันไปรักษาที่บ้านแล้วมันก็จะออกมาก่อเรื่องอีก""แย่จัง...แล้วตกลงเจอแพตที่ไหนคะ"เธออยากรู้ว่าตติยะลงมือกับปรีชญาแบบไหน และทำอย่างไรจึงสามารถซ่อนศพไว้ได้นานขนาดนั้นโดยที่ไม่มีใครหาเจอ"ศพลอยมาติดกับกอผักตบข้างวัดริมแม่น้ำเจ้าพระยาน่ะ แต่ผลการชันสูตรบอกว่าตายเพราะถูกบีบคอจนขาดอากาศหายใจ"นฤเบศร์เล่าให้บุตรสาวฟังไปตามความจริงโดยไม่คิดปิดบัง เพราะคนที่เป็นทั้งเหยื่อและฆาตกรก
ความเจ็บปวดรวดร้าวที่แผ่ลามไปทั่วร่างราวกับทุกชิ้นส่วนของร่างกายกำลังถูกจับแยกออกจากกันทำให้คนที่หลับใหลไปหลายวันในห้องผู้ป่วยวิกฤติค่อย ๆ รู้สึกตัวตื่น เปลือกตาหนักอึ้งเปิดปรือขึ้นอย่างยากลำบาก กลิ่นอันเป็นลักษณะเฉพาะของโรงพยาบาลทำให้คนที่เพิ่งตื่นจากฝันรู้ว่าตอนนี้ตนอยู่ที่ไหนเสียงครางแผ่วเล็ดลอดออกจากลำคอ รู้สึกเจ็บไปทั้งตัวจนไม่รู้ว่าเจ็บตรงไหนบ้าง มัลลิกาพยายามมองไปรอบด้าน แต่เพราะนอนสลบไปหลายวันสายตาจึงยังปรับระยะได้ไม่ดีนัก จนเธอต้องยกมือข้างหนึ่งที่ไม่เจ็บเท่าไรขึ้นมาวางทาบที่เปลือกตาทั้งสองข้างตามความเคยชินทว่าตอนที่เอามือปิดตานั้น หญิงสาวสัมผัสได้ถึงสิ่งแปลกปลอมที่ติดอยู่บนผิวแก้มข้างซ้ายของตน เธอทั้งเจ็บทั้งตึงบริเวณนี้จึงลองวางมือทาบลงไปบนสิ่งที่ติดอยู่บนแก้มอะไรน่ะ ผ้าปิดแผลหรือ ทำไมใหญ่จัง...มัลลิกาขมวดคิ้วมุ่น พยายามคิดทบทวนเหตุการณ์ล่าสุดที่ตนพอจะจำได้อยู่เป็นนาน เธอจำได้ว่าก่อนหน้านี้ตนนั่งเล่นอยู่ที่สวนสาธารณะของหมู่บ้านกับภาวิน นั่งดูพราวนภาตีแบดมินตัน และหลังจากนั้น...จำได้แล้ว! เธอถูกรถชนนั่นเองตอน
นฤเบศร์ขับรถไปส่งภรรยาที่บ้าน จากนั้นก็ขับต่อไปยังโรงพยาบาลทางจิตเวชที่ตติยะถูกกักตัวไว้เพื่อทำการทดสอบสภาพจิต เมื่อไปถึงเขาแจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่าตนขอเข้าเยี่ยม เจ้าหน้าที่จึงพาเขาไปนั่งรออยู่ในห้องห้องหนึ่ง จากนั้นไม่นาน ตติยะก็เดินเข้ามาในห้องโดยไร้เครื่องพันธนาการร่างกาย แต่มีเจ้าหน้าที่ชายคอยตามประกบอยู่สองคนนฤเบศร์มองคนที่กำลังยกมือไหว้ตนด้วยสายตาเย็นชา จนกระทั่งตติยะนั่งลงแล้วเขาจึงเอ่ยปากพูด"ดูท่าทางสุขสบายดีนะ""ผมไม่รู้เรื่องจริง ๆ นะครับ ผมไม่ได้ทำ ผมรักมะลิจะตายใคร ๆ ก็รู้ คุณอาลองไปถามเพื่อนของเธอดูก็ได้ ผมไม่มีทางทำร้ายมะลิแน่นอน ไอ้คนที่ทำ...""มันก็คือมึงนั่นแหละ!"นฤเบศร์ตบโต๊ะเสียงดังอย่างเหลืออดจนตติยะสะดุ้ง เจ้าหน้าที่ทั้งสองคนเดินเข้ามาใกล้เพราะเกรงว่าเขาจะทำอันตรายผู้ต้องหา นฤเบศร์จึงหันไปบอกกับสองคนนั้น"ผมไม่ทำอะไรมันหรอกไม่ต้องห่วง แม้ว่าผมอยากจะฆ่ามันให้ตายคามือก็เถอะ" จากนั้นก็หันมาเล่นงานตติยะต่อด้วยอารมณ์กราดเกรี้ยว"มึงมันฉลาดดีนี่ ฆ่าคนมาเท่าไรแล้วล่ะ พอโดนจับได้ก็มาบอกว่าเป็นโรคจิตจำอะไ
"แกไม่ต้องห่วงแม่ดากับหนูมะลิหรอกนะ แม่รับปากว่าจะทำตามที่แกขอเอาไว้ แม่เลี้ยงหนูมะลิมาตั้งหลายปีแม่ก็รักมะลิเหมือนหลานแท้ ๆ นั่นแหละ"มัลลิการ้องไห้ออกมาทันทีเมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นจากโฉมฉาย"คุณย่าขา หนูก็รักคุณย่านะคะ"ครั้นพอหญิงสาวร้องไห้ออกมา จู่ ๆ ก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดทรมานไปทั้งร่างราวกับร่างกายกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ แขนขาหนักอึ้งกระดิกไม่ได้แม้แต่ปลายนิ้ว รู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นที่ขมับทั้งสองข้างจากน้ำตาที่ไหลกลิ้งลงไปรวมกันอยู่ตรงนั้น และที่สำคัญ นอกจากจะเจ็บไปทั่วทั้งตัวแล้วมัลลิกายังรู้สึกว่าบนใบหน้าซีกหนึ่งปวดตุบ ๆ อยู่ตลอดเวลาเหมือนเมื่อครั้งที่ตนตกจากต้นไม้แล้วหัวเข่าเป็นแผล เพียงแต่ครั้งนี้เจ็บกว่านั้นมากนักพิษจากบาดแผลและความเจ็บปวดที่ได้รับ ทำให้สติสัมปชัญญะของมัลลิกาค่อย ๆ เลือนไปจนทุกอย่างดับวูบไปอีกครั้ง"หลายวันแล้วนะเบศร์ ทำไมยายหนูยังไม่ฟื้นสักที" มัญชุดาได้แต่ยืนมองบุตรสาวที่ยังหลับใหลอยู่บนเตียงคนไข้ ร่างกายมีบาดแผลและร่องรอยฟกช้ำไปทั่วร่าง ขาข้างหนึ่งต้องใส่เฝือก สายน้ำเกลื