บทที่ 31 ก่อนหนาวมาเยือน
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ตั้งแต่ที่ผู้คนสามารถเห็นได้ด้วยตาของตนเอง ว่าผลผลิตของมันทั้งสองชนิดนั้นมากมายแค่ไหน ที่สำคัญที่สุดก็คือรสชาติของหัวมันที่ปลูกในหุบเขาแห่งนี้ ยังมีรสชาติดีกว่าเดิมขึ้นอีกหลายเท่าตัว
เดิมทีแล้วสำหรับพวกเขาทุกคน ลำพังแค่มันที่แย่หัวเอาออกมาให้นั้น ไม่ว่าจะเป็นมันฝรั่งหรือมันหวาน ก็ล้วนแล้วแต่มีรสชาติดีกว่าอาหารที่พวกเขาเคยลิ้มลองมานักต่อนักแล้ว ถึงมันจะไม่ผ่านการปรุงมาเลยก็ตามที
ไม่ว่าจะเป็นมันฝรั่งต้มหรือมันหวานเผา ก็มีรสชาติกลมกล่อม สามารถทานได้เรื่อยๆไม่ต่างกัน...
แต่ในตอนเที่ยงวันนั้น ในวันที่พวกเขาได้เก็บเกี่ยวมันทั้งสองชนิดเป็นครั้งแรก เด็กหญิงก็ได้ให้ พวกแม่ครัวใช้มันทั้งสองชนิดแทนวัตถุดิบที่นางยังไม่ได้เอาออกมาจากตู้เย็น ซึ่งปรากฏว่าเพียงแค่มันหวานเผาธรรมดาธรรมดา ก็ทั้งหอมอร่อยรสชาติเข้มข้นขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่า ทั้งเหนียวนุ่มเคี้ยวเพลินไม่สามารถหยุดปากได้เลยทีเดียว
ส่วนมันฝรั่งเองเพียงแค่เอาไปต้มน้ำธรรมดาธรรมดา หลังจากที่มันสุกได้ที่แล้วทุกคนเมื่อลองได้ชิมก็ต่างอ้าปากค้างตาโตไปตามๆ กัน เพราะความหอมเพียงแค่กัดคำเดียวก็ฟุ้งเต็มปาก กับรสชาติที่เป็น เอกลักษณ์ของมันฝรั่งที่เข้มข้นขึ้นกว่าเดิมอีกมาก
ที่สำคัญไปกว่านั้น เนื่องจากครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ทดลองเก็บผลผลิตจากการปลูก พวกเขาก็เลยขอร้องเด็กหญิงว่า ไม่จำเป็นต้องใช้เนื้อหมูเพิ่มเติมในอาหารของวันนี้ เพื่อทดลองดูว่าสารอาหาร หรือคุณค่าทางอาหารของมันทั้งสองชนิดที่พวกเขาปลูกได้เองนั้น มันให้คุณค่าความอิ่มท้องและพลังงานมากแค่ไหน
ซึ่งมันก็เหนือความคาดหมายเป็นอย่างมาก เพราะลำพังเพียงแค่กินมันต้มและมันเผาธรรมดาธรรมดา แล้วได้กินเพียงแค่พออิ่มท้องเท่านั้น ยังสามารถทำงานตลอดทั้งวันได้โดยไม่มีแม้แต่อาการหิวกระหายแม้แต่น้อย
อย่างสุดท้ายเลยที่สำคัญที่สุด ก็คือปริมาณการเก็บเกี่ยวต่อแปลง มันก็มากเกินกว่าที่ใครจะสามารถจินตนาการได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการที่มันอยู่ท้อง การให้พลังงาน กับปริมาน มันที่เก็บเกี่ยวได้ในวันแรกเพียงแค่ ไม่กี่สิบแปรง ก็เพียงพอที่จะเลี้ยงดูทุกคนไปอีกหลายวันเลยทีเดียว
อีกทั้งพวกเขายังสามารถเก็บมันหัวเล็กๆเอาไว้เป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ อีกทั้งยังได้ทดลองปลูกแยกกันระหว่าง พ่อพันธุ์แม่พันธุ์ที่มาจากการเพาะปลูกจากพื้นดินที่นี่ และพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ที่มาจากตู้เย็นของเด็กหญิง แล้วไม่กี่วันต่อมาพวกเขาก็ได้คำตอบแล้วว่าทั้งสองแบบนั้นแทบจะไม่ต่างอะไรกันเลย
ด้วยเหตุนี้เองทำให้หลังจากยี่สิบวันให้หลัง ในตอนที่อากาศเริ่มเย็นลงมากแล้ว หากเป็นปีก่อนหน้านี้ผู้คนคงจะเดือดร้อนเป็นอย่างยิ่ง เพราะต้องการขวนขวายหาเสบียงมาเตรียมเอาไว้ รองรับกับหน้าหนาวที่ยาวนานในแต่ละปี
แต่ว่าปีนี้มันแตกต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิง เพราะไม่เพียงแต่ว่าโกดังเสบียงที่มีอยู่ของแต่ละบ้านเท่านั้น ที่เต็มไปด้วยมันทั้งสองชนิดจนไม่มีที่จะเก็บ
แต่พวกเขายังสร้างโกดังหลังใหญ่เอาไว้กลางหมู่บ้านอีกสิบหลัง ซึ่งแต่ละหลังนั้นสามารถอยู่มันได้มากกว่าห้าสิบพันจิน นั่นเท่ากับว่า โดยรวมแล้วพวกเขามีเสบียงสำรอง ที่สามารถซื้อขายได้มากกว่าห้าร้อยพันจิน!
โดยที่แปลงมันของหมู่บ้านก็ยังคงขยายออกไปเรื่อยๆ กินพื้นที่ หลายสิบลี้รอบๆหมู่บ้าน ทำให้ในปีนี้ชาวบ้านทุกคนสามารถสบายใจได้แล้วว่า พวกเขาจะไม่อดตายอย่างแน่นอนไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
แต่ว่าท่ามกลางเรื่องดีๆก็มีเรื่องหลายๆเกิดขึ้นเช่นเดียวกัน ใน กลุ่มคนที่ได้รับการให้อภัยจากเหตุการณ์ขโมยของในครั้งนั้น
มีกึ่งหนึ่งที่ผูกแค้นอาฆาตต่อเด็กหญิง ห้าในสิบคนนั้นถึงกับทำการลอบสังหารเด็กหญิงแต่ก็ทำไม่สำเร็จ และโดนชาวบ้านรุมประชาทัณฑ์ตายคาที่ ส่วนอีกห้าคนที่เหลือนั้นลักลอบขโมยมันหมายจะออกไปจากหมู่บ้าน ซึ่งพวกมันได้เตรียมการเอาไว้ก่อนแล้ว โดยการอำนวยความสะดวกของใครบางคน ได้ทำการลักขโมยมันมากกว่าสิบเล่มเกวียน หวังที่จะออกไปขายนอกหมู่บ้านเพื่อตั้งตัวต่อไป
แต่สุดท้ายแล้วพวกมันก็ถูกจับได้ เนื่องจากการปรากฏตัวของเจ้าสัง ทำให้โคอสูรขั้นสีแดงที่พวกมันหมายที่จะใช้ในการลากเกวียนทั้งสิบเล่ม หวาดกลัวจนนอนเกือบกลิ้งไม่กล้าที่จะลุกไปไหน จนท้ายที่สุด เมื่อรุ่งสางของวันต่อมา ผู้คนก็ได้พบเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวเข้า ทำให้ทั้งห้าคนนั้นก็ถูกขับออกไปจากหมู่บ้าน โดยที่ไม่ให้มีอะไรติดตัวไปแม้แต่เพียงชิ้นเดียว
ถึงจะมีเรื่องเข้ามาประปราย แต่สุดท้ายแล้วก่อนหน้าหนาวปีนี้จะมาถึง ผู้คนต่างก็มีความสุขกันมาก เนื่องจากไม่มีใครต้องขึ้นไปเสี่ยงอันตรายบนภูเขาอีกต่อไปแล้ว ทุกคนที่เหลืออยู่ต่างก็ได้อยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา โดยที่มีเสบียงมาก พอ ที่จะให้พวกเขาทุกคนอยู่กันไปอย่างสุขสบายอีกนานนับปี
จนทำให้ปีนี้เป็นครั้งแรกในรอบสิบปี ที่พวกเขาได้รื้อฟื้นพิธีฉลองปีใหม่ขึ้นเป็นปีแรกหลังจากที่ห่างหายไปนาน ซึ่งกำลังจะมีขึ้นในอีกห้าวัน ข้างหน้า ในตอนที่พวกคนเฒ่าคนแก่กะประมาณว่าจะมีหิมะแรกเกิดขึ้นในตอนนั้น และจะเป็นวันที่คนหนุ่มสาวซึ่งออกไปยังโลกภายนอก จะกลับมาในหมู่บ้านนี้อีกครั้ง...
“นี่มันเรื่องอะไรขึ้นกันแน่!!”
.................................
บทที่ 32 จางหู่“นี่มันเรื่องอะไรขึ้นกันแน่!!”เสียงร้องอันดังลั่นในทันทีที่เดินทางเข้ามาถึงประตูหมู่บ้านของ “จางหู่” ผู้ชายตัวใหญ่ยักษ์มีกล้ามเป็นมากๆ หมดเคราหงเผาตั้งชี้โด่ชี้เด่ ยิ่งตัดผมสั้นแล้วด้วยก็ยิ่งสามารถมองเห็นถึงความชี้ตรงของเส้นผมได้อย่างชัดเจน ดวงตาเองก็เป็นประกายคมกล้าราวพญาเสือ คิ้วตั้งเป็นสันดาบร่วมกับสันจมูกคมโด่งเป็นสง่า เมื่อรวมเข้ากับหนวดเคราและจอนผมที่เชื่อมต่อด้วยกันแล้ว หากจะอธิบายให้เข้าใจถึงรูปร่างหน้าตาของจางหู่ได้ง่ายที่สุดแล้ว ตัวเขานั้นแทบไม่ต่างไปจากเตียวหุยในหนังสือเรื่องสามก๊กเลยทีเดียวด้วยอุปนิสัยแต่เดิมที่โผงผางและผ่าเผย ไม่เคยเก็บเร้นสิ่งใดเอาไว้ในใจเลยแม้แต่ครั้งเดียว ในทันทีที่เขาได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน หลังจากที่เขาพยายามอยู่ข้างนอกมากว่าสามปีแล้ว มันก็ทำให้เขาอดที่จะตก
บทที่ 33 หญิงงามบ้านน้องสาวเจ้าสิ!“ข้าดีใจยิ่งขึ้นที่เจ้ากลับมา นานมากแล้วน้องชายที่เราไม่ได้เจอกัน” เพียงแค่ไม่นานนักจางหลงกับคนอื่นๆ ก็เดินทางมาถึง ก่อนที่สองพี่น้องจะสวมกอดกันเบาๆ ตามประสาพี่น้องที่สนิทกันมาก “ว่าแต่เจ้าดูตัวโตขึ้นมากเลยนะ เมื่อก่อนก็ว่าโตมากแล้ว ตอนนี้เจ้าไม่ต่างจากหมีป่าเลยทีเดียว”ฮ่า ฮ่า ฮ่า“ท่านไม่ต้องมาล้อข้าหรอกน่า ข้าเพียงแค่โชคดีนิดหน่อย ทำให้ได้ฝึกฝนวรยุทธ์มาบ้าง ร่างกายของข้าที่เคยโตมากอยู่แล้ว มันก็เลยเติบโตขึ้นตามไปด้วยมันก็เท่านั้นแหละ”“จริงหรือ!” อีกคนหนึ่งที่ตามมาด้วยก็ถึงกับตาเบิกกว้าง สำหรับคนธรรมดาๆ อย่างพวกเขาแล้ว การที่จะโชคดีได้รับเลือกเข้าสำนักยุทธนั้นเป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญ“สมแล้วกับที่ได้รับฉายาพญาเสือ”“...&rdqu
บทที่ 34 หา!!“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าอาจารย์ของเจ้า จะใจดีถึงขนาดซื้อของมากมายขนาดนี้ มอบให้แก่เจ้าเป็นของขวัญกลับบ้าน มันจะต้องใช้อีแปะมากมายเท่าไหร่กัน...”มองเห็นสิ่งของที่อัดแน่นเต็มจนล้นทั้งห้าสิบเล่มเกวียน จางหลงก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมากับน้องชาย หากเป็นเมื่อก่อนหน้านี้ ในตอนที่เขายังไม่เจอกับนางเซียนน้อย เขาก็คงจะดีใจจนกระโดดโลดเต้นไปแล้ว...“เรื่องนั้นท่านพี่ไม่ต้องเป็นห่วงเลย ถึงแม้อาจารย์ของข้าจะไม่ใช่คนที่ร่ำรวยที่สุดในสำนัก แต่ถึงอย่างนั้นการซื้อของเพียงแค่นี้ เขาสามารถจ่ายออกได้อย่างสบายๆ” จางหู่ตอบยิ้มยิ้ม “แล้วที่สำคัญก็คืออาจารย์ของข้ามิได้ใช้ตำลึงหรือเงินอีแปะ แบบที่พวกเราใช้แต่อย่างใด แต่ท่านตายออกด้วยหินวิญญาณก้อนเล็กที่สุดเพียงแค่หนึ่งก่อน ก็สามารถซื้อสิ่งของมากมายที่ท่านเห็นได้เลย”“หินวิญญาณอย่างนั้นหรือ... เจ้าไปอยู่ในสำน
บทที่ 35 สัตว์อสูร“...”จางหู่รู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก จนแทบอยากจะเอาหน้ามุดดินหนี รู้สึกเขินอายจนแทบจะไม่รู้ว่าควรจะวางตัวเช่นไรดีในเวลาแบบนี้ จึงพยายามอธิบายแก้เก้อไปอย่างนั้นเอง “ก็ข้าไม่รู้นี่ ใครจะไปคิดว่าสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งขนาดนี้จะไม่อยู่ในหมู่บ้านของเรา”ฮุม...เจ้าสังที่เพิ่งมาถึงครางฮูมในลำคอเบาๆ พลางบ่ายหน้าไปทางหมู่บ้าน ส่งสัญญาณให้ทุกคนเป็นเชิงบอกว่าต้องรีบกลับแล้ว“เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะเอาไว้คุยรายละเอียดกันทีหลัง ในตอนนี้เราทุกคนรีบกลับหมู่บ้านกันก่อน ก่อนที่จะมืดค่ำเถิดพวกเรามีเวลาอีกราวครึ่งชั่วยาม...” จางหลงกล่าวพลางหันไปหาเจ้าสังที่มองมาที่เขาอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน “ข้าขอให้ท่านช่วยปิดท้ายขบวนหน่อยนะครับ”“...”เจ
บทที่ 36 พี่น้อง“เสี่ยวเฉินคุณหนูยังไม่มาหรือ”พวกเขาเดินทางเร็วกว่ากำหนดนิดหน่อย จนสามารถเดินทางมาถึงหมู่บ้านก่อนเวลาพรบค่ำ จางหลงที่สอดส่ายสายตาไปมาก็ไม่พบเห็นเด็กหญิงเลย จึงได้เอ่ยถามเด็กๆ ที่กำลังวิ่งเล่นอยู่“คุณหนูยังไม่มาขอรับ เห็นพี่ต้าพังบอกว่าคุณกำลังยุ่งอยู่กับการเขียนตำรา น่าจะยังไม่ลงมาวันนี้ขอรับ” เด็กชายตัวน้อยกล่าว “ท่านลุงหลงมีอะไรหรือเปล่าครับ”“ไม่มีอะไรหรอกเจ้าไปเล่นก่อนเถอะ แต่ว่าเจ้าอย่าลืมกลับไปที่บ้านก่อนค่ำล่ะ เพราะว่าอีกเดี๋ยวมันก็จะค่ำแล้ว”“ทราบแล้วขอรับ” เด็กชายตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะวิ่งแจ้นหายลับไปเล่นกับเพื่อนๆ“จางหู่พี่ ขอให้เจ้าช่วยเก็บของทั้งหมดเอาไว้เปิดพรุ่งนี้ได้หรือไม่ ในเมื่อเจ้าเป็นคนที่หาสิ่งของทั้งหมดนี้มา แต่
บทที่ 37 ม้วนตำรา“ในที่สุดก็เสร็จสิ้นสักที นึกว่าข้าจะตายก่อนเสียแล้ว” หลังจากที่เขียนตัวอักษรสุดท้ายลงบนม้วนตำราเรียบร้อยแล้ว นางก็ถึงกับถอนหายใจยาวแล้วนอนแผ่กายลงบนฟูกหนังสัตว์ในช่วงสิบวันที่ผ่านมา นางลงมือลงแรงไปกับสิ่งที่เรียกว่าม้วนตำรานี้มากที่สุด เพราะหลังจากที่นางคิดใคร่ครวญมาพักใหญ่ และทบทวนความทรงจำที่มีอยู่ในตอนนี้ ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมตัวนางถึงสามารถจำมันได้อย่างชัดเจน ทั้งยังเข้าใจ อ่านออก เขียนได้ ทั้งๆที่ก่อนนางจะตายนั้นนางไม่เห็นจะจำได้เลยว่านางเคยเรียนรู้ภาษาจีนไปตั้งแต่เมื่อไหร่และตอนไหนแต่ในที่สุดนางก็สามารถสร้างม้วนตำรา ที่จะเอาไว้ใช้สอนเด็กๆได้สำเร็จย้อนความกลับไปก่อนหน้า ถึงแม้นางจะไม่รู้ว่าทำไมนางถึงสามารถเรียนรู้และเข้าใจภาษาจีนได้อย่างคล่องแคล่ว แต่นางก็พอจะจดจำได้ว่านางได้เรียนรู้วิธีการสร้างม้วนตำรานี้มาจากอินเทอร์เน็ต
บทที่ 38 ใจกลางความมืดมิด(1)“ต้าพัง วันนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง ไปเล่นกับคุณหนูสนุกไหม”ในทันทีที่จางต้าพังกลับมาถึงบ้าน เสียงที่ดูใจดีเป็นพิเศษของจางเหว่ยก็ลอยเข้ามา เมื่อเด็กชายหันไปเห็นบิดาที่กำลังนั่งเอนหลับตานิ่งอยู่บนเก้าอี้ ก็รีบตอบรับด้วยความตื่นเต้น เพราะนานมากแล้วที่เขาไม่ได้ยินน้ำเสียงใจดีของบิดา วันนี้จึงเป็นวันที่เด็กชายมีความสุขเป็นพิเศษ“สนุกมากเลยขอรับ วันนี้ในช่วงเช้าคุณหนูได้เริ่มสอนเรื่องตัวอักษร ให้พวกเราทุกคนในเรื่องเรียนกันบ้างแล้ว เห็นว่าพี่จางหลัว พี่จางซิ่ว นั้นมีพรสวรรค์ในการเรียนรู้สูงมาก คุณหนูก็เลยอยากจะสอนให้ทั้งสองเป็นผู้นำในการเล่าเรียนเกี่ยวกับตัวอักษรขอรับ”“เช่นนั้นหรือ แล้วคนอื่นๆ เล่าเป็นอย่างไรกันบ้าง”“ทุกคนก็ไม่ต่างจากค่าเลยขอรับ คุณหนูทั้งใจดี และใจเย็นกับพวกเรามากๆ
บทที่ 39 ใจกลางความมืดมิด(2)“...”เสียงนั้นไม่ได้ตอบอะไรกลับมา จางเว่ยที่อยู่อยู่ก็รู้สึกว่างเปล่า ขึ้นมาในช่วงขณะหนึ่ง ก็ได้ลุกออกจากบ้านไปยังบ้านของมารดา ที่ตอนนี้ทุกคนกำลังรับประทานมื้อเย็นกันอย่างสนุกสนานมองเหล่าบรรดาญาติพี่น้องพ่อแม่ลูกหลาน ทุกคนที่กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง หลังจากที่นานแล้วก็เข้าไม่ได้ฉลองกันพร้อมหน้าพร้อมตาเช่นนี้ ความรู้สึกหลากหลายมากมายตีกันอยู่ในอก จนจางเหว่ยไม่รู้แล้วว่าในตอนนี้ขอกำลังคิดอะไรอยู่ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ เขาที่มองอยู่อย่างนั้นก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลง เนื่องจากผ่านเวลาไปค่อนข้างนานมากแล้ว ทุกคนที่ดื่มกินกันจนอิ่มหนำสำราญ ก็ได้เริ่มแยกย้ายออกจากวงสนทนา...“...”จางเหว่ยเดินออกมาจากตรงนั้นอย่างเงียบเชียบ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้สองขาของเขา กำลังพาเขาไปยังสถานที่ใด...
บทที่ 40 ใจกลางความมืดมิด(3)“คุณหนูมาถึงแล้วหรือขอรับ” เสียงเรียกขานด้วยความยินดี ที่ดังมาจากปากของจางหลง โดยที่ด้านหลังของเขามีผู้คนเกือบทั้งหมู่บ้านมารวมตัวกันอยู่ “พวกเรากำลังรอกันอยู่พอดีเลยขอรับ”“...”เย่หัวถึงกับไปไม่เป็น เมื่อเห็นผู้คนคอยต้อนรับนางด้วยความยินดีแบบนี้ นางรีบลงจากหลังของเจ้าสัง มายืนเก้ๆ กังๆต่อหน้าของผู้คนจำนวนมากถึงก่อนหน้านี้จะเคยแอบลงมาพร้อมกับเด็กๆอยู่ครั้ง 2 ครั้ง ซึ่งในตอนนั้นก็ไม่ได้มีผู้คนมากมายขนาดนี้ เพราะนางแอบมาดูเด็กเด็กที่ได้เล่นกันอย่างมีความสุขในหมู่บ้านก็เท่านั้น แต่เมื่อต้องมาอยู่ในสภาวะแบบนี้แล้ว นางเองก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน“เจ้าหรือคือคุณหนูที่ผู้คนต่างนับถือ เจ้าเด็กตัวกะเปี๊ยกแค่นี้เนี่ยนะ มีอะไรวิเศษนักหนากัน...”ฮุมมมมจางหู่ที่แต่เด
บทที่ 39 ใจกลางความมืดมิด(2)“...”เสียงนั้นไม่ได้ตอบอะไรกลับมา จางเว่ยที่อยู่อยู่ก็รู้สึกว่างเปล่า ขึ้นมาในช่วงขณะหนึ่ง ก็ได้ลุกออกจากบ้านไปยังบ้านของมารดา ที่ตอนนี้ทุกคนกำลังรับประทานมื้อเย็นกันอย่างสนุกสนานมองเหล่าบรรดาญาติพี่น้องพ่อแม่ลูกหลาน ทุกคนที่กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง หลังจากที่นานแล้วก็เข้าไม่ได้ฉลองกันพร้อมหน้าพร้อมตาเช่นนี้ ความรู้สึกหลากหลายมากมายตีกันอยู่ในอก จนจางเหว่ยไม่รู้แล้วว่าในตอนนี้ขอกำลังคิดอะไรอยู่ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ เขาที่มองอยู่อย่างนั้นก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลง เนื่องจากผ่านเวลาไปค่อนข้างนานมากแล้ว ทุกคนที่ดื่มกินกันจนอิ่มหนำสำราญ ก็ได้เริ่มแยกย้ายออกจากวงสนทนา...“...”จางเหว่ยเดินออกมาจากตรงนั้นอย่างเงียบเชียบ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้สองขาของเขา กำลังพาเขาไปยังสถานที่ใด...
บทที่ 38 ใจกลางความมืดมิด(1)“ต้าพัง วันนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง ไปเล่นกับคุณหนูสนุกไหม”ในทันทีที่จางต้าพังกลับมาถึงบ้าน เสียงที่ดูใจดีเป็นพิเศษของจางเหว่ยก็ลอยเข้ามา เมื่อเด็กชายหันไปเห็นบิดาที่กำลังนั่งเอนหลับตานิ่งอยู่บนเก้าอี้ ก็รีบตอบรับด้วยความตื่นเต้น เพราะนานมากแล้วที่เขาไม่ได้ยินน้ำเสียงใจดีของบิดา วันนี้จึงเป็นวันที่เด็กชายมีความสุขเป็นพิเศษ“สนุกมากเลยขอรับ วันนี้ในช่วงเช้าคุณหนูได้เริ่มสอนเรื่องตัวอักษร ให้พวกเราทุกคนในเรื่องเรียนกันบ้างแล้ว เห็นว่าพี่จางหลัว พี่จางซิ่ว นั้นมีพรสวรรค์ในการเรียนรู้สูงมาก คุณหนูก็เลยอยากจะสอนให้ทั้งสองเป็นผู้นำในการเล่าเรียนเกี่ยวกับตัวอักษรขอรับ”“เช่นนั้นหรือ แล้วคนอื่นๆ เล่าเป็นอย่างไรกันบ้าง”“ทุกคนก็ไม่ต่างจากค่าเลยขอรับ คุณหนูทั้งใจดี และใจเย็นกับพวกเรามากๆ
บทที่ 37 ม้วนตำรา“ในที่สุดก็เสร็จสิ้นสักที นึกว่าข้าจะตายก่อนเสียแล้ว” หลังจากที่เขียนตัวอักษรสุดท้ายลงบนม้วนตำราเรียบร้อยแล้ว นางก็ถึงกับถอนหายใจยาวแล้วนอนแผ่กายลงบนฟูกหนังสัตว์ในช่วงสิบวันที่ผ่านมา นางลงมือลงแรงไปกับสิ่งที่เรียกว่าม้วนตำรานี้มากที่สุด เพราะหลังจากที่นางคิดใคร่ครวญมาพักใหญ่ และทบทวนความทรงจำที่มีอยู่ในตอนนี้ ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมตัวนางถึงสามารถจำมันได้อย่างชัดเจน ทั้งยังเข้าใจ อ่านออก เขียนได้ ทั้งๆที่ก่อนนางจะตายนั้นนางไม่เห็นจะจำได้เลยว่านางเคยเรียนรู้ภาษาจีนไปตั้งแต่เมื่อไหร่และตอนไหนแต่ในที่สุดนางก็สามารถสร้างม้วนตำรา ที่จะเอาไว้ใช้สอนเด็กๆได้สำเร็จย้อนความกลับไปก่อนหน้า ถึงแม้นางจะไม่รู้ว่าทำไมนางถึงสามารถเรียนรู้และเข้าใจภาษาจีนได้อย่างคล่องแคล่ว แต่นางก็พอจะจดจำได้ว่านางได้เรียนรู้วิธีการสร้างม้วนตำรานี้มาจากอินเทอร์เน็ต
บทที่ 36 พี่น้อง“เสี่ยวเฉินคุณหนูยังไม่มาหรือ”พวกเขาเดินทางเร็วกว่ากำหนดนิดหน่อย จนสามารถเดินทางมาถึงหมู่บ้านก่อนเวลาพรบค่ำ จางหลงที่สอดส่ายสายตาไปมาก็ไม่พบเห็นเด็กหญิงเลย จึงได้เอ่ยถามเด็กๆ ที่กำลังวิ่งเล่นอยู่“คุณหนูยังไม่มาขอรับ เห็นพี่ต้าพังบอกว่าคุณกำลังยุ่งอยู่กับการเขียนตำรา น่าจะยังไม่ลงมาวันนี้ขอรับ” เด็กชายตัวน้อยกล่าว “ท่านลุงหลงมีอะไรหรือเปล่าครับ”“ไม่มีอะไรหรอกเจ้าไปเล่นก่อนเถอะ แต่ว่าเจ้าอย่าลืมกลับไปที่บ้านก่อนค่ำล่ะ เพราะว่าอีกเดี๋ยวมันก็จะค่ำแล้ว”“ทราบแล้วขอรับ” เด็กชายตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะวิ่งแจ้นหายลับไปเล่นกับเพื่อนๆ“จางหู่พี่ ขอให้เจ้าช่วยเก็บของทั้งหมดเอาไว้เปิดพรุ่งนี้ได้หรือไม่ ในเมื่อเจ้าเป็นคนที่หาสิ่งของทั้งหมดนี้มา แต่
บทที่ 35 สัตว์อสูร“...”จางหู่รู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก จนแทบอยากจะเอาหน้ามุดดินหนี รู้สึกเขินอายจนแทบจะไม่รู้ว่าควรจะวางตัวเช่นไรดีในเวลาแบบนี้ จึงพยายามอธิบายแก้เก้อไปอย่างนั้นเอง “ก็ข้าไม่รู้นี่ ใครจะไปคิดว่าสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งขนาดนี้จะไม่อยู่ในหมู่บ้านของเรา”ฮุม...เจ้าสังที่เพิ่งมาถึงครางฮูมในลำคอเบาๆ พลางบ่ายหน้าไปทางหมู่บ้าน ส่งสัญญาณให้ทุกคนเป็นเชิงบอกว่าต้องรีบกลับแล้ว“เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะเอาไว้คุยรายละเอียดกันทีหลัง ในตอนนี้เราทุกคนรีบกลับหมู่บ้านกันก่อน ก่อนที่จะมืดค่ำเถิดพวกเรามีเวลาอีกราวครึ่งชั่วยาม...” จางหลงกล่าวพลางหันไปหาเจ้าสังที่มองมาที่เขาอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน “ข้าขอให้ท่านช่วยปิดท้ายขบวนหน่อยนะครับ”“...”เจ
บทที่ 34 หา!!“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าอาจารย์ของเจ้า จะใจดีถึงขนาดซื้อของมากมายขนาดนี้ มอบให้แก่เจ้าเป็นของขวัญกลับบ้าน มันจะต้องใช้อีแปะมากมายเท่าไหร่กัน...”มองเห็นสิ่งของที่อัดแน่นเต็มจนล้นทั้งห้าสิบเล่มเกวียน จางหลงก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมากับน้องชาย หากเป็นเมื่อก่อนหน้านี้ ในตอนที่เขายังไม่เจอกับนางเซียนน้อย เขาก็คงจะดีใจจนกระโดดโลดเต้นไปแล้ว...“เรื่องนั้นท่านพี่ไม่ต้องเป็นห่วงเลย ถึงแม้อาจารย์ของข้าจะไม่ใช่คนที่ร่ำรวยที่สุดในสำนัก แต่ถึงอย่างนั้นการซื้อของเพียงแค่นี้ เขาสามารถจ่ายออกได้อย่างสบายๆ” จางหู่ตอบยิ้มยิ้ม “แล้วที่สำคัญก็คืออาจารย์ของข้ามิได้ใช้ตำลึงหรือเงินอีแปะ แบบที่พวกเราใช้แต่อย่างใด แต่ท่านตายออกด้วยหินวิญญาณก้อนเล็กที่สุดเพียงแค่หนึ่งก่อน ก็สามารถซื้อสิ่งของมากมายที่ท่านเห็นได้เลย”“หินวิญญาณอย่างนั้นหรือ... เจ้าไปอยู่ในสำน
บทที่ 33 หญิงงามบ้านน้องสาวเจ้าสิ!“ข้าดีใจยิ่งขึ้นที่เจ้ากลับมา นานมากแล้วน้องชายที่เราไม่ได้เจอกัน” เพียงแค่ไม่นานนักจางหลงกับคนอื่นๆ ก็เดินทางมาถึง ก่อนที่สองพี่น้องจะสวมกอดกันเบาๆ ตามประสาพี่น้องที่สนิทกันมาก “ว่าแต่เจ้าดูตัวโตขึ้นมากเลยนะ เมื่อก่อนก็ว่าโตมากแล้ว ตอนนี้เจ้าไม่ต่างจากหมีป่าเลยทีเดียว”ฮ่า ฮ่า ฮ่า“ท่านไม่ต้องมาล้อข้าหรอกน่า ข้าเพียงแค่โชคดีนิดหน่อย ทำให้ได้ฝึกฝนวรยุทธ์มาบ้าง ร่างกายของข้าที่เคยโตมากอยู่แล้ว มันก็เลยเติบโตขึ้นตามไปด้วยมันก็เท่านั้นแหละ”“จริงหรือ!” อีกคนหนึ่งที่ตามมาด้วยก็ถึงกับตาเบิกกว้าง สำหรับคนธรรมดาๆ อย่างพวกเขาแล้ว การที่จะโชคดีได้รับเลือกเข้าสำนักยุทธนั้นเป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญ“สมแล้วกับที่ได้รับฉายาพญาเสือ”“...&rdqu
บทที่ 32 จางหู่“นี่มันเรื่องอะไรขึ้นกันแน่!!”เสียงร้องอันดังลั่นในทันทีที่เดินทางเข้ามาถึงประตูหมู่บ้านของ “จางหู่” ผู้ชายตัวใหญ่ยักษ์มีกล้ามเป็นมากๆ หมดเคราหงเผาตั้งชี้โด่ชี้เด่ ยิ่งตัดผมสั้นแล้วด้วยก็ยิ่งสามารถมองเห็นถึงความชี้ตรงของเส้นผมได้อย่างชัดเจน ดวงตาเองก็เป็นประกายคมกล้าราวพญาเสือ คิ้วตั้งเป็นสันดาบร่วมกับสันจมูกคมโด่งเป็นสง่า เมื่อรวมเข้ากับหนวดเคราและจอนผมที่เชื่อมต่อด้วยกันแล้ว หากจะอธิบายให้เข้าใจถึงรูปร่างหน้าตาของจางหู่ได้ง่ายที่สุดแล้ว ตัวเขานั้นแทบไม่ต่างไปจากเตียวหุยในหนังสือเรื่องสามก๊กเลยทีเดียวด้วยอุปนิสัยแต่เดิมที่โผงผางและผ่าเผย ไม่เคยเก็บเร้นสิ่งใดเอาไว้ในใจเลยแม้แต่ครั้งเดียว ในทันทีที่เขาได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน หลังจากที่เขาพยายามอยู่ข้างนอกมากว่าสามปีแล้ว มันก็ทำให้เขาอดที่จะตก