แม้จะได้ยลความสวยงามและเคยแม้กระทั่งปลุกเร้ากลืนกินดอกไม้สวยงามดอกนี้แล้ว แต่ทว่าเมื่อได้เห็นอีกครั้งมันก็ทำให้เขาถึงกับร้อนรุ่มเหมือนวิ่งอยู่กลางกองเพลิงพิศวาส ดอกไม้ขาวสะอาดและหอมกรุ่น เกสรเล็กๆ ที่ซุกซ่อนอยู่ก็มีสีแดงฉ่ำสด เรียกร้องให้ต้องรีบกลืนกินอีกครั้ง“ขอฉันนะจันตี...” อินซอฟเอ่ยขึ้นเหมือนคนละเมอ ปลายนิ้วยาวเรียวค่อยๆ แยกกลีบดอกไม้ออกจากกันอย่างเชื่องช้า ริมฝีปากหนาอุ่นร้อนประทับจุมพิตแผ่วเบาและนุ่มนวล“โอ๊ะ! อื้อ...ไม่นะอินซอฟ...” จันฑีราเสียงกระเส่าและแหบพร่า อายจนหน้าแดงก่ำ สะโพกงามงอนขยับหนี แต่ติดล็อกจากแขนใหญ่ที่กดรั้งเอาไว้“ทำไมล่ะจันตี?”“มันน่าเกลียด...”“ไม่หรอกสาวน้อย” ปลายนิ้วยาวขยับไล้รอยแยกกลีบกุหลาบนุ่มแผ่วเบาและนุ่มนวล ใบหน้าคมคร้ามแย้มยิ้ม ดวงตาเป็นประกายหวานฉ่ำเชื่อม มองตอบดวงตากลมโตที่เป็นประกายอย่างเดียวกัน แต่ก็ซุกซ่อนความอายไว้ด้วย“เธอต้องการฉันหรือเปล่าล่ะสาวน้อย”ถ้าเป็นเมื่อก่อนจันฑีราจะต้องตอบว่า ไม่...ตาบ้าฉันไม่ต้องการนาย ไปให้พ้นๆ เลย แต่ในตอนนี้เมื่อเพลิงพิศวาสรุ่มร้อนดังเปลวไฟห้อมล้อม คำตอบที่เอ่ยออกไปจึงตรงข้ามกับความเป็นจริงจากปาก แต่เป็นควา
อินซอฟละมือจากบั้นท้ายงามงอน เปลี่ยนเป็นขยับเคลื่อนไปหาสองบัวตูมเต่งตึงที่ไหวโยก ปลายนิ้วยาวใหญ่ตวัดไล้ปลายยอดสีทับทิมแผ่วเบา แล้วค่อยๆ เพิ่มความหนักหน่วงสลับกดคลึงทั้งซ้ายและขวา เรียวลิ้นสากร้อนขยับเคลื่อนแผ่วพลิ้วซอกซอนหาความหวาน...สำรวจความลึกล้ำตามธรรมชาติกลีบกายบอบบางและนุ่มนวลเรือนกายแห่งความเป็นชายชาตินักรบผู้หาญกล้าขยายใหญ่ เรียกร้องให้ผู้เป็นเจ้าของฝังในความฉ่ำชื้นและอบอุ่น แม้ยังต้องการกลืนกินน้ำผึ้งหวานสักเท่าไหร่ แต่ก็ทนกับความต้องการที่ปะทุขึ้นเหมือนไฟที่กำลังไหม้ฟางไม่ได้เรียวลิ้นสากระคายขยับเคลื่อนกรีดไล้รอยแยกกลีบบุปผานุ่มและกดคลึงเกสรดอกสวาท ปล่อยให้นิ้วมือทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างสองกาย ริมฝีปากหนาอุ่นร้อนขบเม้มเคลื่อนไปตามผิวกายขาวเนียนนุ่ม หยอกเย้าช่องเล็กๆ ที่อยู่ระหว่างหน้าท้องแบนราบเรียบ กดกัดจนเป็นผิวกายเป็นสีแดงระเรื่อ ก่อนจะยอมปล่อยและเคลื่อนไหวไปหาผลไม้สีขาวนวลสองผลที่แต่งแต้มปลายยอดด้วยสีแดงอมชมพู“ได้โปรด...อินซอฟ...” จันฑีราหัวหมุนคว้าง ขยับเรือนกายตามแรงส่งที่เคลื่อนไหวถาโถมเข้ามาหา สะโพกกลมมนขยับตามติดมือใหญ่ที่ซอกซอนเคลื่อนไหวเหมือนพายุใหญ่ริม
“ก็อยากทำเหมือนกันแหละ แต่ทำไม่ได้ เพราะนายสั่งให้ฉันพาเธอไปหา มีคนอยากพบ”“ใคร ไม่ไปได้ไหม ไม่อยากเจอหน้านายจอมเจ้าเล่ห์ของนายเลย ให้ตายซิ” จมูกโด่งได้สันยู่ย่นเล็กน้อย“กลัวเจอแล้วอดใจไม่ไหว เผลอตัวเข้าไปฝากบาทาไว้บนหน้านายฟารฮาน แล้วก็จะถูกนายกับคนอื่นๆ ฆ่าหักคอทิ้ง”หึหึ อินซอฟถึงกับหัวเราะในลำคอ ใบหน้าและดวงตาเป็นประกาย รอยยิ้มระเรื่อ ปลายมือใหญ่ขยับเคลื่อนไหวตามเรือนกายบอบบาง ไม่วายที่จะถูกหญิงสาวปัดทิ้ง จนต้องจับมือเรียวตรึงไว้เหนือศีรษะ เพื่อให้กายแกร่งได้แนบชิดกับเรือนกายบอบบางทุกสรรพางค์“ความจริงถ้าเธออยากลองก็ได้นะจันตี ฉันไม่ว่าอยู่แล้ว ไอ้เรื่องที่เธอกลัวก็ไม่น่ากลัวสักนิด เพราะฉันไม่ฆ่าหักคอเธอทิ้งหรอก สู้ลงโทษทางอื่นดีกว่ามั้ง ก็ทั้งสวย หอมและหวานแบบนี้ ฆ่าทิ้งก็เสียดายแย่ซิ”“กรี๊ด...อีตาบ้า” จันฑีราพยายามดึงแขนเรียวออกจากการจับกุม แต่ก็ทำไม่ได้ง่ายๆ เมื่ออินซอฟไม่ยอมปล่อย อีกทั้งร่างหนาใหญ่ขยับขึ้นทาบทับบนเรือนกายบอบบาง“ว้าย! ไม่นะตาบ้า ไหนว่ามีคนต้องการพบฉันไง” จันฑีราถามเสียงสั่นเทา ด้วยความกลัวว่าจะถูกชักจูงไปในเส้นทางสายปรารถนาเร่าร้อนอีกใบหน้าขาวสวยสะบัดค้อนใส
“อืม...” อินซอฟแสร้งทำท่าทางครุ่นคิด ใบหน้ายิ้มกรุ้มกริ่ม “เมื่อก่อนนะคิดเรื่องงานกับเรื่องป้องกันเจ้านายจากคนที่จะเข้ามาทำร้ายน่ะ แต่ตอนนี้ก็คงจะเป็นอย่างที่เธอว่านั่นแหละจันตี พอคิดเรื่องอื่นแล้วสมองมันตันไม่แล่น แล้วยังชอบวกกลับมาคิดเรื่องที่เธอว่าจริงๆ นั่นแหละ”‘โอ๊ย! จะบ้าตาย จะเอาคืนอีตาหื่นนี่ยังไงดีล่ะนี่ แหมๆ ถ้ามีไม้สักท่อนก็ดี จะได้ทุบไอ้ศีรษะทุยๆ นี่ให้หันกลับไปคิดเรื่องอื่นบ้า’ ใบหน้าขาวสวยงองุ้มเป็นจวักตักแกง จมูกโด่งยู่ย่น ทำปากขมุบขมิบเจริญพรเสียยกใหญ่“ปล่อยได้แล้วตาบ้า ฉันไม่คุยกับนายแล้ว รีบอาบน้ำดีกว่า”“อืม...นั่นซินะ รีบอาบน้ำ รีบพาเธอไปพบนาย แล้วก็กลับมารักกันอีกรอบสองรอบดีกว่าเนอะ” อินซอฟรับคำพร้อมเสียงหัวเราะ ดวงตาคมเป็นประกายระยิบระยับ ไล่มองใบหน้าขาวแดงระเรื่อไปตลอดจนถึงลำคอระหง และเลยเรื่อยลงไปถึงเนินทรวงอวบอิ่มสองมือเรียวรีบยกขึ้นปิดสัดส่วนนูนเต่งตึง สูดลมหายใจเข้าปอดแผ่วเบา “นายออกไปก่อนนะนายอินซอฟ...ให้ฉันอาบน้ำก่อน”“ไม่ละ เดี๋ยวฉันช่วยเธออาบน้ำ แล้วเธอก็อาบให้ฉันดีกว่า” อินซอฟส่ายศีรษะเบาๆ มือใหญ่ยื่นไปเปิดสวิตช์เครื่องทำน้ำอุ่นให้หยาดน้ำไหลรินรดสองร
“อือ...แล้วไง เรื่องแค่นี้ไม่เห็นจะสำคัญอะไรเลย ค่อยบอกตอนที่อีตาหื่นนั่นมาก็ได้นี่นา”ไหล่กว้างยกขึ้นเบาๆ อย่างไม่แคร์ แต่ในใจอดที่จะดีใจและภูมิใจไม่ได้ที่เป็นที่ต้องการของชายหนุ่มผู้ซึ่งเป็นประมุขของแคว้น ถึงแม้จะไม่ได้มาจากความตั้งใจตั้งแต่ต้นก็ตามที“อันนั้นผมก็ว่าสำหรับคุณคงไม่สำคัญเท่าไหร่จริงๆ นั่นแหละ แต่มันสำคัญสำหรับผมไง เพราะผมต้องเป็นคนส่งสารให้คุณ” นาสเซอร์ยอมรับพร้อมพยักหน้าหงึกๆ“แต่เรื่องที่สองนี่ซิ ไม่รู้ว่าคุณจะทำใจได้หรือเปล่า ถ้าผมจะบอกว่า...” ว่าแล้วคำพูดก็หายจากปากหนาอุ่นร้อน มีเพียงมือใหญ่ที่ยกขึ้นลูบไล้ปลายคางอย่างใช้ความคิดว่าจะบอกไปดีหรือเปล่าสองแขนเรียวยาวยกขึ้นกอดอก “นายจะบอกเรื่องอะไรกับฉันล่ะตาบ้า บอกมาซิ มัวแต่อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่ได้ ปากอมสากไว้หรือไง” ว่าจะไม่ด่าว่าชายหนุ่มออกไปแล้วเชียวนะ แต่ทำไมมันอดใจไม่ได้สักทีก็ไม่รู้ ยิ่งเวลาที่ได้เห็นไอ้ลูกกะตาแพรวพราวระยับนั่นอีก ร่ำๆ อยากจะหาอะไรแหลมๆ มากทิ่มแทงให้มืดบอดไปเสียจริง“ก็แค่อยากจะบอกคุณว่า...” อัสสิยามีย์หยุดพูดอย่างเล่นลิ้น ไม่ได้อยากแกล้งให้ดีใจเล่นหรอกนะ แต่วันนี้ไม่อยากโทรหาน้องชายจริงๆ กลัวเผลอบอก
“อ้าวคุณ...นี่มันกระโจมผมนะ ทำไมผมจะเข้ามาไม่ได้ล่ะ”“ก็ใช่ นี่มันกระโจมของนาย แต่ช่วยดูเวลาหน่อยได้ไหม ตอนนี้มันเวลาเท่าไหร่แล้ว ค่ำแล้วใช่ไหมคะคุณอัสสิยามีย์ขา ตอนนี้ก็ควรจะเป็นเวลาส่วนตัวของฉันที่จะทำอะไรๆ ก่อนที่องค์ประมุขจอมหื่นนั่นจะเข้ามาใช่ไหม” กัญญาพัชรถามอย่างเล่นลิ้น ไม่รู้เป็นไงเวลาอยู่กับอัสสิยามีย์แล้ว เหมือนกับเธออยู่กับผู้ชายคนหนึ่งที่เป็นได้ทั้งเพื่อน พี่ และอาจจะรวมไปถึงพ่อด้วย“โอ๊ะ! ใช่ ผมขอโทษละกัน” ร่างหนาใหญ่หันหลังเดินกลับออกไปด้วยรอยยิ้ม เดี๋ยวจะต้องไปหาเสื้อผ้าเปลี่ยนเตรียมตัวกลายร่างเป็นองค์ประมุขนาสเซอร์อีกแล้ว คิดๆ ก็สนุกดี เปลี่ยนตัวเองเป็นตัวเอง แต่แล้วร่างหนาใหญ่ก็รีบหันกลับมาอีกครั้ง “ว่าแต่คุณอยากอาบน้ำไหม”“ว้าว...ดีจังมีน้ำให้อาบด้วยเหรอ ไหนๆ อาบตรงไหน” กัญญาพัชรเอ่ยถามอย่างชอบใจ ก็กี่วันมาแล้วที่ได้พบน้ำเพียงแค่ลูบไล้เนื้อตัว พอถามหาน้ำอาบนายบ้านี่ก็จะตอบแค่ว่าตอนนี้น้ำมีจำนวนจำกัด ต้องประหยัดเอาไว้ดื่ม ชิ...งกชะมัด“เดี๋ยวจะให้คนตักมาให้”“อ้าว...ไม่ให้ฉันไปอาบที่แหล่งหรือไง แต่ก็ช่างเถอะ ดีเหมือนกันจะได้ไม่เหนื่อย มีคนรองมือรองเท้าให้ สบายกว่าอยู
เธอจะยอมให้เรื่องราวมันเป็นแบบนี้หรือจันตี จะต่อสู้เพื่อให้ชายหนุ่มคนนั้นมาเคียงข้างกาย หรือจะยอมกลายเป็นดอกไม้ถูกเด็ดดมจนความหวานเหือดหายแล้วถูกทิ้งอย่างไม่ไยดีใช่...ยอมไม่ได้ อย่างนี้มันต้องสู้กันสักตั้ง ถ้าต้องแพ้ก็ช่างแต่ยังไงก็ดีกว่าปล่อยให้เรื่องราวทุกอย่างกลายเป็นแบบนี้ อีกอย่างถ้าประสบความสำเร็จใช่เธอที่จะมีความสุขลำพัง แต่ปิยาพัชรก็เช่นกันริมฝีปากอวบอิ่มขบเม้มเข้าหากัน ทำไมใจมันถึงโหยหายและเจ็บแบบนี้ เจ็บจนแทบจะไม่อยากหายใจ ยิ่งได้ยินคำพูดนั้นจากปากจันฑีราอีก มันก็ทำให้เธอแทบไม่อยากจะลืมตาขึ้นมองสิ่งใดๆ อีกแล้ว น้ำตาอุ่นร้อนค่อยๆ ไหลออกจากสองตาอย่างห้ามไว้ไม่ได้ คำพูดกัญญาพัชรก็แว่วเขามา จำได้ว่าคำพูดนี้พี่สาวพูดให้เธอฟังตอนที่จะไปเข้าประกวดทักษะทางด้านอะไรสักอย่าง เมื่อตอนเรียนชั้นประถม‘อย่ายอมแพ้แก่อะไรก็ตามที่เรายังไม่ได้ลงมือทำ ถ้าทำแล้วแพ้ก็ยังดีกว่าแพ้ตั้งแต่ไม่ได้กระทำ’ใช่...ยังไงซะตอนนี้เธอก็เป็นของฟารฮานแล้ว ถึงแม้ตอนแรกจะไม่ใช่เพราะความต้องการของตัวเองก็ตามทีเถอะ แต่ยังไงตอนนี้ทั้งร่างกายและหัวใจของเธอก็ตกเป็นของชายหนุ่มแล้ว และเรื่องอะไรที่จะปล่อยผู้ชายดีๆ ที่แ
“นั่นซิ ฉันเองก็ว่าไม่เวิร์คละแก จะเอาไงดีกันล่ะนี่” ร่างบอบบางเดินเข้าไปในห้องครัว หยิบน้ำขวดเล็กขึ้นมาเปิดจุกรินใส่แก้วแล้วยกขึ้นดื่ม พร้อมกับดวงตาเบิกกว้างเป็นประกาย เอาน่ายังไงก็ลองดูละกัน“นี่จันตี”“หือ...ว่าไงมัดหมี่ แกคิดอะไรได้อีกหรือ” จันฑีราเอ่ยถาม สมองก็กำลังคิดเรื่องที่ปิยาพัชรบอกไปอีกทาง ดูจะเข้าท่ากว่าเป็นไหนๆ“ก็คิดว่าถ้าฉันกับแกลองแบบว่าออดอ้อนและถามๆ ดูว่าสองหนุ่มจะไปที่ไหนตอนเย็นไหม แล้วเราก็ค่อยแอบตามไปดู แกว่าจะดีไหมวะ”“ดี ดีมากเลยมัดหมี่” มือเรียวยื่นมาพร้อมยกนิ้วโป้งขึ้น ไม่พอแค่นั้นร่างบอบบางก็ยังลุกเดินมาหา แขนเรียวยาวโอบรอบบ่ากว้าง “แต่...”“อ้าว...ดีแล้ว ยังจะมีแต่ทำไมอีกจันตี” ปิยาพัชรเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ และงุนงงกับความคิดของเพื่อนรัก และผันมองหน้าจันฑีราที่ตอนนี้คิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากัน ใบหน้าแหยๆ อย่างกับคนคิดหนักปะปนกับกล้าๆ กลัวๆ เหมือนคนขาดความมั่นใจ“ก็ไอ้ต้องออดอ้อนของแกไงมัดหมี่ แกก็รู้ว่าฉันทำไม่เป็นนี่นา พูดอะไรก็พูดตรงๆ ”“อ๋อ...ฉันลืมไป แต่ไม่นะ แกก็แค่ถามคุณอินซอฟว่าช่วงนี้มีโปรแกรมจะไปไหนหรือเปล่า ว่างไหม ถ้าจะพาแกกับฉันไปซื้อของกันได้ไหม
“พาหม่อมฉันกลับมาอีกทำไม หม่อมฉันไม่อยากเห็นหน้าคนใจร้าย คนหลอกลวง”“ถ้าไม่ใจร้ายและหลอกลวงอีก จะอยู่ด้วยไหมล่ะ” น้ำเสียงนุ่มทุ้มและเว้าวอนทำเอาคนที่พยายามจะใจแข็งถึงกับสั่นระรัว ด้วยรู้ชะตาตัวเองดีตั้งแต่ถูกจับได้นั่นแหละว่าอาจหนีไม่พ้นอ้อมแขนใหญ่นี้ไปตลอดชีวิต“จะรู้ได้ไง พระองค์จะไม่หลอกหม่อมฉันอีก ทั้งพี่ทั้งน้องช่างวางแผนและเจ้าเล่ห์เหลือเกินนี่”“ใช้หัวใจแลกหัวใจไง”“เชอะ...คนอย่างองค์นาสเซอร์ ประมุขผู้ครองแคว้นซัลจาร์บาเมีย ชายหนุ่มที่มีผู้หญิงนับสิบอ๋อ...นับร้อยมากกว่าคอยถวายตัวเป็นข้ารองบาทน่ะหรือจะยอมหยุดอยู่ที่ผู้หญิงอย่างหม่อมฉันเพียงคนเดียว เชื่อตายละ” กัญญาพัชรยังคงปากแข็งแม้ใจจะยอมผ่อนตามไปเกือบจะครึ่งแล้ว“อ้าว...ทำไมล่ะ เราแตกต่างกับชายหนุ่มคนอื่นอย่างไร ถึงจะหยุดอยู่ที่ผู้หญิงเพียงคนเดียวไม่ได้น่ะ ผู้หญิงไม่ใช่สิ่งสำคัญเสมอไปในชีวิตนะมัดหวาย สำหรับเราเมื่อเราพบคนที่ใช่ เราก็พร้อมที่จะหยุดทุกอย่างไว้ที่เธอคนนั้นเพียงคนเดียว และตอนนี้เราก็คิดว่าเราพบนางคนนั้นของเราแล้ว”หัวใจดวงน้อยเต้นตึกตักๆ ไม่เป็นจังหวะ นาสเซอร์หมายถึงเธอใช่ไหม ‘ไม่นะมัดหวาย แกอย่าลืมซิว่าเขาหลอกลว
“ไม่ใช่หรอกมัดหมี่ ถ้าเพียงแค่ความต้องการของผู้ชายคนหนึ่ง ฉันว่าเขาไม่ทำถึงขนาดนี้หรอก” ใบหน้าคมคร้ามแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม มือใหญ่จับมือเล็กเรียวมาวางบนแผงอกกว้างตรงที่มีหัวใจกำลังเต้นอยู่“สิ่งที่ฉันทำด้วยความเจ้าเล่ห์และร้ายกาจก็จริง แรกเริ่มมาจากเพียงแค่ความปรารถนาก็จริง แต่สิ่งหนึ่งนับจากวันแรกที่ฉันได้ครอบครองความบริสุทธิ์ของสาวน้อยคนนั้น มันเป็นคำสั่งมาจากหัวใจทั้งสิ้น” สองมือใหญ่จับรั้งใบหน้าขาวสวยให้จ้องเข้าไปในดวงตาคมกริบ“ฉันอยากจะบอกให้มัดหมี่รู้เหมือนกัน ฉัน...รัก...มัดหมี่”ปิยาพัชรแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ริมฝีปากอ้าค้าง หากว่าไม่ถูกจับรั้งไว้ศีรษะทุยคงจะส่ายบอกว่าไม่เชื่อและไม่จริง แต่คำพูดที่หนักแน่น ดวงตาที่มั่นคงดุจดังภูเขาหินที่ไม่อาจพังทลายลงมาได้ ไม่ว่าจะเจอพายุร้ายเพียงใดเป็นคำตอบที่ชัดเจน และที่สำคัญคือหัวใจของเธอมันก็เลือกที่จะเชื่อคำพูดนั้นซะด้วยสองแขนเรียวโอบรอบกายแข็งแกร่ง “จริงๆ นะคะ คุณฟารฮานพูดจริงๆ นะคะ ไม่ได้หลอกให้มัดหมี่ดีใจเล่นนะคะ”“จริงซิ ฉันจะโกหกมัดหมี่ทำไมล่ะ เพราะรัก ฉันเลยต้องวางแผนการร้ายทุกอย่าง เพื่อส่งแม่สาวจอมหว
“แสดงว่าพวกนายรู้แผนการของเราทุกอย่างเลยใช่ไหม แล้วรู้ได้ยังไง รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วทำไมถึงไม่ขัดขวางตั้งแต่ต้น”“เอาเป็นว่าฉันจะเล่าให้เธอฟังวันหลังนะ แต่วันนี้ขอฉันลงโทษคนที่ทำให้ใจเสียก่อนละกัน”ใบหน้าขาวสวยแย้มยิ้ม ดวงตาเป็นประกายพราวระยับ สองแขนเรียวยกขึ้นโอบรอบลำคอแกร่ง “เสียใจด้วยนะอินซอฟ เผอิญว่าวันนี้เครื่องซักผ้ามันดันเกิดแอ๊กซิเดนท์ ทำงานไม่ได้อ่ะ”จันฑีราหัวเราะคิกคักชอบอกชอบใจ ยิ่งได้เห็นใบหน้าเสียอารมณ์ของอินซอฟก็ยิ่งอยากแกล้งยั่วเย้าให้หนักขึ้นอีก แต่รู้ดีว่าเมื่อไหร่ที่เธอหายจากสิ่งที่เป็นอยู่ ย่อมจะต้องถูกเขาเอาคืนจนอาจจะลุกจากเตียงไม่ได้เพราะความเพลียมือเล็กจับแขนใหญ่วางยาวแนบไปกับพื้นเตียง พร้อมกับวางศีรษะลงไปนอนหนุน อีกมือก็จับแขนใหญ่มาพาดรอบเรือนกายเล็ก กายบางขยับจนแนบชิดกับเรือนกายใหญ่ นับจากวันนี้ชีวิตที่เคยมีเคยอยู่คนเดียวได้มีชายหนุ่มคนหนึ่งเข้ามาเติมเต็มด้วยความรักและความอบอุ่น“ขอบใจนะอินซอฟที่รักฉัน เมื่อก่อนที่ฉันเคยทำร้ายและทำไม่ดีกับนายไว้ ขอให้นายยกโทษและให้อภัยฉันด้วยนะ ฉันสัญญาว่าต่อไปนี้ฉันจะทำตัวดีๆ และรักนายให้มากที่สุดเท่าที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะทำ
“จะไปไหนล่ะมัดหมี่...” แขนแข็งแกร่งสอดเข้าระหว่างเอวเล็กคอดและดึงเข้าหาตัว ศีรษะทุยโน้มลงกระซิบเบาๆ ข้างใบหูนุ่ม น้ำเสียงกึ่งกระเซ้าและยั่วเย้า“รู้ไหมว่าโทษของคนที่คิดหนีฉันน่ะมันร้ายแรงมากนะ”“ปล่อยน้องสาวฉันนะนายฟารฮาน” แม้จะห้อยต่องแต่งอยู่บนร่างสูงใหญ่ แต่กัญญาพัชรก็ไม่วายส่งเสียงแว้ดๆ ใส่ฟารฮาน สองมือยันแผ่นหลังกว้างเพื่อจะได้นำเอาตัวเองลงไปขัดขวาง“ฉันว่าเธอเอาตัวให้รอดพ้นจากพี่ชายฉันก่อนดีกว่านะมัดหวาย ก่อนที่จะมาช่วยเหลือคนอื่นเขาน่ะ” ฟารฮานตอบกลับด้วยน้ำเสียงยิ้มๆ คิ้วคมเข้มข้างหนึ่งเลิกขึ้นสูงเป็นจังหวะ“ไปกันเถอะมัดหมี่ เรามีเรื่องที่จะต้องคุยเหมือนกัน”“ว้าย!!” สองแขนเรียวโอบรอบลำคอแกร่งอย่างรวดเร็ว เมื่อร่างกายลอยขึ้นจากพื้นอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว “ทำอะไรก็ไม่รู้คุณฟารฮานน่ะ”“ก็พาคนที่กล้าหนีฉันไปลงโทษไง” ใบหน้าคมโน้มลงจนจมูกโด่งคมประชิดติดแก้มนุ่ม“บ้า...” ปิยาพัชรส่งค้อนให้คนพูดวงโตด้วยความอบอุ่นในหัวใจ เพราะฟังจากน้ำเสียงฟารฮานไม่ได้โกรธเคืองเธอแม้แต่น้อยนิด อาจมีน้อยใจบ้าง แต่ถ้าอธิบายให้ฟังเขาก็พร้อมที่จะเข้าใจ“โว้ย...ปล่อยฉันนะคนบ้า คนเฮ็งซวย ไอ้ผู้ชายเส็งเคร็ง รัง
ยามราตรีที่ท้องฟ้ามีแสงดาวส่องนำทาง สามร่างเดินตามกันไปอย่างรีบเร่ง โดยมีร่างสูงโปร่งเดินนำและร่างบอบบางอีกสองร่างเดินตามไปติดๆ ศีรษะทุยสอดส่ายเหลียวซ้ายแลขวา ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความระมัดระวัง ถึงแม้จะรู้ว่าคืนนี้นาสเซอร์ ฟารฮาน และอินซอฟกำลังอยู่ร่วมการประชุมในการกำหนดนโยบายของแคว้นว่าจะให้เดินไปในทิศทางใดหลังจากนี้ แต่ใครจะรู้เล่าเกิดว่าคนหนึ่งคนใดเกิดสงสัยในพฤติกรรมลับๆ ล่อๆ และกระซิบกระซาบที่เธอและน้องๆ ทั้งสองคนมีมีหลายครั้งที่ร่างโปร่งบางหยุดยืนและหันไปจะเอ่ยปากถามสองสาวที่ตามมาด้วยว่าตัดสินใจดีแล้วใช่ไหมที่จะตามเธอไปน่ะ แต่พอเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรักและห่วงใยของสองสาวก็ทำให้พูดไม่ออก ใจจริงกัญญาพัชรไม่ได้อยากชวนปิยาพัชรและจันฑีราหนีไปด้วย แต่เพราะความเป็นห่วงเป็นใยในสวัสดิภาพของสองสาว ที่ไม่รู้ว่าจะต้องโดนหางเลขจากคนที่ไม่หวังดีด้วยเมื่อไหร่ มันก็ทำให้เธอต้องคะยั้นคะยอชักแม่น้ำทั้งห้าให้สองสาวเดินทางหลบหนีกลับบ้านด้วย อีกทั้งเมื่อน้องสาวทั้งสองคนรู้ว่าเธอจะหนีกลับ ทั้งสองก็ไม่ยอมให้เธอต้องเดินทางเพียงลำพังปิยาพัชรและจันฑีราเดินตามกัญญาพัชรไปด้วยใจที่เจ็บปวดและหวาดกลัว
“อ้าว...พี่มัดหวายหลับแล้วละแก” ปิยาพัชรที่เล่าเรื่องของตัวเองจ๋อยๆ ด้วยความดีใจและสุขล้นหยุดอย่างรวดเร็ว ดวงตากลมโตแปรเปลี่ยนเป็นหมองเศร้าลง เธอเล่าเรื่องทุกอย่างให้พี่สาวฟังแทบทั้งหมด ยกเว้นเรื่องที่เธอตกเป็นของฟารฮานแล้วและเรื่องถูกปองร้ายหมายเอาชีวิต“ใจเย็นๆ นะแก ฉันเชื่อว่าอีกไม่นานอินซอฟจะต้องหาคนที่คิดร้ายกับแกเจอ” จันฑีรายกมือขึ้นตบบ่ากว้างของเพื่อนรักเบาๆ เธอเองก็เป็นกังวลไม่น้อยไปกว่าปิยาพัชร แต่ตอนนี้เมื่อเห็นว่ากัญญาพัชรมีอาการดีขึ้น ความเหนื่อยจากการเดินทางไกลก็เริ่มประท้วง ริมฝีปากอวบอิ่มอ้าหาวหวอดๆ ดวงตาก็เริ่มที่จะหรี่ลง“ฉันไม่ไหวแล้วแก ขอนอนกอดพี่มัดหวายก่อนนะ” ร่างบอบบางคลานขึ้นไปบนเตียงนอนใหญ่ เอนตัวนอนแนบชิดร่างกัญญาพัชร“เฮ้ย...ไม่เอาซิแก ฉันนอนด้วย” ปิยาพัชรบอก เพราะเธอก็เหนื่อยและเพลียเหมือนกัน ร่างบอบบางรีบเอนตัวลงอิงแอบแนบซบกับร่างพี่สาว แขนเรียวยาวพาดไปโอบร่างโปร่งไว้ แต่ด้วยความไม่ระมัดระวังทำให้ปลายมือไปถูกเอาที่บาดแผล ทำให้คนที่หลับอยู่ถึงกับสะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่างงงๆ และเจ็บปวดเล็กน้อย“ขอมัดหมี่นอนด้วยนะพี่มัดหวาย คิดถึง อยากนอนกอดพี่” ปิยาพัชรบอกเสียงหว
“ยานี่จะช่วยให้เจ้าดีขึ้นและหายดีในเร็ววันนะ” แม้จะไม่หมดทั้งถ้วยแต่ยาที่เข้าไปจะทำการขับพิษที่ยังหลงเหลืออยู่ในร่างกายกัญญาพัชรให้ออกมาอย่างช้าๆ และหมดในที่สุด มือใหญ่ปิดปากเรียวยาวไม่ให้หญิงสาวพ่นยากลับออกมาจนกว่ายาทั้งหมดจะหายเข้าไปในกาย“อือ...” สองมือเล็กเรียวยกขึ้นจิกทึ้งดึงมือใหญ่ออกจากใบหน้า เจ็บจนน้ำตาเล็ดออกมาจากกระบอกตากับเรี่ยวแรงที่ชายหนุ่มกดลงไป และยังฝืดๆ และเหม็นเน่ากับสิ่งที่ได้ไหลเข้าสู่ร่างกาย“อดทนนิดมัดหวาย อีกไม่นานเจ้าก็หายแล้วคนดี ยานี้จะเป็นยารักษาให้เจ้าหายจากอาการบาดเจ็บและพิษร้ายที่เข้าสู่ร่างกายนะคนดี”“พิษร้ายหรือเพคะ หมายความว่า...”“ใช่ คมมีดที่บาดลงไปในเนื้อของเจ้าอาบด้วยยาพิษร้ายแรง ถ้าเป็นเราอาจจะเพียงแค่หมดแรง จนกลายเป็นเหตุให้ถูกทำร้ายถึงแก่ชีวิตได้ แต่กับเจ้ามันทำให้เจ้าเกือบจะจากเราไปตลอดชีวิต...รู้ไหม”“แต่หม่อมฉันว่ามันก็คงดีกว่าตื่นมาเป็นตัวตลก เป็นผู้หญิงโง่ๆ คนหนึ่งในสายตาของพระองค์ไม่ใช่หรือเพคะ” กัญญาพัชรเอ่ยถามอย่างน้อยอกน้อยใจ หลายครั้งที่เธอลืมตาตื่นมาแล้วก็มีเพียงแค่ความเงียบของห้อง และยังมีคนแปลกหน้าที่คอยทำอะไรกับร่างกายก็ไม่รู้ จับพ
“มัดหมี่ทำใจดีๆ และฟังฉันให้ดีนะ” ร่างหนานั่งลงหน้าปิยาพัชรด้วยร้อนรนกระวนกระวายใจและหวาดหวั่น กลัวหญิงสาวจะรับไม่ได้กับข่าวที่จะได้ยินต่อไปนี้ แต่ถึงจะกลัวเพียงใดเขาก็จำเป็นต้องบอกให้หญิงสาวได้รับรู้ สองมือใหญ่จับรั้งมือเล็กเรียวและบีบเบาๆ“ค่ะ มีอะไรหรือคะคุณฟารฮาน” หัวคิ้วขมวดมุ่นเข้าหากันอย่างสงสัยว่าทำไมชายหนุ่มถึงได้มีสีหน้าเคร่งเครียดเหลือเกิน แล้วเมื่อครู่อินซอฟที่เดินตามหลังมาติดๆ ก็มีสีหน้าไม่แตกต่างกันเลยสักนิด“เราต้องเดินทางไปแคว้นซัลจาร์บาเมียอย่างด่วนที่สุด”“อืม...ก็ไม่เห็นจะแปลกนี่คะ คุณฟารฮานเป็นคนที่นั่น เดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านก็ไม่เห็นแปลก”ปิยาพัชรตอบกลับ แม้จะใจหายๆ ที่ต้องจากชายหนุ่มไป แต่ก็เข้าใจว่ากัญญาพัชรอาจจะทำงานเสร็จแล้ว หรือไม่ฟารฮานก็ต้องเดินทางไปเพราะงาน แต่เขาจะต้องกลับมาอีก“ไม่ใช่อย่างนั้นนะมัดหมี่...มัดหวายบาดเจ็บ”“พะ...พี่มัดหวายบาดเจ็บ” สองมือเรียวเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็งยื่นไปจับแขนใหญ่และเขย่าแรงๆ“ตอนนี้พี่มัดหวายเป็นอย่างไรบ้าง บาดเจ็บตรงไหน ใครเป็นคนทำ และบาดเจ็บได้ยังไง มีใครดูแลพี่มัดหวายอยู่” หญิงสาวถามยาวน้ำเสียงสั่นเทาน้ำตาอุ่นร้อนไหลอา
“แน่ใจหรือองค์ประมุขนาสเซอร์ ว่าพระองค์จะเอาชีวิตรอดจากคนของเราได้น่ะ ในเมื่อตอนนี้คนของเราล้อมสถานที่จัดงานในวันนี้ไว้หมดแล้ว” เจ้ากรมมหาดไทยเอ่ยถาม ถึงแม้แผนการที่วางไว้จะผิดพลาดไปบ้าง แต่ยังไงเขาก็ยังมีไม้ตายซ่อนอยู่และนาสเซอร์ก็คิดไม่ถึงแน่“ได้ซิท่านเจ้ากรมมหาดไทย” ชายหนุ่มที่เข้ามาพร้อมกับชายหนุ่มหลายคนที่ถูกมัดและลากมาเป็นพรวน“ตอนนี้ข้างนอกนั้น คนที่ท่านวางไว้ถ้าไม่ตายก็หลบหนีไป บ้างก็ถูกจับอย่างเจ้าพวกนี้ไง” กาซิมเอ่ยพูดอย่างหัวเสีย เพราะคนที่หายไปบางคนจะเป็นตัวการใหญ่ๆ นับรองจากเจ้ากรมมหาดไทยและเจ้ากรมการคลังเลยทีเดียว แต่เขาก็ยังเชื่อว่าเจ้าพวกนั้นจะต้องคอยแอบซุ่มอยู่เพื่อที่จะทำให้แผนการสำเร็จลง อาจไม่ใช่วันนี้แต่ก็เชื่อว่าในไม่นานแน่ เพราะถ้าปล่อยให้เนิ่นนานไปเขาและทุกคนที่ยังจงรักภักดีจะต้องตามจับตัวมาลงโทษได้“นาสเซอร์ระวัง...” มือเรียวข้างหนึ่งผลักร่างหนาใหญ่ให้ออกห่างและเอาตัวเองเข้าไปรับปลายมีดแหลมคมที่พุ่งมาจากผู้หญิงร่างอวบอัดซึ่งยืนอยู่ในระยะกระชั้นชิดและอีกมือก็สวนหมัดหลุนๆ ออกไปอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะหันตัวหลบแล้วแต่ปลายมีดก็ยังถากแขนเรียวยาวไปแต่กัญญาพัชรก็ไม่มี