บทที่ 37 ม้วนตำรา
“ในที่สุดก็เสร็จสิ้นสักที นึกว่าข้าจะตายก่อนเสียแล้ว” หลังจากที่เขียนตัวอักษรสุดท้ายลงบนม้วนตำราเรียบร้อยแล้ว นางก็ถึงกับถอนหายใจยาวแล้วนอนแผ่กายลงบนฟูกหนังสัตว์
ในช่วงสิบวันที่ผ่านมา นางลงมือลงแรงไปกับสิ่งที่เรียกว่าม้วนตำรานี้มากที่สุด เพราะหลังจากที่นางคิดใคร่ครวญมาพักใหญ่ และทบทวนความทรงจำที่มีอยู่ในตอนนี้ ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมตัวนางถึงสามารถจำมันได้อย่างชัดเจน ทั้งยังเข้าใจ อ่านออก เขียนได้ ทั้งๆที่ก่อนนางจะตายนั้นนางไม่เห็นจะจำได้เลยว่านางเคยเรียนรู้ภาษาจีนไปตั้งแต่เมื่อไหร่และตอนไหน
แต่ในที่สุดนางก็สามารถสร้างม้วนตำรา ที่จะเอาไว้ใช้สอนเด็กๆได้สำเร็จ
ย้อนความกลับไปก่อนหน้า ถึงแม้นางจะไม่รู้ว่าทำไมนางถึงสามารถเรียนรู้และเข้าใจภาษาจีนได้อย่างคล่องแคล่ว แต่นางก็พอจะจดจำได้ว่านางได้เรียนรู้วิธีการสร้างม้วนตำรานี้มาจากอินเทอร์เน็ต
ในช่วงเวลาหนึ่งที่นางเคยอยากจะเข้าใจ การใช้ชีวิตอยู่แบบในหนังในซีรีย์ที่นางเคยดู ถึงจะเป็นเพียงแค่ช่วงสั้นๆ ช่วงหนึ่งในชีวิตของหน้า แต่นางเคยศึกษาการสร้างม้วนตำรานี้อย่างละเอียด
หากอิงตามยุคตามสมัยประวัติศาสตร์และก่อนประวัติศาสตร์แล้ว วัตถุชิ้นแรกๆที่ผู้คนใช้จดบันทึกเรื่องราวต่างๆ หากไม่นับต้นไม้แล้วก็ ผนังถ้ำ ต่างๆแล้ว ก็จะมีพวกกระดูก สัตว์หนังสัตว์ เกล็ด ที่ถูกบันทึกว่า เป็นตำราในช่วงแรกเริ่มที่สุด
แล้วหลังจากนั้นมาในช่วงยุคแรกของราชวงศ์จีนโบราณ ก็เริ่มมีการใช้ไม้ไผ่แทนสิ่งของอย่างกระดูกสัตว์หรือหนังสัตว์ เนื่องจากความยากง่ายในการจัดหา และการเก็บรักษาที่ง่ายกว่า อีกทั้งภาษาจีนเองก็เป็นหนึ่งในภาษาที่เขียนต่อกันลงมาในแนวตั้ง เมื่อตัวอักษรถูกบันทึกลงบนแผ่นไม้ไผ่ แล้วม้วนเก็บต่อๆกันด้วยเชือกป่านหรือเส้นไหม มันก็จะง่ายต่อผู้ที่จะทำการศึกษาในภายหลัง
วิธีทำเองก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร ก็เพียงแค่ตัดไม้ไผ่มาแล้วผ่า ออกตามขนาดที่ต้องการ นำไปเหลาเอาคมออกแล้วตากให้แห้ง จากนั้นใช้เส้นไหม หรือเชือกป่านเท่าที่พอจะหาได้ มาร้อยเรียงต่อๆกันตามจำนวนที่ต้องการ ส่วนจะมากจะน้อยนั้นก็ขึ้นอยู่กับความหนาของไม้ไผ่ หรือความต้องการของผู้ใช้
ในส่วนของวิธีการทำน้ำหมึกนั้นก็ง่ายไม่แพ้กัน นั่นก็คือการใช้ถ่านของกองไฟที่เหลือจากการเผาไหม้ นำไปบดเป็นผงทิ้งเอาไว้ แล้วจัดทำกาวที่เอาไว้ใช้ในการเชื่อมประสานน้ำหมึกให้เข้มข้น โดยการนำกระดูกสัตว์ หนังสัตว์ และพืชที่มียางเหนียว มาต้มเข้าด้วยกันจนกลายเป็นน้ำเหนียวหนืด เมื่อได้ที่แล้วก็นำไปผสมกับผงถ่านไฟ ก็จะกลายเป็นน้ำหมึกที่พอจะสามารถทนต่อการกระทบกระเทือนได้บ้าง
เมื่อได้ทั้งม้วนตำราและน้ำหมึกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เย่หัวก็ใช้เวลาในตลอดช่วงสิบวันที่ผ่านมา เพื่อทำการจดบันทึกตัวอักษร ต่างๆ ไปตลอดจนถึงสิ่งที่นางคิดว่าจำเป็นต่อการเรียนรู้ของเด็กๆ ที่มีทั้งตัวเลขฮินดูอาราบิก ซึ่งนิยมใช้กันในโลกปัจจุบัน เนื่องจากว่ามันง่ายในการคิดคำนวณมากกว่าตัวสอนภาษาจีน
นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีบันทึกเรื่องของวัน เวลา ฤดูกาล ค่าเงิน มาตรวัดระยะต่างๆ มาตราวัดพื้นที่ และข้อมูลปลีกย่อยทั้งหมด เท่าที่นางพอจะนึกออก
ซึ่งนางคิดเอาไว้แล้วว่า ก่อนหน้าหนาว จะมาถึงโดยสมบูรณ์ นางจะขอให้พวกผู้ใหญ่ในหมู่บ้านช่วยขึ้นไปตัดไม้ไผ่ให้นางมาเพิ่ม เพราะอย่างน้อยที่สุดมันก็ควรจะมีตำราแบบนี้อีกหลายชุด เพื่อให้เด็กๆทุกคนในหมู่บ้านสามารถเรียนรู้และเข้าใจ ได้ แล้วเพื่อว่าเผื่อผู้ใหญ่เองก็ต้องการจะเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ ก็จะได้ไม่ต้องมายื้อแย่งตำราชุดเดียวนี้กัน
ส่วนในเรื่องของความปลอดภัยที่ผู้คนหวั่นเกรงสำหรับการขึ้นเขา นางก็แค่ให้เจ้าสังเป็นผู้คุ้มกันตามขึ้นไปด้วย ก็คงจะสามารถแก้ไขปัญหาในส่วนนี้ได้
ซึ่งในระหว่างนั้นเองนางก็อยากที่จะสอนให้เด็กๆ เรียนรู้และเข้าใจตัวอักษรเหล่านี้ก่อน เพราะนางก็ไม่คิดที่จะคัดลอกตัวอักษรทั้งหมดลงไปในม้วน ตำราอีกหลายๆชุดเช่นเดียวกัน
ถ้าหากไม่ติดว่านี่เป็นความต้องการของตัวนางเอกแล้วล่ะก็ จริงๆนางก็แทบจะถอดใจไปตั้งแต่เขียนตำราม้วนแรกแล้ว...
“เสร็จแล้วก็พอเท่านี้ดีกว่า ปวดเนื้อปวดตัวไปหมดเลย” นางเปรยกับตัวเองเบาๆ “รีบเข้านอนดีกว่าพรุ่งนี้จะได้เข้าหมู่บ้านแต่เช้า เห็นว่าน้องของหัวหน้าหมู่บ้านกลับมาด้วย แถมยังเอาของกลับมามากมาย เผื่อจะมีอะไรที่ข้าอยากได้สักอย่างสองอย่าง...
ถ้ามีพวกเครื่องปรุงเครื่องเทศมาบ้างก็คงจะดี กินแต่อาหารเดิมๆ เบื่อจะแย่อยู่แล้ว”
.................................
บทที่ 38 ใจกลางความมืดมิด(1)“ต้าพัง วันนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง ไปเล่นกับคุณหนูสนุกไหม”ในทันทีที่จางต้าพังกลับมาถึงบ้าน เสียงที่ดูใจดีเป็นพิเศษของจางเหว่ยก็ลอยเข้ามา เมื่อเด็กชายหันไปเห็นบิดาที่กำลังนั่งเอนหลับตานิ่งอยู่บนเก้าอี้ ก็รีบตอบรับด้วยความตื่นเต้น เพราะนานมากแล้วที่เขาไม่ได้ยินน้ำเสียงใจดีของบิดา วันนี้จึงเป็นวันที่เด็กชายมีความสุขเป็นพิเศษ“สนุกมากเลยขอรับ วันนี้ในช่วงเช้าคุณหนูได้เริ่มสอนเรื่องตัวอักษร ให้พวกเราทุกคนในเรื่องเรียนกันบ้างแล้ว เห็นว่าพี่จางหลัว พี่จางซิ่ว นั้นมีพรสวรรค์ในการเรียนรู้สูงมาก คุณหนูก็เลยอยากจะสอนให้ทั้งสองเป็นผู้นำในการเล่าเรียนเกี่ยวกับตัวอักษรขอรับ”“เช่นนั้นหรือ แล้วคนอื่นๆ เล่าเป็นอย่างไรกันบ้าง”“ทุกคนก็ไม่ต่างจากค่าเลยขอรับ คุณหนูทั้งใจดี และใจเย็นกับพวกเรามากๆ
บทที่ 39 ใจกลางความมืดมิด(2)“...”เสียงนั้นไม่ได้ตอบอะไรกลับมา จางเว่ยที่อยู่อยู่ก็รู้สึกว่างเปล่า ขึ้นมาในช่วงขณะหนึ่ง ก็ได้ลุกออกจากบ้านไปยังบ้านของมารดา ที่ตอนนี้ทุกคนกำลังรับประทานมื้อเย็นกันอย่างสนุกสนานมองเหล่าบรรดาญาติพี่น้องพ่อแม่ลูกหลาน ทุกคนที่กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง หลังจากที่นานแล้วก็เข้าไม่ได้ฉลองกันพร้อมหน้าพร้อมตาเช่นนี้ ความรู้สึกหลากหลายมากมายตีกันอยู่ในอก จนจางเหว่ยไม่รู้แล้วว่าในตอนนี้ขอกำลังคิดอะไรอยู่ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ เขาที่มองอยู่อย่างนั้นก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลง เนื่องจากผ่านเวลาไปค่อนข้างนานมากแล้ว ทุกคนที่ดื่มกินกันจนอิ่มหนำสำราญ ก็ได้เริ่มแยกย้ายออกจากวงสนทนา...“...”จางเหว่ยเดินออกมาจากตรงนั้นอย่างเงียบเชียบ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้สองขาของเขา กำลังพาเขาไปยังสถานที่ใด...
บทที่ 40 ใจกลางความมืดมิด(3)“คุณหนูมาถึงแล้วหรือขอรับ” เสียงเรียกขานด้วยความยินดี ที่ดังมาจากปากของจางหลง โดยที่ด้านหลังของเขามีผู้คนเกือบทั้งหมู่บ้านมารวมตัวกันอยู่ “พวกเรากำลังรอกันอยู่พอดีเลยขอรับ”“...”เย่หัวถึงกับไปไม่เป็น เมื่อเห็นผู้คนคอยต้อนรับนางด้วยความยินดีแบบนี้ นางรีบลงจากหลังของเจ้าสัง มายืนเก้ๆ กังๆต่อหน้าของผู้คนจำนวนมากถึงก่อนหน้านี้จะเคยแอบลงมาพร้อมกับเด็กๆอยู่ครั้ง 2 ครั้ง ซึ่งในตอนนั้นก็ไม่ได้มีผู้คนมากมายขนาดนี้ เพราะนางแอบมาดูเด็กเด็กที่ได้เล่นกันอย่างมีความสุขในหมู่บ้านก็เท่านั้น แต่เมื่อต้องมาอยู่ในสภาวะแบบนี้แล้ว นางเองก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน“เจ้าหรือคือคุณหนูที่ผู้คนต่างนับถือ เจ้าเด็กตัวกะเปี๊ยกแค่นี้เนี่ยนะ มีอะไรวิเศษนักหนากัน...”ฮุมมมมจางหู่ที่แต่เด
บทที่ 41 ใจกลางความมืดมิด(จบ)เย่หัวเองก็สงสัยเหมือนกัน เพราะถึงอย่างไรนางก็ไม่ใช่เด็กเหมือนกับร่างกายนี้แล้ว ต่อให้หากเทียบเวลาแล้วจริงๆนางจะเป็นเพียงแค่เด็กมากๆ สำหรับพวกเขาทุกคนก็เถอะ แต่ถึงอย่างนั้นประสบการณ์ชีวิตของนางก็มีมากไม่น้อยเช่นเดียวกัน“ในเมื่อท่านหัวหน้าหมู่บ้านบอกว่ามีมิได้มีเจตนาร้ายต่อข้า เช่นนั้นก็สามารถบอกได้เลยเจ้าค่ะ ข้ามิได้โกรธเคืองผู้ใดโดยไร้เหตุผลอย่างแน่นอน ทุกคนก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้ว”“ถ้าอย่างนั้นข้าขออนุญาตเล่านะขอรับ...”หลังจากนั้นจางหลงจึงได้อธิบายเรื่องราวทั้งหมด ที่เขาได้ทดลองตลอดช่วงเวลาสิบกว่าวันที่ผ่านมาอย่างแรกเลยก็คือเขาลองให้คนเอาสิ่งของที่เย่หัวมอบให้ ทั้งหัวมัน เนื้อสัตว์ ของกินเล่น ไม่ว่าจะเป็นขนม หรือแม้แต่พวกมันตากแห้งมันทอดทั้งหลายเท่าที่พอจะรวบรวมได้ แล้วให้คนเอาออกไปนอกหมู่บ้านโดยพลการ โดยไม่มีการบอกต่อนางก่อ
บทที่ 42 เย่หัว-เยว่หัว(1)“ข้ามีเรื่องจะปรึกษาทุกท่านด้วยเจ้าค่ะ”หลังจากที่ทุกคนได้ดูสิ่งของซึ่งจางหู่ได้นำมาจากโลกภายนอกแล้ว เย่หัวก็นึกถึงบางสิ่งที่นางคิดเอาไว้ตั้งแต่แรก ก่อนที่จะมาพบกับทุกคน“คุณหนูมีอะไรหรือขอรับ” จางลงที่อยู่ข้างเด็กหญิงไม่ห่างกาย ก็ได้เป็นคนที่ถามขึ้นมา “หรือว่าคุณหนูมีอะไรที่อยากได้อย่างนั้นหรือขอรับ”“ไม่รู้ว่าเด็กๆได้แจ้งกับท่านหัวหน้าหมู่บ้านบ้างแล้วหรือยัง ว่าข้าได้พยายามทำตำราเรียนให้เด็กๆ มาหลายวันแล้ว”“ถ้าหากเป็นเรื่องนั้นก็ทราบแล้วขอรับ เสี่ยวหลัวกับเด็กๆคนอื่นๆก็ได้มาบอกข่าวบ้างแล้ว”“ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลยเจ้าค่ะ ตอนนี้ข้าได้ทำการเขียนต้นฉบับเอาไว้เสร็จหมดแล้ว ท่านหัวหน้าหมู่บ้านพอจะรู้ไหมเจ้าคะ ว่าในหมู่บ้านมีคนที่อ่านออกเขียนได้บ้างไหม”“ถ้าหากเป็นเรื่องนั้นก็พอมีอยู่สามสี่คนขอรับ”“ดีเลยเจ้าค่ะ” เด็กหญิงยิ้มออกมาอย่างดีใจ เมื่อไม่ต้องรอสอนให้เด็กๆ อ่านออกเขียนได้ก่อนที่จะคัดลอก“ถ้าอย่างนั้นก่อนที่หิมะแรกจะตกอย่างเป็นทางการ พวกเราพอจะมีเวลากันซักกี่วันหรือเจ้าคะ”“อย่างช้าที่สุดก็เจ็ดวันขอรับ”“อย่างนั้นหากเป็นไปได้ ข่าวพอจากขอแรงๆท่านจางหู่หน่อยไ
บทที่ 43 เย่หัว-เยว่หัว(2)“แต่...แต่ก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่งขอรับคุณหนู”“เรื่องอะไรหรือเจ้าคะ?”“เนื่องจากว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่ขึ้นไปบนเขา มีเพียงแค่ไม่ถึงครึ่งหนึ่งเท่านั้น ที่สามารถร่อนลงกลับมาได้ พวกเราไม่รู้เลยว่ามีอะไรที่เป็นอันตรายอยู่บนนั้นบ้าง ถ้าหากว่าเป็นไปได้ข้าขอให้คุณหนูช่วยส่งเจ้าสังขึ้นไปช่วยคุ้มกันพวกเราได้ใหม่ขอรับ”“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกเจ้าค่ะ เพราะข้าเองก็คิดเอาไว้แล้วเช่นเดียวกัน”เย่หัวกล่าวไปตามตรง เพราะนางเองก็คิดเอาไว้แล้ว ว่าจะส่งให้เจ้าตูบตัวโตตามทุกคนขึ้นไปด้วย เพราะว่านางยังคงจำเรื่องเล่าของเด็กๆได้ ถึงตำนานของส่องสัตว์ระดับสีม่วง ที่เป็นเหมือนกับ 2 ผู้คุมกฎในหุบเขาแห่งนี้ถึงตำนานของพวกมันทั้ง
บทที่ 44 เย่หัว-เยว่หัว(3)“...ฮูม”เมื่อมั่นใจว่าโดยรอบไม่มีอะไรแล้ว เจ้าสังครางในลำคอเบาๆ หนหนึ่ง แล้วผงกหัวเบาๆ ราวกับว่ามันตอบรับคำขอของทุกคน ก่อนที่จะกลับลงไปนอนในท่าเดิมอีกครั้ง“ดูเหมือนว่ามันจะตกลงนะเจ้าคะ”“แต่อย่างนั้นก็ตกลงเอาตามนี้ เผื่อว่าในวันพรุ่งนี้เราจะสามารถค้นหาเบาะแสได้ ว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ผู้คนต้องบาดเจ็บล้มตายบนเขา” จางหลงพยักหน้า“ส่วนข้าก็อย่างที่บอกไปว่าไม่มีอะไรติดขัด อยากรู้เหมือนกันว่าอะไรที่ทำให้เด็กๆถึงหลงใหลบ้านที่ตีนเขานะ”“เสี่ยวหู่...อยู่ไกลกันขนาดนี้เดี๋ยวท่านสังก็กัดหัวเจ้าเอาหรอก” ผู้เป็นพี่ชาย รีบกระซิบน้องชายเบาๆ เมื่อสังเกตเห็นว่าเจ้าตูบที่เคยนอนหัวราบไปกับพื้น ได้ยกหัวขึ้นหันมามองน้องชายของเขาที่หนึ่ง“... ข้าขอโทษ”
บทที่ 45 เย่หัว-เยว่หัว(4)รุ่งเช้า“ไปดีมาดีนะเจ้าคะ” เด็กหญิงกล่าวกับคณะเดินทางที่มีกันร่วมร้อยคน ซึ่งทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นชายฉกรรจ์ร่างกายกำยำทั้งสิ้น “เจ้าสังเจ้าเองก็ดูแลทุกคนให้ดีด้วยนะ รีบไปรีบกลับล่ะ”““ขอรับ””“...ฮูม...”ทุกคนขานรับแล้วรีบออกเดินทาง เพียงแค่ไม่นานพวกเขาทุกคนก็เดินหายลับสายตาไป ส่วนเย่หัวกับเด็กๆทุกคนรวมไปถึงจางหู่ สวัสดี ก็เริ่มทำกิจกรรมที่เย่หัววางแผนเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืน นั่นก็คือทำเมนูอาหารต่างๆกินกัน ตลอดระยะช่วงเวลา กว่า 2 ชั่วยามที่ผ่านพ้นไปในช่วงเช้า เด็กๆ ต่างวิ่งเล่นกันบ้างมากินขนมกินอาหารบ้าง มันก็เหมือนกับวันธรรมดาธรรมดาที่แสนสงบสุขอีกวันหนึ่ง ไม่ได้มีอะไรแปลกไปจากวันก่อนๆที่มีเด็กๆอยู่ ข้างกาย เพียงแต่ว่ามันมีอาหารแปลกพิสดารไปกว่าทุกๆวันก็เท่านั้นส่วนจางหู่ตลอดทั้งวันเขาก็เอาแต่อึ้ง ทึ่งกับความสามารถของเด็กหญิงวัย 8ขวบ เนื่องจากลีลาการทำอาหารของนาง ตลอดไปจนรสชาติของอาหารทั้งหมดล้วนแล้วแต่ละเอียดลออละเมียดละไม แม้ว่ากินอะไรลงไป ในทุกๆ คำก็ล้วนแล้วแต่มีรสชาติที่เลิศเป็นอย่างยิ่ง“ว่าวันนี้ทั้งวันไม่มีเรื่องไม่มีราวอะไรก็คงดี...” จางหู่ที่รู้สึกถ
บทที่ 81 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (1)#บทนี้เป็น บท ย่อยแยกอีกบทหนึ่งนะครับ#ย้อนกลับไปในตอนก่อนที่เขาจะมอบระฆังธรรมให้กับเพื่อน ในขณะนั้นชาได้สังเกตเห็น ถึงความตั้งใจที่จะสั่งสอนธรรมะของเพื่อน แต่ด้วยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การที่นางไม่สามารถจดจำข้อธรรมใดๆ ได้มากนักก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรเนื่องจากว่าการที่เขาได้ทำการล้วงเอาจิตของนางขึ้นมาจากนรกนั้น มันเป็นเรื่องที่ทำการฝืนชะตากรรมของคนคนหนึ่ง และการที่เขา เรียกดวงจิตเดิมของนางที่ควรจะแตกดับไปนานแล้ว ตลอดไปจนถึง สัญญาสังขารและวิญญาณแต่เดิมของนาง ในภพแรกที่พวกเขาทั้ง 2 คนได้เจอกันโดยวิธีการเปิดพระธรรมคำสั่งสอนจากระฆังธรรม ให้ดวงจิตที่แตกสลายของนางได้ฟังซ้ำไปซ้ำมาครั้งแล้วครั้งเล่า ยาวนานนับหมื่นปีกว่าที่ดวงจิตของนางจะสามารถเรียกสติกลับคืนมาได้อีกครั้ง ซึ่งมันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เหล่าสัตว์นรกบางส่วนที่พอมีฤทธิ์สามารถแทรกออกมายังบนโลกอีกครั้ง...และนั่นก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมจู่ๆ นางถึงเหมือนกับว่า สามารถอธิบายข้อธรรมคำสั่งสอนทั้งหลาย ออกมาได้ราวกับเคยศึกษามันมาอย่างถ่องแท้ ทั้งๆ ที่ตัวนางแทบจะไม่เคยศึกษาเรื่องราวในแน
ก่อนอื่นเลยที่สำคัญที่สุดต้องขอบคุณมากๆ เลยนะครับ ที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้(น่าจะเหลือไม่ถึง1/10ของคนที่หลงเข้ามาที่จะเดินมาจนถึงจุดนี้) ดีใจที่เดินทางมาด้วยกันจนถึงจุถดเริ่มต้นที่แท้จริงของนิยายเรื่องนี้ครับใช่แล้วครับ…ตั้งแต่บทนำมาจนถึงตอนนี้เพิ่งจะเป็นส่วนที่ปูจุดเริ่มต้นของ เย่หัว-เยว่หัว ให้ทุกคนได้รู้จักตัวตนและสภาพแวดล้อมของนาง โลกที่นางอยู่ ผู้คน สังคม รายละเอียดที่จะทำให้เข้าใจเนื้อหาหลัก และเหตุผลของการกระทำต่างๆ ที่นางจะทำต่อจากนี้ไป จนบางครั้งอาจจะเป็นการกระทำที่ “โหดเหี้ยม” แบบไร้เหตุผลเลยก็มี เล่ม1-2จะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวในส่วนของ “บทนำ” แต่หลังจากเล่ม 3 เป็นต้นไปก็จะเข้าสู่ปฐมบทที่แท้จริง ตามชื่อบทของบทนี้ครับ เราจะคุยกันแบบจริงจังกับเนื้อเรื่องที่แท้จริงกันครับ อย่างแรกเลยก็คือหลังจากนี้จะต้อนรับเข้าสู่โลกแห่งความแฟนตาซีที่แท้จริง ของแม่ครัวตัวจิ๋วที่รักในการทำอาหารให้ผู้คนได้ลิ้มรส เป็นหนึ่งในความสุขของนาง และเป็นสิ่งสำคัญที่จะคอยยึดเหนี่ยวตัวนางเอาไว้ ส่วนยึดนางจากอะไรนั้นต้องไปติดตามในเนื้อเรื่องครับอย่างที่สองก็คือเรื่องของความแฟนตาซีและโลกในจินตนาการที
บทที่ 80 เลี้ยงส่ง(จบ)หลังจากที่เยว่หัวสามารถเรียกสติของผู้คนกลับมาได้อีกครั้ง ตลอดช่วงเช้าไปจนถึงเที่ยง นางก็ทำการจัดแจงแบ่งกลุ่มคนออกเป็นกลุ่มๆ โดยที่ไม่ลืมนำวัตถุดิบจำนวนมากออกมา แล้วจัดแจ้งเตรียมการฝึกซ้อมทั้งหมด กว่าที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางก็ปาเข้าไปจนถึงช่วงเที่ยงแล้วซึ่งในระหว่างที่ทำการฝึกซ้อมปรุงอาหารชนิดต่างๆ นั่นเอง เหล่าแม่บ้านและเด็กๆทุกคนต่างก็ได้ลองชิมอาหารกันอย่างเต็มอิ่ม และเมื่อเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว ทุกคนเลยหยุดพักกันในตอนเที่ยงพอดิบพอดี และถือเป็นการพักท้องอีกครั้ง เนื่องจากในตอนนี้ทุกคนแทบจะท้องแตกเสียแล้วส่วนฝั่งของจางหลงที่เป็นฝ่ายจัดเตรียมสถานที่ ซึ่งพวกเขาทุกคนก็ทำเต็มที่ในหน้าที่ของตนเอง แต่ด้วยข้อจำกัดของหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง โดยเฉพาะเวลาที่มีอยู่เพียงแค่ไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น พวกเขาจึงตกลงกันใหม่ว่า จะจัดเป็นโต๊ะไม้ยาวๆ ขนาด 6 ถึง 8ที่ แทนที่แผนการจะทำโต๊ะชุดวงกลม และโต๊ะทั้งหมดจะหันหน้าเข้าหาเวที ด้านเดียว ส่วนตัวเวทีเองก็จะสร้างขึ้นมา โดยการขุดดินมาถมเป็นเนินสูงขึ้นประมาณหัวเข่า ใช้ดินเหนียวในการป้ายโดยรอบเพื่อไม่ให้หน้าดินพัง
บทที่ 79 เลี้ยงส่ง(3)“ตอนแรกข้าขอยอมรับสารภาพเลยว่า ตัวข้าเองก็ไม่ได้จินตนาการเลยว่าทุกคนจะให้ความร่วมมือมากขนาดนี้”เยว่หัวมองไปยังทั้งผู้หญิงและเด็ก แทบทั้งหมดในหมู่บ้านที่มารวมตัวกัน ซึ่งในมือทุกคนต่างก็มีหม้อกระทะถ้วยชามรามไห รวมไปถึงตะเกียบและแก้ว น้ำที่ทำจากไม้บ้างหินบ้างดินเผาบ้างเหล็กบ้าง ซึ่งเรียกได้ว่าทุกคนเต็มที่กับสิ่งที่นางบอก จนนางที่เพียงแค่อยากจะทดลองการปรุงอาหาร เพื่อที่จะนำไปเป็นเมนูในร้านที่กำลังจะเปิด ก็ต้องเปลี่ยนความคิดอีกครั้ง“...”“...”“...”ทุกคนไม่ได้กล่าวอะไรออกมา เพียงแค่ยิ้มมองไปทางเด็กหญิงเท่านั้น และกำลังรอฟังคำสั่งด้วยความตั้งใจ แม้กระทั่งเด็กๆ ทุกคนที่ปกติเมื่อเจอกับนางเซียนน้อยของพวกเขา ก็มักจะแสดงออกอย่างดีอกดีใจ กระโดดโลดเต้นกันต่างๆนานา ยิ่งในตอนที่ไม่ได้พบได้เจอกันหลายวันแบบนี้แล้ว ปกติพวกเขาจะยิ่งกุลีกุจอมาหานาง แต่ในตอนนี้เด็กๆทุกคนเพียงแค่รออยู่กับผู้ปกครองของตนเองด้วยความตั้งใจ ไม่มีใครแตกแถวเลยแม้แต่คนเดียว“ในเมื่อทุกคนจริงจังกันขนาดนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าเองก็ขอจริงจังด้วยอีกคนก็แล้วกัน...” เด็กหญิงยิ้มและใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว เนื่องจาก
บทที่ 78 เลี้ยงส่ง(2)“ก็ตามที่ได้บอกไปก็แล้วกัน เดี๋ยวทุกคนก็แยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเอง ข้าจะเป็นคนนำฝ่ายผู้ชายไปจัดเตรียมสถานที่ตามที่คุณหนูได้สั่งเอาไว้ ส่วนพวกผู้หญิงก็เดินทางไปหาคุณหนูได้เลย เห็นนางบอกว่า วันนี้นางจะจัดเตรียมวัตถุดิบทั้งหมดด้วยตัวเอง พวกเจ้าไม่ต้องนำสิ่งใดไปด้วย ถ้าจะเอาไปก็คงจะเป็นพวกอุปกรณ์ จานชาม และสิ่งที่จำเป็นต่อการประกอบอาหารก็แล้วกัน พวกเจ้ามีอะไรก็เอาไปเท่าที่มี เพราะว่าการที่จะจัดเลี้ยงผู้คนทั้งหมู่บ้านก็คงจะต้องเตรียม หลายอย่างเลยทีเดียว”“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพวกข้าขอแบ่งออกไปตัดไม้แล้วกันนะหัวหน้า จะพาคนไปด้วยร้อยคนจะได้ช่วยกันหาไม้มาให้ได้มากที่สุด”“ส่วนพวกข้าก็จะไปเตรียมลานกว้างเลยแล้วกันนะ ขอรับ ถ้าจะขยายพื้นที่เพื่อวางโต๊ะ ตามรูปแบบที่นางเซียนน้อยได้กล่าว คงจะต้องเตรียมพื้นที่ให้มากขึ้นอีกหน่อย จะได้เดินเหินสะดวกในงานเลี้ยงขอรับ”“ถ้าอย่างนั้นข้ากับพวกผู้หญิงคนอื่นๆ ก็ขอแยกย้ายกลับบ้านก่อนแล้วกันนะเจ้าคะ จะได้ไปบอกเด็กๆให้ไปเล่นที่บ้านของนางเซียนน้อยด้วย หลายวันมานี้ทุกคนตั้งใจเรียนมากเลย ผ่อนคลายสักวันก็คงจะไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”“ก็ดีนะเจ้าคะ เดี๋ยว
บทที่ 77 เลี้ยงส่ง(1)“วันนี้คุณหนูเป็นอะไรหรือเปล่าขอรับ” จางหลงที่รับรู้ได้ถึงความรู้สึกขุ่นมัวในใจของนางเซียนน้อย ก็ได้เอ่ยถามขึ้นหลังจากที่ออกมาจากเรือน ซึ่งเป็นที่พักของผู้มาใหม่ทั้ง 2 คน “ทำไมวันนี้คุณหนูถึงได้ดูอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลยขอรับ”“ไม่ได้มีอะไรมากหรอกเจ้าค่ะ เพราะว่าวันนี้ข้าตั้งใจจะทำตามความต้องการของตัวเองตั้งแต่แรก คือก็คือการปรุงอาหารให้ทุกคนได้ลองกินดู ไหนๆก็จะเปิดโรงเตี๊ยมอยู่แล้ว แต่ข้ายังไม่เคยได้ทำอาหารจริงๆจังๆเลยสักครั้ง การที่ต้องมาเจออะไรแบบนี้ตั้งแต่เช้า มันก็คงจะทำให้ข้าหงุดหงิดไปบ้าง อย่างไรต้องขออภัยด้วยนะเจ้าคะ” เยว่หัวพยายามเปลี่ยนเรื่อง เพราะว่าไม่ได้อยากจะให้ใครรู้เรื่องราวของความฝันมากนัก เพราะว่าการที่มีใครรับรู้มันไปมากกว่านี้ จะเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นอีกไหม และอีกอย่างหนึ่ง สิ่งที่นางพูดไปก็ไม่ใช่เรื่องโกหกไปเสียทั้งหมด เพราะว่ากันแล้ววันนี้นางต้องการที่จะลงมือควบคุมการปรุงอาหาร ในการเลี้ยงผู้คนทั้งหมู่บ้านทั้งหมดจริงๆ ไหนๆก็ไหนๆแล้วนางอยากจะลองทำอย่างจริงจังดูสักครั้ง“จริงหรือขอรับ ทุกคนคงดีใจมากแน่ๆ”“ขนาดนั้นเลยหรือเจ้าคะ?”“คุณหน
บทที่ 76 หลอมรวม“ไม่ต้องระวังตัวขนาดนั้นก็ได้เจ้าค่ะ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำอันตรายพวกท่าน” ในทันทีที่เด็กสาวเข้ามาถึงห้องที่มีผู้ป่วย 2 คนนอนอยู่ หนึ่งในนั้นที่เป็นชายหนุ่มก็ได้ดึงตัวลุกขึ้นเตรียมต่อสู้ในทันที เยว่หัวเลยกล่าวออกไปแบบนั้น พลางหันไปหาจางหลงที่มาด้วยกัน “ไหนท่านบอกว่าพวกเขาหมดสติไปอย่างไรเล่าเจ้าคะ แล้วไม่ใช่ว่าเข้ามาตามหาข้าหรอกหรือ”“ขออภัยด้วยขอรับ อาจจะเป็นเพราะว่าฤทธิ์ยาที่ทำให้เขามึนงงอยู่บ้าง” จางหลงถอนหายใจเบาๆ แล้วมองไปทางอีกฝ่ายด้วยท่าทีไม่เป็นมิตรเท่าไรนัก “เป็นท่านเองมิใช่หรือที่มาขอความช่วยเหลือจากพวกเรา แล้วทำไมถึงได้แสดงท่าทีเป็นอริศัตรูกันแบบนี้เล่า”“ข้าขออภัยด้วย อาจเป็นเพราะว่าตัวข้ายังรู้สึกเหมือนกับเพิ่งจะถูกตามล่ามา ทำให้แสดงท่าทีเสียมารยาทไปแบบนั้น ข้าขออภัยจริงๆ” แม้อย่าพูดออกมาแบบนั้น แม้จะละท่าทีความหวาดระแวงลง แต่ก็ยังสามารถมองเห็นความไม่เป็นมิตรในสายตาของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน“เลิกตั้งป้อมเป็นศัตรูกันเถอะเจ้าค่ะ ถ้ามีอะไรสงสัยก็แค่พูดมา เพราะถ้าหากว่าพวกข้าต้องการจะทำอะไรพวกท่านจริง ก็คงจะไม่ปล่อยเอาไว้จนถึงตอนนี้หรอกเจ้าค่ะ” เยว่หัวที่คร้านจ
บทที่ 75 ผู้มาใหม่“ต้าพัง...ต้าพัง!”เยว่หัวร้องตะโกนออกมาเสียงดังลั่น เด้งตัวลุกขึ้นมานั่งมองภาพรอบๆด้วยสายตาที่ตื่นตระหนก แต่หลังจากที่นางกะพริบตาถี่ๆ หลายครั้ง ก็สามารถรับรู้ได้ว่าตอนนี้ตนเองตื่นขึ้นมาจากความฝันแล้ว“ข้าฝันไปอย่างนั้นสินะ แต่ว่ามันคงจะไม่ใช่ความฝันธรรมดาธรรมดาแน่ เพราะไม่มีทางที่เจ้านั่นจะทำอะไรแบบนี้โดยเปล่าประโยชน์อย่างแน่นอน แต่ที่ข้าไม่เข้าใจก็คือทำไมต้าพังถึงไปอยู่ในความฝันนั้นได้ ตกลงว่านี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่...”เด็กหญิงพยายามใช้ความคิดของตัวเองหมุนวนอย่างเร็วจี๋ เพื่อที่จะทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในห้วงแห่งความฝัน แต่ไม่ว่านางจะพยายามอย่างไร ก็เหมือนจะไม่เข้าใจอยู่ดี สิ่งที่มันยังจำได้แม่นก็มีเพียงแค่เรื่องของการฝึกฝนเคล็ดวิชาขั้นถัดไปเท่านั้นอีกอย่างหนึ่งไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไรกันแน่ ยิ่งนางใช้ชีวิตในโลกนี้ผ่านไปนานเท่าไหร่ ความทรงจำของนางในโลกใบเดิมก็ยิ่งหายไปเรื่อยๆ ทั้งๆที่นางเคยคิดว่านางสามารถจดจำ เรื่องราวเกี่ยวกับเพื่อนเก่าหรือตัวนางเองได้มากแค่ไหน แต่มันก็ราวกับว่านางแทบจะลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปจนเหมือนกับจำไม่ได้เลยแม้แต่อย่างเดียวแล
บทที่ 74 ซวนซานจุน“เป็นอย่างไรบ้าง การที่ได้เจอนางอีกครั้งแบบนี้เจ้ารู้สึกเป็นอย่างไร”“ก็ยังรู้สึกยินดีแบบเดิมขอรับ เพียงแต่ว่าข้าไม่เข้าใจว่าในตอนนี้ข้าเป็นอะไรไปแล้ว ทำไมข้าถึงยังอยู่ที่นี่ทั้งๆที่ข้าได้ตายไปแล้วหรือขอรับ”“เพราะว่าในช่วงสุดท้ายของชีวิต เจ้าได้ทำการให้ในสิ่งที่ยากที่สุด ก็คือการให้อภัยต่อบิดาผู้เอาชีวิตของเจ้า ทั้งยังตัวเจ้าในตอนนั้นได้ระลึกถึงบุญคุณของนางที่มีต่อเจ้า ต่อผู้คนที่อยู่รอบกายของเจ้า ทำให้เจ้าสามารถพ้นสภาวะจิตความเป็นมนุษย์ แล้วเสวยรูปของการเป็นเทพได้ในตอนนี้”“เทพอย่างนั้นหรือ...”“เพียงแต่ว่าเจ้ายังสั่งสมบุญบารมีมาไม่มากพอ มิได้บรรลุธรรม หรือมิได้สร้างกรรมอันยิ่งใหญ่ จนสามารถรังสรรค์ปราสาทและบริวารของเจ้าได้ เมื่อรวมกับดวงจิตสุดท้ายของเจ้าที่ผูกติดกับสถานที่แห่งนี้ เจ้าก็เลยยังเป็นเทพเบื้องต่ำที่ยังมิได้ไปไหนถึงฟังดูอาจจะไม่ค่อยน่าฟังสักเท่าไหร่ แต่สุดท้ายแล้วเจ้าก็ยังสูง กว่าภพมนุษย์ที่เจ้าจากมามาก”“แล้วหลังจากนี้ข้าควรจะทำอย่างไรต่อไป”“ตราบเท่าที่เจ้ายังไม่ก้าวพ้นห้วงสังสารวัฎ กล่าวคือยังเกิดในภพของมนุษย์ เทพ เดรัจฉาน เปรต และสัตว์นรก เจ้าก็จะย