ในที่สุดวันที่หานอวี๋เฟิ่งหวาดกลัวก็มาถึง เมื่อบุรุษผู้นั้นกำลังจะกลับมาเยือนจวนแห่งนี้อีกครั้ง จวนที่เป็นของเขา และนางอยู่ที่นี่ในฐานะน้องสาวต่างสายเลือด
จวนแม่ทัพวันนี้ดูวุ่นวายเป็นอย่างมาก บ่าวไพร่ทุกคนต่างกระวีกระวาดจัดเตรียมการต้อนรับนายตัวจริงกลับเรือนอย่างขะมักเขม้น หลังจากที่อีกฝ่ายจากจวนแห่งนี้ไปถึงสามปี แต่การกลับมาของเขาในครั้งนี้ เขากลับมาพร้อมกับชัยชนะที่คนทั้งแคว้นต่างยกย่องสรรเสริญ ทุกคนในเรือนต่างมารอต้อนรับแม่ทัพหนุ่มกลับจวน แม้ว่าอีกฝ่ายจะกลับมาเมืองหลวงได้หลายวันแล้ว แต่เลือกที่จะพำนักอยู่ที่จวนพระราชทานนอกเมือง และวันนี้เป็นวันแรกที่อีกฝ่ายกลับมายังจวนแห่งนี้
นายท่านผู้เฒ่าเซียว เซียวหยางเล่ย อดีตแม่ทัพผู้เกรียงไกร แม้ใบหน้าเคร่งขรึมจะดูดุดัน แต่ทว่าดวงตานั้นกลับกระจ่างไปด้วยความยินดีอย่างปิดไม่มิด
สตรีงดงามเรือนร่างระหงที่ยืนอยู่ข้างกาย ผู้ที่ตอนนี้มีอำนาจเหนือสตรีทุกนางในจวนแห่งนี้ ใบหน้างดงามอ่อนหวานแลดูสง่างามในชุดเรียบหรู เจียงซือหนี่ มารดาของนางในวัยสามสิบห้าหนาว ที่เลือกกลับมาใช้สกุลเดิมของตน ยังคงงดงามราวสตรีวัยยี่สิบกลางๆ ใบหน้าขาวผ่องนั้นแม้จะดูราบเรียบ แต่ในดวงตาคู่งามก็มีประกายตาไหววูบสายหนึ่ง ที่นางเองก็ไม่รู้ว่า มารดาของนางกำลังคิดสิ่งใดอยู่ จนเผลอจ้องมองด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง
"เฟิ่งเอ๋อ จ้องแม่ขนาดนี้มีสิ่งใดหรือไม่ หืม"
เสียงหวานละมุนที่เอ่ยถาม พร้อมกับส่งรอยยิ้มอบอุ่นมาให้ ทำให้ใบหน้างดงามละม้ายกับอีกฝ่ายที่ดูหม่นเศร้าต้องฉีกยิ้มกว้าง
"ท่านแม่ของลูกงามนักเจ้าค่ะ"
ซือหนี่ที่ยิ้มกว้างให้ผู้เป็นบุตรสาวของตน มือบอบบางยกขึ้นลูบศีรษะเล็กอย่างรักใคร่
"เฟิ่งเอ๋อของแม่ก็งามยิ่งนัก"
สัมผัสอบอุ่นจากมือบอบบางของผู้เป็นมารดา ทำให้นางต้องยกมือเล็กของตนขึ้นจับฝ่ามือบางคู่นั้นกระชับแน่น ในอกนั้นปวดหน่วงจนอยากจะร้องไห้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการกลับมาของคนผู้นั้นในครั้งนี้จะไม่นำความเลวร้ายมาสู่ชีวิตของนาง หวังให้กาลเวลาที่ผ่านพ้นช่วยลบเลือนความเกลียดชังและความแค้นในใจอีกของอีกฝ่าย
"มาแล้วเจ้าค่ะ มาแล้ว"
ร่างเล็กบอบบางดังกิ่งหลิวของดรุณีน้อยวัยสิบห้าหนาวที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงมาหาพวกนาง มือเล็กข้างหนึ่งจับจูงมือกลมป้อมของเด็กชายตัวอ้วนวัยสี่หนาวที่กำลังหัวเราะร่าเรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากทุกคน
หานอวี๋เจินน้องสาวตัวน้อยของนางและเซียวไป๋หลง คุณชายรองตระกูลเซียวที่ปีนี้อายุได้สี่หนาวแล้ว
"เจินเอ๋อ สำรวมหน่อย เจ้าเป็นสาวแล้วนะ"
มารดาคนงามที่เอ็ดบุตรสาวคนรองอย่างไม่จริงจังรัก ก่อนจะโอบอุ้มร่างกลมป้อมๆ ของบุตรชายคนเล็กมาไว้ในอ้อมแขน ช่างเป็นภาพของครอบครัวสุขสันต์โดยแท้ ก่อนที่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะนั้นจะหยุดลง เมื่อขบวนทัพของแม่ทัพใหญ่เซียวไป๋ซาน ทายาทหนุ่มของตระกูลเซียวปรากฏขึ้นสู่สายตา
ร่างสูงใหญ่กำยำ ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มบนหลังอาชาดูสง่างาม กำลังมุ่งตรงใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทำให้หัวใจดวงน้อยๆ พลันสั่นไหว มือบอบบางสั่นเทาอย่างยากที่จะระงับ อวี๋เฟิ่งนางไม่อยากมายืนอยู่ตรงที่แห่งนี้ แต่ไม่อาจที่จะหลีกเลี่ยงได้ ร่างเล็กถอยออกมายืนอยู่ด้านหลังผู้เป็นมารดา ใบหน้างามนั้นก้มลงอย่างสงบนิ่งหลบซ่อนดวงตาสั่นไหวที่เต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย
บุรุษหนุ่มฉกรรจ์บนหลังอาชา ที่กระโดดลงจากหลังม้าอย่างสง่างาม มาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าของนายท่านผู้เฒ่าเซียวผู้เป็นบิดา แม้ในหัวใจแกร่งจะมีความคิดถึงอัดแน่นแต่กลับแสดงออกเพียงความสงบนิ่ง
"ลูกคารวะท่านพ่อ"
เสียงทุ้มที่เอ่ยขึ้นช่างราบเรียบเย็นชา จนคนฟังรู้สึกสะท้อนในอก ได้แต่ยกยิ้มขื่นส่งให้ผู้เป็นบุตรชาย เพียงเขากลับมาก็ถือว่าดีที่สุดแล้ว
"ขอต้อนรับกลับบ้าน"
สิ้นเสียงแหบแห้งของนายท่านผู้เฒ่า ทุกคนต่างค้อมกายลงทำความเคารพแม่ทัพหนุ่ม
"ขอต้อนรับท่านแม่ทัพกลับเรือนเจ้าค่ะ/ขอรับ"
แม่ทัพเซียวไป๋ซานที่กวาดตามองด้วยใบหน้านิ่งเรียบ ก่อนที่สายตาคมจะหันไปปะทะกับร่างบางของสตรีข้างกายของบิดา
สตรีผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นมารดาเลี้ยงของเขา สตรีที่ครั้งหนึ่งเคยทำให้เขาทั้งรักทั้งแค้นจนเจ็บเจียนตาย แต่น่าแปลกที่การพบกันครั้งนี้ เขากลับไม่ได้รู้สึกเช่นเก่าก่อนอีกแล้ว มันมีเพียงแค่ความรู้สึกเสียดายเวลาที่เขาจมอยู่กับอดีตอันน่าชิงชังที่นางได้ก่อเอาไว้และความเกลียดชังที่ยังคงอยู่เมื่อนางคือต้นเหตุที่ทำให้มารดาของเขาตรอมใจตาย แต่ความรู้สึกอื่นนอกเหนือจากนี้มันกลับไร้วี่แววในจิตใจของเขา
"ยินดีต้อนรับกลับบ้านเจ้าค่ะ"
เสียงหวานละมุนที่เอ่ยขึ้น ของสตรีตรงหน้าที่ค้อมกายให้เขาเล็กน้อย แต่สายตาเย็นชานั้นหาได้สนใจไม่ สายตาสีรัตติกาลกลับจับจ้องอยู่ที่เรือนร่างบอบบางที่ยืนก้มหน้านิ่งอยู่ด้านหลัง ร่างเย้ายวนที่ทำให้ภายในอกแกร่งกระตุกวูบ อยากที่จะคว้าร่างเล็กนั้นมาแนบกับกายแกร่งให้สมกับที่โหยหามาตลอด สตรีที่อยู่ในห้วงความคิดคำนึงทุกครั้งที่หลับตา นางจะคิดถึงเขาบ้างหรือเปล่า นี่คือความรู้สึกนึกคิดที่แวบผ่านเข้ามาในห้วงคำนึง อยากจะสำรวจเรือนร่างนั้นว่านางโตขึ้นมากเพียงใดแล้ว
หานอวี๋เฟิ่งที่สัมผัสได้ถึงสายตาร้อนแรงที่จ้องมองมาจนกายบางหนาวสะท้าน หัวใจดวงน้อยเต้นกระหน่ำราวกับจะทะลุออกมานอกอก นางไม่แม้แต่จะกล้าเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย แม้ภายใต้จิตสำนึกนั้น นางรู้ว่ามันปรารถนาที่จะมองใบหน้าที่ติดตรึงอยู่ภายในใจ แม้อีกฝ่ายจะทำร้ายทั้งจิตใจและร่างกายนางจนเจ็บปวดแสนสาหัส เห็นนางเป็นเพียงที่ระบายความแค้นเพียงเท่านั้น
ร่างบางที่หลับตาแน่น นางจะต้องตัดบุรุษผู้นี้ออกไปให้พ้นจากจิตใจของนางให้ได้ หากไม่อยากเจ็บปวดเหมือนเมื่อครั้งในอดีต ไม่อยากให้เขาใช้นางเป็นเครื่องมือทำร้ายจิตใจของผู้เป็นมารดาอีก
"เข้าเรือนกันเถิด เจ้าเดินทางมาคงเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย ควรจะพักผ่อนเสียก่อน "
เสียงของชายสูงวัยที่กล่าวขึ้นทำให้ทุกคนหลุดจากภวังค์ความคิด
มือหนาของผู้เป็นบิดาที่ยกขึ้นตบลงบนไหล่กำยำของตนอย่างแผ่วเบา ทำให้ต้องละสายตาจากร่างบาง หันมองผู้เป็นบิดาที่ดูชราลงไม่น้อยเพียงเวลาแค่สามปีที่เขาจากไป หันหลังเดินกลับเข้าเรือน จนใจแกร่งนั้นอ่อนยวบลง
"ลูกได้ชาดีมาจากทางใต้ จะให้บ่าวนำไปให้"
เสียงทุ้มที่ฟังดูอ่อนลงของบุตรชายที่เอ่ยขึ้นจากด้านหลัง ทำให้ปลายเท้าของชายสูงวัยหยุดชะงัก หันมามองใบหน้าหล่อเหลาของบุตรชายที่มีรอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏอยู่บนใบหน้า เดินเข้ามายืนเคียงข้าง ทำให้ดวงตาสีเดียวกันนั้นพลันสั่นไหว ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างตื้นตันใจ เดินกลับเข้าเรือนด้วยรอยยิ้มกว้าง พร้อมกับข้างกายมีร่างสูงเดินเคียง
"คุณหนูเป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ"เสี่ยวถานที่กระซิบถามคุณหนูของนางอย่างห่วงใยในความรู้สึกของผู้เป็นนาย คุณหนูของนางคิดเช่นไรกับท่านแม่ทัพเหตุใดนางจะไม่รู้ ได้แต่หวังว่าสักวันท่านแม่ทัพจะวางความแค้นลง คุณหนูของนางจะได้มีความสุขเสียที"ข้าไม่เป็นไร เรากลับเรือนกันเถอะ"อวี๋เฟิ่งที่เอ่ยตอบบ่าวคนสนิท เดินนำอีกฝ่ายกลับเรือนของตน นางยังต้องเตรียมตัวเตรียมใจที่จะต้องร่วมในงานเลี้ยงฉลองการกลับมาของอีกฝ่ายในค่ำวันนี้ จวนแม่ทัพในค่ำคืนนี้จะมีการจัดงานเลี้ยงเล็กๆเป็นการภายใน เชิญเฉพาะญาติสนิทมิตรสหายที่มีสัมพันธ์อันดีกับจวนตระกูลเซียวเท่านั้น กายบางที่เหยียบย่ำไปตามโถงทางเดินยังคงสั่นสะท้าน เพียงเท่านี้นางก็แทบจะทรุดกายลงอย่างไร้เรี่ยวแรง มันพึ่งจะได้เริ่มต้นเท่านั้น นางกลับทั้งหวาดกลัวทั้งหวาดหวั่น นางจะทำเช่นไรต่อไปดี แม้จะไม่ได้มองใบหน้านั้น แต่นางก็สัมผัสได้ถึงสายตาอันตรายที่อีกฝ่ายส่งมา นางจะยอมให้เรื่องราวมันลงเอยเช่นดังอดีตอีกครั้งอย่างนั้นหรือแล้วท้องฟ้าด้านนอกก็เริ่มมืดสลัวลง เป็นสัญญาณว่างานเลี้ยงได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว เสียงดนตรีที่บรรเลงดังเล็ดลอดออกมาจากบริเวณโถงจัดเลี้ยง อวี๋เฟิ่งอยู่ในอ
เมืองหลวงแคว้นต้าเหลียงท้องทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ไพศาลรายล้อมไปด้วยภูเขาและผืนป่า อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรล้ำค่าในการดำรงชีวิต เป็นที่ตั้งของจวนพระราชทานที่ตั้งอยู่นอกเมืองของตระกูลเซียวที่กินอาณาเขตไปไกลสุดลูกหูลูกตา และยังเป็นที่ตั้งของฐานทัพ กองทัพที่ยิ่งใหญ่ของแคว้นต้าเหลียง มีแม่ทัพเซียวไป๋ซาน เป็นผู้นำทัพ มีทหารกล้าใต้บังคับบัญชาหลายแสนนาย หลังจากที่ชนะศึกที่ตรากตรำกรำศึกมานานหลายปี ในที่สุดก็สามารถปราบชนเผ่าน้อยใหญ่ให้ยอมศิโรราบ รวบรวมดินแดนขยายอาณาเขตจนยิ่งใหญ่เหนือแคว้นใดในแผ่นดินเสียงดนตรีบรรเลงเป็นท่วงทำนองที่ดังครึกครื้นอยู่ในงานเลี้ยงฉลองชัยชนะ ผสานไปกับเสียงหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจของเหล่าทหารกล้า และบรรดาสตรีงดงามในอาภรณ์น้อยชิ้นแสนบางเบาที่ปกปิดเพียงของสงวนที่ปิดเช่นไรก็หามิดไม่ สามารถมองเห็นความเย้ายวนภายใต้ผืนผ้า ที่วับแวมชวนมอง พวกนางล้วนเป็นหญิงงามแห่งเมืองหลวง หอโคมเขียวอันดับหนึ่งที่รวบรวมสตรีงามจากทุกสารทิศเอาไว้มากมาย เหล่าสตรีทุกนางล้วนงดงามหยาดเยิ้ม ทรวดทรงองค์เอวล้วนหน้ามอง การร่ายรำนั้นงามเลิศ ต่างสร้างความสำราญให้เหล่าบุรุษผู้กล้าทั้งหลาย ที่ห่างหายจากสตรีมายา
ร่างอรชรท่าทางปราดเปรียวในอาภรณ์ที่แสนเรียบง่ายของคุณหนูใหญ่ตระกูลหาน ตระกูลของอดีตกุนซือแห่งกองทัพต้าเหลียง ที่ตอนนี้ได้กลายมาเป็นคุณหนูของตระกูลเซียว กำลังกระวีกระวาดตักโจ๊กหม้อใหญ่ที่ส่งกลิ่นหอมฟุ้งตลบอบอวลส่งให้เหล่าคนยากไร้ที่มาต่อแถวรออย่างขะมักเขม้น ใบหน้างดงามที่แม้จะมีเหงื่อซึม กลับยิ่งส่งให้นางดูงดงามเย้ายวนน่าหลงใหลหานอวี๋เฟิ่ง คุณหนูใหญ่ตระกูลหาน บุตรีผู้เป็นที่รักของท่านกุนซือหานหลี่เค่อ ผู้ที่สิ้นบุญไปด้วยโรคร้ายเมื่อครั้งที่บุตรสาวตัวน้อยมีอายุแค่เพียงสิบหนาวเท่านั้น ในปีนี้นางมีอายุได้สิบแปดหนาวแล้วแต่ยังคงมิได้ออกเรือน แม้จะล่วงเลยวัยที่สมควรจะออกเรือนมานานแล้ว แต่นางก็หาสนใจไม่ สตรีมีราคีเช่นนางจะมีหน้าไปแต่งให้ผู้ใดได้อีก คิดถึงเรื่องราวในอดีตที่ตามหลอกหลอนนางมาตลอดสามปีที่ผ่านมาใบหน้างามพลันหม่นเศร้า น้ำตาที่คิดว่าไม่มีจะไหลอีกแล้วกลับเอ่อคลออยู่ในดวงตากลมโต คนผู้นั้นกลับมาแล้ว รอยแผลเป็นที่คิดว่าหายดี มันกลับกลัดหนองขึ้นมาอีกครั้ง"โถ คุณหนูของบ่าว ท่านร้องไห้อีกแล้วนะเจ้าคะ" เสี่ยวถาน บ่าวคนสนิทของนาง ผู้ที่รับรู้ทุกอย่างแต่ไม่อาจช่วยเหลืออันใดคุณหนูผู้น่าสงส
ในวันที่เหยียบย่างมายังจวนตระกูลเซียววันแรก ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่นางได้พบกับบุรุษผู้นั้น บุรุษผู้เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของตระกูลเซียวที่เกิดจากฮูหยินเอกของตระกูล บุรุษที่จิตใจเต็มไปด้วยไฟแห่งโทสะ จวนแม่ทัพในวันนั้นแทบจะลุกเป็นไฟ สายตาคมคู่นั้นที่จ้องมายังมารดาและพวกนางสองพี่น้องมีแต่ความเกลียดชังและขยะแขยง เขาและบิดามีปากเสียงกัน จนถึงขั้นที่จะตัดขาด หลังจากวันนั้นนางก็ไม่ได้พบกับบุรุษผู้นั้นอีกเลยจากนั้นเป็นต้นมาเราทั้งสามคนแม่ลูกก็อาศัยอยู่ในจวนแม่ทัพแห่งนี้ท่ามกลางความเกลียดชังของฮูหยินผู้เฒ่าและเหล่าอนุทั้งหลาย ท่ามกลางสายตาดูแคลนของบ่าวไพร่ในจวน แต่พวกเราก็อยู่กันได้ เพราะได้รับความเมตตาจากนายท่านผู้เฒ่าที่ดูจะหลงใหลในตัวมารดาของนางเป็นอย่างมาก ต่อมามารดาของนางก็ได้ตั้งครรภ์อีกครั้งและคลอดบุตรชายตัวอวบอ้วนให้แก่นายท่านผู้เฒ่าตระกูลเซียว จึงได้รับความเมตตาเลื่อนฐานะให้เป็นฮูหยินรองของจวน เพราะบรรดาอนุเหล่านั้นล้วนให้กำเนิดบุตรสาว น้องชายของนางผู้นี้มีนามว่า เซียวไป๋หลง เขาคือคุณชายรองตระกูลเซียว หลังจากนั้นชีวิตความเป็นอยู่ของพวกนางก็ดีขึ้นมาก พวกเราต่างได้รับการปฏิบัติจากบ่
สาวน้อยวัยกำดัดที่สวยสะพรั่งเดินลัดเลาะมาตามพุ่มไม้ที่ถูกตัดแต่งอย่างสวยงาม ในมือมีห่อขนมและกล่องเครื่องประดับขนาดเล็กเท่าฝ่ามือ ปรากฏขึ้นตรงเรือนทางฝั่งตะวันออกของจวนที่แยกออกมาอยู่ห่างไกลจากเรือนใหญ่ มันเป็นเรือนของแม่ทัพใหญ่บุตรชายผู้สืบทอดของตระกูลเซียวนั่นเองอวี๋เฟิ่ง นางตั้งใจจะนำขนมที่นางเป็นผู้ทำมันขึ้นมากับมือ มามอบให้บุรุษเจ้าของเรือนเพื่อตอบแทนที่เขาได้ช่วยชีวิตนางเอาไว้ และนำของที่ฮูหยินผู้เฒ่าได้ฝากนางเอาไว้ก่อนตายส่งมอบให้ผู้เป็นเจ้าของ ร่างบอบบางของสตรีวัยแรกแย้ม ใบหน้างดงามดูใสซื่อส่งยิ้มหวานให้บุรุษที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูเรือน นางจำได้ว่าพี่ชายท่านนี้มีนามว่า จงไห่ เขาคือคนที่คอยติดตามอยู่ข้างกายท่านแม่ทัพ"พี่ชายเจ้าคะ ข้าขอพบท่านแม่ทัพได้หรือไม่เจ้าคะ"เสียงหวานใสที่ดังกังวานนั้น ทำให้เจ้าของร่างสูงหันไปมองสตรีที่พึ่งผ่านพ้นวันปักปิ่นมาเพียงไม่นาน"คุณหนูหาน ท่านมาทำอะไรที่นี่""ข้ามาขอพบท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ พี่ชายช่วยไปเรียนท่านแม่ทัพให้ข้าได้หรือไม่เจ้าคะ"ร่างสูงตรงหน้าดูลังเลเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้ารับ ก่อนจะเดินหายเข้าไปในเรือน เพียงครู่ก็กลับออกมาบอกให้นางเข้าไปพบ
"ท่านแม่ทัพ ท่านจะทำอะไร ปล่อยข้านะ ช่วยด้วย ช่วยด้วยเจ้าค่ะ"ปึก!"โอ้ย!"ร่างเล็กที่ถูกลากเข้ามาหลังฉากกันที่ในตอนแรกนั้นนางไม่ได้สังเกตเห็น ด้านหลังนั้นมีเตียงนอนขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่กลางห้อง อวี๋เฟิ่งมองมันอย่างตื่นตระหนก ก่อนที่ร่างเล็กจะถูกเหวี่ยงลงไปบนที่นอนหนานุ่มนั้น แต่แรงเหวี่ยงของบุรุษผู้แข็งแรงกำยำ ก็ทำให้นางถึงกับเจ็บจนร้องออกมาเสียงหลง แต่ความหวาดกลัวทำให้ต้องรีบพลิกกายบางกระถดกระถอยหนีบุรุษที่มองนางอย่างจาบจ้วงและหยาบโลนสายตากลมโตที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก มองดูบุรุษที่ใช้เรียวลิ้นสีชมพูไล้เลียไปบนริมฝีปากหยักลึกของตนอย่างหื่นกระหาย ขนอ่อนบนเรือนกายพลันลุกซู่สะบัดร้อนสะบัดหนาวไปหมด"ท่านจะทำอะไร อย่านะ"ใบหน้างามที่ตอนนี้มีหยาดน้ำตาไหลออกมาทางหางตาเพราะความหวาดกลัว มองบุรุษที่ค่อยๆปลดสายคาดเอวออกอย่างช้าๆ ราวกับกำลังข่มขวัญนางให้ยิ่งตื่นกลัว แล้วเริ่มดึงรั้งอาภรณ์ออกจากร่างแกร่งกำยำของตน จนมันเปลือยเปล่า เหลือเพียงกางเกงตัวบางด้านในที่ยังคงปกปิดความดุดันเอาไว้ ร่างกายของบุรุษเพศปรากฏสู่สายตาของดรุณีน้อยในวัยสิบห้าหนาวที่ตื่นตะลึงกับภาพตรงหน้า"กรี๊ดด"กายบอบบางที่
สองเต้ากลมกลึงถูกรังแกจากทั้งมือและปากของคนตัวโต มือที่บีบขย้ำทรวงงามอยู่นั้น เลื่อนลงมาลูบไล้นวลเนื้อนุ่มนิ่มและเลื่อนต่ำลงมาไล้วนตรงเอวคอดเล็ก หน้าท้องแบนราบ ก่อนจะเคลื่อนลงมากอบกุมเนินสวาทกลางร่างที่เปียกแฉะอย่างถือวิสาสะ ลูบไล้เนินเนื้ออวบอูมที่ยังไร้ซึ่งเส้นขน เนื้อนวลขาวผ่องเกลี้ยงเกลานุ่มนิ่มละมุนมือ ใช้ปลายนิ้วแกร่งชำแรกแทรกลงไปตรงรอยแยกกลางกลีบบุปผาดอกงามที่มีหยาดน้ำสีใสบริสุทธิ์ราวหยาดน้ำค้างเกาะกลีบดอกจนเปียกลื่น ถูไถความเปียกชื้นจนชโลมอาบทั่วนิ้วเรียวยาว บดขยี้ใจกลางกลีบวสันต์จนตูมเต่งให้ยิ่งคายน้ำสีใสจนฝ่ามือหนาเปียกชุ่มไปด้วยหยาดน้ำหวานฉ่ำลื่น ร่างเล็กผวาเฮือกครางประท้วงหายใจหอบหนัก แววตาหวานฉ่ำน้ำนั้นมีแววตื่นกลัวระคนซ่านเสียว เรียวขาขาวเนียนหนีบเข้าหากันแน่นตามสัญชาตญาณ"อ๊ะ...อย่า... ไม่เอานะ..."หานอวี๋เฟิ่งสะดุ้งสุดตัวพยายามขัดขืนทั้งความรู้สึกของตัวเองและการกระทำของคนตัวโต แต่กลับทำได้เพียงเปล่งเสียงออกมาอย่างแผ่วเบาเท่านั้น ฟังดูแล้วราวกับนางกำลังออดอ้อนเสียมากกว่า ร่างกายของนางคล้ายดั่งไม่เป็นตัวเอง กระสับกระส่ายรู้สึกเสียววูบวาบไปทั่วท้องน้อยนิ้วใหญ่เรียวยาวนั้
"กรี๊ดดด"เสียงหวานที่หวีดร้องขึ้นอย่างเจ็บปวด กลางกายสาวถูกยัดเยียดความใหญ่โตเข้ามาจนเจ็บร้าวปวดหน่วงเกร็งไปทั้งร่าง ตัวตนที่แข็งกร้าวของบุรุษวัยฉกรรจ์ฉีกทึ้งบุปผางามของเด็กสาววัยกำดัดจนฉีกขาด หยดเลือดไหลซึมเปรอะเปื้อนเรียวขาเล็กและที่นอนนุ่มจนแดงฉาน มือเล็กจิกลงบนท่อนแขนแกร่งขีดข่วนจนเป็นทางยาว ระบายความเจ็บปวดที่ตนได้รับ ร่างบอบบางพยายามกระถดกายถอยหนีแต่ไม่อาจที่จะขยับได้ดังใจ เพราะมีกายหนาที่ตอกตรึงความใหญ่โตอยู่กลางร่าง น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลลงมาจนเปียกชุ่มเส้นผมสีดำนุ่มสลวยหอมกรุ่น แผ่สยายกระจัดกระจายอยู่บนเตียงกว้าง ใบหน้างดงามแดงก่ำ นัยน์ตากลมโตหวานฉ่ำน้ำไหวระริก ปลายจมูกเชิดรั้นแดงเรื่อ ริมฝีปากอวบอิ่มบวมช้ำเผยอขึ้นแลดูยั่วยวน ภาพความงดงามตรงหน้าทำให้บุรุษเหนือร่างไม่อาจที่จะละสายตาไปจากร่างเล็กได้ ความรู้สึกประหลาดปะปนกับความหวงแหนสายหนึ่งแล่นวูบไหวอยู่ในอก"อย่าขยับ ไม่เช่นนั้นจะยิ่งเจ็บนะ"เสียงทุ้มแหบพร่าที่เอ่ยชิดใบหูเล็กฟังดูนุ่มละมุน ใบหน้าหล่อเหลาเบี่ยงริมฝีปากผ่าวร้อนมาจุมพิตแก้มนวลแผ่วเบา ลมหายใจร้อนผ่าวเป่ารดผิวเนื้อจนขนกายรุกซู่ ก่อนจะเลื่อนริมฝีปากหนามาปิดกั้นเสี
"คุณหนูเป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ"เสี่ยวถานที่กระซิบถามคุณหนูของนางอย่างห่วงใยในความรู้สึกของผู้เป็นนาย คุณหนูของนางคิดเช่นไรกับท่านแม่ทัพเหตุใดนางจะไม่รู้ ได้แต่หวังว่าสักวันท่านแม่ทัพจะวางความแค้นลง คุณหนูของนางจะได้มีความสุขเสียที"ข้าไม่เป็นไร เรากลับเรือนกันเถอะ"อวี๋เฟิ่งที่เอ่ยตอบบ่าวคนสนิท เดินนำอีกฝ่ายกลับเรือนของตน นางยังต้องเตรียมตัวเตรียมใจที่จะต้องร่วมในงานเลี้ยงฉลองการกลับมาของอีกฝ่ายในค่ำวันนี้ จวนแม่ทัพในค่ำคืนนี้จะมีการจัดงานเลี้ยงเล็กๆเป็นการภายใน เชิญเฉพาะญาติสนิทมิตรสหายที่มีสัมพันธ์อันดีกับจวนตระกูลเซียวเท่านั้น กายบางที่เหยียบย่ำไปตามโถงทางเดินยังคงสั่นสะท้าน เพียงเท่านี้นางก็แทบจะทรุดกายลงอย่างไร้เรี่ยวแรง มันพึ่งจะได้เริ่มต้นเท่านั้น นางกลับทั้งหวาดกลัวทั้งหวาดหวั่น นางจะทำเช่นไรต่อไปดี แม้จะไม่ได้มองใบหน้านั้น แต่นางก็สัมผัสได้ถึงสายตาอันตรายที่อีกฝ่ายส่งมา นางจะยอมให้เรื่องราวมันลงเอยเช่นดังอดีตอีกครั้งอย่างนั้นหรือแล้วท้องฟ้าด้านนอกก็เริ่มมืดสลัวลง เป็นสัญญาณว่างานเลี้ยงได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว เสียงดนตรีที่บรรเลงดังเล็ดลอดออกมาจากบริเวณโถงจัดเลี้ยง อวี๋เฟิ่งอยู่ในอ
ในที่สุดวันที่หานอวี๋เฟิ่งหวาดกลัวก็มาถึง เมื่อบุรุษผู้นั้นกำลังจะกลับมาเยือนจวนแห่งนี้อีกครั้ง จวนที่เป็นของเขา และนางอยู่ที่นี่ในฐานะน้องสาวต่างสายเลือดจวนแม่ทัพวันนี้ดูวุ่นวายเป็นอย่างมาก บ่าวไพร่ทุกคนต่างกระวีกระวาดจัดเตรียมการต้อนรับนายตัวจริงกลับเรือนอย่างขะมักเขม้น หลังจากที่อีกฝ่ายจากจวนแห่งนี้ไปถึงสามปี แต่การกลับมาของเขาในครั้งนี้ เขากลับมาพร้อมกับชัยชนะที่คนทั้งแคว้นต่างยกย่องสรรเสริญ ทุกคนในเรือนต่างมารอต้อนรับแม่ทัพหนุ่มกลับจวน แม้ว่าอีกฝ่ายจะกลับมาเมืองหลวงได้หลายวันแล้ว แต่เลือกที่จะพำนักอยู่ที่จวนพระราชทานนอกเมือง และวันนี้เป็นวันแรกที่อีกฝ่ายกลับมายังจวนแห่งนี้นายท่านผู้เฒ่าเซียว เซียวหยางเล่ย อดีตแม่ทัพผู้เกรียงไกร แม้ใบหน้าเคร่งขรึมจะดูดุดัน แต่ทว่าดวงตานั้นกลับกระจ่างไปด้วยความยินดีอย่างปิดไม่มิดสตรีงดงามเรือนร่างระหงที่ยืนอยู่ข้างกาย ผู้ที่ตอนนี้มีอำนาจเหนือสตรีทุกนางในจวนแห่งนี้ ใบหน้างดงามอ่อนหวานแลดูสง่างามในชุดเรียบหรู เจียงซือหนี่ มารดาของนางในวัยสามสิบห้าหนาว ที่เลือกกลับมาใช้สกุลเดิมของตน ยังคงงดงามราวสตรีวัยยี่สิบกลางๆ ใบหน้าขาวผ่องนั้นแม้จะดูราบเรียบ แ
"เสี่ยวถาน ข้าจะไม่อ่อนแออีกแล้ว ข้าจะไม่ยอมให้คนผู้นั้นมาทำร้ายข้าได้อีก"อวี๋เฟิ่งที่บอกกับบ่าวรับใช้ของตน และบอกกับตัวเอง พยายามยิ้มออกมาอย่างเข้มแข็ง มือบอบบางกระชับมือเล็กของเสี่ยวถานเอาไว้มั่นนางต้องเข้มแข็งต้องไม่อ่อนแออีก เพื่อปกป้องคนที่นางรัก ตอนนี้นางไม่ใช่เด็กสาวผู้โง่งม ใสซื่อเช่นใดอดีตอีกแล้ว"เจ้าค่ะคุณหนู คุณหนูของบ่าวเก่งที่สุด"สตรีสองนางต่างส่งยิ้มให้แก่กันเสี่ยวถานบอกกับตัวเองเสมอว่านางจะยืนหยัดอยู่เคียงข้างคุณหนูของนางไม่ทอดทิ้งให้อีกฝ่ายต้องทุกข์ใจเพียงลำพัง"แล้วเจ้า มีอันใดหรือไม่"อวี๋เฟิ่งที่เอ่ยถามบ่าวคนสนิท"อ้อ เกือบลืมไปเจ้าค่ะ บ่าวจะมาเรียนคุณหนูว่าคุณชายอู๋มาขอพบ ตอนนี้กำลังรอคุณหนูอยู่ที่ศาลาท่าน้ำเจ้าค่ะ"เสี่ยวถานที่รีบเอ่ยบอกคุณหนูคนงามของนางคุณชายอู๋ ที่เสี่ยวถานกล่าวถึง คือ คุณชายอู๋ฟงอี้ บุตรชายคนรองของนายท่านอู๋ คหบดีผู้ร่ำรวยของเมืองหลวงแห่งนี้ บุรุษผู้ที่อดีตคือนักเลงโต อันธพาลขาใหญ่ คุณชายเจ้าสำราญ บุรุษหนุ่มรูปงาม มีบิดาร่ำรวยมหาศาล จึงไม่เคยเห็นหัวใคร แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นบุรุษหนุ่มผู้สง่าผ่าเผย เป็นหนึ่งในบุรุษที่เหล่าสตรีงามปรารถนาที่จ
หานอวี๋เฟิ่งหลับตาลงด้วยความเหนื่อยอ่อน รู้สึกหนักอึ้งไปหมด เรื่องราวในครั้งนั้นสร้างรอยแผลเป็นบาดลึกให้แก่นาง หลังจากวันนั้นเมื่อบุรุษผู้นั้นกระทำกับนางอย่างไร้ความปรานีแล้ว กลับใช้เรื่องที่เกิดขึ้นข่มขู่นาง เอาเปรียบนาง ใช้นางรองรับความโกรธแค้นที่เขามีต่อมารดาของนาง นางต้องเผชิญกับความอดสูและรวดร้าวในอกอย่างแสนสาหัส แต่แล้วทุกอย่างก็ต้องหยุดลงเมื่อบุรุษผู้นั้นต้องกลับชายแดนโดยด่วน หลังจากนั้นข่าวคราวของเขาก็หายเงียบไปตั้งแต่วันนั้น ทิ้งไว้เพียงรอยแผลในใจของดรุณีน้อยวัยสิบห้าหนาวให้จมอยู่กับความทุกข์ตรมที่เกิดขึ้นถึงสามปี และในวันนี้คนผู้นั้นก็ได้กลับมาอีกครั้ง กลับมาสร้างความหวาดหวั่นและหวาดกลัวกับตราบาปที่เขาเป็นผู้กระทำ นางกลัว กลัวเหลือเกินว่าความอัปยศที่นางเก็บซ่อนเอาไว้จะถูกคนผู้นั้นเปิดเผย เพื่อที่จะสร้างความเจ็บปวดให้กับคนที่นางรัก กลัวว่าคนผู้นั้นจะกลับมาทำให้นางต้องทุกข์ทรมานเช่นเดิมอีกครั้ง"คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ"เสียงเรียกของเสี่ยวถานทำให้นางถึงกับสะดุ้ง กลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอที่แห้งผาก ภาพความจำเมื่อสามปีก่อนยังฉายชัด ราวกับว่ามันพึ่งจะผ่านพ้นไป"เสี่ยวถาน"อวี๋เฟิ่งที่
"กรี๊ดดด"เสียงหวานที่หวีดร้องขึ้นอย่างเจ็บปวด กลางกายสาวถูกยัดเยียดความใหญ่โตเข้ามาจนเจ็บร้าวปวดหน่วงเกร็งไปทั้งร่าง ตัวตนที่แข็งกร้าวของบุรุษวัยฉกรรจ์ฉีกทึ้งบุปผางามของเด็กสาววัยกำดัดจนฉีกขาด หยดเลือดไหลซึมเปรอะเปื้อนเรียวขาเล็กและที่นอนนุ่มจนแดงฉาน มือเล็กจิกลงบนท่อนแขนแกร่งขีดข่วนจนเป็นทางยาว ระบายความเจ็บปวดที่ตนได้รับ ร่างบอบบางพยายามกระถดกายถอยหนีแต่ไม่อาจที่จะขยับได้ดังใจ เพราะมีกายหนาที่ตอกตรึงความใหญ่โตอยู่กลางร่าง น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลลงมาจนเปียกชุ่มเส้นผมสีดำนุ่มสลวยหอมกรุ่น แผ่สยายกระจัดกระจายอยู่บนเตียงกว้าง ใบหน้างดงามแดงก่ำ นัยน์ตากลมโตหวานฉ่ำน้ำไหวระริก ปลายจมูกเชิดรั้นแดงเรื่อ ริมฝีปากอวบอิ่มบวมช้ำเผยอขึ้นแลดูยั่วยวน ภาพความงดงามตรงหน้าทำให้บุรุษเหนือร่างไม่อาจที่จะละสายตาไปจากร่างเล็กได้ ความรู้สึกประหลาดปะปนกับความหวงแหนสายหนึ่งแล่นวูบไหวอยู่ในอก"อย่าขยับ ไม่เช่นนั้นจะยิ่งเจ็บนะ"เสียงทุ้มแหบพร่าที่เอ่ยชิดใบหูเล็กฟังดูนุ่มละมุน ใบหน้าหล่อเหลาเบี่ยงริมฝีปากผ่าวร้อนมาจุมพิตแก้มนวลแผ่วเบา ลมหายใจร้อนผ่าวเป่ารดผิวเนื้อจนขนกายรุกซู่ ก่อนจะเลื่อนริมฝีปากหนามาปิดกั้นเสี
สองเต้ากลมกลึงถูกรังแกจากทั้งมือและปากของคนตัวโต มือที่บีบขย้ำทรวงงามอยู่นั้น เลื่อนลงมาลูบไล้นวลเนื้อนุ่มนิ่มและเลื่อนต่ำลงมาไล้วนตรงเอวคอดเล็ก หน้าท้องแบนราบ ก่อนจะเคลื่อนลงมากอบกุมเนินสวาทกลางร่างที่เปียกแฉะอย่างถือวิสาสะ ลูบไล้เนินเนื้ออวบอูมที่ยังไร้ซึ่งเส้นขน เนื้อนวลขาวผ่องเกลี้ยงเกลานุ่มนิ่มละมุนมือ ใช้ปลายนิ้วแกร่งชำแรกแทรกลงไปตรงรอยแยกกลางกลีบบุปผาดอกงามที่มีหยาดน้ำสีใสบริสุทธิ์ราวหยาดน้ำค้างเกาะกลีบดอกจนเปียกลื่น ถูไถความเปียกชื้นจนชโลมอาบทั่วนิ้วเรียวยาว บดขยี้ใจกลางกลีบวสันต์จนตูมเต่งให้ยิ่งคายน้ำสีใสจนฝ่ามือหนาเปียกชุ่มไปด้วยหยาดน้ำหวานฉ่ำลื่น ร่างเล็กผวาเฮือกครางประท้วงหายใจหอบหนัก แววตาหวานฉ่ำน้ำนั้นมีแววตื่นกลัวระคนซ่านเสียว เรียวขาขาวเนียนหนีบเข้าหากันแน่นตามสัญชาตญาณ"อ๊ะ...อย่า... ไม่เอานะ..."หานอวี๋เฟิ่งสะดุ้งสุดตัวพยายามขัดขืนทั้งความรู้สึกของตัวเองและการกระทำของคนตัวโต แต่กลับทำได้เพียงเปล่งเสียงออกมาอย่างแผ่วเบาเท่านั้น ฟังดูแล้วราวกับนางกำลังออดอ้อนเสียมากกว่า ร่างกายของนางคล้ายดั่งไม่เป็นตัวเอง กระสับกระส่ายรู้สึกเสียววูบวาบไปทั่วท้องน้อยนิ้วใหญ่เรียวยาวนั้
"ท่านแม่ทัพ ท่านจะทำอะไร ปล่อยข้านะ ช่วยด้วย ช่วยด้วยเจ้าค่ะ"ปึก!"โอ้ย!"ร่างเล็กที่ถูกลากเข้ามาหลังฉากกันที่ในตอนแรกนั้นนางไม่ได้สังเกตเห็น ด้านหลังนั้นมีเตียงนอนขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่กลางห้อง อวี๋เฟิ่งมองมันอย่างตื่นตระหนก ก่อนที่ร่างเล็กจะถูกเหวี่ยงลงไปบนที่นอนหนานุ่มนั้น แต่แรงเหวี่ยงของบุรุษผู้แข็งแรงกำยำ ก็ทำให้นางถึงกับเจ็บจนร้องออกมาเสียงหลง แต่ความหวาดกลัวทำให้ต้องรีบพลิกกายบางกระถดกระถอยหนีบุรุษที่มองนางอย่างจาบจ้วงและหยาบโลนสายตากลมโตที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก มองดูบุรุษที่ใช้เรียวลิ้นสีชมพูไล้เลียไปบนริมฝีปากหยักลึกของตนอย่างหื่นกระหาย ขนอ่อนบนเรือนกายพลันลุกซู่สะบัดร้อนสะบัดหนาวไปหมด"ท่านจะทำอะไร อย่านะ"ใบหน้างามที่ตอนนี้มีหยาดน้ำตาไหลออกมาทางหางตาเพราะความหวาดกลัว มองบุรุษที่ค่อยๆปลดสายคาดเอวออกอย่างช้าๆ ราวกับกำลังข่มขวัญนางให้ยิ่งตื่นกลัว แล้วเริ่มดึงรั้งอาภรณ์ออกจากร่างแกร่งกำยำของตน จนมันเปลือยเปล่า เหลือเพียงกางเกงตัวบางด้านในที่ยังคงปกปิดความดุดันเอาไว้ ร่างกายของบุรุษเพศปรากฏสู่สายตาของดรุณีน้อยในวัยสิบห้าหนาวที่ตื่นตะลึงกับภาพตรงหน้า"กรี๊ดด"กายบอบบางที่
สาวน้อยวัยกำดัดที่สวยสะพรั่งเดินลัดเลาะมาตามพุ่มไม้ที่ถูกตัดแต่งอย่างสวยงาม ในมือมีห่อขนมและกล่องเครื่องประดับขนาดเล็กเท่าฝ่ามือ ปรากฏขึ้นตรงเรือนทางฝั่งตะวันออกของจวนที่แยกออกมาอยู่ห่างไกลจากเรือนใหญ่ มันเป็นเรือนของแม่ทัพใหญ่บุตรชายผู้สืบทอดของตระกูลเซียวนั่นเองอวี๋เฟิ่ง นางตั้งใจจะนำขนมที่นางเป็นผู้ทำมันขึ้นมากับมือ มามอบให้บุรุษเจ้าของเรือนเพื่อตอบแทนที่เขาได้ช่วยชีวิตนางเอาไว้ และนำของที่ฮูหยินผู้เฒ่าได้ฝากนางเอาไว้ก่อนตายส่งมอบให้ผู้เป็นเจ้าของ ร่างบอบบางของสตรีวัยแรกแย้ม ใบหน้างดงามดูใสซื่อส่งยิ้มหวานให้บุรุษที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูเรือน นางจำได้ว่าพี่ชายท่านนี้มีนามว่า จงไห่ เขาคือคนที่คอยติดตามอยู่ข้างกายท่านแม่ทัพ"พี่ชายเจ้าคะ ข้าขอพบท่านแม่ทัพได้หรือไม่เจ้าคะ"เสียงหวานใสที่ดังกังวานนั้น ทำให้เจ้าของร่างสูงหันไปมองสตรีที่พึ่งผ่านพ้นวันปักปิ่นมาเพียงไม่นาน"คุณหนูหาน ท่านมาทำอะไรที่นี่""ข้ามาขอพบท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ พี่ชายช่วยไปเรียนท่านแม่ทัพให้ข้าได้หรือไม่เจ้าคะ"ร่างสูงตรงหน้าดูลังเลเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้ารับ ก่อนจะเดินหายเข้าไปในเรือน เพียงครู่ก็กลับออกมาบอกให้นางเข้าไปพบ
ในวันที่เหยียบย่างมายังจวนตระกูลเซียววันแรก ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่นางได้พบกับบุรุษผู้นั้น บุรุษผู้เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของตระกูลเซียวที่เกิดจากฮูหยินเอกของตระกูล บุรุษที่จิตใจเต็มไปด้วยไฟแห่งโทสะ จวนแม่ทัพในวันนั้นแทบจะลุกเป็นไฟ สายตาคมคู่นั้นที่จ้องมายังมารดาและพวกนางสองพี่น้องมีแต่ความเกลียดชังและขยะแขยง เขาและบิดามีปากเสียงกัน จนถึงขั้นที่จะตัดขาด หลังจากวันนั้นนางก็ไม่ได้พบกับบุรุษผู้นั้นอีกเลยจากนั้นเป็นต้นมาเราทั้งสามคนแม่ลูกก็อาศัยอยู่ในจวนแม่ทัพแห่งนี้ท่ามกลางความเกลียดชังของฮูหยินผู้เฒ่าและเหล่าอนุทั้งหลาย ท่ามกลางสายตาดูแคลนของบ่าวไพร่ในจวน แต่พวกเราก็อยู่กันได้ เพราะได้รับความเมตตาจากนายท่านผู้เฒ่าที่ดูจะหลงใหลในตัวมารดาของนางเป็นอย่างมาก ต่อมามารดาของนางก็ได้ตั้งครรภ์อีกครั้งและคลอดบุตรชายตัวอวบอ้วนให้แก่นายท่านผู้เฒ่าตระกูลเซียว จึงได้รับความเมตตาเลื่อนฐานะให้เป็นฮูหยินรองของจวน เพราะบรรดาอนุเหล่านั้นล้วนให้กำเนิดบุตรสาว น้องชายของนางผู้นี้มีนามว่า เซียวไป๋หลง เขาคือคุณชายรองตระกูลเซียว หลังจากนั้นชีวิตความเป็นอยู่ของพวกนางก็ดีขึ้นมาก พวกเราต่างได้รับการปฏิบัติจากบ่