เจียงอวี้เหิงหันหน้ามองฉัน นัยน์ตาลุ่มลึกสั่นเทาด้วยความแปลกใจ จากนั้นก็เป็นความโกรธและหงุดหงิด“เฉียวซาน คุณจะเอาแต่ใจก็ช่วยแยกแยะเวลาหน่อย โจวถงเธอ...”“ฉันต่างหากที่เป็นคู่หมั้นของคุณ” ฉันพูดขัดจังหวะเขาคำพูดนี้ทำให้ฉันดูต่ำต้อยเหลือเกินเคยดูโทรทัศน์ พอเห็นพล็อตแบบนี้ ฉันก็จะรู้สึกว่านางเอกไร้ประโยชน์เหลือเกิน ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาทะเลาะเพื่อผู้ชายแบบนี้เลยด้วยซ้ำตอนนี้เปลี่ยนเป็นฉัน จึงได้เข้าใจรสชาติแบบนั้น“โจวถงท้องอยู่ จะเป็นอะไรไปไม่ได้!” เจียงอวี้เหิงกล่าวพลางถอยหลังไปสองสามก้าวจากนั้น เขาหมุนตัวแล้วสาวเท้ายาววิ่งไปข้างนอกสุดท้ายแล้วระหว่างฉันกับโจวถง เขาก็เลือกคนอื่นฉันนั่งอยู่ตรงนั้น เห็นเขาไล่ตามโจวถงไปชัดเจน เห็นเขายื้อยุดฉุดกระชากโจวถง สุดท้ายโจวถงก็จับเสื้อของเขาแล้วซบอยู่ในอ้อมอกของเขา...ฉันก้มหน้า ไม่กล้ามองต่อไปอีกไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรระหว่างพวกเขาหรือไม่ การเลือกของเขาในวันนี้ทำให้หัวใจที่ลังเลของฉันได้คำตอบสักทีสุดท้าย ฉันแทบจะไม่ได้กินข้าวมื้อนี้เลยสักคำ กลับจ่ายค่าอาหารไปหนึ่งหมื่นห้าพันบาทฉันไม่ได้กลับตระกูลเจียง แต่ไปหาเวินเหลียง“ตัดสินใ
สีหน้าของเขาตึงเครียดเล็กน้อย “เมื่อคืนในสถานการณ์แบบนั้น ผมกลัวว่าเธอจะเป็นอะไรไป หลินหยางที่คุณรู้จักเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของพ่อแม่เขา ลูกที่อยู่ในห้องโจวถงตอนนี้คือความหวังทั้งหมดของตระกูลหลิน ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริง...”เขาไม่ได้พูดต่อ แต่ฉันรู้“ดังนั้นต่อจากนี้ไป ตราบใดที่เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับเธอ คุณก็จะให้ความสำคัญเพียงแค่เธอเท่านั้น ถูกต้องไหม?” ฉันถามอย่างเย็นชาเจียงอวี้เหิงเงียบไปสองวินาที “รอให้คลอดเด็กออกมาก็เรียบร้อยแล้ว”ฉันหัวเราะชั่วพริบตาที่หันหน้า ดวงอาทิตย์ที่เพิ่งขึ้นก็ทิ่มแทงจนรู้สึกเจ็บตาฉันมองดูเขา “เจียงอวี้เหิง เด็กออกมาแล้วก็ยังจะมีปัญหาตามมา จะป่วย จะมีอุบัติเหตุ ตราบใดที่คุณใช้เด็กคนนี้เป็นข้ออ้าง ถ้าอย่างนั้นคุณกับโจวถงก็จะเกี่ยวพันกันไปตลอด และฉันก็จะเป็นคนคนนั้นที่ถูกคุณทอดทิ้งตลอดไป”เจียงอวี้เหิงโดนฉันว่าจนเงียบไปเลยฉันแสดงจุดยืนของตัวเองไปอย่างชัดเจนด้วย “เจียงอวี้เหิง ถ้าพวกเราแต่งงานกันไป ฉันไม่อยากให้สามีของตัวเองดูแลผู้หญิงคนอื่นเกือบทุกวันหรอกนะ”“เฉียวซาน คุณให้เวลาผมหน่อยนะ ผมจะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย” แววตาลึก ๆ ของเจียง
ทว่าสวนสนุกใกล้จะเสร็จแล้ว ฉันไม่อยากจากไปเวลานี้เลยตอนเที่ยง ฉันกำลังจัดการงานที่อยู่ในมือตัวเองอยู่ หยวนเสี่ยวไต้วิ่งมาด้วยท่าทีลับ ๆ ล่อ ๆ “พี่ซาน เมื่อวานพี่เป็นประจำเดือนใช่ไหม?”ฉันเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “ฉันเป็นไม่ได้?”“ไม่ใช่สักหน่อย” หยวนเสี่ยวไต้ส่ายหน้าเหมือนกลองป๋องแป๋ง “ถึงว่าทำไมวันนี้ประธานเจียงอารมณ์ฉุนเฉียวแบบนี้ ที่แท้ก็ไม่พอใจนี่เอง”ฉันตะลึงไปเล็กน้อย จากนั้นได้สติว่าเธอหมายความว่าอะไรฉันหยิบปากกาโขกหัวเธอไปที “เวลาทำงานก็ต้องใช้สมองกับการทำงาน คิดเหลวไหลให้น้อย ๆ หน่อย”หยวนเสี่ยวไต้หัวเราะฮิ ๆ และให้รายงานที่พวกเราไปดูหน้างานด้วยกันเมื่อวานให้ฉัน “ฉันไม่ได้คิดเหลวไหลนะคะ ทุกคนโดนประธานเจียงด่าจนกลัวไปหมดแล้วจริง ๆ วันนี้ขอแค่เข้าไปห้องทำงานเขา ไม่มีคนเดินยิ้มออกมาเลยสักคน”เบื้องหน้าฉันปรากฏภาพที่เมื่อเช้าวันนี้เจียงอวี้เหิงทิ้งดอกกุหลาบด้วยความโมโห ไม่รู้ว่าที่เขาอารมณ์เสียวันนี้ เป็นเพราะฉันไม่ได้ง้อง่าย ๆ เหมือนตามปกติ หรือว่าฉันขอเลิก“พี่ซาน พี่คงจะไม่ได้ทะเลาะกับประธานเจียงหรอกนะ?” หยวนเสี่ยวไต้ซุบซิบฉันได้สติกลับมา “เอาล่ะ ๆ ไปทำงานได้แล้ว ไม่อย่
ใบหน้าเล็ก ๆ ของโจวถงขาวซีดทันที น้ำตาคลออยู่ในดวงตาจะร่วงอยู่รอมร่อ ไม่ต้องพูดว่าน่าเอ็นดูขนาดไหน“อาเหิง ในที่สุดคุณก็รำคาญฉันแล้ว ใช่ไหมล่ะ?” น้ำตาของโจวถงไหลแหมะ ๆ ด้วย ตอนที่พูดออกมาเจียงอวี้เหิงไม่ได้พูด ทั้งร่างกายเป็นความกดอากาศต่ำ“ถ้าหลินหยางไม่เป็นไร ฉันก็จะไม่รบกวนคุณหรอก...” เสียงโจวถงพึมพำ แต่คำพูดนี้กลับมีความรู้สึกกดดันอยู่“คุณรบกวนผมก็ช่าง อย่าไปรบกวนเธอ” เขาที่เจียงอวี้เหิงว่าก็คือหมายถึงฉันพวกเขาจะทะเลาะกันแล้ว ในทีแรกฉันไม่รู้ว่าต้องยืนอยู่ตรงนี้หรือควรไปดี“ฉันรู้แล้ว จากนี้ฉันจะไม่รบกวนคุณอีก และจะไม่มารบกวนพวกคุณด้วย” โจวถงกล่าวแล้วหมุนตัวเดินจ้ำอ้าวไปข้างนอกคราวนี้เจียงอวี้เหิงไม่ได้ไล่ตามออกไป แต่มองมาที่ฉัน ฉันก้มหน้าเล็กน้อย สาวเท้าเดินไปข้างนอกเจียงอวี้เหิงตามฉันมาติด ๆ เราเดินออกจากคาเฟ่ จังหวะนี้ได้ยินเสียงเบรกแสบแก้วหูดังเอี๊ยดฉันกับเจียงอวี้เหิงเงยหน้าพร้อมกัน ก็เห็นโจวถงโดนรถคันหนึ่งที่ออกมาจากโรงรถชนจนล้มอยู่ที่พื้น“โจวถง!” เจียงอวี้เหิงตะโกนด้วยเสียงทุ้มต่ำ เจ้าตัววิ่งไปอย่างรวดเร็วฉันอึ้งไปสักสองสามวินาที แล้วรีบตามไปด้วย“อาเหิง
เวินเหลียงฟังออกว่าฉันไม่ได้พูดความจริง และไม่ได้ซักไซ้ เอ่ยเพียงว่า “ได้ มีข่าวคราวแล้วจะบอกเธอ จริงสิ วันนี้เธอไปที่ไหน ถ้ายังไม่อยากกลับตระกูลเจียงก็มาหาฉันได้นะ”วันนี้เวินเหลียงเข้ากะกลางคืน ฉันไปหาเธอเหมาะสมที่สุดฉันไม่อยากกลับตระกูลเจียงจริง ๆ โดยเฉพาะการที่ฉันต้องนอนห้องเดียวกับเจียงอวี้เหิงในตอนนี้แต่ฉันไปพักอยู่กับเวินเหลียงตลอดก็ไม่เหมาะสมเหมือนกัน แม้ว่าเธอจะไม่มีแฟน แต่ทุกคนต่างไม่หวังให้พื้นที่ส่วนตัวของตัวเองถูกคนอื่นรบกวนหรอก“ได้” ฉันไม่ปฏิเสธ อย่างน้อยก่อนหน้าที่ฉันจะหาที่พักอยู่ ไปพักที่เธอก็ดีกว่าพักอยู่โรงแรมมากถึงแม้จะมีหลักมีแหล่งที่นอนกลางคืนแล้ว ฉันก็ไม่ได้ไปในทันที แต่ขับรถไปชานเมืองที่นี่เป็นเมืองเก่าแล้ว แต่คนที่พักอยู่ไม่น้อยเลย ส่วนมากเป็นผู้เช่า เพราะค่าเช่าถูกและที่ฉันมาที่นี่เป็นเพราะบ้านของฉันอยู่ที่นี่ ก่อนที่คุณพ่อคุณแม่จะจากไป พวกเราสามคนใช้ชีวิตอยู่ที่นี่กันทั้งครอบครัว ตอนนั้นที่นี่ยังไม่ได้เป็นเมืองเก่า เศรษฐกิจและการคมนาคมสะดวกมาก เศรษฐกิจเจริญรุ่งเรืองมากแต่เวลาสิบปีมานี้ ที่นี่ไม่เจริญรุ่งเรืองเหมือนอย่างที่เคยเป็นแล้วบ้านที่ชุ
“เฉียวซาน คุณอย่าเข้าใจผิดนะ”คำพูดนี้ของโจวถงทำให้ฉันอยากหัวเราะนึกถึงคำพูดที่เธอพูดตอนเลือกเครื่องนอน ที่แท้แฟนที่เธอยอมรับโดยปริยายถึงกับเป็นเจียงอวี้เหิง“นี่ซื้อให้เจียงอวี้เหิงเหรอ?” ฉันเหลือบมองเครื่องนอนที่เธอเลือก สีฟ้าเทา เป็นโทนสีที่เจียงอวี้เหิงชื่นชอบจริง ๆแต่นั่นเป็นเมื่อก่อนแล้ว ตอนนี้ภายใต้อิทธิพลของฉัน สีสันของเขาก็สดใสขึ้นมากแล้วโจวถงกัดริมฝีปากล่าง ลังเลอยู่สักสองสามวินาทีจึงจะส่ายหน้า “...ไม่ใช่นะ คุณอย่าเข้าใจผิด ฉันเลือกให้น้องชายฉัน”การแสดงปาหี่พรรค์นี้ ฉันขี้เกียจที่จะไปโต้เถียงกับเธอ เลยพูดไปตามตรง “เจียงอวี้เหิงจะอยู่ด้วยกันกับคุณแล้ว?”เขาว่าให้ลูกของโจวถงเป็นอะไรไปไม่ได้เลยไม่ใช่หรือไง การปกป้องอยู่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเหมาะสมที่สุด“เฉียวซาน ทำไมคุณพูดจาแบบนี้?” โจวถงเผยความตื่นเต้นออกมา“คุณซื้อให้เขาแม้กระทั่งของใช้บนเตียง ทำไมฉันจะพูดแบบนี้ไม่ได้?” ฉันย้อนถามแบบกวน ๆ“เฉียวซาน คุณขี้อิจฉาเกินไปแล้ว แบบนี้อาเหิงจะไม่ชอบเอานะ” คำพูดของโจวถงทำให้ฉันหัวเราะ“คุณหัวเราะอะไร ?” ดวงตาคู่นั้นของเธอมองฉันด้วยความระแวดระวังและไร้เดียงสาฉันลูบเส้นผม
ถึงแม้การซื้อของจะโดนผู้หญิงอย่างโจวถงมาทำให้รู้สึกขยะแขยง แต่ไม่ได้กระทบกระเทือนกะจิตกะใจในการกินข้าวของฉัน ฉันกินโจ๊กไส้หมูไปชามใหญ่ชามหนึ่งจึงจะกลับบริษัท เพิ่งถึงบริษัทก็รับสายโทรศัพท์ที่โทรมาจากจวงลี่คุณแม่ของเจียงอวี้เหิงฉันไม่ได้กลับบ้านสองวัน เธอจะโทรศัพท์มาหาฉันก็ปกติมาก “คุณป้า”“ซานซาน อย่าเอาแต่พักอยู่ที่บ้านเพื่อนสนิทหนูสิ วันนี้กลับบ้านเถอะ ป้าห่อเกี๊ยวไส้หมูไว้” คำพูดของจวงลี่ทำให้ฉันอยากหัวเราะดูท่าเจียงอวี้เหิงหาข้ออ้างที่ฉันไม่กลับบ้านแล้วฉันตัดสินใจจะย้ายกลับมาพักที่บ้านของคุณพ่อคุณแม่ฉัน ก็ต้องกลับไปเก็บของที่ตระกูลเจียงอยู่แล้ว ฉันไม่ได้พูดอย่างอื่น “คุณป้าคะ คืนนี้หนูจะกลับไปค่ะ”ตอนใกล้เลิกงาน หยวนเสี่ยวไต้เข้ามาหา “พี่ซาน พี่สบายดีไหม?”“ทำไมเหรอ?” ฉันทำหน้าไม่เข้าใจ“คนในบริษัทชอบซุบซิบนินทาไปเรื่อย พี่อย่าไปสนใจพวกนั้นเลย ประธานเจียงเอาใจพี่มากแค่ไหน ฉันได้เห็นด้วยตาตัวเองเลยเชียวนะ” คำพูดของหยวนเสี่ยวไต้ทำให้ฉันยื่นมือไปให้เธอเธอเอาโทรศัพท์มือถือซ่อนไว้ด้านหลังอย่างเข้าใจ ฉันพูดด้วยสีหน้านิ่ง “เอามาให้ฉัน”หยวนเสี่ยวไต้ให้ฉันจากการที่โดนบังคับ แล
หัวใจฉันรู้สึกตื้นตันถึงแม้ฉันถูกฝากเลี้ยงไว้ที่บ้านหลังนี้ แต่คุณพ่อคุณแม่ของเจียงอวี้เหิงก็มอบความห่วงใยและความรักให้ฉันเหมือนดั่งพ่อแม่แท้ ๆ ของฉันเลยพวกเขาปฏิบัติต่อฉันเหมือนลูกสาวแท้ ๆ ยังจำที่เจียงหวยพี่ชายของเจียงอวี้เหิงเคยพูดล้อเล่นไว้ประโยคหนึ่งได้ว่า ตั้งแต่ฉันมาถึงบ้านหลังนี้ พวกเขาสองคนพี่น้องก็ไม่เป็นที่โปรดปรานแล้วเวินเหลียงพูดถูก ฉันกับเจียงอวี้เหิงตัดขาดได้ง่าย แต่ตัดขาดกับตระกูลเจียงได้ยากฉันสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วผลักประตูเข้าไปสายตาของทุกคนจับจ้องมาที่ฉันทั้งหมด จากนั้นคุณแม่เจียงก็ลุกขึ้นเดินมาหา “ซานซาน หนูกลับมาแล้ว ตอนนี้กำลังรอหนูมาทานข้าวอยู่เลย”“คุณป้า คุณลุง” ฉันทักทาย และเจียงอวี้เหิงก็โดนคุณพ่อเจียงเตะเท้าให้ลุกขึ้นมาเขารับกระเป๋าในมือของฉันไป “ทำไมกลับมาช้าแบบนี้ล่ะ?”“เล่นสนุกเกอร์มาพักหนึ่ง” ฉันรู้ว่าเซี่ยเซียวจะบอกเรื่องที่เราพบกันให้เขาฟังแน่นอน ดังนั้นเลยไม่มีอะไรให้น่าปิดบังเจียงอวี้เหิงขมวดคิ้ว “คราวหน้าจะไปก็เรียกผมไปด้วย”เขาไม่ชอบให้ฉันไปเล่นพวกนั้น โดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีเขาอยู่ แน่นอนว่าไม่หวังให้ฉันติดต่อพวกพ้องของเขา
ฉันเงยหน้าขึ้น เห็นใบหน้าที่มีเหลี่ยมมุมของฉินโม่ที่ชัดเจนเขาไม่ใช่แค่พยุงฉันไว้ แต่ยังรับแตงโมในมือฉันไว้ได้อีกด้วยภาพที่ดูเหมือนฝันเช่นนี้เป็นสิ่งที่ได้จากการจงใจถ่ายทางโทรทัศน์เท่านั้น แต่ตอนนี้มันกำลังเกิดขึ้นกับฉันจริงๆเขาพยุงฉันให้ยืนตัวตรง คลายมือที่จับไว้ แต่ทันทีที่ฉันเคลื่อนไหว ฉันก็รู้สึกเจ็บแปลบเหมือนโดนเข็มทิ่มที่ข้อเท้าฉันคว้าแขนของเขาไว้แล้วพูดว่า “เจ็บ…”เขามองไปตามสายตาของฉัน เห็นข้อเท้าขาวบางของฉันกลายเป็นสีแดง "ข้อเท้าพลิกเหรอ?"ฉินโม่อยู่ใกล้ฉันมาก เสียงทุ้มต่ำของเขามันช่างน่าฟังมากเป็นพิเศษฉันตอบอืม วินาทีต่อมาเขาก็ยัดแตงโมใส่มาในมือฉันแล้วอุ้มฉันขึ้นมาฉันกับเจียงอวี้เหิงคบกันมาหลายปี แต่เขาไม่เคยอุ้มฉันแบบนี้เลย ในตอนนี้ ฉินโม่กลับอุ้มฉันในท่าเจ้าหญิง มันทำให้หัวใจฉันเต้นแรงขึ้น ถึงขั้นมีเหงื่อซึมออกมาที่ปีกจมูก...ฉันเป็นแบบนี้แหละ เวลาตื่นเต้นหรือประหม่า เหงื่อจะออกปลายจมูกในตอนนี้ ฉันก็ได้ยินเสียงถอนหายใจ เป็นเสียงจากคนในละแวกนั้นและผู้คนที่เดินผ่านไปมาอาจเป็นเพราะมณฑลเล็กๆ เช่นนี้ ผู้คนคงยังไม่ชินกับพฤติกรรมเช่นนี้ระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงฉิ
ฉันหยิบแก้วแปรงสีฟันขึ้นมา เติมน้ำแล้วแปรงฟัน ตลอดเวลาที่แปรงฟัน ฉันไม่ได้มองที่ยัยหมูสามชั้นเลย แต่สายตาของเธอไม่เคยละไปจากฉันแม้แต่วินาทีเดียว เธอมองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วก็จากปลายเท้าขึ้นไปถึงศีรษะ“เสี่ยวเฉียวเฉียว นี่คือหมูสามชั้น” คุณยายแนะนำเธอฉันอมยาสีฟันไว้ในปากแล้วพยักหน้าไปทางยัยหมูสามชั้นเธอมีใบหน้ากลม แต่ไม่ถึงกับอ้วน เธอสวมชุดเดรสลายดอกไม้และแต่งหน้า เห็นได้ชัดว่าเธอแต่งตัวมาอย่างจริงจัง“หมูสามชั้น นี่คือเสี่ยวเฉียวเฉียวที่เธออยากเจอ ฉันพูดถูกไหม ดูสิว่าผิวเธอนุ่มลื่มชุ่มชื้นแค่ไหน” คุณยายกำลังซักผ้าอยู่ ซักด้วยมือเปล่าเมื่อหมูสามชั้นกับฉันสบตากัน เธอมีความไม่มั่นใจฉายแวบขึ้นในดวงตาเมื่อถูกเปรียบเทียบกับฉัน แต่ปากกลับไม่ยอมรับ “เธอยังเด็ก ผิวก็ต้องนุ่มชุ่มชื้นอยู่แล้ว ตอนฉันอายุเท่าเธอก็ประมาณนี้แหละ”คุณยายเบะปาก หมูสามชั้นก็กลอกตามองบน การต่อสู้แบบเงียบๆ ระหว่างทั้งสองทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกำลังดูโชว์ตลกอยู่เมื่อฉันแปรงฟันเสร็จ หมูสามชั้นก็พูดขึ้นมาว่า “คุณเฉียว มาที่นี่เพื่อเยี่ยมญาติหรือมาเที่ยวเล่น?”“มาเที่ยวเล่น” ฉันเปิดก๊อกน้ำและล้างแก้วแปรงสีฟัน“ม
คืนนี้ฉันนอนหลับสนิทจนกระทั่งได้ยินเสียงหนวกหูดังมาจากด้านนอกไม่ใช่ฉินโม่ที่กำลังพูด แต่เป็นผู้หญิงที่พูดติดสำเนียงท้องถิ่นฟังจากเสียงของเธอแล้ว เธอไม่ใช่เด็กเสียงของเด็กผู้หญิงจะนุ่มนวลและสดใส ในขณะที่เสียงของผู้หญิงโดยทั่วไปแล้วจะทุ้มและหยาบกว่าฉันเป็นคนที่สามารถแยกคนได้จากเสียง แต่กลับไม่สามารถแยกได้ว่าชายที่ฉันรักมาเป็นสิบปีนั้นเป็นไอ้ผู้ชายเจ้าชู้สารเลวเขาว่ากันว่าการลืมใครสักคนคือการไม่คิดถึงเขาบ่อยๆ ตลอดเวลา แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าฉันจะทำไม่ได้ฉันยังคิดถึงเจียงอวี้เหิงโดยไม่รู้ตัวอยู่เสมอ ถึงจะไม่ใช่ความรัก เป็นเพียงความรู้สึกโกรธแค้น ฉันก็ยังคิดถึงเขาอยู่เป็นครั้งคราวฉันไม่ได้ลุกขึ้นจากเตียง เพียงแต่เงี่ยหูฟังเสียงจากข้างนอก“คุณยาย ฉินโม่ล่ะคะ?” หญิงคนนั้นถาม“ออกไปแล้ว ตั้งแต่เช้าก็ออกไปแล้ว” คุณยายดูเหมือนกำลังล้างอะไรบางอย่างอยู่ มีเสียงน้ำดังเข้ามา“ไปแล้วหรอ ฉันก็นึกว่าเขายังไม่ตื่น” เสียงของหญิงสาวมีความตลกขบขันแทรกอยู่“ยัยหมูสามชั้น เสี่ยวฉินจะตื่นหรือไม่ตื่นแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอ เขาไม่ได้ชอบเธอ เธอก็อย่าคิดให้รกสมองเปล่าๆ เลย” คุณยายพูดออกมาตรงๆคนปก
ฉันตอบอืมไปเบาๆ “เป็นข้อเสนอที่ไม่เลวเลย ฉันจะเก็บไปพิจารณาดู”“ต้องคิดแบบจริงจังนะ” เวินเหลียงพูดจบก็ชะงักไปชั่วขณะ “ซานซาน วิธีที่จะลืมใครสักคนกับความรักที่ดีที่สุดก็คือการหาใครสักคนมาแทน แล้วก็รีบเริ่มต้นความรักใหม่โดยเร็ว”“โอเคค่ะอาจารย์เวิน ฉันเข้าใจแล้ว” หลังจากวางสาย ฉันก็นอนลงบนเตียงอย่างเหม่อลอยฝีเท้าของฉินโม่ข้างนอกดังเข้ามา ฉันรู้ได้ในทันที มันทั้งหนักแน่นและทรงพลังผ่านไปสักพักก็มีเสียงก๊อกน้ำดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงบ่นพึมพำของคุณยายเจ้าของบ้าน "ทำไมมีแค่นายคนเดียว? เสี่ยวเฉียวเฉียวล่ะ?"ฉันไม่ได้ยินคำตอบของฉินโม่ ได้ยินเพียงแค่ที่เขาพูดว่า "อย่าใส่ผักชีในซุปปลา"เมื่อได้ยินดังนั้น ฉันก็หัวเราะ หัวเราะไปหัวเราะมาก็น้ำตาไหลออกมาในช่วงหลายปีที่ผ่านมาที่ตระกูลเจียง ฉันกินผักชี แต่ในอดีตตอนที่อยู่กับพ่อแม่ ฉันไม่เคยกินเลยมีสำนวนที่ว่า เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม แม้ว่าตอนนั้นฉันจะย้ายเข้ามาอยู่ในตระกูลเจียงในฐานะคู่หมั้นของเจียงอวี้เหิง คุณแม่เจียงก็บอกว่าฉันเป็นลูกสาวของเธอ แต่ฉันก็ไม่ได้เป็นคนในครอบครัวตระกูลเจียงอยู่ดี ฉันรู้ดีอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งอยู่แก่ใจในเรื
ในชีวิตนี้ฉันคิดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายที่ฉันเคยพบหน้าเพียงสองครั้งจะอยากจดทะเบียนแต่งงานกับฉันแต่ผู้ชายที่คบกับฉันมาสิบปีกลับไปมีชู้ลับหลังฉันหลังจากตกใจไปชั่วขณะ ฉันก็เม้มริมฝีปากและยิ้ม "คุณฉินคะ นี่มันกะทันหันเกินไปหน่อยไหม?"สีหน้าของฉินโม่ยังเหมือนเดิม ดูค่อนข้างจริงจัง “คนเราคบกันก็เพื่อแต่งงานกันไม่ใช่เหรอ ในเมื่อคุณไม่อยากคบ งั้นก็แต่งงานเลย”คำพูดนี้ดูเหมือนว่าจะไม่มีปัญหาอะไรแต่คนที่พูดดูเหมือนว่าจะมีปัญหา คนปกติจู่ๆ จะมาแต่งงานกับคนแปลกหน้าไหมล่ะ?นิยายสมัยนี้นิยมโครงเรื่องแบบนี้ แต่มันก็เป็นแค่นิยายเท่านั้นคิ้วของฉันขมวด มุมปากปรากฏรอยยิ้มเยาะ "คุณฉินตรงไปตรงมาขนาดนี้กับคู่นัดดูตัวทุกคนเลยเหรอคะ?"ขณะนี้ พระอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าส่องแสงมาที่ตัวของพวกเราพอดี เงาของฉินโม่ปกคลุมฉันไว้ “คุณเป็นคนแรก” ฉันรู้สึกคันคอ “เรา…แทบจะไม่รู้จักกันเลย”ฉินโม่ไม่ได้พูดอะไรอีก เรายืนหันหน้าเข้าหากัน ภายใต้บรรยากาศเช่นนี้ ฉันรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าทั่วทั้งร่างกายของฉันร้อนผ่าวเล็กน้อย แม้แต่ปลายจมูกก็มีเหงื่อซึมออกมาในขณะที่ฉันกำลังขูดกำแพงที่อยู่ด้านหลังฉัน คิดว่าจะพูดอะไร
เมื่อได้ยินเสียง ฉันจึงโยนโทรศัพท์ทิ้ง “เรียบร้อยแล้วค่ะ”พูดจบ ฉันก็ถอดรองเท้า เปลี่ยนเป็นรองเท้าแตะแล้วเปิดประตู จากนั้นก็เห็นฉินโม่กำลังตักน้ำอยู่ในลานบ้านถังน้ำสีขาวหลายใบวางเรียงกันเป็นแถว ไม่นานน้ำก็เต็มถัง เขายกถังขึ้นมา กล้ามเนื้อที่ไหล่แนบกับเสื้อผ้าจนสามารถมองเห็นได้กล้ามเนื้อกับพละกำลังนั้นเป็นของคู่กันจริงๆ“ตักน้ำมาเยอะขนาดนี้ทำไม น้ำจะไม่ไหลเหรอ?” ฉันเดินไปถามสายตาของคุณยายมองไปที่รองเท้าแตะของฉัน และกลอกตาอย่างเงียบๆฉินโม่ไม่ได้ตอบอะไร คุณยายพูดแทน "เผื่อโดนตัดน้ำจ้ะ"พูดจบ เธอก็ตีฉินโม่ “เดี๋ยวคืนนี้ฉันจะทำซุปปลาให้นะ พวกเธอช่วยไปซื้อปลากะพงมาหน่อย ขอสดๆนะ แล้วก็ซื้อผักชีกับกระเทียมมาด้วย”นี่เป็นการไปซื้อของที่ไหนกันล่ะ มันคือการให้เราสองคนออกไปคุยกันชัดๆเพียงแต่ฉันใส่รองเท้าแตะขนาดใหญ่อยู่ จึงไม่ค่อยเหมาะสมนัก แต่การจะเข้าไปเปลี่ยนในบ้านก็ดูไม่เหมาะสมเช่นกัน“ไปเปลี่ยนรองเท้า” ฉินโม่พูดเช่นนั้นในเวลาแบบนี้ ถ้าให้ฉันไปเปลี่ยนรองเท้า มันจะยิ่งทำให้ฉันรู้สึกอับอายมากขึ้น ดังนั้นฉันจึงยิ้มเยาะ “ไม่ต้องหรอก”ฉินโม่ไม่พูดอะไรอีก เขายกขาขึ้นเตรียมจะเดินออกไ
ฉันคิดไม่ถึงเลยว่าคุณยายจะบอกว่าจะเป็นแม่สื่อให้ฉัน ใบหน้าที่เย็นชาแข็งกระด้างของฉินโม่แวบผ่านหน้าฉันขึ้นมาเมื่อนึกถึงความตรงไปตรงมาและเย็นชาของเขาที่ปฏิเสธที่จะเปลี่ยนห้องกับฉัน จู่ๆ ฉันก็รู้สึกอยากเล่นสนุกขึ้นมา และตอบกลับไปอย่างเบิกบานสำราญใจไปสองคำว่า "ได้เลยค่ะ"ถึงฉันจะตกลง แต่มันก็เป็นเพียงคำพูดที่พูดไปเรื่อยที่ฉันไม่ได้เก็บมาใส่ใจหลังจากทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ฉันก็ยืมจักรยานในบ้านคุณยายมาคันหนึ่งและปั่นไปรอบๆ มณฑลเล็กๆ แห่งนี้เมื่อฉันกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว ฉันมีสิ่งที่ต่างจากตอนที่ออกไปในตอนเช้า ซึ่งก็คือมีกระดานวาดภาพเพิ่มมาฉันรักการวาดภาพ ก่อนที่พ่อแม่ของฉันจะเสีย พวกเขาให้ฉันไปสมัครเรียนคลาสเต้น คลาสวาดภาพ และการเขียนพู่กันจีน อีกทั้งยังให้ฉันเรียนกู่เจิงด้วยแต่สิ่งเหล่านี้ล้วนจบลงหลังจากที่พวกเขาจากโลกไป แต่สิ่งเดียวที่ยังไม่จบลงก็คือการวาดภาพ เพราะมันง่ายมาก เพียงแค่มีปากกาหนึ่งด้ามและกระดาษหนึ่งแผ่นก็เพียงพอแล้วทั้งวันวันนี้ที่ฉันออกไปข้างนอก นอกจากการมองชมวิวรอบๆ แล้ว ฉันก็ได้วาดรูปมารูปหนึ่ง ก็คือรูปเขตชิงผิงใหม่ความปรารถนาสูงสุดของพ่อแม่ของฉันค
แต่เมื่อฉันนอนลงบนเตียงแข็งๆ ภาพตรงหน้าก็ยุ่งเหยิงและว่างเปล่า ฉันจึงนอนไม่หลับในที่สุด ฉันก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดไลน์ เห็นข้อความที่ส่งมาจากหยวนเสี่ยวไต้และเกาหย่วนหยวนเสี่ยวไต้ “พี่ซาน วันนี้ฉันยุ่งจนหัวหมุนทั้งวันเลย แต่งานที่พี่ฝากให้ทำฉันทำเสร็จแล้วนะ พรุ่งนี้ต้องเอาขนมมงคลสมรสมาให้ฉันเป็นรางวัลด้วยนะ พี่ซาน สุขสันต์วันแต่งงาน ขอให้มีความสุขมากๆ ตลอดชีวิตไปจนแก่เลยนะ”เมื่อเห็นข้อความนี้ ฉันก็กระตุกมุมปากเย้ยหยัน แต่ไม่ได้ตอบกลับเกาหย่วน “ผู้ช่วยเฉียว อย่าเข้าใจประธานเจียงผิดนะ อย่าไปมีเรื่องอะไรกับประธานเจียงเด็ดขาด ไม่งั้นความผิดผมได้ใหญ่มหันต์แน่”ฉันก็ไม่ได้ตอบอะไรเช่นกัน เพียงแต่เปิดอินสตาแกรมขึ้นมา แล้วก็เจอรูปเงาที่ฉันถ่ายที่สวนสนุกในอัลบั้ม จากนั้นก็โพสต์ไปข้อความหนึ่งว่า ‘สุขสันต์วันขึ้นปีใหม่!’หลังจากโพสต์แล้ว ฉันก็ลบทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเจียงอวี้เหิงออกจากอินสตาแกรมของฉันสิ่งที่ฉันทำก็มันก็คล้ายๆ กับสิ่งที่พวกดาราชอบทำในตอนหย่าหรือไม่ก็เลิกกับแฟนเมื่อไม่ได้เป็นคู่รักกัน แล้วก็เป็นคนรักกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นการลบทุกสิ่งอย่างที่เกี่ยวกับความรักไปก็คงจะดีท
“เสี่ยวโม่ นี่คือผู้หญิงที่ฉันบอกเธอว่าอยากเปลี่ยนบ้าน พวกเธอลองคุยกันดูไหม?”คุณยายเจ้าของบ้านพูดขึ้น ทำลายช่วงเวลาการสบสายตาระหว่างฉันกับชายคนนั้นลงฉันเดินเข้าไป “สวัสดีค่ะ ฉันชื่อเฉียวซาน ห้องที่คุณอยู่ห้องนั้น ฉันขอเปลี่ยนได้ไหมคะ?”“ไม่ครับ” การปฏิเสธของเขาเด็ดขาดเหมือนกับตอนที่สระผมเมื่อครู่นี้มุมปากของฉันขยับเล็กน้อย ความรู้สึกไม่พอใจผุดขึ้นในใจเล็กน้อย อีกทั้งความดื้อรั้นก็แสดงออกมา “ทำไมล่ะ?”ชายคนนั้นมองมาที่ฉัน ไม่ได้พูดอะไร เขาเอาผ้าขนหนูสีเขียวลายทหารพาดไหล่แล้วเดินผ่านฉันไปทั้งแบบนั้นไอความเย็นที่แผ่ซ่านมาจากน้ำทำให้ฉันสั่นสะท้านอย่างไม่มีสาเหตุ“เสี่ยว...เสี่ยวเฉียวสินะ?” คุณยายเจ้าของบ้านเดินเข้ามา “อย่าโกรธเลยนะ ฉินโม่น่ะง้อผู้หญิงไม่เป็น เดี๋ยวฉันจะกลับไปคุยกับเขาทีหลัง”ฉันก็อารมณ์ขึ้นเช่นกัน จึงจงใจพูดเสียงดัง “ไม่ต้องหรอกค่ะ อยู่ห้องนั้นก็ไม่ทำให้สูงส่งได้หรอกค่ะ ใครอยากอยู่ก็อยู่ไปเถอะ”พูดจบ คุณยายเจ้าของบ้านก็ดึงฉันไว้แล้วพูดว่า “อย่าดุแบบนี้สิ เขาเคยเป็นทหารที่ผ่านการฝึกหนักมานะ ถ้าเขาโกรธขึ้นมา เขาสามารถแบกเธอขึ้นมาแล้วเอาไปโยนทิ้งที่ข้างนอกได้เลยน