บทที่ 17 วันที่แสนวุ่นวาย
“เป็นอย่างไรบ้าง พอจะกินกันได้ไหม” เย่หัวถามเด็กๆ ทั้งหมดที่กำลังกินมันหวานต้มกับเนื้อเป็นมื้อเช้า
“อร่อยมากเลยขอรับ/เจ้าค่ะ”
เด็กๆ ทุกคนตอบอย่างพร้อมเพรียงกันด้วยรอยยิ้มที่ริมฝีปากยังคงมันแผลบเนื่องจากความมันของน้ำซุป
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเด็กเล็กตั้งแต่เจ็ดขวบลงไปพากันไปวิ่งเล่นกันก่อนก็ได้ ส่วนคนที่อายุมากกว่านั้นเดี๋ยวอยู่ช่วยกันเก็บล้างจานก่อน เดี๋ยวหลังจากนี้เราจะไปแยกกอมันฝรั่งกัน”
ด้วยที่มีเด็กๆ หกสิบกว่าคนที่มาพร้อมกันทั้งหมู่บ้านแบบนี้ ทำให้แผนการต่างๆ ของนางต้องเปลี่ยนแปลงไปมากพอสมควร อีกทั้งมันฝั่งเองที่นางจำวิธีปลูกดูแลได้แค่ลางๆ ดันโตเร็วไปกว่าที่นางคิดมากโขเลยต้องเร่งแยกกอก่อนกำหนด
แต่ก็นั่นแหละอาจจะเพราะผู้คนที่โลกนี้ยังไม่ได้ถูกปรุงแต่งด้วยสือหรือสังคมที่โหดร้าย ทำให้เด็กๆ เองต่างก็ยังคงเป็นผ้าขาวที่ไม่ได้ถูกย้อมแต่อย่างใด ทำให้นางมีแรงงานเด็กโตยี่สิบกว่าคนที่อายุตั้งแต่แปดขวบถึงสิบห้าขวบปีมาช่วยกันทำสิ่งต่างๆ โดยที่ตัวเด็กๆ เองต่างก็ยินดีทำตามโดยมิเกี่ยงงอน
หลังจากนั้นกิจกรรมในช่วงเช้าก็จะเป็นการที่เด็กๆ ช่วยกันทำโน่นทำนี่ไปเรื่อยเปื่อย มีเล่นสนุกกันบ้าง แบ่งกันทำงานบ้าง โดยที่มีเด็กโตอายุสิบสี่สิบห้าขวบชายกันยกร่องแยกต้นมันฝรั่งที่มากเกินในแต่ละกอออกไปเป็นจำนวนหนึ่งต่อสี่...
ทั้งๆ ที่นางเคยจำได้ว่าปกติแล้วมันฝรั่งแต่ละหัวจะแตกกอราวๆ สิบต้นหรือสิบกว่าต้นนี่แหละ แต่ทำไมมันแต่ละกอของนางถึงได้แตกกอดกกว่านั้นสี่ห้าเท่าเห็นจะได้ ทำให้สุดท้ายแปลงมันฝรั่งที่แต่เดิมก็มากกว่ามันหวานอยู่แล้วก็เพิ่มจำนวนขึ้นกว่าเดิมอีกสี่เท่า!
ไม่เพียงแค่นั้น มันหวานเองก็แตกกอไปอีกหลายสิบต้น จนพันกันแทบจะรกไปหมด จนสุดท้ายหลังจากที่ถามความเห็นจากเด็กโตหลายๆ คนที่พอมีประสบการการทำสวนอยู่บาง จนจบที่ทุกคนต่างก็เห็นด้วยให้ทำการยกร่องใหม่แล้วแยกกอมันหวานด้วยเช่นกัน มันจะได้ไม่แออัดกันจนเกินไป
ที่สำคัญก็คือดูเหมือนมันหวานเองก็โตเร็วมากทั้งยังแต่ละเถายังกินพื้นที่พอสมควร สุดท้ายแล้วทั้งจำนวนมันหวานและมันฝรุ่งเองต่างกันเพิ่มจำนวนแปลงไปพอๆ กัน
เป็นแปลงมันฝรั่งสามสิบแปลงและแปลงมันหวานอีกสามสิบแปลง จากแต่เดิมมีแค่มันหวานสามแปลงกับมันฝรั่งเพียงแค่ห้าแปลงเท่านั้น
เพราะเหตุนี้เองทำให้เด็กๆ แหละตัวเย่หัวเองต่างก็ต้องช่วยทำงานกันจนแทบจะเกิดกว่าวัยของพวกเขาไปแล้ว แต่ไม่รู้เพราะการแบ่งหน้าที่ได้ดี โดยมีพวกผู้หญิงที่โตหน่อยช่วยกันทำอาหารมาคอยแบ่งกัน พวกผู้ชายก็ไปจัดการงานที่หนักกว่าอย่างการเตรียมดินเตรียมแปลง ส่วนเด็กๆ เองก็ไม่อยู่เฉยๆ ช่วยพี่ๆ ถอนต้นกล้าอย่างเบามือแล้วนำไปปลูกตามตำแห่งที่มีกิ่งไม้ปักเอาไว้ และช่วยกันนำกระบอกไม้ไผ่ไปตักน้ำมาช่วยกันรดต้นอ่อนที่ถูกปลูกลงไป
กว่าจะเสร็จงานกันก็เวลาล่วงเลยไปมาก จนดวงตะวันบ่ายคล้อยจนจวนจะลับขอบฟ้าไปในเวลาไม่นาน
แต่ถึงอย่างนั้นเย่หัวก็ไม่ลืมให้ทุกคนกินอาหารกันอย่างอิ่มหนำ ซ้ำยังมีของติดไม้ติดมือกลับไปฝากคนที่บ้านเหมือนในทุกๆ ครั้งที่มาที่นี่
วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่ทั้งเย่หัวเองและเด็กๆ ทุกคนทั้งเหนื่อยกันแทบจะหายใจหายคอไม่คล่อง แต่ทุกคนเองต่างก็สนุกกับการที่ได้ทำสิ่งใหม่ๆ เช่นเดียวกัน
เมื่อทำงานหนักและกินอิ่มก็เป็นธรรมดาที่เมื่อกลับบ้านแล้วหัวถึงหมอน เด็กๆ แทบทุกคนต่างก็หลับเป็นตาย ไม่เว้นแม้แต่ตัวเย่หัวเองก็เหมือนกัน นางเองก็เหนื่อยไม่แพ้คนอื่นๆ
ถึงจะไม่ต้องไปใช้แรงงานขุดดินกลางแดด หรือต้องไปก้มหน้าหลังขดหลังแข็งทำอาหารในครัว แต่นางก็ต้องวิ่งเข้าวิ่งออกระหว่างที่บ้านเพื่อหยิบวัตถุดิบออกมาจาก “ตู้เย็น” แล้วยังต้องไปตามเสียงแรกของเด็กๆ ที่ให้ไปตรวจงานที่แปลงมัน สุดท้ายแล้วร่างของเด็กหญิงวัยแปดปีก็ต้องวิ่งไปวิ่งมาตลอดวันจนหมดเรี่ยวหมดแรงไปในท้ายทีสุด แล้วก็หลับเป็นตายไปตลอดทั้งคืนโดยไม่แต่แต่จะอาบน้ำล้างหน้าล้างตาด้วยซ้ำ
แต่ถึงจะเหนื่อยขนาดนั้นมันก็เป็นค่ำคืนที่นางมีความสุขมากๆ อยู่ดี
.................................
บทที่ 18 ความปรารถนาที่เป็นจริงในตลอดค่ำคืนอันยาวนานที่เด็กหญิงล่องลอยไปในห้องแห่งความฝันที่ไม่มีใครล่วงรู้ ผู้คนในหมู่บ้านทุกคนต่างก็มีความสุขแทบจะทุกผู้ตัวคน จะยกเว้นก็แต่บุคคนเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่อยู่ไม่สุข ผุดลุกผุดนั่งอยู่อย่างนั้น และเริ่มที่จะไม่สามารถควบคุมสติของตนเองในบางครั้ง แต่เมื่อได้ยินเสียงกรนเบาๆ ของบุตรชายมันก็ทำให้สติของเขากลับมาความร้อนรนที่แทบจะไม่เคยถูกดับลงไปเลยสักหนตลอดชีวิตตั้งแต่จำความได้ มีเพียงแค่ช่วงเวลาที่นึกถึงบุตรชายผู้สืบสายเลือดของเขาเท่านั้นที่ทำให้เขาพอจะกลับมาพยายามในสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้ความตั้งใจ...สำหรับคนธรรมดาๆ ที่ไม่ได้มีอะไรดีหรือแย่ เป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาๆ คนหนึ่งที่บังเอิญมาเกิดในบ้านที่มีพี่ชายที่เก่งกาจในทุกๆ ด้าน เมื่อวันหนึ่งเขาได้แต่งงานมีครอบครัวและมีเจ้าอวบอ้วนตัวน้อยถือกำเนิดขึ้นมา ทำให้เขาเลิกน้อยเนื้อต่ำใจตัวเองไปชั่วขณะ...
บทที่ 19 ข่าวดี“ทุกคนวันนี้กลับไปช่วยไปแจ้งแก่พวกผู้ใหญ่ทุกคนให้ข้าหน่อยจะได้หรือไม่” ในระหว่างที่ทุกคนกำลังจัดการจานชามหลังจากที่กินอาหารใกล้จะเสร็จแล้วนั้นเอง เย่หัวก็รีบวิ่งมาหาก่อนที่ทุกๆ คนจะลากลับบ้านถึงมันจะไม่จำเป็นเพราะอย่างไรเด็กๆ จะต้องบอกลานางในทุกๆ วันก็เถอะ แต่อาจจะเพราะนางเผลอดีใจมากจนลืมไป“มีอะไรหรือเจ้าคะ” จางหลังที่กำลังพยายามเล่นกับเจ้าสังที่นอนหมอบอยู่อย่างไม่ไหวติง ซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดเป็นคนถามขึ้น“เดี๋ยวเจ้าช่วยไปเรียกทุกคนมารวมตัวกันสักหน่อยได้หรือไม่ ทุกคนที่มาที่นี่เลยนะ รวมถึงเด็กๆ ด้วย ทุกๆ คนด้วยนะช่วยไปตามทั้งหมดมาที ข้ามีเรื่องจะฝากไปบอกหัวหน้าหมู่บ้านและทุกๆ คนในหมู่บ้านเลย”“มากันครบแล้วเจ้าค่ะ”เพียงแค่ไม่นานนัก ก็มีคนมารายล้อมเด็กหญิงเอาไว้จนขนาดท
บทที่ 20 เศร้าหมองหน้าหนาว...หนึ่งในฤดูที่เลวร้ายที่สุดสำหรับผู้คนในหมู่บ้านแห่งนี้ ก่อนหนี้ไม่กี่สิบปีก่อนอาจจะไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร เนื่องจากหมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านที่ห่างไกล และมีลำธารไหลพาดผ่านหลายสายใหญ่บ้างเล็กบ้างแล้วแต่ต้นน้ำว่ามาจากจุดไหนแต่หลังจากที่ภัยพิบัติได้เริ่มขึ้นเมื่อสิบปีก่อน จากฤดูหนาวธรรมดาๆ ที่เพียงแค่มันจะกินเวลานานบ้างเร็วบ้าง แต่มันก็เพียงแค่ต้องเตรียมพร้อมเสบียงอาหารให้มากขึ้นก็เท่านั้น กลายเป็นฤดูหนาวที่เลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆ ปี เพราะว่าไม่ว่าจะเป็นผลผลิตที่ลดลงตามความแห้งแล้งจนแทบไม่ได้เลยในปีหลังๆ มานี้ เป็นสิ่งที่ทำให้เพิ่มจำนวนคนตายมากขึ้นในทุกๆ ปี...สำหรับหน้าหนาวที่ค่ำคืนจะยาวนานกว่ากลางวัน ในช่วงที่นานที่สุดอาจจะกินเวลากลางวันเกินไปถึงสองชั่วยาม เป็นช่วงเวลาที่ผู้เฒ่าผู้แก่ที่มีอายุยืนยาวที่ไม่มีอาหารมากเพียงพอตายไปอย่างเงียบๆ ยิ่งเป็นหน้าหนาวที่ต้องประหยัดเนื่องจ
บทที่ 21 เนื้อเน่าแต่ดูเหมือนว่าความตั้งใจของหัวหน้าหมู่บ้านนั้นจะไม่ทันเสียแล้ว...“จะดีหรือ” ในระหว่างที่ผู้คนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ก็มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังนั่งจับกลุ่มพูดคุยกันไกลออกไปเล็กน้อย “แต่ถ้าถูกจับได้มันจะไม่ดีเอานา...”“แล้วมันจะเป็นอะไรไปเล่า จะอย่างไรคนพวกนั้นก็ไม่ได้ห้ามสักหน่อยนี่”“ใช่แล้ว อีกอย่างเราแค่จะแอบเอาไปสักหน่อยแล้วเอาไปลองปลูกที่แถวๆ บ้านเราตามคำแนะนำของจางเว่ยเท่านั้นเอง ไม่ได้ทำอะไรเสียหนายสักหน่อย”“แล้วอีกอย่างถ้าหากว่าเจ้าหัวมันกองนั้นสามารถนำไปปลูกได้จริง แล้วมันโตเร็วเหมือนที่เด็กๆ บอกเล่าแล้ว อย่างน้อยก็รับประกันได้ว่าหน้าหนาวในปีนี้ครอบครัวของพวกเราจะอยู่รอดได้ไม่ใช่หรืออย่างไร แล้วจะลังเลไปทำไมกัน”
บทที่ 22 เซียนน้อยแห่งหุบเขาธิดาสวรรค์(1)“...”ท่ามกลางห้วงแห่งความว่างเปล่า ดวงจิตของเย่หัวตื่นขึ้นมาบนห้วงอากาศที่สูงขึ้นไปเหนือท้องฟ้า ที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่ก้อนเมฆรูปร่างต่างๆ เต็มไปหมด แต่ไม่มีอะไรมากหรือน้อยไปกว่านั้น“สงสัยอะดิ ว่าที่นี่คือที่ไหนแล้วมึงมาทำอะไรตรงนี้...”“ไอ้ชา!”“‘ไอ้ชา!’ มึงจะตะโกนเรียกชื่อกูแบบนี้ใช่ไหมล่ะ แต่กูบอกเลยว่านี่เป็นระบบอัตโนมัติที่จะทำงานในตอนที่มึงใช้พลังไปจนหมดเป็นครั้งแรก ในกรณีที่มึงไม่ยอมฝึกฝนลมปราณเลย”“แล้ว...”“กูรู้ว่ามึงมีเรื่องมากมายที่จะถาม แต่ก็เหมือนกับจดหมายที่เคยเขียนหรือตอนที่กูส่งมึงมาที่นี่ กูมีเวลาจำกัดมากๆ เพราะฉะนั้นแล้วกูของให้มึงช่วยฟังได้อย่างเดียวสได้ไหม ถือว่ากูขอละกัน
บทที่ 23 เซียนน้อยแห่งหุบเขาธิดาสวรรค์(2)“ตอนนี้แหละ!!”ทั้งกลุ่มที่ตอนนี้รวมตัวกันได้ราวยี่สิบคน แบ่งหน้าที่กันอย่างรวดเร็วที่เกิดความวุ่นวายขึ้น โดยที่มีการแบ่งเป็นกลุ่มๆ ตั้งแต่กลุ่มดูต้นทางที่จะวางเอาไว้เป็นจุดๆ เพื่อป้องกันการถูกพบเห็น ซึ่งมีเพียงแค่สี่คนเท่านั้นที่อาษาทำหน้าที่นี้ ถึงจะไม่ค่อยมีความเสี่ยงมากเท่ากับกลุ่มที่ไปขโมยหัวมัน แต่ก็ต้องยอมรับว่าพวกตนจะได้รับส่วนแบ่งน้อยลงตามไปด้วยกลุ่มที่สองเป็นกลุ่มที่เป็นกลุ่มที่ต้องเอาถุงกระสอบสานลวกๆ ไปช่วยกันขนมันเท่าที่ทำได้ ซึ่งคนที่เหลือทั้งหมดแบ่งกันเป็นกลุ่มเล็กๆ กลุ่มละสองคนโดยที่พวกเขาจะเอามันไปให้มากที่สุดเท่าที่กระสอบจะสามารถจุไหว แล้วค่อยสลับกันขนไปเป็นช่วงๆ แล้วแยกย้ายกันหนีกลับไปที่หมู่บ้าน ซึ่งทุกคนต่างก็ให้สัญญากันเอาไว้ว่าถ้าหากใครถูกจับได้ก็จะไม่มีการซัดทอดอย่างเด็ดขาดและเมื่อเอากลับกันไปแล้วจะไปรวมตัวกันที่บ้านของหนึ่งในสมาชิกกลุ่มที่ห่างไกลออกไปจากหมู่บ้านเล็กน้อย แล้วค่อยแบ่งกันในคืนนี้...แล้วเมื่อจัดการแบ่งสันปันส่วนหน้าที่รับผิดชอบของตนเองกันแล้ว โดยไม่สนว่าผู้คนในหมู่บ้านต่างก็พากันไปดูเด็กหญิงด้วยความเป็นห
บทที่ 24 เซียนน้อยแห่งหุบเขาธิดาสวรรค์(3)สองชั่วยามผ่านไป...ตั้งแต่ตอนที่เย่หัวหมดสติ นางก็ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งท่ามกลางผู้คนจำนวนมากที่รายล้อมนางอยู่ ด้วยความที่ไม่ชินกับการที่มีใครมาเป็นห่วงเป็นไยขนาดนี้ มันก็ทำให้นางรู้สึกเขินไม่ได้ จึงเอ่ยปากถามออกมาด้วยเสียงเบาๆ“...มีอะไรกันหรือเจ้าคะ”“คุณหนู...”“คุณหนูเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”“คุณหนูฟื้นแล้ว”“...”“...”“...”เด็กๆ ที่เฝ้ารออยู่ไม่ไกลต่างก็กรูเข้ามาบ้างดีอกดีใจ บ้างก็ร้องห่มร้องให้งอแงโผเข้ามากอดร่างเล็กจนแทบไม่มีช่องว่าให้หายใจเย่หัวที่เห็นทุกๆ คนเป็นห่วงขนาดนี้จากที่ตั้งใจที่จะผละออกไป กลับกลายเป็นยินยอมให้เด็กๆ
บทที่ 25 เซียนน้อยแห่งหุบเขาธิดาสวรรค์(4)“เจ้าว่ายังไงนะ”ในทันทีที่ได้ยินคำกล่าวของเพื่อนบ้าน จางหลงก็รู้สึกหวาดวิตกในทันที ด้วยหลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นในตลอดระยะช่วงเวลาที่ผ่านมา ต่อให้เขาจะไม่ได้เชื่อที่เด็กๆพูดทั้งหมด แต่อีกใจหนึ่งเขาก็เชื่อบ้างแล้วว่าอย่างน้อยที่สุดเด็กหญิงผู้มาใหม่ผู้นี้คงไม่ใช่เด็กธรรมดาทั่วไป เพราะต่อให้โง่สักแค่ไหนลองคิดดูง่ายๆว่าแค่จำนวนอาหารที่เด็กหญิงนำออกมา ให้คนในหมู่บ้านสามารถดื่มกินกันอย่างฟุ่มเฟือยในตลอดระยะเวลาเดือนเศษนี้ ซึ่งมีทั้งเนื้ออย่างดี พืชหัวที่นางเรียกว่ามันฝรั่งกับมันหวาน ที่แม้จะไม่ได้รับการปรุงแต่ก็ยังสามารถให้รสอร่อยกับผู้ที่กินมันได้ แล้วยังมีลูกอมกับน้ำสีดำนั้นอีกไม่ว่าจะเป็นในด้านของสติปัญญาที่ล้ำเลิศกว่าผู้คนในหมู่บ้าน ทั้งความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีจิตใจเมตตาสงสารผู้คนจำนวนมาก สามารถแจกจ่ายสิ่งมีค่าเหล่านั้นให้กับพวกเขาอย่างไม่เสียดาย
บทที่ 81 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (1)#บทนี้เป็น บท ย่อยแยกอีกบทหนึ่งนะครับ#ย้อนกลับไปในตอนก่อนที่เขาจะมอบระฆังธรรมให้กับเพื่อน ในขณะนั้นชาได้สังเกตเห็น ถึงความตั้งใจที่จะสั่งสอนธรรมะของเพื่อน แต่ด้วยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การที่นางไม่สามารถจดจำข้อธรรมใดๆ ได้มากนักก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรเนื่องจากว่าการที่เขาได้ทำการล้วงเอาจิตของนางขึ้นมาจากนรกนั้น มันเป็นเรื่องที่ทำการฝืนชะตากรรมของคนคนหนึ่ง และการที่เขา เรียกดวงจิตเดิมของนางที่ควรจะแตกดับไปนานแล้ว ตลอดไปจนถึง สัญญาสังขารและวิญญาณแต่เดิมของนาง ในภพแรกที่พวกเขาทั้ง 2 คนได้เจอกันโดยวิธีการเปิดพระธรรมคำสั่งสอนจากระฆังธรรม ให้ดวงจิตที่แตกสลายของนางได้ฟังซ้ำไปซ้ำมาครั้งแล้วครั้งเล่า ยาวนานนับหมื่นปีกว่าที่ดวงจิตของนางจะสามารถเรียกสติกลับคืนมาได้อีกครั้ง ซึ่งมันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เหล่าสัตว์นรกบางส่วนที่พอมีฤทธิ์สามารถแทรกออกมายังบนโลกอีกครั้ง...และนั่นก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมจู่ๆ นางถึงเหมือนกับว่า สามารถอธิบายข้อธรรมคำสั่งสอนทั้งหลาย ออกมาได้ราวกับเคยศึกษามันมาอย่างถ่องแท้ ทั้งๆ ที่ตัวนางแทบจะไม่เคยศึกษาเรื่องราวในแน
ก่อนอื่นเลยที่สำคัญที่สุดต้องขอบคุณมากๆ เลยนะครับ ที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้(น่าจะเหลือไม่ถึง1/10ของคนที่หลงเข้ามาที่จะเดินมาจนถึงจุดนี้) ดีใจที่เดินทางมาด้วยกันจนถึงจุถดเริ่มต้นที่แท้จริงของนิยายเรื่องนี้ครับใช่แล้วครับ…ตั้งแต่บทนำมาจนถึงตอนนี้เพิ่งจะเป็นส่วนที่ปูจุดเริ่มต้นของ เย่หัว-เยว่หัว ให้ทุกคนได้รู้จักตัวตนและสภาพแวดล้อมของนาง โลกที่นางอยู่ ผู้คน สังคม รายละเอียดที่จะทำให้เข้าใจเนื้อหาหลัก และเหตุผลของการกระทำต่างๆ ที่นางจะทำต่อจากนี้ไป จนบางครั้งอาจจะเป็นการกระทำที่ “โหดเหี้ยม” แบบไร้เหตุผลเลยก็มี เล่ม1-2จะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวในส่วนของ “บทนำ” แต่หลังจากเล่ม 3 เป็นต้นไปก็จะเข้าสู่ปฐมบทที่แท้จริง ตามชื่อบทของบทนี้ครับ เราจะคุยกันแบบจริงจังกับเนื้อเรื่องที่แท้จริงกันครับ อย่างแรกเลยก็คือหลังจากนี้จะต้อนรับเข้าสู่โลกแห่งความแฟนตาซีที่แท้จริง ของแม่ครัวตัวจิ๋วที่รักในการทำอาหารให้ผู้คนได้ลิ้มรส เป็นหนึ่งในความสุขของนาง และเป็นสิ่งสำคัญที่จะคอยยึดเหนี่ยวตัวนางเอาไว้ ส่วนยึดนางจากอะไรนั้นต้องไปติดตามในเนื้อเรื่องครับอย่างที่สองก็คือเรื่องของความแฟนตาซีและโลกในจินตนาการที
บทที่ 80 เลี้ยงส่ง(จบ)หลังจากที่เยว่หัวสามารถเรียกสติของผู้คนกลับมาได้อีกครั้ง ตลอดช่วงเช้าไปจนถึงเที่ยง นางก็ทำการจัดแจงแบ่งกลุ่มคนออกเป็นกลุ่มๆ โดยที่ไม่ลืมนำวัตถุดิบจำนวนมากออกมา แล้วจัดแจ้งเตรียมการฝึกซ้อมทั้งหมด กว่าที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางก็ปาเข้าไปจนถึงช่วงเที่ยงแล้วซึ่งในระหว่างที่ทำการฝึกซ้อมปรุงอาหารชนิดต่างๆ นั่นเอง เหล่าแม่บ้านและเด็กๆทุกคนต่างก็ได้ลองชิมอาหารกันอย่างเต็มอิ่ม และเมื่อเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว ทุกคนเลยหยุดพักกันในตอนเที่ยงพอดิบพอดี และถือเป็นการพักท้องอีกครั้ง เนื่องจากในตอนนี้ทุกคนแทบจะท้องแตกเสียแล้วส่วนฝั่งของจางหลงที่เป็นฝ่ายจัดเตรียมสถานที่ ซึ่งพวกเขาทุกคนก็ทำเต็มที่ในหน้าที่ของตนเอง แต่ด้วยข้อจำกัดของหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง โดยเฉพาะเวลาที่มีอยู่เพียงแค่ไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น พวกเขาจึงตกลงกันใหม่ว่า จะจัดเป็นโต๊ะไม้ยาวๆ ขนาด 6 ถึง 8ที่ แทนที่แผนการจะทำโต๊ะชุดวงกลม และโต๊ะทั้งหมดจะหันหน้าเข้าหาเวที ด้านเดียว ส่วนตัวเวทีเองก็จะสร้างขึ้นมา โดยการขุดดินมาถมเป็นเนินสูงขึ้นประมาณหัวเข่า ใช้ดินเหนียวในการป้ายโดยรอบเพื่อไม่ให้หน้าดินพัง
บทที่ 79 เลี้ยงส่ง(3)“ตอนแรกข้าขอยอมรับสารภาพเลยว่า ตัวข้าเองก็ไม่ได้จินตนาการเลยว่าทุกคนจะให้ความร่วมมือมากขนาดนี้”เยว่หัวมองไปยังทั้งผู้หญิงและเด็ก แทบทั้งหมดในหมู่บ้านที่มารวมตัวกัน ซึ่งในมือทุกคนต่างก็มีหม้อกระทะถ้วยชามรามไห รวมไปถึงตะเกียบและแก้ว น้ำที่ทำจากไม้บ้างหินบ้างดินเผาบ้างเหล็กบ้าง ซึ่งเรียกได้ว่าทุกคนเต็มที่กับสิ่งที่นางบอก จนนางที่เพียงแค่อยากจะทดลองการปรุงอาหาร เพื่อที่จะนำไปเป็นเมนูในร้านที่กำลังจะเปิด ก็ต้องเปลี่ยนความคิดอีกครั้ง“...”“...”“...”ทุกคนไม่ได้กล่าวอะไรออกมา เพียงแค่ยิ้มมองไปทางเด็กหญิงเท่านั้น และกำลังรอฟังคำสั่งด้วยความตั้งใจ แม้กระทั่งเด็กๆ ทุกคนที่ปกติเมื่อเจอกับนางเซียนน้อยของพวกเขา ก็มักจะแสดงออกอย่างดีอกดีใจ กระโดดโลดเต้นกันต่างๆนานา ยิ่งในตอนที่ไม่ได้พบได้เจอกันหลายวันแบบนี้แล้ว ปกติพวกเขาจะยิ่งกุลีกุจอมาหานาง แต่ในตอนนี้เด็กๆทุกคนเพียงแค่รออยู่กับผู้ปกครองของตนเองด้วยความตั้งใจ ไม่มีใครแตกแถวเลยแม้แต่คนเดียว“ในเมื่อทุกคนจริงจังกันขนาดนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าเองก็ขอจริงจังด้วยอีกคนก็แล้วกัน...” เด็กหญิงยิ้มและใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว เนื่องจาก
บทที่ 78 เลี้ยงส่ง(2)“ก็ตามที่ได้บอกไปก็แล้วกัน เดี๋ยวทุกคนก็แยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเอง ข้าจะเป็นคนนำฝ่ายผู้ชายไปจัดเตรียมสถานที่ตามที่คุณหนูได้สั่งเอาไว้ ส่วนพวกผู้หญิงก็เดินทางไปหาคุณหนูได้เลย เห็นนางบอกว่า วันนี้นางจะจัดเตรียมวัตถุดิบทั้งหมดด้วยตัวเอง พวกเจ้าไม่ต้องนำสิ่งใดไปด้วย ถ้าจะเอาไปก็คงจะเป็นพวกอุปกรณ์ จานชาม และสิ่งที่จำเป็นต่อการประกอบอาหารก็แล้วกัน พวกเจ้ามีอะไรก็เอาไปเท่าที่มี เพราะว่าการที่จะจัดเลี้ยงผู้คนทั้งหมู่บ้านก็คงจะต้องเตรียม หลายอย่างเลยทีเดียว”“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพวกข้าขอแบ่งออกไปตัดไม้แล้วกันนะหัวหน้า จะพาคนไปด้วยร้อยคนจะได้ช่วยกันหาไม้มาให้ได้มากที่สุด”“ส่วนพวกข้าก็จะไปเตรียมลานกว้างเลยแล้วกันนะ ขอรับ ถ้าจะขยายพื้นที่เพื่อวางโต๊ะ ตามรูปแบบที่นางเซียนน้อยได้กล่าว คงจะต้องเตรียมพื้นที่ให้มากขึ้นอีกหน่อย จะได้เดินเหินสะดวกในงานเลี้ยงขอรับ”“ถ้าอย่างนั้นข้ากับพวกผู้หญิงคนอื่นๆ ก็ขอแยกย้ายกลับบ้านก่อนแล้วกันนะเจ้าคะ จะได้ไปบอกเด็กๆให้ไปเล่นที่บ้านของนางเซียนน้อยด้วย หลายวันมานี้ทุกคนตั้งใจเรียนมากเลย ผ่อนคลายสักวันก็คงจะไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”“ก็ดีนะเจ้าคะ เดี๋ยว
บทที่ 77 เลี้ยงส่ง(1)“วันนี้คุณหนูเป็นอะไรหรือเปล่าขอรับ” จางหลงที่รับรู้ได้ถึงความรู้สึกขุ่นมัวในใจของนางเซียนน้อย ก็ได้เอ่ยถามขึ้นหลังจากที่ออกมาจากเรือน ซึ่งเป็นที่พักของผู้มาใหม่ทั้ง 2 คน “ทำไมวันนี้คุณหนูถึงได้ดูอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลยขอรับ”“ไม่ได้มีอะไรมากหรอกเจ้าค่ะ เพราะว่าวันนี้ข้าตั้งใจจะทำตามความต้องการของตัวเองตั้งแต่แรก คือก็คือการปรุงอาหารให้ทุกคนได้ลองกินดู ไหนๆก็จะเปิดโรงเตี๊ยมอยู่แล้ว แต่ข้ายังไม่เคยได้ทำอาหารจริงๆจังๆเลยสักครั้ง การที่ต้องมาเจออะไรแบบนี้ตั้งแต่เช้า มันก็คงจะทำให้ข้าหงุดหงิดไปบ้าง อย่างไรต้องขออภัยด้วยนะเจ้าคะ” เยว่หัวพยายามเปลี่ยนเรื่อง เพราะว่าไม่ได้อยากจะให้ใครรู้เรื่องราวของความฝันมากนัก เพราะว่าการที่มีใครรับรู้มันไปมากกว่านี้ จะเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นอีกไหม และอีกอย่างหนึ่ง สิ่งที่นางพูดไปก็ไม่ใช่เรื่องโกหกไปเสียทั้งหมด เพราะว่ากันแล้ววันนี้นางต้องการที่จะลงมือควบคุมการปรุงอาหาร ในการเลี้ยงผู้คนทั้งหมู่บ้านทั้งหมดจริงๆ ไหนๆก็ไหนๆแล้วนางอยากจะลองทำอย่างจริงจังดูสักครั้ง“จริงหรือขอรับ ทุกคนคงดีใจมากแน่ๆ”“ขนาดนั้นเลยหรือเจ้าคะ?”“คุณหน
บทที่ 76 หลอมรวม“ไม่ต้องระวังตัวขนาดนั้นก็ได้เจ้าค่ะ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำอันตรายพวกท่าน” ในทันทีที่เด็กสาวเข้ามาถึงห้องที่มีผู้ป่วย 2 คนนอนอยู่ หนึ่งในนั้นที่เป็นชายหนุ่มก็ได้ดึงตัวลุกขึ้นเตรียมต่อสู้ในทันที เยว่หัวเลยกล่าวออกไปแบบนั้น พลางหันไปหาจางหลงที่มาด้วยกัน “ไหนท่านบอกว่าพวกเขาหมดสติไปอย่างไรเล่าเจ้าคะ แล้วไม่ใช่ว่าเข้ามาตามหาข้าหรอกหรือ”“ขออภัยด้วยขอรับ อาจจะเป็นเพราะว่าฤทธิ์ยาที่ทำให้เขามึนงงอยู่บ้าง” จางหลงถอนหายใจเบาๆ แล้วมองไปทางอีกฝ่ายด้วยท่าทีไม่เป็นมิตรเท่าไรนัก “เป็นท่านเองมิใช่หรือที่มาขอความช่วยเหลือจากพวกเรา แล้วทำไมถึงได้แสดงท่าทีเป็นอริศัตรูกันแบบนี้เล่า”“ข้าขออภัยด้วย อาจเป็นเพราะว่าตัวข้ายังรู้สึกเหมือนกับเพิ่งจะถูกตามล่ามา ทำให้แสดงท่าทีเสียมารยาทไปแบบนั้น ข้าขออภัยจริงๆ” แม้อย่าพูดออกมาแบบนั้น แม้จะละท่าทีความหวาดระแวงลง แต่ก็ยังสามารถมองเห็นความไม่เป็นมิตรในสายตาของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน“เลิกตั้งป้อมเป็นศัตรูกันเถอะเจ้าค่ะ ถ้ามีอะไรสงสัยก็แค่พูดมา เพราะถ้าหากว่าพวกข้าต้องการจะทำอะไรพวกท่านจริง ก็คงจะไม่ปล่อยเอาไว้จนถึงตอนนี้หรอกเจ้าค่ะ” เยว่หัวที่คร้านจ
บทที่ 75 ผู้มาใหม่“ต้าพัง...ต้าพัง!”เยว่หัวร้องตะโกนออกมาเสียงดังลั่น เด้งตัวลุกขึ้นมานั่งมองภาพรอบๆด้วยสายตาที่ตื่นตระหนก แต่หลังจากที่นางกะพริบตาถี่ๆ หลายครั้ง ก็สามารถรับรู้ได้ว่าตอนนี้ตนเองตื่นขึ้นมาจากความฝันแล้ว“ข้าฝันไปอย่างนั้นสินะ แต่ว่ามันคงจะไม่ใช่ความฝันธรรมดาธรรมดาแน่ เพราะไม่มีทางที่เจ้านั่นจะทำอะไรแบบนี้โดยเปล่าประโยชน์อย่างแน่นอน แต่ที่ข้าไม่เข้าใจก็คือทำไมต้าพังถึงไปอยู่ในความฝันนั้นได้ ตกลงว่านี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่...”เด็กหญิงพยายามใช้ความคิดของตัวเองหมุนวนอย่างเร็วจี๋ เพื่อที่จะทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในห้วงแห่งความฝัน แต่ไม่ว่านางจะพยายามอย่างไร ก็เหมือนจะไม่เข้าใจอยู่ดี สิ่งที่มันยังจำได้แม่นก็มีเพียงแค่เรื่องของการฝึกฝนเคล็ดวิชาขั้นถัดไปเท่านั้นอีกอย่างหนึ่งไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไรกันแน่ ยิ่งนางใช้ชีวิตในโลกนี้ผ่านไปนานเท่าไหร่ ความทรงจำของนางในโลกใบเดิมก็ยิ่งหายไปเรื่อยๆ ทั้งๆที่นางเคยคิดว่านางสามารถจดจำ เรื่องราวเกี่ยวกับเพื่อนเก่าหรือตัวนางเองได้มากแค่ไหน แต่มันก็ราวกับว่านางแทบจะลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปจนเหมือนกับจำไม่ได้เลยแม้แต่อย่างเดียวแล
บทที่ 74 ซวนซานจุน“เป็นอย่างไรบ้าง การที่ได้เจอนางอีกครั้งแบบนี้เจ้ารู้สึกเป็นอย่างไร”“ก็ยังรู้สึกยินดีแบบเดิมขอรับ เพียงแต่ว่าข้าไม่เข้าใจว่าในตอนนี้ข้าเป็นอะไรไปแล้ว ทำไมข้าถึงยังอยู่ที่นี่ทั้งๆที่ข้าได้ตายไปแล้วหรือขอรับ”“เพราะว่าในช่วงสุดท้ายของชีวิต เจ้าได้ทำการให้ในสิ่งที่ยากที่สุด ก็คือการให้อภัยต่อบิดาผู้เอาชีวิตของเจ้า ทั้งยังตัวเจ้าในตอนนั้นได้ระลึกถึงบุญคุณของนางที่มีต่อเจ้า ต่อผู้คนที่อยู่รอบกายของเจ้า ทำให้เจ้าสามารถพ้นสภาวะจิตความเป็นมนุษย์ แล้วเสวยรูปของการเป็นเทพได้ในตอนนี้”“เทพอย่างนั้นหรือ...”“เพียงแต่ว่าเจ้ายังสั่งสมบุญบารมีมาไม่มากพอ มิได้บรรลุธรรม หรือมิได้สร้างกรรมอันยิ่งใหญ่ จนสามารถรังสรรค์ปราสาทและบริวารของเจ้าได้ เมื่อรวมกับดวงจิตสุดท้ายของเจ้าที่ผูกติดกับสถานที่แห่งนี้ เจ้าก็เลยยังเป็นเทพเบื้องต่ำที่ยังมิได้ไปไหนถึงฟังดูอาจจะไม่ค่อยน่าฟังสักเท่าไหร่ แต่สุดท้ายแล้วเจ้าก็ยังสูง กว่าภพมนุษย์ที่เจ้าจากมามาก”“แล้วหลังจากนี้ข้าควรจะทำอย่างไรต่อไป”“ตราบเท่าที่เจ้ายังไม่ก้าวพ้นห้วงสังสารวัฎ กล่าวคือยังเกิดในภพของมนุษย์ เทพ เดรัจฉาน เปรต และสัตว์นรก เจ้าก็จะย