บทที่ 37 ม้วนตำรา
“ในที่สุดก็เสร็จสิ้นสักที นึกว่าข้าจะตายก่อนเสียแล้ว” หลังจากที่เขียนตัวอักษรสุดท้ายลงบนม้วนตำราเรียบร้อยแล้ว นางก็ถึงกับถอนหายใจยาวแล้วนอนแผ่กายลงบนฟูกหนังสัตว์
ในช่วงสิบวันที่ผ่านมา นางลงมือลงแรงไปกับสิ่งที่เรียกว่าม้วนตำรานี้มากที่สุด เพราะหลังจากที่นางคิดใคร่ครวญมาพักใหญ่ และทบทวนความทรงจำที่มีอยู่ในตอนนี้ ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมตัวนางถึงสามารถจำมันได้อย่างชัดเจน ทั้งยังเข้าใจ อ่านออก เขียนได้ ทั้งๆที่ก่อนนางจะตายนั้นนางไม่เห็นจะจำได้เลยว่านางเคยเรียนรู้ภาษาจีนไปตั้งแต่เมื่อไหร่และตอนไหน
แต่ในที่สุดนางก็สามารถสร้างม้วนตำรา ที่จะเอาไว้ใช้สอนเด็กๆได้สำเร็จ
ย้อนความกลับไปก่อนหน้า ถึงแม้นางจะไม่รู้ว่าทำไมนางถึงสามารถเรียนรู้และเข้าใจภาษาจีนได้อย่างคล่องแคล่ว แต่นางก็พอจะจดจำได้ว่านางได้เรียนรู้วิธีการสร้างม้วนตำรานี้มาจากอินเทอร์เน็ต
ในช่วงเวลาหนึ่งที่นางเคยอยากจะเข้าใจ การใช้ชีวิตอยู่แบบในหนังในซีรีย์ที่นางเคยดู ถึงจะเป็นเพียงแค่ช่วงสั้นๆ ช่วงหนึ่งในชีวิตของหน้า แต่นางเคยศึกษาการสร้างม้วนตำรานี้อย่างละเอียด
หากอิงตามยุคตามสมัยประวัติศาสตร์และก่อนประวัติศาสตร์แล้ว วัตถุชิ้นแรกๆที่ผู้คนใช้จดบันทึกเรื่องราวต่างๆ หากไม่นับต้นไม้แล้วก็ ผนังถ้ำ ต่างๆแล้ว ก็จะมีพวกกระดูก สัตว์หนังสัตว์ เกล็ด ที่ถูกบันทึกว่า เป็นตำราในช่วงแรกเริ่มที่สุด
แล้วหลังจากนั้นมาในช่วงยุคแรกของราชวงศ์จีนโบราณ ก็เริ่มมีการใช้ไม้ไผ่แทนสิ่งของอย่างกระดูกสัตว์หรือหนังสัตว์ เนื่องจากความยากง่ายในการจัดหา และการเก็บรักษาที่ง่ายกว่า อีกทั้งภาษาจีนเองก็เป็นหนึ่งในภาษาที่เขียนต่อกันลงมาในแนวตั้ง เมื่อตัวอักษรถูกบันทึกลงบนแผ่นไม้ไผ่ แล้วม้วนเก็บต่อๆกันด้วยเชือกป่านหรือเส้นไหม มันก็จะง่ายต่อผู้ที่จะทำการศึกษาในภายหลัง
วิธีทำเองก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร ก็เพียงแค่ตัดไม้ไผ่มาแล้วผ่า ออกตามขนาดที่ต้องการ นำไปเหลาเอาคมออกแล้วตากให้แห้ง จากนั้นใช้เส้นไหม หรือเชือกป่านเท่าที่พอจะหาได้ มาร้อยเรียงต่อๆกันตามจำนวนที่ต้องการ ส่วนจะมากจะน้อยนั้นก็ขึ้นอยู่กับความหนาของไม้ไผ่ หรือความต้องการของผู้ใช้
ในส่วนของวิธีการทำน้ำหมึกนั้นก็ง่ายไม่แพ้กัน นั่นก็คือการใช้ถ่านของกองไฟที่เหลือจากการเผาไหม้ นำไปบดเป็นผงทิ้งเอาไว้ แล้วจัดทำกาวที่เอาไว้ใช้ในการเชื่อมประสานน้ำหมึกให้เข้มข้น โดยการนำกระดูกสัตว์ หนังสัตว์ และพืชที่มียางเหนียว มาต้มเข้าด้วยกันจนกลายเป็นน้ำเหนียวหนืด เมื่อได้ที่แล้วก็นำไปผสมกับผงถ่านไฟ ก็จะกลายเป็นน้ำหมึกที่พอจะสามารถทนต่อการกระทบกระเทือนได้บ้าง
เมื่อได้ทั้งม้วนตำราและน้ำหมึกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เย่หัวก็ใช้เวลาในตลอดช่วงสิบวันที่ผ่านมา เพื่อทำการจดบันทึกตัวอักษร ต่างๆ ไปตลอดจนถึงสิ่งที่นางคิดว่าจำเป็นต่อการเรียนรู้ของเด็กๆ ที่มีทั้งตัวเลขฮินดูอาราบิก ซึ่งนิยมใช้กันในโลกปัจจุบัน เนื่องจากว่ามันง่ายในการคิดคำนวณมากกว่าตัวสอนภาษาจีน
นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีบันทึกเรื่องของวัน เวลา ฤดูกาล ค่าเงิน มาตรวัดระยะต่างๆ มาตราวัดพื้นที่ และข้อมูลปลีกย่อยทั้งหมด เท่าที่นางพอจะนึกออก
ซึ่งนางคิดเอาไว้แล้วว่า ก่อนหน้าหนาว จะมาถึงโดยสมบูรณ์ นางจะขอให้พวกผู้ใหญ่ในหมู่บ้านช่วยขึ้นไปตัดไม้ไผ่ให้นางมาเพิ่ม เพราะอย่างน้อยที่สุดมันก็ควรจะมีตำราแบบนี้อีกหลายชุด เพื่อให้เด็กๆทุกคนในหมู่บ้านสามารถเรียนรู้และเข้าใจ ได้ แล้วเพื่อว่าเผื่อผู้ใหญ่เองก็ต้องการจะเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ ก็จะได้ไม่ต้องมายื้อแย่งตำราชุดเดียวนี้กัน
ส่วนในเรื่องของความปลอดภัยที่ผู้คนหวั่นเกรงสำหรับการขึ้นเขา นางก็แค่ให้เจ้าสังเป็นผู้คุ้มกันตามขึ้นไปด้วย ก็คงจะสามารถแก้ไขปัญหาในส่วนนี้ได้
ซึ่งในระหว่างนั้นเองนางก็อยากที่จะสอนให้เด็กๆ เรียนรู้และเข้าใจตัวอักษรเหล่านี้ก่อน เพราะนางก็ไม่คิดที่จะคัดลอกตัวอักษรทั้งหมดลงไปในม้วน ตำราอีกหลายๆชุดเช่นเดียวกัน
ถ้าหากไม่ติดว่านี่เป็นความต้องการของตัวนางเอกแล้วล่ะก็ จริงๆนางก็แทบจะถอดใจไปตั้งแต่เขียนตำราม้วนแรกแล้ว...
“เสร็จแล้วก็พอเท่านี้ดีกว่า ปวดเนื้อปวดตัวไปหมดเลย” นางเปรยกับตัวเองเบาๆ “รีบเข้านอนดีกว่าพรุ่งนี้จะได้เข้าหมู่บ้านแต่เช้า เห็นว่าน้องของหัวหน้าหมู่บ้านกลับมาด้วย แถมยังเอาของกลับมามากมาย เผื่อจะมีอะไรที่ข้าอยากได้สักอย่างสองอย่าง...
ถ้ามีพวกเครื่องปรุงเครื่องเทศมาบ้างก็คงจะดี กินแต่อาหารเดิมๆ เบื่อจะแย่อยู่แล้ว”
.................................
บทที่ 38 ใจกลางความมืดมิด(1)“ต้าพัง วันนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง ไปเล่นกับคุณหนูสนุกไหม”ในทันทีที่จางต้าพังกลับมาถึงบ้าน เสียงที่ดูใจดีเป็นพิเศษของจางเหว่ยก็ลอยเข้ามา เมื่อเด็กชายหันไปเห็นบิดาที่กำลังนั่งเอนหลับตานิ่งอยู่บนเก้าอี้ ก็รีบตอบรับด้วยความตื่นเต้น เพราะนานมากแล้วที่เขาไม่ได้ยินน้ำเสียงใจดีของบิดา วันนี้จึงเป็นวันที่เด็กชายมีความสุขเป็นพิเศษ“สนุกมากเลยขอรับ วันนี้ในช่วงเช้าคุณหนูได้เริ่มสอนเรื่องตัวอักษร ให้พวกเราทุกคนในเรื่องเรียนกันบ้างแล้ว เห็นว่าพี่จางหลัว พี่จางซิ่ว นั้นมีพรสวรรค์ในการเรียนรู้สูงมาก คุณหนูก็เลยอยากจะสอนให้ทั้งสองเป็นผู้นำในการเล่าเรียนเกี่ยวกับตัวอักษรขอรับ”“เช่นนั้นหรือ แล้วคนอื่นๆ เล่าเป็นอย่างไรกันบ้าง”“ทุกคนก็ไม่ต่างจากค่าเลยขอรับ คุณหนูทั้งใจดี และใจเย็นกับพวกเรามากๆ
บทที่ 39 ใจกลางความมืดมิด(2)“...”เสียงนั้นไม่ได้ตอบอะไรกลับมา จางเว่ยที่อยู่อยู่ก็รู้สึกว่างเปล่า ขึ้นมาในช่วงขณะหนึ่ง ก็ได้ลุกออกจากบ้านไปยังบ้านของมารดา ที่ตอนนี้ทุกคนกำลังรับประทานมื้อเย็นกันอย่างสนุกสนานมองเหล่าบรรดาญาติพี่น้องพ่อแม่ลูกหลาน ทุกคนที่กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง หลังจากที่นานแล้วก็เข้าไม่ได้ฉลองกันพร้อมหน้าพร้อมตาเช่นนี้ ความรู้สึกหลากหลายมากมายตีกันอยู่ในอก จนจางเหว่ยไม่รู้แล้วว่าในตอนนี้ขอกำลังคิดอะไรอยู่ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ เขาที่มองอยู่อย่างนั้นก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลง เนื่องจากผ่านเวลาไปค่อนข้างนานมากแล้ว ทุกคนที่ดื่มกินกันจนอิ่มหนำสำราญ ก็ได้เริ่มแยกย้ายออกจากวงสนทนา...“...”จางเหว่ยเดินออกมาจากตรงนั้นอย่างเงียบเชียบ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้สองขาของเขา กำลังพาเขาไปยังสถานที่ใด...
บทที่ 40 ใจกลางความมืดมิด(3)“คุณหนูมาถึงแล้วหรือขอรับ” เสียงเรียกขานด้วยความยินดี ที่ดังมาจากปากของจางหลง โดยที่ด้านหลังของเขามีผู้คนเกือบทั้งหมู่บ้านมารวมตัวกันอยู่ “พวกเรากำลังรอกันอยู่พอดีเลยขอรับ”“...”เย่หัวถึงกับไปไม่เป็น เมื่อเห็นผู้คนคอยต้อนรับนางด้วยความยินดีแบบนี้ นางรีบลงจากหลังของเจ้าสัง มายืนเก้ๆ กังๆต่อหน้าของผู้คนจำนวนมากถึงก่อนหน้านี้จะเคยแอบลงมาพร้อมกับเด็กๆอยู่ครั้ง 2 ครั้ง ซึ่งในตอนนั้นก็ไม่ได้มีผู้คนมากมายขนาดนี้ เพราะนางแอบมาดูเด็กเด็กที่ได้เล่นกันอย่างมีความสุขในหมู่บ้านก็เท่านั้น แต่เมื่อต้องมาอยู่ในสภาวะแบบนี้แล้ว นางเองก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน“เจ้าหรือคือคุณหนูที่ผู้คนต่างนับถือ เจ้าเด็กตัวกะเปี๊ยกแค่นี้เนี่ยนะ มีอะไรวิเศษนักหนากัน...”ฮุมมมมจางหู่ที่แต่เด
บทที่ 41 ใจกลางความมืดมิด(จบ)เย่หัวเองก็สงสัยเหมือนกัน เพราะถึงอย่างไรนางก็ไม่ใช่เด็กเหมือนกับร่างกายนี้แล้ว ต่อให้หากเทียบเวลาแล้วจริงๆนางจะเป็นเพียงแค่เด็กมากๆ สำหรับพวกเขาทุกคนก็เถอะ แต่ถึงอย่างนั้นประสบการณ์ชีวิตของนางก็มีมากไม่น้อยเช่นเดียวกัน“ในเมื่อท่านหัวหน้าหมู่บ้านบอกว่ามีมิได้มีเจตนาร้ายต่อข้า เช่นนั้นก็สามารถบอกได้เลยเจ้าค่ะ ข้ามิได้โกรธเคืองผู้ใดโดยไร้เหตุผลอย่างแน่นอน ทุกคนก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้ว”“ถ้าอย่างนั้นข้าขออนุญาตเล่านะขอรับ...”หลังจากนั้นจางหลงจึงได้อธิบายเรื่องราวทั้งหมด ที่เขาได้ทดลองตลอดช่วงเวลาสิบกว่าวันที่ผ่านมาอย่างแรกเลยก็คือเขาลองให้คนเอาสิ่งของที่เย่หัวมอบให้ ทั้งหัวมัน เนื้อสัตว์ ของกินเล่น ไม่ว่าจะเป็นขนม หรือแม้แต่พวกมันตากแห้งมันทอดทั้งหลายเท่าที่พอจะรวบรวมได้ แล้วให้คนเอาออกไปนอกหมู่บ้านโดยพลการ โดยไม่มีการบอกต่อนางก่อ
ณ ห้วงแห่งความว่างเปล่า ดวงจิตดวงหนึ่งกำลังล่องลอยอย่างไร้ซึ่งจุดหมาย ราวกับว่ามันได้ถูกพรากออกมาจากเส้นทางที่ควรจะมุ่งไป แล้วกำลังล่องลอยอยู่อย่างนั้นมาได้ระยะเวลาหนึ่งแล้ว...“อีปลวก อีปลวก มึงได้ยินกูไหมเนี่ย” น้ำเสียงที่คุ้นหูคับคล้ายคับคลา ที่ส่งมาจากห้วงอากาศโดยรอบ ทำให้ดวงจิตดวงนั้นเริ่มก่อร่างกลายมาเป็นดวงจิตรูปร่างคล้ายมนุษย์เพศหญิง “เสียงใครเนี่ย...”“ก็กูไง!” เสียงนั้นตอบกลับมาดังลั่น จนสามารถบอกได้เพียงแค่ได้ยินว่าอีกฝ่ายนั้นดีใจมากแค่ไหน “นี่มึงจำเสียงกูไม่ได้จริงๆ หรอ”“ห๊ะ...”“ถ้าหน้ากูมึงจะไม่คุ้นเคยก็ไม่แปลกหรอก แต่เสียงกูมึงต้องคุ้นสิ ก็กูเป็นเพื่อนคนเดียวของมึงที่ด่ามึงยิ่งกว่าพ่อยิ่งกว่าแม่มึงอีก มึงจำกูไม่ได้จริงๆ อะ”“...”หลังจากที่นึกไปนึกมาอยู่ครู่หนึ่ง เสียงที่แสนคุ้นเคยกับสำเนียงเสียงพูดเล่นหัวไม่สนใจเพศและอายุที่เป็นเอกลักษณ์ ก็ทำให้ดวงจิตดวงนั้นค่อยๆ กระจ่างแจ้งว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นใคร...แต่นั่นแหละที่มันไม่ควรที่จะเป็นไปได้แม้แต่น้อย เพราะเจ้าของเสียงมันตายไปตั้งแต่ปีที่แล้ว!‘เป็นไปไม่ได้!’“เป็นไปได้สิทำไมจะเป็นไปได้ ก็กูพูดอยู่เนี่ย”“...” “ถ้าอ
ก่อนที่เราจะไปเข้าสู่เนื้อหาของเรื่องกัน เราจะมาพูดคุยกันก่อนนะ และเฉพาะในตอนนี้ถ้าหากใครมีคำถามอะไรสามารถถามมาได้เลย ผมจะกลับมาตอบให้จ้าเรื่องแรกที่อยากให้ทุกคนเข้าใจตรงกันก็คือ วัน-เวลา เนื่องจากผมจะสร้างโลกใบใหม่ที่แตกต่างจากโลกนี้โดยสิ้นเชิงเลย สิ่งแรกที่อยากจะทำความเข้าใจก็คือแต่ละวันนั้นจะยาวนานขึ้นสิบเท่า กล่าวคือในแต่ละชั่วยามจะยาวนานกว่า20ชั่วโมง และที่สำคัญก็คือแต่ละปีจะยาวนาน1200วัน(เดือนละ100วัน12เดือน) แต่ก็ยังยังคงแบ่งเป็น4ฤดูตามประเทศจีน และสกุลเงินเองก็เช่นเดียวกัน ส่วนเหตุผลทั้งหมดจะค่อยๆ อธิบายไปในเรื่องจ้า แต่เพื่อไม่ใช้นักอ่านงุนงงสงสัยเกี่ยวกับการเดินเรื่องที่อาจจะแปลกๆ ไปจากที่เคยผ่านตามา แต่รับรองว่าจะไม่งงแน่นอนจ้า ส่วนรายละเอียดของ เวลา ค่าเงิน และระยะทางก็ตามนี้เลยเวลาในสมัยโบราณ คนจีนจะแบ่งเวลา 1 วันเป็น 12 ชั่วยาม ดังนั้น เมื่อเทียบกับเวลาสากล 1 ชั่วยามจึงเท่ากับ 2 ชั่วโมง โดยจะเริ่มนับชั่วยามแรกตั้งแต่เวลา 00.01-02.00 น. และนับต่อไปเรื่อย ๆ จนครบ 12 ชั่วยามชั่วยาม (时辰:shíchén)ยามจื่อ (子:zǐ) คือ 23.00 – 24.59 น.ยามโฉ่ว (丑:chǒu) คือ 01.00 – 02.59 น.ย
“...”ร่างเล็กกระพริบตาถี่ๆ ทันทีที่รู้สึกตัวขึ้นมาก็รู้ตัวว่าตนเองกำลังนอนอยู่ที่ไหนสักแห่ง จึงได้พยายามที่จะลืมตาขึ้นมา แล้วลุกขึ้นนั่งเพื่อสำรวจรอบๆ“ไม่ยักกะเจ็บแฮะ ปกติถ้าตามนิยายที่ไอ้ชามันเอาให้อ่าน ถ้าไม่ปวดหัวเหมือนหัวจะแตก ก็ต้องบาดเจ็บเป็นไข้ใกล้ตายอะไรสักอย่าง แต่นี่ไม่เห็นรู้สึกแปลกๆอะไรเลย...”พูดได้เท่านั้นแหละนางก็ต้องหุบปากเงียบก่อนที่จะพยายามหาที่หลบให้มิดชิด เพราะตอนนี้ได้ยินเสียงเหมือนกับผู้คนจำนวนมากกำลังวิ่งมาทางนี้ แต่ก็เหมือนว่ามันจะไร้ผลเพราะไม่ว่านางจะพยายามสักแค่ไหนก็ไม่สามารถหลุดออกจากกำแพงอากาศโปร่งใสที่รายล้อมนางอยู่นี่ได้เสียที ทำได้แค่ก้มหน้าก้มตารับชะตากรรมที่กำลังจะมาถึง“ไอ้เพื่อนเวร ส่งมาทั้งทีทำไมไม่ส่งไปที่ที่ปลอดภัยหน่อยวะ...ห๊ะ” ในตอแรกนางก็ไม่ได้สังเกตเลยว่าเสียงของตัวเองเล็กลงอย่างน่าใจหาย แต่มันกลับหวานใสปานแก้วเนื้อดีไพเราะน่าฟังสมวัย แต่ก่อนที่นางจะทันได้คิดอะไร ก็ต้องหยุดชะงักเพราะในตอนนี้กลุ่มคนแปลกหน้าได้มาหยุดรายลอมนางเอาไว้เสียแล้ว“...” แต่คงเป็นเพราะกำแพงอากาศโปร่งใสนี่ทำให้คนพวกนั้นมองไม่เห็นนาง แล้วยังอยู่เยื้องออกมานิดหน่อย ทำให้
บทที่ 2 ความทรงจำที่ขาดหายหลังจากที่กลุ่มคนจากไปจนหมดไม่เหลือใครเนิ่นนานหลายสิบหลายร้อยลมหายใจ กว่าที่ทิพย์จะหายจากอาการตกใจจนสามารถกลับมามีสติอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะภาพติดตาที่ยังคงชัดเจนหรือว่าเพราะอะไรกันแน่ นางก็สำรอกน้ำย่อยออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด กว่าครู่ใหญ่ที่นางจะสามารถกลับมาเป็นปกติได้“หนี!!”เป็นคำแรกที่หลุดออกมาจากปากของนาง หลังจากที่เหมือนว่านางลืมการพูดจาไปแล้วพักใหญ่ และสิ่งที่นางทำเป็นอย่างแรกก็คือการวิ่งไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับทิศที่คนพวกนั้นเดินจากไปอย่างสุดชีวิต“ทำไมถึงได้แรงเยอะจัง...” เสียงเล็กๆ ที่หลุดออกมาจากปากของเด็กหญิงบ่งบอกได้ถึงความสงสัยอย่างไม่สามารถปกปิดได้ต้องย้อนกลับไปก่อนว่าแม้แต่ก่อนหน้าที่นางจะหลุดมายังโลกใบนี้ นางก็เป็นเพียงแค่ผู้หญิงธรรมดาๆ ที่ไม่ได้แข็งแรงอะไรมากมาย ซ้ำยังมีโรคข้อเข่าที่เป็นมาตั้งแต่สาวๆ แล้ว ทำให้นางเดินเหินไม่ค่อยจะสดวกนักหรือต่อให้นี่เป็นร่างใหม่ที่เด็กลงมากว่าสมัยก่อนมาก ฟังแค่เสียงก็รู้แล้วว่าเด็กแค่ไหน ที่สำคัญต่อให้นางไม่มีความทรงจำเก่าๆ อยู่เลย แต่ดูจากปฏิกิริยาของชายชราและกลุ่มคนแล้ว ที่คนพวกนั้นบอกว่านางอายุแ
บทที่ 41 ใจกลางความมืดมิด(จบ)เย่หัวเองก็สงสัยเหมือนกัน เพราะถึงอย่างไรนางก็ไม่ใช่เด็กเหมือนกับร่างกายนี้แล้ว ต่อให้หากเทียบเวลาแล้วจริงๆนางจะเป็นเพียงแค่เด็กมากๆ สำหรับพวกเขาทุกคนก็เถอะ แต่ถึงอย่างนั้นประสบการณ์ชีวิตของนางก็มีมากไม่น้อยเช่นเดียวกัน“ในเมื่อท่านหัวหน้าหมู่บ้านบอกว่ามีมิได้มีเจตนาร้ายต่อข้า เช่นนั้นก็สามารถบอกได้เลยเจ้าค่ะ ข้ามิได้โกรธเคืองผู้ใดโดยไร้เหตุผลอย่างแน่นอน ทุกคนก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้ว”“ถ้าอย่างนั้นข้าขออนุญาตเล่านะขอรับ...”หลังจากนั้นจางหลงจึงได้อธิบายเรื่องราวทั้งหมด ที่เขาได้ทดลองตลอดช่วงเวลาสิบกว่าวันที่ผ่านมาอย่างแรกเลยก็คือเขาลองให้คนเอาสิ่งของที่เย่หัวมอบให้ ทั้งหัวมัน เนื้อสัตว์ ของกินเล่น ไม่ว่าจะเป็นขนม หรือแม้แต่พวกมันตากแห้งมันทอดทั้งหลายเท่าที่พอจะรวบรวมได้ แล้วให้คนเอาออกไปนอกหมู่บ้านโดยพลการ โดยไม่มีการบอกต่อนางก่อ
บทที่ 40 ใจกลางความมืดมิด(3)“คุณหนูมาถึงแล้วหรือขอรับ” เสียงเรียกขานด้วยความยินดี ที่ดังมาจากปากของจางหลง โดยที่ด้านหลังของเขามีผู้คนเกือบทั้งหมู่บ้านมารวมตัวกันอยู่ “พวกเรากำลังรอกันอยู่พอดีเลยขอรับ”“...”เย่หัวถึงกับไปไม่เป็น เมื่อเห็นผู้คนคอยต้อนรับนางด้วยความยินดีแบบนี้ นางรีบลงจากหลังของเจ้าสัง มายืนเก้ๆ กังๆต่อหน้าของผู้คนจำนวนมากถึงก่อนหน้านี้จะเคยแอบลงมาพร้อมกับเด็กๆอยู่ครั้ง 2 ครั้ง ซึ่งในตอนนั้นก็ไม่ได้มีผู้คนมากมายขนาดนี้ เพราะนางแอบมาดูเด็กเด็กที่ได้เล่นกันอย่างมีความสุขในหมู่บ้านก็เท่านั้น แต่เมื่อต้องมาอยู่ในสภาวะแบบนี้แล้ว นางเองก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน“เจ้าหรือคือคุณหนูที่ผู้คนต่างนับถือ เจ้าเด็กตัวกะเปี๊ยกแค่นี้เนี่ยนะ มีอะไรวิเศษนักหนากัน...”ฮุมมมมจางหู่ที่แต่เด
บทที่ 39 ใจกลางความมืดมิด(2)“...”เสียงนั้นไม่ได้ตอบอะไรกลับมา จางเว่ยที่อยู่อยู่ก็รู้สึกว่างเปล่า ขึ้นมาในช่วงขณะหนึ่ง ก็ได้ลุกออกจากบ้านไปยังบ้านของมารดา ที่ตอนนี้ทุกคนกำลังรับประทานมื้อเย็นกันอย่างสนุกสนานมองเหล่าบรรดาญาติพี่น้องพ่อแม่ลูกหลาน ทุกคนที่กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง หลังจากที่นานแล้วก็เข้าไม่ได้ฉลองกันพร้อมหน้าพร้อมตาเช่นนี้ ความรู้สึกหลากหลายมากมายตีกันอยู่ในอก จนจางเหว่ยไม่รู้แล้วว่าในตอนนี้ขอกำลังคิดอะไรอยู่ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ เขาที่มองอยู่อย่างนั้นก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลง เนื่องจากผ่านเวลาไปค่อนข้างนานมากแล้ว ทุกคนที่ดื่มกินกันจนอิ่มหนำสำราญ ก็ได้เริ่มแยกย้ายออกจากวงสนทนา...“...”จางเหว่ยเดินออกมาจากตรงนั้นอย่างเงียบเชียบ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้สองขาของเขา กำลังพาเขาไปยังสถานที่ใด...
บทที่ 38 ใจกลางความมืดมิด(1)“ต้าพัง วันนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง ไปเล่นกับคุณหนูสนุกไหม”ในทันทีที่จางต้าพังกลับมาถึงบ้าน เสียงที่ดูใจดีเป็นพิเศษของจางเหว่ยก็ลอยเข้ามา เมื่อเด็กชายหันไปเห็นบิดาที่กำลังนั่งเอนหลับตานิ่งอยู่บนเก้าอี้ ก็รีบตอบรับด้วยความตื่นเต้น เพราะนานมากแล้วที่เขาไม่ได้ยินน้ำเสียงใจดีของบิดา วันนี้จึงเป็นวันที่เด็กชายมีความสุขเป็นพิเศษ“สนุกมากเลยขอรับ วันนี้ในช่วงเช้าคุณหนูได้เริ่มสอนเรื่องตัวอักษร ให้พวกเราทุกคนในเรื่องเรียนกันบ้างแล้ว เห็นว่าพี่จางหลัว พี่จางซิ่ว นั้นมีพรสวรรค์ในการเรียนรู้สูงมาก คุณหนูก็เลยอยากจะสอนให้ทั้งสองเป็นผู้นำในการเล่าเรียนเกี่ยวกับตัวอักษรขอรับ”“เช่นนั้นหรือ แล้วคนอื่นๆ เล่าเป็นอย่างไรกันบ้าง”“ทุกคนก็ไม่ต่างจากค่าเลยขอรับ คุณหนูทั้งใจดี และใจเย็นกับพวกเรามากๆ
บทที่ 37 ม้วนตำรา“ในที่สุดก็เสร็จสิ้นสักที นึกว่าข้าจะตายก่อนเสียแล้ว” หลังจากที่เขียนตัวอักษรสุดท้ายลงบนม้วนตำราเรียบร้อยแล้ว นางก็ถึงกับถอนหายใจยาวแล้วนอนแผ่กายลงบนฟูกหนังสัตว์ในช่วงสิบวันที่ผ่านมา นางลงมือลงแรงไปกับสิ่งที่เรียกว่าม้วนตำรานี้มากที่สุด เพราะหลังจากที่นางคิดใคร่ครวญมาพักใหญ่ และทบทวนความทรงจำที่มีอยู่ในตอนนี้ ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมตัวนางถึงสามารถจำมันได้อย่างชัดเจน ทั้งยังเข้าใจ อ่านออก เขียนได้ ทั้งๆที่ก่อนนางจะตายนั้นนางไม่เห็นจะจำได้เลยว่านางเคยเรียนรู้ภาษาจีนไปตั้งแต่เมื่อไหร่และตอนไหนแต่ในที่สุดนางก็สามารถสร้างม้วนตำรา ที่จะเอาไว้ใช้สอนเด็กๆได้สำเร็จย้อนความกลับไปก่อนหน้า ถึงแม้นางจะไม่รู้ว่าทำไมนางถึงสามารถเรียนรู้และเข้าใจภาษาจีนได้อย่างคล่องแคล่ว แต่นางก็พอจะจดจำได้ว่านางได้เรียนรู้วิธีการสร้างม้วนตำรานี้มาจากอินเทอร์เน็ต
บทที่ 36 พี่น้อง“เสี่ยวเฉินคุณหนูยังไม่มาหรือ”พวกเขาเดินทางเร็วกว่ากำหนดนิดหน่อย จนสามารถเดินทางมาถึงหมู่บ้านก่อนเวลาพรบค่ำ จางหลงที่สอดส่ายสายตาไปมาก็ไม่พบเห็นเด็กหญิงเลย จึงได้เอ่ยถามเด็กๆ ที่กำลังวิ่งเล่นอยู่“คุณหนูยังไม่มาขอรับ เห็นพี่ต้าพังบอกว่าคุณกำลังยุ่งอยู่กับการเขียนตำรา น่าจะยังไม่ลงมาวันนี้ขอรับ” เด็กชายตัวน้อยกล่าว “ท่านลุงหลงมีอะไรหรือเปล่าครับ”“ไม่มีอะไรหรอกเจ้าไปเล่นก่อนเถอะ แต่ว่าเจ้าอย่าลืมกลับไปที่บ้านก่อนค่ำล่ะ เพราะว่าอีกเดี๋ยวมันก็จะค่ำแล้ว”“ทราบแล้วขอรับ” เด็กชายตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะวิ่งแจ้นหายลับไปเล่นกับเพื่อนๆ“จางหู่พี่ ขอให้เจ้าช่วยเก็บของทั้งหมดเอาไว้เปิดพรุ่งนี้ได้หรือไม่ ในเมื่อเจ้าเป็นคนที่หาสิ่งของทั้งหมดนี้มา แต่
บทที่ 35 สัตว์อสูร“...”จางหู่รู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก จนแทบอยากจะเอาหน้ามุดดินหนี รู้สึกเขินอายจนแทบจะไม่รู้ว่าควรจะวางตัวเช่นไรดีในเวลาแบบนี้ จึงพยายามอธิบายแก้เก้อไปอย่างนั้นเอง “ก็ข้าไม่รู้นี่ ใครจะไปคิดว่าสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งขนาดนี้จะไม่อยู่ในหมู่บ้านของเรา”ฮุม...เจ้าสังที่เพิ่งมาถึงครางฮูมในลำคอเบาๆ พลางบ่ายหน้าไปทางหมู่บ้าน ส่งสัญญาณให้ทุกคนเป็นเชิงบอกว่าต้องรีบกลับแล้ว“เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะเอาไว้คุยรายละเอียดกันทีหลัง ในตอนนี้เราทุกคนรีบกลับหมู่บ้านกันก่อน ก่อนที่จะมืดค่ำเถิดพวกเรามีเวลาอีกราวครึ่งชั่วยาม...” จางหลงกล่าวพลางหันไปหาเจ้าสังที่มองมาที่เขาอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน “ข้าขอให้ท่านช่วยปิดท้ายขบวนหน่อยนะครับ”“...”เจ
บทที่ 34 หา!!“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าอาจารย์ของเจ้า จะใจดีถึงขนาดซื้อของมากมายขนาดนี้ มอบให้แก่เจ้าเป็นของขวัญกลับบ้าน มันจะต้องใช้อีแปะมากมายเท่าไหร่กัน...”มองเห็นสิ่งของที่อัดแน่นเต็มจนล้นทั้งห้าสิบเล่มเกวียน จางหลงก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมากับน้องชาย หากเป็นเมื่อก่อนหน้านี้ ในตอนที่เขายังไม่เจอกับนางเซียนน้อย เขาก็คงจะดีใจจนกระโดดโลดเต้นไปแล้ว...“เรื่องนั้นท่านพี่ไม่ต้องเป็นห่วงเลย ถึงแม้อาจารย์ของข้าจะไม่ใช่คนที่ร่ำรวยที่สุดในสำนัก แต่ถึงอย่างนั้นการซื้อของเพียงแค่นี้ เขาสามารถจ่ายออกได้อย่างสบายๆ” จางหู่ตอบยิ้มยิ้ม “แล้วที่สำคัญก็คืออาจารย์ของข้ามิได้ใช้ตำลึงหรือเงินอีแปะ แบบที่พวกเราใช้แต่อย่างใด แต่ท่านตายออกด้วยหินวิญญาณก้อนเล็กที่สุดเพียงแค่หนึ่งก่อน ก็สามารถซื้อสิ่งของมากมายที่ท่านเห็นได้เลย”“หินวิญญาณอย่างนั้นหรือ... เจ้าไปอยู่ในสำน
บทที่ 33 หญิงงามบ้านน้องสาวเจ้าสิ!“ข้าดีใจยิ่งขึ้นที่เจ้ากลับมา นานมากแล้วน้องชายที่เราไม่ได้เจอกัน” เพียงแค่ไม่นานนักจางหลงกับคนอื่นๆ ก็เดินทางมาถึง ก่อนที่สองพี่น้องจะสวมกอดกันเบาๆ ตามประสาพี่น้องที่สนิทกันมาก “ว่าแต่เจ้าดูตัวโตขึ้นมากเลยนะ เมื่อก่อนก็ว่าโตมากแล้ว ตอนนี้เจ้าไม่ต่างจากหมีป่าเลยทีเดียว”ฮ่า ฮ่า ฮ่า“ท่านไม่ต้องมาล้อข้าหรอกน่า ข้าเพียงแค่โชคดีนิดหน่อย ทำให้ได้ฝึกฝนวรยุทธ์มาบ้าง ร่างกายของข้าที่เคยโตมากอยู่แล้ว มันก็เลยเติบโตขึ้นตามไปด้วยมันก็เท่านั้นแหละ”“จริงหรือ!” อีกคนหนึ่งที่ตามมาด้วยก็ถึงกับตาเบิกกว้าง สำหรับคนธรรมดาๆ อย่างพวกเขาแล้ว การที่จะโชคดีได้รับเลือกเข้าสำนักยุทธนั้นเป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญ“สมแล้วกับที่ได้รับฉายาพญาเสือ”“...&rdqu