“แม่คะ เราไปอยู่ข้างนอกกันไม่ได้เหรอคะหนูบัวไม่อยากอยู่ที่นี่ หนูบัวเกลียดที่นี่ เราไปอยู่ข้างนอกกันนะคะแม่ นะคะๆ” เสียงใสๆ ของเด็กหญิงวัยห้าขวบเอ่ยขึ้นกับมารดาซึ่งเป็นหญิงสาวใบหน้าเรียวหวานดวงตากลมโตงดงามนั้นตอนนี้ดูแห้งผากไร้แววสดใสอย่างที่ควรจะเป็น
“อดทนนิดเดียวนะจ๊ะลูกรัก แค่อีกนิดเดียวเท่านั้น” บุษบา บอกลูกน้อยของเธอด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนเสมอมา แม้น้ำเสียงนั้นจะสั่นเครือเพราะกลั้นเสียงสะอื้นในอก และทุกๆ ครั้งที่ “หนูบัว” ถามผู้เป็นมารดา หนูน้อยก็มักจะได้ยินคำๆ นี้เสมอๆ รอ รออะไร.. มารดาของเธอรออะไรหนอ
“หนูบัว” เด็กหญิงตัวเล็กบอบบางราวแก้วใส ใบหน้าน่ารัก ดั่งตุ๊กตากระเบื้องแสนสวย ผิวขาวผ่องอมชมพู ดวงตากลมโตและเรือนผมสีน้ำตาลเข้มงดงาม เงยหน้ามองมารดาที่นั่งอยู่ที่ม้านั่งตัวยาวตัวเก่าใต้ต้นดอกปีบที่ออกดอกขาวสะพรั่งเต็มต้นซึ่งมีกลีบบางใสร่วงโรยอยู่บนผืนหญ้า กลิ่นหอมระรวยนั้นช่างให้ความรู้สึกอ่อนหวาน และโดดเดี่ยวในเวลาเดียวกัน...
ดวงตากลมโตใสแจ๋วมองไปยังทิศทางที่มารดามองแล้วใจดวงน้อยพลันรู้สึกหดหู่ และไม่เคยอยากเฉียดไปใกล้สถานที่แห่งนั้นเลยแม้สักครั้ง “ตึกจันทร์” สถานที่ที่มารดาเคยบอกว่า คนที่ได้ชื่อว่า “คุณพ่อ” นั้น อาศัยอยู่กับบรรดาภรรยาของท่านอีกสี่คน ซึ่งบรรดาภรรยาของคุณพ่อทั้งสี่คนนั้น นอกจาก แม่ใหญ่ แล้วหนูบัวไม่เคยนึกชอบใครเลยสักคน แล้วยังลูกๆ ของบรรดาภรรยาของคุณพ่อทั้งสามนั้นอีก ที่มักจะชอบกลั่นแกล้ง และรังแกเธอเสมอๆ เธอเกลียดที่นี่ เสียงเล็กๆ ตะโกนกู่ก้องอยู่ในใจ และร่ำๆ อยากจะไปจากที่นี่ทุกวินาทีที่หัวใจดวงน้อยเต้นไหว
“คุณหนูบัวขา เข้าบ้านเถอะค่ะเย็นแล้ว มากับพี่สาวนะคะ คุณยายรออยู่ค่ะ” พี่สาว สาวใหญ่ร่างท้วมเดินมาจับจูง หนูบัวของเธอเดินไปยังบ้านหลังเล็กที่ซ่อนตัวอยู่ในสวนร่มรื่น สงบเย็น อย่างรู้หน้าที่ เธอรักและดูแลรับใช้สองแม่ลูกนี้นับตั้งแต่มารดาของหนูบัว เข้ามาเป็นภรรยาคนที่ห้าของ นายไพศาล จันทรโสภากุล
บ้านไม้ชั้นเดียวหลังงาม ปลูกสร้างและทาสีขาวทั้งหลัง และผู้เป็นเจ้าของเรือนก็เป็นหญิงสาวที่คุณไพศาลรักที่สุด เรือนหลังนี้จึงได้ชื่อว่า เรือนบุษบา เรือนไม้หลังงามมีชานเรือนกว้างพอที่เด็กน้อยจะวิ่งเล่นได้นั้นประดับตกแต่งด้วยไม้ดอก ไม้ประดับในกระถางงดงามนั้น มีร่างบอบบางของหญิงชรา ที่คงยังมีเค้าความงามอยู่ไม่น้อย ใบหน้านั้นดูผ่องใสใจดี ขณะนี้ก็ยิ้มเยื้อนรอคุณหนูบัวอยู่
“คุณยายขา..” หนูบัว วิ่งเข้าไปกอดผู้เป็นยายแน่น ใบหน้าเล็กๆ ซุกซบลงกับอกอุ่นๆ ของผู้เป็นยาย
“คุณแม่บุษ ร้องไห้อีกแล้วค่ะ ทำไมคุณแม่ต้องร้องไห้ทุกวันด้วยคะ” หนูน้อยถามผู้ชราด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือด้วยความสงสัย ใบหน้าเล็กๆ เงยขึ้นรอคอยคำตอบ จนผู้เป็นยายนั้นถึงกับนิ่งงัน แม้จะเจอคำถามเช่นนี้แทบทุกวัน นางเองก็ไม่เคยสักครั้งที่จะไม่รู้สึกสะเทือนใจถึงความเศร้าสร้อย และขมขื่นของดวงใจสองดวง
“แม่เขาเหนื่อยน่ะลูก วันนี้งานที่บ้านเราเยอะ เห็นไหม แม่บุษกวนมะม่วงได้ตั้งเยอะ กว่าจะปอกจะกวนไหนจะตาก ตอนเช้าแม่บุษของหนูบัวก็ต้องเอาขนมไปส่งตามร้านอีก แม่บุษเขาก็เหนื่อยน่ะลูก เอาล่ะเย็นแล้ว ไปอาบน้ำแล้วมาทานข้าวกับยายนะลูก หากหนูบัวเป็นเด็กดีแม่บุษจะได้ไม่เหนื่อยรู้ไหมคะคนเก่ง”
“ค่าคุณยาย” เด็กน้อยรับคำและเดินเข้าบ้านไปพร้อมกับพี่เลี้ยงสาวใหญ่ที่รออยู่ นางเบญมาศ หรือ คุณยายมาศ ของหนูบัว มองไปยังต้นปีบที่ออกดอกพร่างพราวด้วยดวงตาที่โหยแห้ง เมื่อลับหลังหลานสาว นางมองร่างบอบบางแทบปลิวลมของบุตรสาวคนเล็กที่กำลังเดินกลับมายังบ้านหลังน้อยอย่างเชื่องช้าด้วยความเจ็บปวด
“บุษ คุยกับแม่ก่อนสิลูก..” นางเรียกเบาๆ เมื่อร่างบางของบุตรสาวจะเดินเลยเข้าบ้านไป หญิงสาววัยสวยสด หากแต่หม่นหมองนักนั้นหันมามองมารดาด้วยดวงตาที่ค่อนข้างอ่อนล้าและเลื่อนลอย เมื่อเธอเห็นใบหน้าและแววตาของมารดา หญิงสาวก็ปราดมานั่งแทบเท้าเหี่ยวย่น แล้วก้มกราบไปที่เท้าบอบบางนั้นด้วยความรู้สึกที่เป็นบาปยิ่งนัก และเหมือนเธอสัมผัสได้ถึง หยดหยาดน้ำอุ่นๆ ของมารดาหล่นลงบนมือบางของตนที่ยังคงพนมอยู่แทบเท้าของมารดา
“แม่ขา บุษขอโทษ ยกโทษให้ลูกสาวเลวๆ คนนี้นะคะ ได้โปรดอย่าร้องไห้ ฮือๆๆ แม่จ๋า แม่ของบุษ...” หญิงสาวคร่ำครวญและเผยอตัวขึ้นกอดเอวบางของมารดาแน่นร้องไห้ออกมาราวเด็กหญิงตัวเล็กๆ ไม่แตกต่างจากวันวาน คุณยายมาศลูบเรือนผมสลวยของบุตรสาวเบาๆ และกอดร่างบางไว้แน่นเช่นกัน
“รู้แล้วใช่ไหมลูก ว่าเราควรจะต้องทำอย่างไรหากไม่สงสารตัวเองก็สงสารหนูบัวเถิดแม่บุษ”
ตอนที่1.“แดนิช แดนิช ดูสิๆ ๆ หนูบัวได้ตั๋วเครื่องบินไปกลับ กรุงเทพ ริโอ และไปในช่วงงานเทศกาล คาร์นิวัลด้วย” เสียงร้องบอกอย่างตื่นเต้นดังออกมาจากริมฝีปากอิ่มสวยสีชมพูระเรื่อของสาวน้อยวัยยี่สิบเอ็ดปีนามว่า หนูบัว หรือ บัวบุษรา จันทรโสภากุล สาวน้อยรูปร่างบอบบางอ้อนแอ้นอรชร ใบหน้ารูปไข่นวลใส ประดับด้วย คิ้วเรียวงามดังวาด ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มระยับพราวยามแย้มยิ้ม จมูกโด่งเล็กนั้นเป็นสันสวย รับกับริมฝีปากอวบอิ่มระเรื่อด้วยวัยสาว ผมสีน้ำตาลเข้มเงางามยาวประบ่านั้นก็ดูอ่อนนุ่มน่าสัมผัส กอปรกันแล้วบัวบุษรานั้น นับว่าเป็นสาวน้อยสวยสดทีเดียว“แล้วไงจ๊ะหนูบัว ไม่นึกบ้างเหรอว่า นี่มันอาจจะเป็นการหลอกลวงก็ได้ ไอ้ที่หนูบัวส่งฝาเครื่องดื่มยี่ห้อดังไปชิงรางวัลตั๋วเครื่องบินไปกลับ กรุงเทพฯ – ริโอ เนี่ยนะ ยายบ๊อง แดนคนหนึ่งล่ะที่ไม่เชื่อว่าบริษัทนี้มันจะแจกจริงอย่างว่า” แดนิช หรือ แดนไทย จงเจริญชัยชนะกุล ชายหนุ่มคนเดียวที่เธอรู้จักไว้ใจและสนิทสนมกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยพูดขึ้นพลางลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานหันมามองใบหน้าสวยใสหาตัวจับยากของสาวน้อยวัยใส และเป็นคนรักของตนอย่างเพ่งพิศราวผู้ใหญ่มองเด็กหญิงวัยสามขวบอ
ตอนที่2.“ไอว่ามันก็แปลกๆ นะบันนี่” ไซม่อนเอ่ยขึ้นบ้างหลังจากที่เขาฟังเรื่องราวของบัวบุษราหรือที่เขามักเรียกเธอว่า บันนี่ จากปากแดนิชมาก่อนหน้านี้และเขาก็พอจะมีความรู้และข้องเกี่ยวกับงานด้านธุรกิจการบินอยู่บ้าง เพราะครอบครัวของเขาที่อเมริกานั้น พี่ชาย น้องสาว และบิดานั้นก็ทำงานอยู่ในสายการบินที่มีชื่อเสียงของโลก“โธ่ ไซม่อนก็เป็นพวกวิตกจริตตามแดนิชอีกแล้ว ทำไมไม่คิดบ้างว่านี่คือโชคดีของหนูบัว เนี่ยหนูบัวอุตส่าห์กินชาเขียวยี่ห้อนี้มาเป็นปีๆ เพราะอยากไปริโอฯ อยากไปงานคาร์นิวัลและอยากจะไปถ่ายรูปกับพระเยซู Christ of Redeemer แบบว่าเอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอมเลยนะ ไม่เอาแล้วไม่คุยกับตาแก่สองคนนี้แล้วไปเปิดร้านขายของดีกว่า”ว่าแล้วสาวน้อยหน้าใสก็เดินหน้างอออกไปจากห้องพักของคอนโดสุดหรูที่เธอพักอาศัยอยู่กับแดนิชมาเกือบสามปี ในฐานะ คู่หมั้น ของแดนไทย นับตั้งแต่เธอสูญเสียมารดาและคุณยายผู้แสนดีเมื่อห้าปีก่อนบัวบุษราเดินเรื่อยๆ มาตามทางคอนกรีตใต้ตึกหรูแห่งนี้อย่างสบายใจชมนกชมไม้ไปเรื่อย และนึกชื่นชมเจ้าของศูนย์การค้า และอาคารพาณิชย์แห่งนี้ว่าออกแบบตกแต่งสถานที่ได้อย่างลงตัวและสวยนัก แม้ว่าจังหวัดที่เธอ
ตอนที่3.“ก็ตองสวยเซ็กซี่น่ะสิ นี่ถ้าตองลองไปเทสหน้ากล้องแคสงานอะไรสักอย่าง หนูบัวว่าตองต้องได้เป็นนางแบบแหงๆ แต่เป็นนางแบบเพลย์บอยนะ” บัวบุษราเอ่ยยิ้มๆ ล้อเลียนให้เพื่อนรักสบายใจขึ้น“ขอบใจนะเพื่อนรัก เหมือนจะชมและให้กำลังใจ..” ตวิษาส่งค้อนหน้าง้ำ“ก็ตองน่ะสวยเซ็กซี่โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย ผู้ชายก็หลงแล้วไม่รู้ตัวเลยเหรอ ไอ้ใบหน้าแบบนี้เขาเรียกว่าใบหน้าเชื้อเชิญและหุ่นๆ สะบึมๆ อกอึ๋มๆ อกเป็นอก เอวเป็นเอวแบบนี้ก็ยั่วใจซะจนคนมองแทบถอนสายตาไม่ได้ไงล่ะ”“แต่ตองก็ไม่เคยแต่งตัวล่อตะเข้เลยนะตองก็รัดหน้าอกตลอด แล้วอีกอย่าง ตองก็ไม่กล้าที่จะใส่เสื้อผ้าที่เปิดเผยเนื้อตัวขนาดที่ผู้ชายเห็นแล้วต้องวิ่งเข้าใส่เสียหน่อยแค่กระโปรงยีนส์กับเสื้อยืดพอดีตัวธรรมดาเหมือนหนูบัวตองยังไม่กล้าใส่เลยกลัวถูกฉุด” ตวิษาพูดติดตลกเมื่อรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นและมองหน้าบัวบุษราอย่างพินิจพิเคราะห์“อย่างหนูบัวนี่น่าจะเจอบ่อยกว่าตอง ไม่ยักจะเจอ”“เพราะหนูบัวมีแหวนหมั้นเป็นเกราะไง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยเจอนะ ก็มีเหมือนกันแต่ก็เหมือนตองแหละ เอาตัวรอดได้ แต่หนูบัวก็ไม่วางใจหรือไว้ใจใครหรอก แดนิชสอนไว้ว่าต้องเอาตัวรอดยังไงและต้อ
ตอนที่4.“จะไปจริงๆ หรือแม่บุษ ไม่คิดทบทวนอีกสักรอบหรือไม่ก็รอให้คุณใหญ่กลับมาก่อนดีไหมค่อยไป” น้ำเสียงนุ่มนวลและเอื้ออาทรพร้อมกับดวงตางดงามอ่อนโยนมองมาที่ทั้งสามแม่ลูกที่นั่งพับเพียบอยู่เบื้องหน้า“คุณแม่ใหญ่” หรือ คุณสายสุนีย์ จันทรโสภากุล ภรรยาหลวงผู้เป็นใหญ่ที่สุดในอาณาจักรจันทรโสภากุลและคุณสายสุนีย์คือผู้เป็นศูนย์รวมอำนาจใน “ตึกจันทร์” แม้จะอายุล่วงเลยมาสี่สิบปีแล้วแต่ใบหน้าสวยหวานของนางนั้นยังคงเค้าความงดงามไม่สร่างซาและนางก็ยังเป็น พี่สาวแท้ๆ ของ คุณสายสนมด้วยตึกจันทร์ ตึกทรงไทยผสมผสานกับสถาปัตยกรรมแบบตะวันซึ่งเป็นมรดกตกทอดมาจากรุ่นสู่รุ่นที่งดงามลงตัวปลูกสร้างตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๖ จนเมื่อถึงคราวเปลี่ยนแปลงทางการปกครองตึกจันทร์ได้ตกทอดมาเป็นสมบัติของตระกูลจันทรโสภากุล“บุษคิดดีแล้วค่ะคุณท่าน ขอให้บุษไปเถอะนะคะ” บุษบาบอกกล่าวแก่คุณแม่ใหญ่เสียงเจือสะอื้นพลางมองนางอย่างวิงวอนและคุณแม่ใหญ่ก็เพียงแต่พยักหน้าด้วยดวงใจที่ตีบตันไม่แพ้กัน นางรู้ดีว่าเหตุใดภรรยาคนสุดท้องของคุณไพศาลจึงอยากจะไปจากที่นี่ แม้นางจะรู้ถึงความจริงว่าที่มาที่ไปของเรื่องอัปยศที่เกิดขึ้นเมื่อสี่ปีก่อนนั้นเป็นเช่