บทที่ 25 เซียนน้อยแห่งหุบเขาธิดาสวรรค์(4)
“เจ้าว่ายังไงนะ”
ในทันทีที่ได้ยินคำกล่าวของเพื่อนบ้าน จางหลงก็รู้สึกหวาดวิตกในทันที ด้วยหลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นในตลอดระยะช่วงเวลาที่ผ่านมา ต่อให้เขาจะไม่ได้เชื่อที่เด็กๆพูดทั้งหมด แต่อีกใจหนึ่งเขาก็เชื่อบ้างแล้วว่าอย่างน้อยที่สุดเด็กหญิงผู้มาใหม่ผู้นี้คงไม่ใช่เด็กธรรมดาทั่วไป เพราะต่อให้โง่สักแค่ไหน
ลองคิดดูง่ายๆว่าแค่จำนวนอาหารที่เด็กหญิงนำออกมา ให้คนในหมู่บ้านสามารถดื่มกินกันอย่างฟุ่มเฟือยในตลอดระยะเวลาเดือนเศษนี้ ซึ่งมีทั้งเนื้ออย่างดี พืชหัวที่นางเรียกว่ามันฝรั่งกับมันหวาน ที่แม้จะไม่ได้รับการปรุงแต่ก็ยังสามารถให้รสอร่อยกับผู้ที่กินมันได้ แล้วยังมีลูกอมกับน้ำสีดำนั้นอีก
ไม่ว่าจะเป็นในด้านของสติปัญญาที่ล้ำเลิศกว่าผู้คนในหมู่บ้าน ทั้งความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีจิตใจเมตตาสงสารผู้คนจำนวนมาก สามารถแจกจ่ายสิ่งมีค่าเหล่านั้นให้กับพวกเขาอย่างไม่เสียดาย
ลำพังเพียงเท่านั้นมันก็เกินกว่าคนทั่วไปไปมากแล้ว...
เพราะต่อจะให้เป็นคนที่ร่ำรวยมากแค่ไหน ก็ไม่มีใครที่จะมอบสิ่งของที่ตนเองมีให้กับคนอื่นมากมายขนาดนี้อย่างง่ายดาย แต่ดูเหมือนนางจะไม่ได้รู้สึกรู้สากับสิ่งที่นางได้มอบให้ผู้คนด้วยซ้ำ ทำราวกับว่าสิ่งที่นางทำนั้นเป็นเรื่อง ปกติธรรมดาเสียอย่างนั้น ไม่มีแต่แม้แต่สักครั้งเดียวที่นางจะแสดงออกถึงความเสียดาย กับอาหารปริมาณมากมายที่นางสามารถเอาไปขายทำเงินได้อย่างมหาศาล
“เจ้าแน่ใจใช่ไหมว่าไม่ได้ทำผิด หรือไม่ได้ตั้งใจใส่ร้ายพวกมัน”
“หัวหน้าก็รู้ว่าข้าเป็นคนเช่นไร ถึงข้าจะไม่ใช่คนกล้าหาญหรือคนดีมากนัก หรือต่อให้พวกมันจะเป็นคนที่นิสัยไม่ดี คอยรบกวนชาวบ้านอยู่เสมอ แต่สำหรับข้าแล้วไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำเช่นนั้นเลยไม่ใช่หรือ ข้าจะโป้ปดใส่พวกมัน แล้วให้พวกมันมาหาเรื่องข้าในภายหลัง ข้าไม่ทำอย่างนั้นอย่างแน่นอน”
“นี่ก็เริ่มจะมืดแล้วด้วยสิ” จางหลงแหงนมองท้องฟ้าที่เริ่มจะเปลี่ยนสีไปทุกๆที หมู่ดาวเองก็เริ่มมีประดับประดาอยู่บนท้องฟ้าบ้างแล้ว “ถ้าอย่างนั้นเรารีบกลับกันเถอะ เผื่อว่าจะทันก่อนที่พวกมันจะทำอะไรกับสิ่งที่ขโมยไป อย่างน้อยที่สุดถ้าสามารถนำมาคืนได้ ก็คงจะไม่ทำให้นางโกรธมากนัก”
“แต่หัวหน้าก็รู้ดีนี่ว่าพวกมันเป็นคนเช่นไร ยิ่งมีน้องชายของท่านค่อยให้ท้ายแบบนี้แล้ว...”
“ข้ารู้ดีว่าเจ้าหมายความว่าอย่างไร...”
เมื่อนึกถึงน้องชายหัวแก้วหัวแหวนที่เคยเป็นเด็กดีของบ้าน ที่ยิ่งผ่านเวลาไปเนิ่นนานเท่าไรก็ยิ่งเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จนในตอนนี้แทบจะไม่สามารถมองหน้ากันดีๆได้ด้วยซ้ำ
เขารู้ดีว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้น้องชายเปลี่ยนไปมาก พยายามที่จะทำตัวใจใหญ่แบ่งปันสิ่งของที่มี หวังว่าจะได้รับการยอมรับจากคนในหมู่บ้าน ทั้งที่ลับหลังแล้วเขากระทำอะไรเอาไว้บ้างคนส่วนใหญ่ก็รู้ดีเช่นเดียวกัน ไม่ว่าเขาจะพยายามสักแค่ไหนก็ไม่เคยไปถึงฝั่งฝันของตนเองสักที
‘ทั้งๆที่เจ้าสามารถมาขอพี่ได้ตรงๆ แท้ๆ ถ้าหากเป็นสิ่งที่เจ้าอยากได้พี่ก็ให้เจ้าเสมอมาไม่ใช่หรือ’
“เอาเป็นว่าพวกเรารีบไปกันเถอะ เดี๋ยวข้าจะเป็นคนล่วงหน้าไปก่อน เจ้าไปแจ้งทุกคนว่าให้ไปรวมตัวกันที่บ้านของข้า เดี๋ยวหลังจากที่เข้าไปคุยกับพวกมันแล้วจะมาปรึกษากับพวกเจ้าอีกทีนึง เผื่อว่าตอนนี้มันยังไม่สายเกินไป” มัวแต่คิดเรื่องเก่าก่อนไปก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ จางหลงจึงทำได้เพียงแค่อยู่กับปัจจุบัน และพยายามแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นตรงหน้า
“เข้าใจแล้วหัวหน้า หัวหน้ารีบไปเถอะ จะอย่างไร หัวหน้าก็เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่บ้าน ต่อให้พวกมันจะดีจะชั่วอย่างไร มันก็ควรจะฟังนักรบระดับสองดาวอยู่บ้าง”
“ถ้าอย่างนั้นตกลงตามนี้... อ้อ แล้วก็อย่าลืมบอกทุกคนว่าอย่าเพิ่งไปแจ้งเรื่องนี้กับคุณหนูเย่หัวเป็นอันขาด ถ้าเป็นไปได้ข้าก็อยากให้พวกมันทุกคนเอาสิ่งของที่ขโมยไปมาคืน แล้วมาขอโทษนางเสีย ก่อนที่ทุกอย่างจะไม่สามารถกลับมาแก้ไขได้อีก”
“ได้หัวหน้า ยังไงเราก็ออกมาจากเรือนของนางก่อนแล้ว คงไม่มีใครก็กลับไปแจ้งนางแน่นอนหัวหน้าสบายใจได้”
“ถ้าอย่างนั้นเราแยกกันตรงนี้ ข้าขอล่วงหน้าไว้ก่อน” กล่าวจบแล้วจางหลงก็พุ่งตัวหายลับไปท่ามกลางความมืดที่เริ่มคืบคลานเข้ามา
และไม่นานนักจางหลงก็เดินทางมาถึงบ้านของหัวหน้ากลุ่มของกลุ่มกลุ่มนี้ ตามที่ได้ยินได้ฟังมาว่าพวกมันจะมาแบ่งของกันที่นี่
“จางเจี๋ยออกมาพบข้าหน่อย...” ในทันทีที่มาถึงจางหลงก็รีบตะโกนเรียกเจ้าของบ้านในทันที “ข้าให้เวลาเจ้าสิบลมหายใจถ้ายังไม่ออกมาข้าจะบุกเข้าไปเอง”
“ท่านหัวหน้า” เพียงแค่ไม่กี่อึดใจเท่านั้นผู้ที่ถูกเรียกขานก็รีบพุ่งออกมาจากบ้านในทันที จะอย่างไรจางหลงก็เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่บ้าน ต่อให้เขาจะไม่ได้หวั่นเกรงมากนัก แต่ก็ยังคงหวาดกลัวในพลังนั้นอยู่
“เจ้าได้ทำมันลงไปจริงๆใช่ไหม” ไม่มีการอ้อมค้อมแต่ประการใด จางหลงเข้าเรื่องในทันที “ก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายเกินไปรีบไปเอาของที่เจ้าขโมยมาเสีย แล้วข้าจะเป็นคนนำของไปคืนนางพร้อมกับคำขอโทษเอง”
“ไม่ทันแล้วขอรับท่านหัวหน้า พวกข้าแบ่งกันแล้วเอาไปปลูกเรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้พวกเราทุกคนจะมีแปลงมันอยู่หลังบ้าน หน้าหนาวปีนี้ข้าจะไม่ยอมให้ครอบครัวของพวกข้าอดตายอย่างเด็ดขาด”
.................................
บทที่ 26 เซียนน้อยแห่งหุบเขาธิดาสวรรค์(5)“...”จางหลงทำท่าเหมือนกับจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่ว่าเมื่อมองลึกเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย เขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อไปดี สำหรับพวกเขาที่อดอยากแทบตายมาหลายปีแล้ว มันคงจะไม่เป็นอะไรเลยถ้าหากว่าทุกคนไม่ได้ใช้วิธีการที่ผิด“ท่านหัวหน้ากลับไปก่อนเถิดขอรับ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจากสิ่งที่พวกเราทุกคนได้ทำลงไป พวกเราก็พร้อมยินยอมที่จะรับผลที่ตามมา แต่หากว่า จะให้พวกข้าต้องเฝ้ารอความหวังลมลมแล้งแล้ง จนอาจทำให้ลูกเมียของพวกข้าต้องอดตายไปในปีนี้ ตัวข้านั้นยินยอมให้ทุกคนประณามเหยียดหยามเสียดีกว่า”เฮ้อ...จางหลงระบายลมหายใจออกมาอย่างยาวเหยียด สวัสดี ต่อให้ยากว่ากล่าวพวกมันสักเท่าไหร่ แต่ดูจากท่าทางของพวกมันแล้ว พวกมันก็คงจะเตรียมตัวมาก่อนหน้านี้แล้วเช่นเดียวกัน“ในเมื่อเจ้าพูดอย่างนั้นก็แสดงว่าข้าสามารถนำความท
บทที่ 27 เซียนน้อยแห่งหุบเขาธิดาสวรรค์(6)“ท่านหัวหน้าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วขอรับ!!”“อะไรอะไร...มีเรื่องอะไรกัน” จางหลงที่ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายมาจากหน้าบ้าน ก็รีบลุกออกจากเตียงไม้ในทันที เนื่องจากเมื่อวานทุกคนเหนื่อยกันมาก แล้วเขาเองก็ต้องมาเหนื่อยใจกับคนในหมู่บ้านอีก ทำให้เมื่อคืนกว่าที่เขาจะหลับได้ก็ดึกแล้ว แล้วนี่ยังต้องมาตื่นตั้งแต่ยังไม่เช้าอีก... “มีอะไรกันตั้งแต่ยังไม่สว่างเนี่ย”“ท่านหัวหน้าช่วยพวกเราด้วยขอรับ”“พวกเราผิดไปแล้วขอรับ”“ท่านหัวหน้าช่วยพาพวกเราไปขอโทษนางเซียนน้อยหน่อยได้ไหมขอรับ”“พวกเราจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้วหรับ”“ได้โปรดให้อภัยพวกเราสักครั้งเถอะนะขอรับ”“พว
ณ ห้วงแห่งความว่างเปล่า ดวงจิตดวงหนึ่งกำลังล่องลอยอย่างไร้ซึ่งจุดหมาย ราวกับว่ามันได้ถูกพรากออกมาจากเส้นทางที่ควรจะมุ่งไป แล้วกำลังล่องลอยอยู่อย่างนั้นมาได้ระยะเวลาหนึ่งแล้ว...“อีปลวก อีปลวก มึงได้ยินกูไหมเนี่ย” น้ำเสียงที่คุ้นหูคับคล้ายคับคลา ที่ส่งมาจากห้วงอากาศโดยรอบ ทำให้ดวงจิตดวงนั้นเริ่มก่อร่างกลายมาเป็นดวงจิตรูปร่างคล้ายมนุษย์เพศหญิง “เสียงใครเนี่ย...”“ก็กูไง!” เสียงนั้นตอบกลับมาดังลั่น จนสามารถบอกได้เพียงแค่ได้ยินว่าอีกฝ่ายนั้นดีใจมากแค่ไหน “นี่มึงจำเสียงกูไม่ได้จริงๆ หรอ”“ห๊ะ...”“ถ้าหน้ากูมึงจะไม่คุ้นเคยก็ไม่แปลกหรอก แต่เสียงกูมึงต้องคุ้นสิ ก็กูเป็นเพื่อนคนเดียวของมึงที่ด่ามึงยิ่งกว่าพ่อยิ่งกว่าแม่มึงอีก มึงจำกูไม่ได้จริงๆ อะ”“...”หลังจากที่นึกไปนึกมาอยู่ครู่หนึ่ง เสียงที่แสนคุ้นเคยกับสำเนียงเสียงพูดเล่นหัวไม่สนใจเพศและอายุที่เป็นเอกลักษณ์ ก็ทำให้ดวงจิตดวงนั้นค่อยๆ กระจ่างแจ้งว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นใคร...แต่นั่นแหละที่มันไม่ควรที่จะเป็นไปได้แม้แต่น้อย เพราะเจ้าของเสียงมันตายไปตั้งแต่ปีที่แล้ว!‘เป็นไปไม่ได้!’“เป็นไปได้สิทำไมจะเป็นไปได้ ก็กูพูดอยู่เนี่ย”“...” “ถ้าอ
ก่อนที่เราจะไปเข้าสู่เนื้อหาของเรื่องกัน เราจะมาพูดคุยกันก่อนนะ และเฉพาะในตอนนี้ถ้าหากใครมีคำถามอะไรสามารถถามมาได้เลย ผมจะกลับมาตอบให้จ้าเรื่องแรกที่อยากให้ทุกคนเข้าใจตรงกันก็คือ วัน-เวลา เนื่องจากผมจะสร้างโลกใบใหม่ที่แตกต่างจากโลกนี้โดยสิ้นเชิงเลย สิ่งแรกที่อยากจะทำความเข้าใจก็คือแต่ละวันนั้นจะยาวนานขึ้นสิบเท่า กล่าวคือในแต่ละชั่วยามจะยาวนานกว่า20ชั่วโมง และที่สำคัญก็คือแต่ละปีจะยาวนาน1200วัน(เดือนละ100วัน12เดือน) แต่ก็ยังยังคงแบ่งเป็น4ฤดูตามประเทศจีน และสกุลเงินเองก็เช่นเดียวกัน ส่วนเหตุผลทั้งหมดจะค่อยๆ อธิบายไปในเรื่องจ้า แต่เพื่อไม่ใช้นักอ่านงุนงงสงสัยเกี่ยวกับการเดินเรื่องที่อาจจะแปลกๆ ไปจากที่เคยผ่านตามา แต่รับรองว่าจะไม่งงแน่นอนจ้า ส่วนรายละเอียดของ เวลา ค่าเงิน และระยะทางก็ตามนี้เลยเวลาในสมัยโบราณ คนจีนจะแบ่งเวลา 1 วันเป็น 12 ชั่วยาม ดังนั้น เมื่อเทียบกับเวลาสากล 1 ชั่วยามจึงเท่ากับ 2 ชั่วโมง โดยจะเริ่มนับชั่วยามแรกตั้งแต่เวลา 00.01-02.00 น. และนับต่อไปเรื่อย ๆ จนครบ 12 ชั่วยามชั่วยาม (时辰:shíchén)ยามจื่อ (子:zǐ) คือ 23.00 – 24.59 น.ยามโฉ่ว (丑:chǒu) คือ 01.00 – 02.59 น.ย
“...”ร่างเล็กกระพริบตาถี่ๆ ทันทีที่รู้สึกตัวขึ้นมาก็รู้ตัวว่าตนเองกำลังนอนอยู่ที่ไหนสักแห่ง จึงได้พยายามที่จะลืมตาขึ้นมา แล้วลุกขึ้นนั่งเพื่อสำรวจรอบๆ“ไม่ยักกะเจ็บแฮะ ปกติถ้าตามนิยายที่ไอ้ชามันเอาให้อ่าน ถ้าไม่ปวดหัวเหมือนหัวจะแตก ก็ต้องบาดเจ็บเป็นไข้ใกล้ตายอะไรสักอย่าง แต่นี่ไม่เห็นรู้สึกแปลกๆอะไรเลย...”พูดได้เท่านั้นแหละนางก็ต้องหุบปากเงียบก่อนที่จะพยายามหาที่หลบให้มิดชิด เพราะตอนนี้ได้ยินเสียงเหมือนกับผู้คนจำนวนมากกำลังวิ่งมาทางนี้ แต่ก็เหมือนว่ามันจะไร้ผลเพราะไม่ว่านางจะพยายามสักแค่ไหนก็ไม่สามารถหลุดออกจากกำแพงอากาศโปร่งใสที่รายล้อมนางอยู่นี่ได้เสียที ทำได้แค่ก้มหน้าก้มตารับชะตากรรมที่กำลังจะมาถึง“ไอ้เพื่อนเวร ส่งมาทั้งทีทำไมไม่ส่งไปที่ที่ปลอดภัยหน่อยวะ...ห๊ะ” ในตอแรกนางก็ไม่ได้สังเกตเลยว่าเสียงของตัวเองเล็กลงอย่างน่าใจหาย แต่มันกลับหวานใสปานแก้วเนื้อดีไพเราะน่าฟังสมวัย แต่ก่อนที่นางจะทันได้คิดอะไร ก็ต้องหยุดชะงักเพราะในตอนนี้กลุ่มคนแปลกหน้าได้มาหยุดรายลอมนางเอาไว้เสียแล้ว“...” แต่คงเป็นเพราะกำแพงอากาศโปร่งใสนี่ทำให้คนพวกนั้นมองไม่เห็นนาง แล้วยังอยู่เยื้องออกมานิดหน่อย ทำให้
บทที่ 2 ความทรงจำที่ขาดหายหลังจากที่กลุ่มคนจากไปจนหมดไม่เหลือใครเนิ่นนานหลายสิบหลายร้อยลมหายใจ กว่าที่ทิพย์จะหายจากอาการตกใจจนสามารถกลับมามีสติอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะภาพติดตาที่ยังคงชัดเจนหรือว่าเพราะอะไรกันแน่ นางก็สำรอกน้ำย่อยออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด กว่าครู่ใหญ่ที่นางจะสามารถกลับมาเป็นปกติได้“หนี!!”เป็นคำแรกที่หลุดออกมาจากปากของนาง หลังจากที่เหมือนว่านางลืมการพูดจาไปแล้วพักใหญ่ และสิ่งที่นางทำเป็นอย่างแรกก็คือการวิ่งไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับทิศที่คนพวกนั้นเดินจากไปอย่างสุดชีวิต“ทำไมถึงได้แรงเยอะจัง...” เสียงเล็กๆ ที่หลุดออกมาจากปากของเด็กหญิงบ่งบอกได้ถึงความสงสัยอย่างไม่สามารถปกปิดได้ต้องย้อนกลับไปก่อนว่าแม้แต่ก่อนหน้าที่นางจะหลุดมายังโลกใบนี้ นางก็เป็นเพียงแค่ผู้หญิงธรรมดาๆ ที่ไม่ได้แข็งแรงอะไรมากมาย ซ้ำยังมีโรคข้อเข่าที่เป็นมาตั้งแต่สาวๆ แล้ว ทำให้นางเดินเหินไม่ค่อยจะสดวกนักหรือต่อให้นี่เป็นร่างใหม่ที่เด็กลงมากว่าสมัยก่อนมาก ฟังแค่เสียงก็รู้แล้วว่าเด็กแค่ไหน ที่สำคัญต่อให้นางไม่มีความทรงจำเก่าๆ อยู่เลย แต่ดูจากปฏิกิริยาของชายชราและกลุ่มคนแล้ว ที่คนพวกนั้นบอกว่านางอายุแ
หลายวันผ่านพ้นไป...“เฮ้อ...” ไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่ร่างเล็กของเย่หัวถอนหายใจออกมาแบบนี้ เนื่องจากในตอนที่ก่อนหน้านี้ที่นางได้หมดสติไปนั้น นางก็ได้รับจดหมายจากเพื่อนเก่าที่ฝากเอาไว้ในห้วงแห่งความฝัน ที่จ่าหน้าซองเอาไว้ว่าถ้าหากนางสามารถรอดพ้นมาได้ก็แสดงว่านางนั้นจะสามารถใช้ชีวิตต่อไปจริงๆ ได้ ซึ่งในจดหมายฉบับนี้จะมีสิ่งที่นางจะต้องรู้เอาไว้ซึ่งสิ่งที่มันได้เขียนเอาไว้ก็เป็นอะไรที่คนธรรมดาๆ อย่างนางเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ที่พอจะสามารถจับใจความได้คร่าวๆ ก็คือ...อย่างแรกก็คือโลกนี้เป็นโลกอีกใบหนึ่งที่ไม่ใช่โลกเดิมของนาง เนื่องจากช่วงเวลามันผ่านไปนานหลายภัทรกัปแล้ว และในโลกนี้นั้นเป็นช่วงเวลาขาลงของโลกที่มนุษย์จะมีอายุไขยาวนานราวสองร้อยสิบปี โดยที่แต่ละวันของโลกนี้จะยาวนานกว่าโลกเดิมของเราถึงสิบเท่า ส่วนแต่ละปีนั้นยาวนานกว่าหนึ่งพันสองร้อยวันในตอนที่กวาดสายตาอ่านเจอคำพวกนี้คราวแรกนางก็ออกจะมึนๆ งงอยู่บ้าง แต่พอได้รู้รายละเอียดเรื่องของเวลาในโลกใบนี้นางก็ถึงกับอ้าปากค้างถ้าอย่างนั้นที่นางอายุแปดขวบมันก็เท่ากับเท่าไหร่?...เป็นคำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในใจ ซึ่งพอนางลองคำนวณ
ณ หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง ที่อยู่ห่างไกลกับเมืองใหญ่พอสมควร เป็นเพียงแค่หมู่บ้านชายป่าที่มีประชากรรวมกันเพียงแค่ไม่ถึงร้อยครัวเรือน ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วผู้คนนั้นจะอาศัยขึ้นไปหาของป่าที่ทิวเขาไกลออกไปหลายสิบลี้ เพราะว่าดินแดนแถบนี้ไปนั้นค่อนข้างแห้งแล้งและมีดินที่ไม่อุดมสมบูรณ์เท่าไรนัก ทำให้ไม่ค่อยเหมาะแก่การเพาะปลูกหัวเผือกหัวมันเท่าไรนัก ความเป็นอยู่ของผู้คนจึงลำบากมากพอตัวเลยทีเดียวถึงทิวเขาไกลออกไปหรือถ้าออกจากที่ดินผืนนี้ไปจะสามารถที่จะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้ แต่ด้วยสำหรับพวกเขาทั้งหมดที่ดินผืนนี้เป็นที่ที่พวกเขาทุกคนอาศัยอยู่กันมาหลายชั่วอายุคน แม้ว่าจะไม่มีอะไรโดดเด่นมากมาย แต่พวกเขาก็สามารถมีชีวิตอยู่รอดปลอดภัยมาอย่างยาวนาน หากไม่ใช่เพราะเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา พวกเขาก็คงไม่ต้องลำบากเช่นนี้ยังไม่รวมถึงเหล่าชายฉกรรจ์อีกหลายคนที่ต้องไปทิ้งชีวิตเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวแล้วด้วย สิริรวมแล้วสถานการณ์ของหมู่บ้านที่สุขสงบเช่นนี้ก็เริ่มจะไม่คอยดีมากนักจนกระทั่ง...เมื่อราวๆ หนึ่งเดือนก่อนหรือนานกว่านั้น เริ่มมีผู้คนที่เดินขึ้นไปตามลำธารที่แห้งขอด ก็เริ
บทที่ 27 เซียนน้อยแห่งหุบเขาธิดาสวรรค์(6)“ท่านหัวหน้าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วขอรับ!!”“อะไรอะไร...มีเรื่องอะไรกัน” จางหลงที่ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายมาจากหน้าบ้าน ก็รีบลุกออกจากเตียงไม้ในทันที เนื่องจากเมื่อวานทุกคนเหนื่อยกันมาก แล้วเขาเองก็ต้องมาเหนื่อยใจกับคนในหมู่บ้านอีก ทำให้เมื่อคืนกว่าที่เขาจะหลับได้ก็ดึกแล้ว แล้วนี่ยังต้องมาตื่นตั้งแต่ยังไม่เช้าอีก... “มีอะไรกันตั้งแต่ยังไม่สว่างเนี่ย”“ท่านหัวหน้าช่วยพวกเราด้วยขอรับ”“พวกเราผิดไปแล้วขอรับ”“ท่านหัวหน้าช่วยพาพวกเราไปขอโทษนางเซียนน้อยหน่อยได้ไหมขอรับ”“พวกเราจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้วหรับ”“ได้โปรดให้อภัยพวกเราสักครั้งเถอะนะขอรับ”“พว
บทที่ 26 เซียนน้อยแห่งหุบเขาธิดาสวรรค์(5)“...”จางหลงทำท่าเหมือนกับจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่ว่าเมื่อมองลึกเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย เขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อไปดี สำหรับพวกเขาที่อดอยากแทบตายมาหลายปีแล้ว มันคงจะไม่เป็นอะไรเลยถ้าหากว่าทุกคนไม่ได้ใช้วิธีการที่ผิด“ท่านหัวหน้ากลับไปก่อนเถิดขอรับ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจากสิ่งที่พวกเราทุกคนได้ทำลงไป พวกเราก็พร้อมยินยอมที่จะรับผลที่ตามมา แต่หากว่า จะให้พวกข้าต้องเฝ้ารอความหวังลมลมแล้งแล้ง จนอาจทำให้ลูกเมียของพวกข้าต้องอดตายไปในปีนี้ ตัวข้านั้นยินยอมให้ทุกคนประณามเหยียดหยามเสียดีกว่า”เฮ้อ...จางหลงระบายลมหายใจออกมาอย่างยาวเหยียด สวัสดี ต่อให้ยากว่ากล่าวพวกมันสักเท่าไหร่ แต่ดูจากท่าทางของพวกมันแล้ว พวกมันก็คงจะเตรียมตัวมาก่อนหน้านี้แล้วเช่นเดียวกัน“ในเมื่อเจ้าพูดอย่างนั้นก็แสดงว่าข้าสามารถนำความท
บทที่ 25 เซียนน้อยแห่งหุบเขาธิดาสวรรค์(4)“เจ้าว่ายังไงนะ”ในทันทีที่ได้ยินคำกล่าวของเพื่อนบ้าน จางหลงก็รู้สึกหวาดวิตกในทันที ด้วยหลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นในตลอดระยะช่วงเวลาที่ผ่านมา ต่อให้เขาจะไม่ได้เชื่อที่เด็กๆพูดทั้งหมด แต่อีกใจหนึ่งเขาก็เชื่อบ้างแล้วว่าอย่างน้อยที่สุดเด็กหญิงผู้มาใหม่ผู้นี้คงไม่ใช่เด็กธรรมดาทั่วไป เพราะต่อให้โง่สักแค่ไหนลองคิดดูง่ายๆว่าแค่จำนวนอาหารที่เด็กหญิงนำออกมา ให้คนในหมู่บ้านสามารถดื่มกินกันอย่างฟุ่มเฟือยในตลอดระยะเวลาเดือนเศษนี้ ซึ่งมีทั้งเนื้ออย่างดี พืชหัวที่นางเรียกว่ามันฝรั่งกับมันหวาน ที่แม้จะไม่ได้รับการปรุงแต่ก็ยังสามารถให้รสอร่อยกับผู้ที่กินมันได้ แล้วยังมีลูกอมกับน้ำสีดำนั้นอีกไม่ว่าจะเป็นในด้านของสติปัญญาที่ล้ำเลิศกว่าผู้คนในหมู่บ้าน ทั้งความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีจิตใจเมตตาสงสารผู้คนจำนวนมาก สามารถแจกจ่ายสิ่งมีค่าเหล่านั้นให้กับพวกเขาอย่างไม่เสียดาย
บทที่ 24 เซียนน้อยแห่งหุบเขาธิดาสวรรค์(3)สองชั่วยามผ่านไป...ตั้งแต่ตอนที่เย่หัวหมดสติ นางก็ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งท่ามกลางผู้คนจำนวนมากที่รายล้อมนางอยู่ ด้วยความที่ไม่ชินกับการที่มีใครมาเป็นห่วงเป็นไยขนาดนี้ มันก็ทำให้นางรู้สึกเขินไม่ได้ จึงเอ่ยปากถามออกมาด้วยเสียงเบาๆ“...มีอะไรกันหรือเจ้าคะ”“คุณหนู...”“คุณหนูเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”“คุณหนูฟื้นแล้ว”“...”“...”“...”เด็กๆ ที่เฝ้ารออยู่ไม่ไกลต่างก็กรูเข้ามาบ้างดีอกดีใจ บ้างก็ร้องห่มร้องให้งอแงโผเข้ามากอดร่างเล็กจนแทบไม่มีช่องว่าให้หายใจเย่หัวที่เห็นทุกๆ คนเป็นห่วงขนาดนี้จากที่ตั้งใจที่จะผละออกไป กลับกลายเป็นยินยอมให้เด็กๆ
บทที่ 23 เซียนน้อยแห่งหุบเขาธิดาสวรรค์(2)“ตอนนี้แหละ!!”ทั้งกลุ่มที่ตอนนี้รวมตัวกันได้ราวยี่สิบคน แบ่งหน้าที่กันอย่างรวดเร็วที่เกิดความวุ่นวายขึ้น โดยที่มีการแบ่งเป็นกลุ่มๆ ตั้งแต่กลุ่มดูต้นทางที่จะวางเอาไว้เป็นจุดๆ เพื่อป้องกันการถูกพบเห็น ซึ่งมีเพียงแค่สี่คนเท่านั้นที่อาษาทำหน้าที่นี้ ถึงจะไม่ค่อยมีความเสี่ยงมากเท่ากับกลุ่มที่ไปขโมยหัวมัน แต่ก็ต้องยอมรับว่าพวกตนจะได้รับส่วนแบ่งน้อยลงตามไปด้วยกลุ่มที่สองเป็นกลุ่มที่เป็นกลุ่มที่ต้องเอาถุงกระสอบสานลวกๆ ไปช่วยกันขนมันเท่าที่ทำได้ ซึ่งคนที่เหลือทั้งหมดแบ่งกันเป็นกลุ่มเล็กๆ กลุ่มละสองคนโดยที่พวกเขาจะเอามันไปให้มากที่สุดเท่าที่กระสอบจะสามารถจุไหว แล้วค่อยสลับกันขนไปเป็นช่วงๆ แล้วแยกย้ายกันหนีกลับไปที่หมู่บ้าน ซึ่งทุกคนต่างก็ให้สัญญากันเอาไว้ว่าถ้าหากใครถูกจับได้ก็จะไม่มีการซัดทอดอย่างเด็ดขาดและเมื่อเอากลับกันไปแล้วจะไปรวมตัวกันที่บ้านของหนึ่งในสมาชิกกลุ่มที่ห่างไกลออกไปจากหมู่บ้านเล็กน้อย แล้วค่อยแบ่งกันในคืนนี้...แล้วเมื่อจัดการแบ่งสันปันส่วนหน้าที่รับผิดชอบของตนเองกันแล้ว โดยไม่สนว่าผู้คนในหมู่บ้านต่างก็พากันไปดูเด็กหญิงด้วยความเป็นห
บทที่ 22 เซียนน้อยแห่งหุบเขาธิดาสวรรค์(1)“...”ท่ามกลางห้วงแห่งความว่างเปล่า ดวงจิตของเย่หัวตื่นขึ้นมาบนห้วงอากาศที่สูงขึ้นไปเหนือท้องฟ้า ที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่ก้อนเมฆรูปร่างต่างๆ เต็มไปหมด แต่ไม่มีอะไรมากหรือน้อยไปกว่านั้น“สงสัยอะดิ ว่าที่นี่คือที่ไหนแล้วมึงมาทำอะไรตรงนี้...”“ไอ้ชา!”“‘ไอ้ชา!’ มึงจะตะโกนเรียกชื่อกูแบบนี้ใช่ไหมล่ะ แต่กูบอกเลยว่านี่เป็นระบบอัตโนมัติที่จะทำงานในตอนที่มึงใช้พลังไปจนหมดเป็นครั้งแรก ในกรณีที่มึงไม่ยอมฝึกฝนลมปราณเลย”“แล้ว...”“กูรู้ว่ามึงมีเรื่องมากมายที่จะถาม แต่ก็เหมือนกับจดหมายที่เคยเขียนหรือตอนที่กูส่งมึงมาที่นี่ กูมีเวลาจำกัดมากๆ เพราะฉะนั้นแล้วกูของให้มึงช่วยฟังได้อย่างเดียวสได้ไหม ถือว่ากูขอละกัน
บทที่ 21 เนื้อเน่าแต่ดูเหมือนว่าความตั้งใจของหัวหน้าหมู่บ้านนั้นจะไม่ทันเสียแล้ว...“จะดีหรือ” ในระหว่างที่ผู้คนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ก็มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังนั่งจับกลุ่มพูดคุยกันไกลออกไปเล็กน้อย “แต่ถ้าถูกจับได้มันจะไม่ดีเอานา...”“แล้วมันจะเป็นอะไรไปเล่า จะอย่างไรคนพวกนั้นก็ไม่ได้ห้ามสักหน่อยนี่”“ใช่แล้ว อีกอย่างเราแค่จะแอบเอาไปสักหน่อยแล้วเอาไปลองปลูกที่แถวๆ บ้านเราตามคำแนะนำของจางเว่ยเท่านั้นเอง ไม่ได้ทำอะไรเสียหนายสักหน่อย”“แล้วอีกอย่างถ้าหากว่าเจ้าหัวมันกองนั้นสามารถนำไปปลูกได้จริง แล้วมันโตเร็วเหมือนที่เด็กๆ บอกเล่าแล้ว อย่างน้อยก็รับประกันได้ว่าหน้าหนาวในปีนี้ครอบครัวของพวกเราจะอยู่รอดได้ไม่ใช่หรืออย่างไร แล้วจะลังเลไปทำไมกัน”
บทที่ 20 เศร้าหมองหน้าหนาว...หนึ่งในฤดูที่เลวร้ายที่สุดสำหรับผู้คนในหมู่บ้านแห่งนี้ ก่อนหนี้ไม่กี่สิบปีก่อนอาจจะไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร เนื่องจากหมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านที่ห่างไกล และมีลำธารไหลพาดผ่านหลายสายใหญ่บ้างเล็กบ้างแล้วแต่ต้นน้ำว่ามาจากจุดไหนแต่หลังจากที่ภัยพิบัติได้เริ่มขึ้นเมื่อสิบปีก่อน จากฤดูหนาวธรรมดาๆ ที่เพียงแค่มันจะกินเวลานานบ้างเร็วบ้าง แต่มันก็เพียงแค่ต้องเตรียมพร้อมเสบียงอาหารให้มากขึ้นก็เท่านั้น กลายเป็นฤดูหนาวที่เลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆ ปี เพราะว่าไม่ว่าจะเป็นผลผลิตที่ลดลงตามความแห้งแล้งจนแทบไม่ได้เลยในปีหลังๆ มานี้ เป็นสิ่งที่ทำให้เพิ่มจำนวนคนตายมากขึ้นในทุกๆ ปี...สำหรับหน้าหนาวที่ค่ำคืนจะยาวนานกว่ากลางวัน ในช่วงที่นานที่สุดอาจจะกินเวลากลางวันเกินไปถึงสองชั่วยาม เป็นช่วงเวลาที่ผู้เฒ่าผู้แก่ที่มีอายุยืนยาวที่ไม่มีอาหารมากเพียงพอตายไปอย่างเงียบๆ ยิ่งเป็นหน้าหนาวที่ต้องประหยัดเนื่องจ
บทที่ 19 ข่าวดี“ทุกคนวันนี้กลับไปช่วยไปแจ้งแก่พวกผู้ใหญ่ทุกคนให้ข้าหน่อยจะได้หรือไม่” ในระหว่างที่ทุกคนกำลังจัดการจานชามหลังจากที่กินอาหารใกล้จะเสร็จแล้วนั้นเอง เย่หัวก็รีบวิ่งมาหาก่อนที่ทุกๆ คนจะลากลับบ้านถึงมันจะไม่จำเป็นเพราะอย่างไรเด็กๆ จะต้องบอกลานางในทุกๆ วันก็เถอะ แต่อาจจะเพราะนางเผลอดีใจมากจนลืมไป“มีอะไรหรือเจ้าคะ” จางหลังที่กำลังพยายามเล่นกับเจ้าสังที่นอนหมอบอยู่อย่างไม่ไหวติง ซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดเป็นคนถามขึ้น“เดี๋ยวเจ้าช่วยไปเรียกทุกคนมารวมตัวกันสักหน่อยได้หรือไม่ ทุกคนที่มาที่นี่เลยนะ รวมถึงเด็กๆ ด้วย ทุกๆ คนด้วยนะช่วยไปตามทั้งหมดมาที ข้ามีเรื่องจะฝากไปบอกหัวหน้าหมู่บ้านและทุกๆ คนในหมู่บ้านเลย”“มากันครบแล้วเจ้าค่ะ”เพียงแค่ไม่นานนัก ก็มีคนมารายล้อมเด็กหญิงเอาไว้จนขนาดท