นางแขไขมองดูบุตรสาวที่เอาแต่นั่งเหม่อลอยอยู่ริมคลองด้วยความสงสารและหนักใจ เพราะพราวแสงแขไม่ยิ้มหัวไม่พูดกับใครมาหลายวัน กินข้าวก็น้อยราวแมวดมร่างระหงของเธอดูผอมบางลงไปอีกเท่าตัวร่างที่เล็กอยู่แล้ว ยิ่งดูเล็กบอบบางราวจะแตกหักได้ง่ายๆ
“พราว มากินหน่อยเถอะลูก...” แขไขเดินมาแตะบ่าบอบบางของบุตรสาวเบาๆ ด้วยความอาทร
“พราวยังไม่หิวค่ะ แม่ทานก่อนเถอะ”
“พราวไม่กินข้าวมาทั้งวันแล้วนะลูก อย่าทำแบบนี้ แม่เป็นห่วงรู้มั้ย แม่มีลูกคนเดียวหากลูกเป็นอะไรไปแม่จะอยู่อย่างไรล่ะลูก...” คำพูดของมารดาทำให้หญิงสาวที่เอาแต่ซึมเศร้าหันมามองมารดาด้วยความรู้สึกผิด
“พราวขอโทษค่ะแม่ พราวเป็นลูกที่ไม่เอาไหนเลย พราวไม่ดีที่ทำให้แม่เป็นห่วงทำให้แม่ต้องเสียใจ”
“ไม่เลยจ้ะลูก พราวเป็นเด็กดีของแม่เสมอ และพราวไม่เคยทำให้แม่เสียใจเลยสักครั้ง แม่แค่เป็นห่วงลูกเท่านั้น แต่หากลูกของแม่จะเสียใจเพราะผู้ชายห่วยๆ เพียงคนเดียวจนทำร้ายตัวเองแบบนี้อีก แม่จะเสียใจมากรู้มั้ยลูก...” ผู้เป็นแม่กล่าวเบาๆ ลูบแผ่นหลังบางที่สั่นสะท้านขึ้นลงเพราะแรงสะอื้นด้วยความรักที่ไม่มีวันเสื่อมคลาย
“พราวไม่ได้เสียใจเพราะพี่วายุทิ้งพราวหรอกค่ะ แต่พราวเสียใจที่เมรี่หักหลังพราว ทำร้ายพราวทั้งๆ ที่เราเรียนมาด้วยกัน ด้วยกันอยู่ด้วยกันมาตลอดหลายปีท่าผ่านมา เมรี่ไม่เคยมีทีท่าว่าจะทำร้ายพราวเลยสักนิด แต่...” พราวแสงแขเงยหน้าขึ้นมาจากอ้อมอกของมารดาพลางเช็ดน้ำตาให้เหือดแห้ง
“แม่เข้าใจจ้ะ แม่ไม่รู้หรอกว่าระหว่างคนสองคนนั้นเขาจะเป็นยังไง หรือตอนนี้หนูเมรี่จะเป็นยังไง แม่สนใจแค่ว่า ตอนนี้ลูกของแม่จะเป็นอย่างไรมากกว่า”
“พราวดีขึ้นแล้วค่ะ แต่พราวแค่รู้สึกยังไม่พร้อมจะทำอะไรก็เท่านั้น...”
“หากลูกยังคิดว่าไม่พร้อมจะทำอะไร ก็มาดูผ้าที่แม่จะรีดส่งเขาเย็นนี้สิจ๊ะ แล้วพราวจะรู้ว่าพราวจะทำอะไรต่อไป”
มารดาพูดด้วยรอยยิ้ม ใบหน้าที่ยังคงมีเค้าความงามนั้นอ่อนโยนเปี่ยมไปด้วยความรักที่ไม่มีวันหมดไปจากใจ
“ค่ะแม่ แล้วพราวจะรีดให้เสร็จเรียบร้อยทั้งหมดเลย แม่นั่งดูเฉยๆ ก็พอ...”
“จ้ะ งั้นเราไปกินข้าวกันก่อนดีกว่าจะได้มาช่วยกันทำงาน...” นางแขไขรู้สึกดีใจและเป็นสุขเมื่อเห็นรอยยิ้มสดใสของบุตรสาวอีกครั้ง...
“พราวสัญญาว่าต่อไปนี้พราวจะเข้มแข็ง จะไม่เป็นคนอ่อนแอให้ใครมารังแกง่ายๆ ได้อีกแล้วค่ะ”
หญิงสาวบอกมารดาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง ต่อไปนี้เธอจะเป็นคนใหม่ เธอจะต้องเป็นหญิงแกร่งไม่ยอมแพ้ไม่ยอมให้ใครมาข่มเหงรังแกทั้งร่างกายและจิตใจได้อีกแล้ว พราวแสงแขบอกตนเองอย่างหนักแน่น...
เมื่องานมงคลสมรสระหว่างเมริสากับวายุผ่านไปด้วยดี แต่สำหรับคุณ มาลินี มารดาของเมริสาแล้วนั้นกลับไม่ได้รู้สึกปลาบปลื้มยินดีกับการแต่งงานครั้งนี้ของบุตรสาวเลยสักนิด นางรู้สึกไม่ไว้ใจผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นเขยสักเท่าไหร่ ลักษณะท่าทางของวายุนั้นหลุกหลิกไม่น่าเชื่อถือและแววตาของชายหนุ่มไม่มีความจริงใจ สิ่งที่นางเห็นมีแต่ความละโมบเท่านั้น หากแต่นางกลับนิ่งเฉยเพราะความรักที่มีต่อบุตรสาวคนเดียวต่างหากและรู้ดีว่าหากขัดขวางเมริสาจะยิ่งดึงดันจนทุกอย่างอาจจะเลวร้าย จนนางเองก็นึกเสียใจที่เลี้ยงดูเมริสาอย่างตามใจจนเกินไป
“จะบินกลับมาดริดเลยหรือแมท...”
คุณมาลินีถามชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มได้รูป จมูกโด่งสวยรับกับริมฝีปากหยักและคางบึกบึนที่มีรอยผ่าบุ๋มอยู่ตรงกลาง ผิวสีน้ำตาลเข้มสม่ำเสมอทำให้เขาดูแข็งแกร่งมีเสน่ห์น่าค้นหา ดวงตาคมยาวใหญ่สีมรกตนั้นทอประกายกล้าอยู่เสมอมอง มารดาเลี้ยง อย่างอ่อนโยน รอยยิ้มบางๆ แต่งแต้มอยู่บนใบหน้าเฉยกระด้างทำให้ แมทธิว โรดิเกรซ มาเวลล์ ดูเป็นชายหนุ่มอ่อนโยนน่าเข้าใกล้มากกว่าที่เขาทำหน้าเฉยชาไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใดของหนุ่มลูกครึ่งสเปน ฝรั่งเศสวัยสามสิบสองปีคนนี้ แต่บุคลิกของเขากลับทำให้สาวๆ หลงใหลไปครึ่งค่อนโลกเลยทีเดียวเมื่อครั้งหนึ่งแมทธิวเคยได้ถ่ายแบบหนังสือแฟชั่นชายร่วมกับเพื่อนรักของเขาซึ่งเป็นนายแบบหนุ่มชื่อดังมาแล้วในสมัยที่เขาเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีสุดท้ายซึ่งแมทธิวการถ่ายแบบครั้งนั้นทำให้ชื่อของแมทธิว ติดอันดับผู้ชายที่หล่อเหลามีเสน่ห์ที่สุดในสเปนเลยก็ว่าได้
“ครับ งานที่นั่นยุ่งมาก ผมคงต้องกลับคืนนี้เลยครับคุณแม่...” ชายหนุ่มตอบด้วยภาษาไทยชัดเจนไม่มีแปร่งหูสักนิดจนผู้ที่พร่ำสอนมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยมองเขาด้วยความชื่นชมภูมิใจ
“น่าจะอยู่พักผ่อนก่อนสักวันค่อยกลับไป แมทนี่ล่ะก็ทำตัวยุ่งอยู่เสมอ จนเห็นงานสำคัญกว่าแม่แล้วสิ”
“โธ่ ใครจะเห็นอะไรสำคัญไปกว่าคุณมาลินีล่ะครับ”
ชายหนุ่มกล่าวยิ้มๆ แล้วเดินมาโอบกอดร่างอวบอิ่มเปล่งปลั่งอย่างคนที่มีสุขภาพดีของคุณมาลินีไว้ด้วยท่าทางอ่อนโยน ร่างสูงถึง188 เซนติเมตรดูเก้งก้างเมื่อค้อมตัวโอบร่างของคุณมาลินีไว้
“ถ้าอย่างนั้นก็อยู่ต่ออีกสักวันสิลูก”
“ไม่ได้หรอกครับผมมีงานสำคัญมากรออยู่ แต่สัญญาว่าหากงานเสร็จเรียบร้อยผมจะกลับมาพักยาวๆ ที่เมืองไทยสักสามสี่เดือน อยู่จนคุณแม่เบื่อขี้หน้าไปเลย”
“ไม่มีทางที่แม่จะเบื่อหรอกลูก แม่อยากเห็นลูกๆ มาอยู่กันพร้อมหน้า” คุณมาลินีกล่าวเสียงแผ่วเหมือนมีอะไรในใจซึ่งแมทธิวก็พอจะดูออก
“คุณแม่กังวลเรื่องสามีของน้องใช่มั้ยครับ...”
“เขาดูไม่จริงใจ” นางเอ่ยสั้นๆ แต่แฝงไว้ด้วยความหมายที่ทำให้คนฟังรู้สึกกังวลไปด้วย
“ผมจะไม่มีวันยอมให้เขาทำร้ายเมรี่ได้หรอกครับ หากเขาคิดจะหลอกลวงเรา เขาเจอผมแน่”
“จ้ะ แม่รู้ว่าแมทน่ะทำได้ แต่ตอนนี้หากเราขัดน้องไปก็เหมือนน้ำเชี่ยวที่จะพัดพาเรือให้จม ไร้ประโยชน์...” คุณมาลินีถอนหายใจ
“ผมว่าน้องก็ควรได้รับบทเรียนบ้างหากเราคิดถูกจริงๆ เรื่องแบบนี้เรายิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุครับ เรารอดูดีกว่าบางทีผู้ชายคนนั้นมันอาจจะคิดได้และเป็นสามีที่ดีของน้องก็ได้ เพราะถ้าไม่ ผมเอามันตายแน่...”
แมทธิวบอกเสียงเข้มดวงตาคมฉายแววจริงจังซึ่งคุณมาลินีรู้ดีว่าแมทธิว สามารถทำได้ตามที่พูดไว้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง...
“เอาเถอะๆ แม่ว่าเรื่องนี้ปล่อยให้มันผ่านไปก่อน แล้วค่อยมาว่ากันใหม่ แมทเดินทางดีๆ นะลูก ขอให้ลูกแม่ปลอดภัยเสมอ”
นางกล่าวอย่างอ่อนโยน แมทธิวกราบลงอกนุ่มของมารดาอีกแล้วกอดร่างบอบบางของนางอีกครั้งก่อนจะเดินไปขึ้นรถที่ติดเครื่องยนต์รอ
ตอนที่3.“ไอ้เสือกลับไปแล้วสินะคุณ...”คุณมาร์ค โรดิเกรซ สามีคู่ยากในวัยหกเศษเดินเข้ามาโอบเอวของภรรยาคู่ชีวิตไว้อย่างแสนรักแล้วก้มลงหอมแก้มนุ่มแม้เหี่ยวย่นไปตามวัยด้วยความรักไม่เสื่อมคลาย“ค่ะ น้องอยากให้ตาแมทอยู่กับเรานานๆ จัง แต่ก็เข้าใจว่าลูกงานยุ่ง”“เคลียร์งานคราวนี้เสร็จผมก็ว่าจะให้แมทพักบ้าง รู้สึกจะบ้างานเกินไปแล้วดูสิ ยังไม่มีเวลาหาเมียเลย เมื่อไหร่เราจะได้อุ้มหลานกันเสียทีล่ะคุณ”“นั่นสิคะ น้องมีลูกสาวเพื่อนๆ หลายคนเลยค่ะ ที่อยากจะแนะนำให้ตาแมทได้รู้จัก เผื่อจะถูกใจใครสักคนบ้าง แต่น้องก็ไม่ได้บังคับหรอกนะคะว่าเขาจะต้องรักต้องชอบลูกสาวเพื่อนของน้อง ขอแค่ลูกรักเราก็พร้อมจะรักด้วยแค่นั้นเอง”“แต่บางคนคุณก็ไม่อยากรักใช่มั้ยล่ะ”คุณมาร์คเย้าภรรยายิ้มๆ เพราะรู้ดีว่าภรรยานั้นรู้สึกอย่างไรกับลูกเขยหมาดๆ ที่ชื่อวายุคนนั้น เขาเองก็ยังรู้สึกไม่ถูกชะตากับชายหนุ่มผู้ได้ชื่อว่าลูกเขยนัก แต่ก็เพราะรักลูกสาวของตนจึงยอมให้มีงานแต่งงานนี้เกิดขึ้น คุณมาลินีซบหน้าลงกับอกกว้างของสามีอย่างอ่อนล้าดวงตาของผู้ที่ผ่านโลกมามากเหม่อมองไปยังท้องฟ้าที่ทะมึนดำด้วยเมฆฝนอย่างรู้สึกหนักอึ้งในใจสี่เดือนผ่านไ
ตอนที่4.หลายวันต่อมาที่เมริสาเริ่มหงุดหงิดที่วายุออกจากบ้านบ่อยเกินไป คืนนี้เธอนั่งรอสามีคนเก่งของตนกลับบ้านด้วยความกระวนกระวายใจเมื่อมองเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาตั้งโต๊ะห้องโถงชั้นล่างก็พบว่ามันเกือบจะตีหนึ่งแล้ว...“ไปไหนของเขานะทำไมป่านนี้ยังไม่กลับ”หญิงสาวเดินอุ้ยอ้ายไปมาชะเง้อมองทางแต่ไม่มีวี่แววว่าวายุกลับมาเสียทีจนในที่สุดเธอก็ทนไม่ไหวจึงขึ้นไปนอนก่อน โดยไม่รู้เลยว่าในขณะที่ตนรอคอยวายุกลับนั้นเขากำลังระเริงสวาทอยู่กับสาวน้อยนักศึกษามหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งที่เขาแอบคบหาอุปการะเป็นเสี่ยเจ้าบุญทุ่มอยู่ คุณมาลินีเฝ้ามองความกระวานกระวายของบุตรสาวอย่างไม่สบายใจในขณะที่หลุยส์เดินมาหานางอย่างรู้งานหลังจากที่เมริสาขึ้นห้องไปแล้ว“ได้อะไรมาบ้าง...” นางหันมาถาม หลุยส์ เซราโน่ คนสนิทของแมทธิวซึ่งอยู่ที่นี่เพื่อดูแลนางกับครอบครัวตอนที่แมทธิวไม่อยู่ หลุยส์นั้นอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับแมทธิวและมีบุคลิกที่คล้ายกันหลายอย่างซึ่งอาจะเป็นเพราะเขาเติบโตมาพร้อมกับแมทธิวก็เป็นได้ แต่หลุยส์จะค่อนข้างไปทางเงียบขรึมและพูดน้อยกว่าแมทธิว จนบางครั้งใครๆ ต่างก็พูดว่าแมทธิวมีมือขวาเป็นซอมบี้หรือผีดิบ แต่คุณม
ตอนที่1.พราวแสงแข มองหน้าผู้ชายที่เธอเคยคิดจะฝากชีวิตไว้ด้วยความรู้สึกเสียใจเจ็บปวดร้าวรานอย่างที่สุด... หลายๆ ความรู้สึกประเดประดังเข้ามาจนร่างบอบบางแทบจะยืนไม่อยู่ได้แต่มองดูคนที่เธอรักอย่างไม่อยากเชื่อตัวเองว่าพวกเขาทำกับเธอได้ถึงเพียงนี้ ในขณะที่แววตาของพวกเขาดูมีความสุขรื่นรมย์สมดังหวังแต่เธอกลับมีเพียงความชอกช้ำ...วายุ กับ เมริสา กำลังจะแต่งงานกัน พวกเขาไปแอบรักกันแอบไปมีอะไรกันตอนไหน...คำถามที่เธอไม่มีวันได้รู้คำตอบและไม่รู้ว่าเมื่อรู้แล้วมันจะทำให้อะไรๆ ในชีวิตเธอดีขึ้นกว่านี้ หรือไม่ เธอรู้แต่เพียงว่าวันนี้คือวันแต่งงานของพวกเขาและเธอก็ได้รับเชิญมาเป็นแขกผู้มีเกียรติอย่างเลือดเย็น..“ขอให้มีความสุขมากๆ นะคะ...”พราวแสงแขกล่าวเบาๆ เพียงเท่านั้นพยายามเก็บกลั้นความเจ็บปวด พร้อมกับถอดแหวนหมั้นคืนให้ผู้ชายใจโลเลอย่างเขาหลังจากคำอวยพร ก่อนเดินจากมาเงียบๆ ส่วนหญิงชายที่เรียกได้ว่าเป็นเหมือนเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดนั้นยืนยิ้มให้กันอย่างมีความสุข โดยไม่สนใจว่าได้ทำร้ายจิตใจคนคนหนึ่งอย่างเลือดเย็น...“ไม่อยากเชื่อเลยนะคะว่าพราวจะยอมให้เราง่ายๆ แบบนี้ แต่ไม่รู้ว่ามีแผนจะทำลายงานแต่งงาน