“จะไปจริงๆ หรือแม่บุษ ไม่คิดทบทวนอีกสักรอบหรือไม่ก็รอให้คุณใหญ่กลับมาก่อนดีไหมค่อยไป” น้ำเสียงนุ่มนวลและเอื้ออาทรพร้อมกับดวงตางดงามอ่อนโยนมองมาที่ทั้งสามแม่ลูกที่นั่งพับเพียบอยู่เบื้องหน้า
“คุณแม่ใหญ่” หรือ คุณสายสุนีย์ จันทรโสภากุล ภรรยาหลวงผู้เป็นใหญ่ที่สุดในอาณาจักรจันทรโสภากุลและคุณสายสุนีย์คือผู้เป็นศูนย์รวมอำนาจใน “ตึกจันทร์” แม้จะอายุล่วงเลยมาสี่สิบปีแล้วแต่ใบหน้าสวยหวานของนางนั้นยังคงเค้าความงดงามไม่สร่างซาและนางก็ยังเป็น พี่สาวแท้ๆ ของ คุณสายสนมด้วย
ตึกจันทร์ ตึกทรงไทยผสมผสานกับสถาปัตยกรรมแบบตะวันซึ่งเป็นมรดกตกทอดมาจากรุ่นสู่รุ่นที่งดงามลงตัวปลูกสร้างตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๖ จนเมื่อถึงคราวเปลี่ยนแปลงทางการปกครองตึกจันทร์ได้ตกทอดมาเป็นสมบัติของตระกูลจันทรโสภากุล
“บุษคิดดีแล้วค่ะคุณท่าน ขอให้บุษไปเถอะนะคะ” บุษบาบอกกล่าวแก่คุณแม่ใหญ่เสียงเจือสะอื้นพลางมองนางอย่างวิงวอนและคุณแม่ใหญ่ก็เพียงแต่พยักหน้าด้วยดวงใจที่ตีบตันไม่แพ้กัน นางรู้ดีว่าเหตุใดภรรยาคนสุดท้องของคุณไพศาลจึงอยากจะไปจากที่นี่ แม้นางจะรู้ถึงความจริงว่าที่มาที่ไปของเรื่องอัปยศที่เกิดขึ้นเมื่อสี่ปีก่อนนั้นเป็นเช่นไรและเพราะใคร
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจเถอะแต่ขอให้ฉันไปส่งแม่บุษนะ อยากจะดูแลเป็นครั้งสุดท้ายอย่างน้อยๆ ก็ขอให้ฉันรู้ว่าแม่บุษกับลูกและคุณยายมาศอยู่กันยังไงที่ไหน”
“แต่บุษไม่อยากรบกวนค่ะ”
“รบกวนอะไรกันอย่าพูดแบบนี้เชียวแม่บุษ หนูบัวมาหาแม่ใหญ่สิลูก” คุณแม่ใหญ่เรียกหนูบัวเข้าไปหาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเปี่ยมด้วยความรักเมตตาเพราะนางไม่มีบุตรกับคุณไพศาลและในบรรดาลูกชายหญิงของคุณไพศาลกับภรรยาคนอื่นๆ นั้นคุณแม่ใหญ่เอ็นดูหนูบัวที่สุด
“นี่แม่ใหญ่ให้หนูบัว หนูบัวต้องสวมติดตัวตลอดเวลานะลูก สิ่งนี้มันจะคอยคุ้มครองหนูบัว และบอกให้ทุกคนรู้ว่าหนูบัวคือใคร แม้ว่าหนูบัวจะอยู่ที่ไหนจงอย่าลืมว่าหนูบัวคือจันทรโสภากุล แม้ว่าวันนี้อาจจะประดักประเดิดไปสักนิด แต่เมื่อถึงเวลาที่หนูบัวโตขึ้น และทุกอย่างเปิดเผยหนูบัวจะรู้ว่าแม่ใหญ่และคุณพ่อรักหนูบัวที่สุด” แม่ใหญ่สวมสร้อยคอเส้นงามซึ่งเป็นสร้อยเก่าแก่ของตระกูลที่นางได้เป็นของหมั้นเมื่อครั้งแต่งงานกับคุณไพศาลให้กับหนูบัวด้วยความรักราวลูกแท้ๆ ของตน
สร้อยคอทองคำขาวบริสุทธิ์จี้รูปดวงจันทร์สีทองอร่ามขนาดเท่าเหรียญห้าที่รายล้อมด้วยลวดลายอ่อนช้อยและฝังด้วยเพชรเม็ดเล็กๆ ถึงห้าเม็ดงดงามลงตัวและด้านหลังจี้นั้นสลักเสลาคำว่า จันทรโสภากุล
“จำไว้นะหนูบัว ที่นี่คือบ้านของหนูบัว หนูบัวมีศักดิ์ มีสิทธิ์ทุกอย่างในบ้านหลังนี้เทียบเท่ากับทุกคน และหนูบัวคือเจ้าของที่นี่” คุณแม่ใหญ่บอกเท่านั้น เสียงเอะอะโวยวายของคุณสายสนมก็ดังลั่นอยู่หน้าตึก ทำให้คนที่นั่งอยู่ในห้องรับรองชะงัก และหันไปทางต้นเสียง อีกไม่กี่นาทีต่อมาคุณสายสนมพร้อมด้วยบุตรสาว และภรรยาอีกสองคน และลูกๆ ชายหญิงอีกห้าคนก็เดินรี่เข้ามาในห้องรับรอง ในขณะนั้นเองคุณสายสนมก็ยังจิกผมของพี่สาว พี่เลี้ยงของหนูบัวเข้ามาด้วยท่าทางมาดร้ายก่อนจะผลักร่างท้วมที่เนื้อตัวแดงช้ำเต็มไปด้วยร่องรอยการถูกทำร้ายนั้นลงต่อหน้าคุณสายสุนีย์ที่ตะลึงมองภาพตรงหน้า
แม้ในใจนางขุ่นเคืองกับการกระทำของน้องสาวแต่ใบหน้างามที่ดูอารีนั้นนิ่งสนิทเมื่อมองใบหน้าของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นน้องสาวที่คลานตามกันมาและอายุห่างกันเพียงสองปีนั้นอย่างเย็นชา จนผู้เป็นน้องสาวที่มองสบดวงตาคู่นั้นก็รู้สึกชาไปทั้งหน้า แต่ก็ฝืนเชิดหน้าขึ้นด้วยความดื้อดึงอยากเอาชนะ
“นังสาวกับนายของมันจะขโมยของของเราไป น้องไปพบเข้าพอดีนี่คือหลักฐาน นังน้อย นังนวลเอากระเป๋าและข้าวของ ของพวกมันมา” คุณสายสนมเรียกคนรับใช้ของตนเสียงกร้าวและสองสาวที่ถูกเอ่ยชื่อก็ลนลานอาข้าวของของสามแม่ลูกที่มีเพียงกระเป๋าและหีบใบเก่าๆ เพียงสามใบนั้น ออกมาแล้วจัดการงัดแงะและเปิดออกต่อหน้าผู้เป็นเจ้าของโดยไม่ได้รอให้เจ้าของอนุญาตหรือทันทักท้วง ข้าวของในกระเป๋าสองใบแรกถูกเทออกมาและรื้อจัดกระจายนั้นมีทั้งเสื้อผ้าของสองแม่ลูกและของเล่นของหนูบัวเพียงไม่กี่ชิ้นแต่สิ่งที่แปลกปลอมซึ่งถูกรื้อออกมานั้นทำให้ทุกคนที่อยู่ในห้องนั้นตกตะลึง
“สร้อยนี่เป็นของสอง และแหวนเพชรวงนี้เป็นของคุณรุ้ง และกำไรทองฝังเพชรอันนี้ก็เป็นของเก่าของคุณพี่ มันมาอยู่ในกระเป๋านังเมียไพร่นี่ได้ยังไง ไหนเธอลองอธิบายสินังบุษ” เสียงกร้าวเหี้ยมเกรียมและดวงตาวาวโรจน์ด้วยความเกลียดชังและริษยาของคุณสายสนมมองมายังบุษบาที่นั่งนิ่งตัวสั่นด้วยความตกใจ
“บุษไม่ทราบนะคะคุณสอง” บุษบาร้องไห้ออกมาอย่างสุดจะกลั้นเมื่อเห็นชัดๆ ว่าตนถูกกลั่นแกล้งด้วยแผนตื้นๆ แต่หลักฐานแน่นหนา
“ไม่รู้หรือแกคิดว่าพวกฉันกลั่นแกล้งแกกันแน่ ที่แกพูดแบบนี้แกคิดว่าฉันจะเอามือฉันไปแปดเปื้อนเศษสวะอย่างแกหรือนังบุษ” คุณสายสนมออกตัวเหมือนจะรู้ว่าอาจจะถูกมองว่าเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังแผนการนี้
“ใช่คะคุณหนึ่ง รุ้งก็ไม่คิดนะคะว่านังบุษมันจะกล้า ดูสิคะ แหวนของรุ้งจริงๆ ด้วย” คุณรุ้ง ภรรยาคนที่สามของคุณไพศาลร่วมผสมโรงอย่างออกนอกหน้า รวมทั้งลูกๆ ทั้งสองของคุณรุ้งก็พลอยส่งเสียงเข้าข้างมารดาของตน
“ว่าไง แม่อารี เธอไม่มีอะไรหายไปบ้างหรือ” คุณแม่ใหญ่ของตึกจันทร์ หันไปถามคุณอารี ภรรยาคนที่สี่ของคุณไพศาลด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่คุณอารีกลับส่ายหน้าช้าๆ และมองดูภรรยาคนสุดท้องของสามีด้วยความเห็นใจก่อนจะเดินเลี่ยงไปนั่งที่โซฟาอีกตัวพร้อมลูกชายหญิงทั้งสามและก้มหน้าหลบตาคุณสายสนมที่มองจิกมา
“สองไม่ยอมแน่ๆ นะพี่หนึ่ง นังบุษมันคิดจะไปอยู่ข้างนอกแบบนี้มันต้องคิดเอาไว้แล้วว่าจะเอาสมบัติของเราไปขายเพื่อตั้งตัวแน่ๆ พี่เห็นธาตุแท้ของมันแบบนี้ยังจะเข้าข้าง เอ็นดูพวกมันแม่ลูกอยู่อีกไหม พวกแกงัดหีบใบนั้นออกดูสิ มันต้องเอาอะไรไปมากกว่านั้นแน่ๆ” เสียงคุณสายสนมสั่งหญิงรับใช้ทั้งสองลั่นอย่างย่ามใจเมื่อเห็นผู้เป็นพี่สาวยังคงนิ่ง
..บทนำ..“แม่คะ เราไปอยู่ข้างนอกกันไม่ได้เหรอคะหนูบัวไม่อยากอยู่ที่นี่ หนูบัวเกลียดที่นี่ เราไปอยู่ข้างนอกกันนะคะแม่ นะคะๆ” เสียงใสๆ ของเด็กหญิงวัยห้าขวบเอ่ยขึ้นกับมารดาซึ่งเป็นหญิงสาวใบหน้าเรียวหวานดวงตากลมโตงดงามนั้นตอนนี้ดูแห้งผากไร้แววสดใสอย่างที่ควรจะเป็น“อดทนนิดเดียวนะจ๊ะลูกรัก แค่อีกนิดเดียวเท่านั้น” บุษบา บอกลูกน้อยของเธอด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนเสมอมา แม้น้ำเสียงนั้นจะสั่นเครือเพราะกลั้นเสียงสะอื้นในอก และทุกๆ ครั้งที่ “หนูบัว” ถามผู้เป็นมารดา หนูน้อยก็มักจะได้ยินคำๆ นี้เสมอๆ รอ รออะไร.. มารดาของเธอรออะไรหนอ“หนูบัว” เด็กหญิงตัวเล็กบอบบางราวแก้วใส ใบหน้าน่ารัก ดั่งตุ๊กตากระเบื้องแสนสวย ผิวขาวผ่องอมชมพู ดวงตากลมโตและเรือนผมสีน้ำตาลเข้มงดงาม เงยหน้ามองมารดาที่นั่งอยู่ที่ม้านั่งตัวยาวตัวเก่าใต้ต้นดอกปีบที่ออกดอกขาวสะพรั่งเต็มต้นซึ่งมีกลีบบางใสร่วงโรยอยู่บนผืนหญ้า กลิ่นหอมระรวยนั้นช่างให้ความรู้สึกอ่อนหวาน และโดดเดี่ยวในเวลาเดียวกัน...ดวงตากลมโตใสแจ๋วมองไปยังทิศทางที่มารดามองแล้วใจดวงน้อยพลันรู้สึกหดหู่ และไม่เคยอยากเฉียดไปใกล้สถานที่แห่งนั้นเลยแม้สักครั้ง “ตึกจันทร์” สถานที่ที่มา
ตอนที่1.“แดนิช แดนิช ดูสิๆ ๆ หนูบัวได้ตั๋วเครื่องบินไปกลับ กรุงเทพ ริโอ และไปในช่วงงานเทศกาล คาร์นิวัลด้วย” เสียงร้องบอกอย่างตื่นเต้นดังออกมาจากริมฝีปากอิ่มสวยสีชมพูระเรื่อของสาวน้อยวัยยี่สิบเอ็ดปีนามว่า หนูบัว หรือ บัวบุษรา จันทรโสภากุล สาวน้อยรูปร่างบอบบางอ้อนแอ้นอรชร ใบหน้ารูปไข่นวลใส ประดับด้วย คิ้วเรียวงามดังวาด ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มระยับพราวยามแย้มยิ้ม จมูกโด่งเล็กนั้นเป็นสันสวย รับกับริมฝีปากอวบอิ่มระเรื่อด้วยวัยสาว ผมสีน้ำตาลเข้มเงางามยาวประบ่านั้นก็ดูอ่อนนุ่มน่าสัมผัส กอปรกันแล้วบัวบุษรานั้น นับว่าเป็นสาวน้อยสวยสดทีเดียว“แล้วไงจ๊ะหนูบัว ไม่นึกบ้างเหรอว่า นี่มันอาจจะเป็นการหลอกลวงก็ได้ ไอ้ที่หนูบัวส่งฝาเครื่องดื่มยี่ห้อดังไปชิงรางวัลตั๋วเครื่องบินไปกลับ กรุงเทพฯ – ริโอ เนี่ยนะ ยายบ๊อง แดนคนหนึ่งล่ะที่ไม่เชื่อว่าบริษัทนี้มันจะแจกจริงอย่างว่า” แดนิช หรือ แดนไทย จงเจริญชัยชนะกุล ชายหนุ่มคนเดียวที่เธอรู้จักไว้ใจและสนิทสนมกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยพูดขึ้นพลางลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานหันมามองใบหน้าสวยใสหาตัวจับยากของสาวน้อยวัยใส และเป็นคนรักของตนอย่างเพ่งพิศราวผู้ใหญ่มองเด็กหญิงวัยสามขวบอ
ตอนที่2.“ไอว่ามันก็แปลกๆ นะบันนี่” ไซม่อนเอ่ยขึ้นบ้างหลังจากที่เขาฟังเรื่องราวของบัวบุษราหรือที่เขามักเรียกเธอว่า บันนี่ จากปากแดนิชมาก่อนหน้านี้และเขาก็พอจะมีความรู้และข้องเกี่ยวกับงานด้านธุรกิจการบินอยู่บ้าง เพราะครอบครัวของเขาที่อเมริกานั้น พี่ชาย น้องสาว และบิดานั้นก็ทำงานอยู่ในสายการบินที่มีชื่อเสียงของโลก“โธ่ ไซม่อนก็เป็นพวกวิตกจริตตามแดนิชอีกแล้ว ทำไมไม่คิดบ้างว่านี่คือโชคดีของหนูบัว เนี่ยหนูบัวอุตส่าห์กินชาเขียวยี่ห้อนี้มาเป็นปีๆ เพราะอยากไปริโอฯ อยากไปงานคาร์นิวัลและอยากจะไปถ่ายรูปกับพระเยซู Christ of Redeemer แบบว่าเอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอมเลยนะ ไม่เอาแล้วไม่คุยกับตาแก่สองคนนี้แล้วไปเปิดร้านขายของดีกว่า”ว่าแล้วสาวน้อยหน้าใสก็เดินหน้างอออกไปจากห้องพักของคอนโดสุดหรูที่เธอพักอาศัยอยู่กับแดนิชมาเกือบสามปี ในฐานะ คู่หมั้น ของแดนไทย นับตั้งแต่เธอสูญเสียมารดาและคุณยายผู้แสนดีเมื่อห้าปีก่อนบัวบุษราเดินเรื่อยๆ มาตามทางคอนกรีตใต้ตึกหรูแห่งนี้อย่างสบายใจชมนกชมไม้ไปเรื่อย และนึกชื่นชมเจ้าของศูนย์การค้า และอาคารพาณิชย์แห่งนี้ว่าออกแบบตกแต่งสถานที่ได้อย่างลงตัวและสวยนัก แม้ว่าจังหวัดที่เธอ
ตอนที่3.“ก็ตองสวยเซ็กซี่น่ะสิ นี่ถ้าตองลองไปเทสหน้ากล้องแคสงานอะไรสักอย่าง หนูบัวว่าตองต้องได้เป็นนางแบบแหงๆ แต่เป็นนางแบบเพลย์บอยนะ” บัวบุษราเอ่ยยิ้มๆ ล้อเลียนให้เพื่อนรักสบายใจขึ้น“ขอบใจนะเพื่อนรัก เหมือนจะชมและให้กำลังใจ..” ตวิษาส่งค้อนหน้าง้ำ“ก็ตองน่ะสวยเซ็กซี่โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย ผู้ชายก็หลงแล้วไม่รู้ตัวเลยเหรอ ไอ้ใบหน้าแบบนี้เขาเรียกว่าใบหน้าเชื้อเชิญและหุ่นๆ สะบึมๆ อกอึ๋มๆ อกเป็นอก เอวเป็นเอวแบบนี้ก็ยั่วใจซะจนคนมองแทบถอนสายตาไม่ได้ไงล่ะ”“แต่ตองก็ไม่เคยแต่งตัวล่อตะเข้เลยนะตองก็รัดหน้าอกตลอด แล้วอีกอย่าง ตองก็ไม่กล้าที่จะใส่เสื้อผ้าที่เปิดเผยเนื้อตัวขนาดที่ผู้ชายเห็นแล้วต้องวิ่งเข้าใส่เสียหน่อยแค่กระโปรงยีนส์กับเสื้อยืดพอดีตัวธรรมดาเหมือนหนูบัวตองยังไม่กล้าใส่เลยกลัวถูกฉุด” ตวิษาพูดติดตลกเมื่อรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นและมองหน้าบัวบุษราอย่างพินิจพิเคราะห์“อย่างหนูบัวนี่น่าจะเจอบ่อยกว่าตอง ไม่ยักจะเจอ”“เพราะหนูบัวมีแหวนหมั้นเป็นเกราะไง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยเจอนะ ก็มีเหมือนกันแต่ก็เหมือนตองแหละ เอาตัวรอดได้ แต่หนูบัวก็ไม่วางใจหรือไว้ใจใครหรอก แดนิชสอนไว้ว่าต้องเอาตัวรอดยังไงและต้อ