บทที่ 29 เซียนน้อยแห่งหุบเขาธิดาสวรรค์(จบ)
“ท่านหัวหน้าหมู่บ้านมีอะไรหรือเจ้าคะ ทำไมถึงรีบวิ่งมาจนป่านนี้” เย่หัวมองตามสายตาของเจ้าสัง ซึ่งกำลังมองไปยังผู้มาใหม่ที่กำลังวิ่งกระหืดก็มาหานาง สวัสดีก็เห็นเป็นจางหลงที่กำลังวิ่งมาด้วยความเร็วสูงเกินความเร็วสูงสุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะสามารถทำได้ นางมั่นใจว่ามันเร็วกว่าการวิ่งของคนปกติทั่วไปแน่ๆ ถึงไม่รู้ว่าจะเป็นเพราะอะไรก็เถอะ “ถ้าหากว่าท่านหัวหน้ามาหาภรรยากับบุตรสาวของท่าน ตอนนี้ทั้งสองคนกำลังจัดการมื้อเช้าของพวกเราอยู่ในครัวเจ้าค่ะ ให้ข้าไปตามทั้งสองคนไหมเจ้าคะ”
“มิใช่เช่นนั้นขอรับ ข้ามีเรื่องที่จะมาแจ้งแก่คุณหนูโดยตรง”
“ข้า? มีเรื่องอะไรกับข้าหรือเจ้าคะ”
“เรื่องทั้งหมดก็....”
หลังจากนั้นจางหลงก็ได้อธิบายเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ตลอดจนถึงเรื่องที่ว่าหัวมันทั้งหมดได้เน่าเปื่อยและกลายเป็นเชื้อเน่าที่ลุกลามไปโดยรอบ
“...”
ในตอนแรกที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด ภายในหัวของเด็กหญิงก็ถึงกับว่างเปล่าไปชั่วขณะ อาจจะเป็นเพราะว่าในโลกใบนี้ตั้งแต่ที่นางได้มาอยู่อาศัย นอกจากในวันแรกเท่านั้นที่สร้างความทรงจำที่ไม่ค่อยดีให้กับนาง นอกจากนั้นก็แทบจะไม่มีเรื่องราวอะไรชวนปวดหัวเลยแม้แต่น้อย นอกจากเหตุการณ์ที่เจ้าสังฆ่าคนไปเมื่อก่อนหน้านี้ หลังจากนั้นก็ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเลย
เมื่อรวมกับความใจดีและเข้ากันง่ายของผู้คนในหมู่บ้าน ส่วนเด็กๆเองก็นิสัยดีเสียยิ่งกว่าเด็กๆในโลกเดิมของนางอย่างผิดหูผิดตา ทุกคนล้วนแล้วแต่เชื่อฟัง และไม่กระทำสิ่งที่ผิดไปจากคำสั่งของผู้ใหญ่เลยแม้แต่คนเดียว มันก็เลยทำให้นางจดจ่ออยู่กับการช่วยเหลือเด็กๆเท่าที่นางจะทำได้
เมื่อรับรู้ได้ว่าเด็กๆ อดอยากนางก็พยายามมอบสิ่งที่นางสามารถมอบให้ได้ โดยไม่ลืมที่จะเผื่อแผ่ไปยังครอบครัวของพวกเขา หลังจากนั้นก็มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนมากขึ้น ใช้อาหารเป็นเครื่องจ่ายแทนเงินทอง แลกกับแรงงานของผู้คน
ผ่านไปสักพัก เมื่อรู้ถึงจำนวนของผู้คนที่มากกว่าพันคน และหน้าหนาวที่ใกล้จะมาถึงในเวลาเพียงแค่หนึ่งร้อยวัน ซึ่งก็คือระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือนหรืออาจจะน้อยกว่านั้นก็ได้ สำหรับคนในหมู่บ้านนี้พวกเขาส่วนใหญ่ ทำได้เพียงแค่เฝ้ารอคอยความตายเท่านั้น ไม่ว่าจะด้วยพื้นดินที่แห้งแล้ง ไม่ว่าจะด้วยฐานะที่ยากจนลงทุกวันทุกวัน เนื่องจากผ่านความยากลำบากมาตลอดระยะเวลาสิบปี
นางจึงลองพยายามทบทวนความคิด จนกระทั่งค้นพบว่าครั้งหนึ่งนางเคยศึกษาเรื่องการปลูกผักสวนครัวหลังบ้าน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีสิ่งที่นางมีอยู่แล้ว นั่นก็คือมันหวานและมันฝรั่ง หลังจากที่การทดลองได้ผลสำเร็จแล้วนางก็เพียงแค่ดีใจ แล้วหวังว่าหลังจากนี้เด็กๆกับครอบครัวของพวกเขาจะสามารถกินอิ่มนอนหลับได้โดยไม่ต้องหวั่นกลัวอะไรอีก
จนถึงกระทั่งนางคิดที่จะสอนหนังสือ วิชาเรียนต่างๆ ที่นาง พอจะจดจำไปถ่ายทอดให้เด็กๆทุกคน เพื่อให้พวกเขาอ่านออกเขียนได้และรอดพ้นจากการถูกหลอกในอนาคตที่จะมาถึง...
จนนางเองก็หลงลืมไปแล้วว่าคนอย่างไรก็เป็นคนอยู่วันยังค่ำ...
สำหรับนางที่ผ่านโลก ได้มองดูโซเชียล ได้มองเห็นผู้คนมากมาย ทรัมป์ ตัวนางเองก็มีอายุมากกว่าห้าสิบปีแล้วก่อนที่จะได้มาอยู่ในโลกใบนี้...
มีหรือนางจะไม่เข้าใจว่ามนุษย์นั้นเป็นอย่างไร
ที่ผ่านมานางก็เพียงแค่พยายามหลอกตัวเอง เท่านั้นว่าโลกนี้มันสงบสุข ทั้งๆที่ในวันแรกที่นางมาเหยียบย่างบนพื้นโลกนี้ นางก็แทบจะตายกลายเป็นผีอีกครั้งแล้วด้วยซ้ำ
“เอาเป็นว่าข้าขอเจอหน้าทุกคนที่กระทำความผิดเมื่อวานนี้ก่อนเจ้าค่ะ แล้วหลังจากนั้นข้าจะตัดสินใจอีกทีว่าข้าจะทำอย่างไรกับพวกเขา เพราะข้าเองก็ยังไม่มั่นใจในตัวเองเช่นกันว่าข้าในตอนนี้นั้นคิดเช่นไร ข้าอาจจะไม่ทำอะไรพวกเขาเลย หรือข้าอาจจะแม้แต่เข่นฆ่าพวกเขาเลยก็ได้ ข้าไม่รู้เลยว่าหลังจากที่ได้ยินได้ฟังเรื่องราวจากปากของคนพวกนั้นแล้วข้าจะทำอย่างไรต่อไป...”
“ถือว่าข้าขอร้องแทนพวกมันเถิดนะครับ ถึงอย่างไรพวกมันก็อายุเพียงแค่ยี่สิบต้นๆเท่านั้น ยังถือว่าเด็กมากนัก ซ้ำยังมีครอบครัวของพวกมันที่ยังต้องอาศัยเรี่ยวแรงของพวกมันในการทำมาหากิน ถ้าหากเป็นไปได้ก็ไว้ชีวิตพวกมันเถิดหนาขอรับ ถือว่าข้าขอร้องอีกเสียงนึงนะขอรับ”
จางหลงคุกเข่าลงเบื้องหน้าของเด็กหญิง เพราะว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้มองเห็นใบหน้าที่เฉยชาของนาง...
โดยปกติแล้วทุกคนในหมู่บ้านจะรับรู้กันดี ว่าไม่ว่าจะเกิดเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันขึ้น หรือว่ามีเรื่องราวใดๆก็ตาม คุณหนูของพวกเขาก็จะคงรอยยิ้มน้อยๆ หรือไม่ก็เป็นใบหน้าที่เรียบเฉย มิได้แสดงอารมณ์ ใดๆ ออกมา แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นใบหน้าที่เย็นชาและไร้อารมณ์ขนาดนี้ ถึงจะเป็นเพียงแค่ใบหน้าของเด็กอายุแปดขวบปี แต่มันกลับทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวจับขั้วหัวใจ ไม่แม้แต่จะสามารถอธิบายได้ว่าทำไมเขาถึงคิดเช่นนั้น...
‘ที่ทุกคนในหมู่บ้านเรียกนางว่านางเซียนน้อยก็คงจะไม่ผิดแล้วแน่ๆ เพราะแม้แต่ข้าเองก็ยังไม่เคยเห็นใบหน้าของใครที่น่ากลัวขนาดนั้น นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของข้าเลยที่สามารถหวาดกลัวใครสักคนได้ขนาดนี้ โดยเฉพาะอีกฝ่ายที่เป็นเพียงแค่เด็กแปดขวบ!’
จางลงคิดพลางลอบภาวนาในใจ ว่ามีให้เด็กหญิงมีโทสะไปมา กกว่านี้ จะอย่างไรเขาก็เป็นนักสู้ระดับสองดาว หากเป็นในบ้านนอกชนบทเช่นนี้แล้ว เขาก็แทบไม่เคยต้องหวาดกลัวใครเลยด้วยซ้ำ…
‘ขอให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีทีเถอะ’
หลังจากนั้นเพียงไม่นานผู้คนก็เริ่มทยอยมาถึง ตามที่ได้นัดแนะกันเอาไว้เมื่อวานนี้ แต่ก่อนที่ทุกคนจะได้เก็บเกี่ยวมันแปลงแรกที่เด็กๆได้ร่วมกันปลูก ก็มีเรื่องให้ต้องถกเถียงกันอยู่พักใหญ่ โดยส่วนใหญ่แล้วเป็นการรุมประนามของชาวบ้านที่มีต่อคนทั้งยี่สิบคน ที่มาลักขโมยมันของเย่หัวไปเมื่อวาน
ซึ่งก็มีเสียงขอร้องอ้อนวอนให้เย่หัวยกโทษให้เช่นเดียวกัน...
จนในท้ายที่สุด...
นางก็ใจอ่อนและปล่อยคนทั้งยี่สิบคนนั้นไปเฉยๆ โดยที่ให้พวกเขาสัญญาเอาไว้ว่าจะไม่ให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก...
โดยที่นางจะไม่มีทางรับรู้ได้เลยว่า อีกไม่นานนับจากนี้ไปนางจะต้องเสียใจกับทางเลือกของนางอีกครั้ง
แต่อีกมุมหนึ่งก็มีความเปลี่ยนแปลงไปของผู้คนที่มีต่อนาง โดยที่ในเวลาต่อมาผู้คนจะเรียกขานนางว่านางเซียนน้อยกันปากต่อปาก และตั้งชื่อหุบเขาแห่งนี้ที่เคยเกือบจะเป็นหุบเขาที่ตายไปแล้ว และได้รับการชุบชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง โดยฝีมือของเย่หัวว่า “หุบเขาธิดาสวรรค์” ซึ่งจะสืบทอดชื่อนี้ไปอีกนานนับพันนับหมื่นปี เพื่อระลึกถึงเด็กหญิงที่เคยช่วยพวกเขาทุกคนให้รอดชีวิตสืบต่อไปอีกนานแสนนาน
.................................
บทที่ 30 เมล็ดพันธุ์แห่งความหวังได้ถูกโปรยปรายหลังจากที่จัดการเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้ว เย่หัว จึงรีบเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว โดยการที่ให้เด็กๆ ทุกคนมารวมตัวกันที่แปลงมัน“เอาล่ะทุกคนมาดูนี้ก่อน ตอนนี้ทุกคนสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรไหม”“มันของพวกเรา...ตายหมดแล้วหรือเจ้าคะ” หนึ่ง ในกลุ่ม ของเด็กๆ ได้เอ่ยถามขึ้น เพราะจริงๆแล้วตั้งแต่ตอนที่มาถึงเด็กๆก็ได้มาดูแปลงมันก่อนเป็นอันดับแรก สิ่งที่ทุกคนได้พบเห็นก็คือ ไม่ว่าจะเป็นมันฝรั่งที่ตนตายไปเกือบหมดแล้ว มันหวานเองก็มีเถาที่แห้งเหี่ยวไม่เหมือนกับแต่ก่อน มีเพียงแค่ดอกบางดอกที่บานอยู่ ถึงดอกของมันจะงดงาม แต่ลำต้นของมันทั้งเหี่ยวเฉา ใบส่วนใหญ่ของมันก็ตายไปเกือบหมดแล้วมันก็ทำให้เด็กๆดังก็คาดเดาไปต่างๆนานา แต่มิมีใครกล้าที่จะเอ่ยถามเนื่องจากผู้ใหญ่ได้ห้ามเอาไว้ทางฝ่ายผู้ใหญ่เองก็ไม่แตกต่างกับเด็กๆเลย พวกเ
บทที่ 31 ก่อนหนาวมาเยือนหลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ตั้งแต่ที่ผู้คนสามารถเห็นได้ด้วยตาของตนเอง ว่าผลผลิตของมันทั้งสองชนิดนั้นมากมายแค่ไหน ที่สำคัญที่สุดก็คือรสชาติของหัวมันที่ปลูกในหุบเขาแห่งนี้ ยังมีรสชาติดีกว่าเดิมขึ้นอีกหลายเท่าตัวเดิมทีแล้วสำหรับพวกเขาทุกคน ลำพังแค่มันที่แย่หัวเอาออกมาให้นั้น ไม่ว่าจะเป็นมันฝรั่งหรือมันหวาน ก็ล้วนแล้วแต่มีรสชาติดีกว่าอาหารที่พวกเขาเคยลิ้มลองมานักต่อนักแล้ว ถึงมันจะไม่ผ่านการปรุงมาเลยก็ตามทีไม่ว่าจะเป็นมันฝรั่งต้มหรือมันหวานเผา ก็มีรสชาติกลมกล่อม สามารถทานได้เรื่อยๆไม่ต่างกัน...แต่ในตอนเที่ยงวันนั้น ในวันที่พวกเขาได้เก็บเกี่ยวมันทั้งสองชนิดเป็นครั้งแรก เด็กหญิงก็ได้ให้ พวกแม่ครัวใช้มันทั้งสองชนิดแทนวัตถุดิบที่นางยังไม่ได้เอาออกมาจากตู้เย็น ซึ่งปรากฏว่าเพียงแค่มันหวานเผาธรรมดาธรรมดา ก็ทั้งหอมอร่อยรสชาติเข้มข้นขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่า ทั้งเหนียวนุ่มเคี้ยวเพลินไม่สามารถหยุดปากได้เลยทีเด
บทที่ 32 จางหู่“นี่มันเรื่องอะไรขึ้นกันแน่!!”เสียงร้องอันดังลั่นในทันทีที่เดินทางเข้ามาถึงประตูหมู่บ้านของ “จางหู่” ผู้ชายตัวใหญ่ยักษ์มีกล้ามเป็นมากๆ หมดเคราหงเผาตั้งชี้โด่ชี้เด่ ยิ่งตัดผมสั้นแล้วด้วยก็ยิ่งสามารถมองเห็นถึงความชี้ตรงของเส้นผมได้อย่างชัดเจน ดวงตาเองก็เป็นประกายคมกล้าราวพญาเสือ คิ้วตั้งเป็นสันดาบร่วมกับสันจมูกคมโด่งเป็นสง่า เมื่อรวมเข้ากับหนวดเคราและจอนผมที่เชื่อมต่อด้วยกันแล้ว หากจะอธิบายให้เข้าใจถึงรูปร่างหน้าตาของจางหู่ได้ง่ายที่สุดแล้ว ตัวเขานั้นแทบไม่ต่างไปจากเตียวหุยในหนังสือเรื่องสามก๊กเลยทีเดียวด้วยอุปนิสัยแต่เดิมที่โผงผางและผ่าเผย ไม่เคยเก็บเร้นสิ่งใดเอาไว้ในใจเลยแม้แต่ครั้งเดียว ในทันทีที่เขาได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน หลังจากที่เขาพยายามอยู่ข้างนอกมากว่าสามปีแล้ว มันก็ทำให้เขาอดที่จะตก
บทที่ 33 หญิงงามบ้านน้องสาวเจ้าสิ!“ข้าดีใจยิ่งขึ้นที่เจ้ากลับมา นานมากแล้วน้องชายที่เราไม่ได้เจอกัน” เพียงแค่ไม่นานนักจางหลงกับคนอื่นๆ ก็เดินทางมาถึง ก่อนที่สองพี่น้องจะสวมกอดกันเบาๆ ตามประสาพี่น้องที่สนิทกันมาก “ว่าแต่เจ้าดูตัวโตขึ้นมากเลยนะ เมื่อก่อนก็ว่าโตมากแล้ว ตอนนี้เจ้าไม่ต่างจากหมีป่าเลยทีเดียว”ฮ่า ฮ่า ฮ่า“ท่านไม่ต้องมาล้อข้าหรอกน่า ข้าเพียงแค่โชคดีนิดหน่อย ทำให้ได้ฝึกฝนวรยุทธ์มาบ้าง ร่างกายของข้าที่เคยโตมากอยู่แล้ว มันก็เลยเติบโตขึ้นตามไปด้วยมันก็เท่านั้นแหละ”“จริงหรือ!” อีกคนหนึ่งที่ตามมาด้วยก็ถึงกับตาเบิกกว้าง สำหรับคนธรรมดาๆ อย่างพวกเขาแล้ว การที่จะโชคดีได้รับเลือกเข้าสำนักยุทธนั้นเป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญ“สมแล้วกับที่ได้รับฉายาพญาเสือ”“...&rdqu
บทที่ 34 หา!!“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าอาจารย์ของเจ้า จะใจดีถึงขนาดซื้อของมากมายขนาดนี้ มอบให้แก่เจ้าเป็นของขวัญกลับบ้าน มันจะต้องใช้อีแปะมากมายเท่าไหร่กัน...”มองเห็นสิ่งของที่อัดแน่นเต็มจนล้นทั้งห้าสิบเล่มเกวียน จางหลงก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมากับน้องชาย หากเป็นเมื่อก่อนหน้านี้ ในตอนที่เขายังไม่เจอกับนางเซียนน้อย เขาก็คงจะดีใจจนกระโดดโลดเต้นไปแล้ว...“เรื่องนั้นท่านพี่ไม่ต้องเป็นห่วงเลย ถึงแม้อาจารย์ของข้าจะไม่ใช่คนที่ร่ำรวยที่สุดในสำนัก แต่ถึงอย่างนั้นการซื้อของเพียงแค่นี้ เขาสามารถจ่ายออกได้อย่างสบายๆ” จางหู่ตอบยิ้มยิ้ม “แล้วที่สำคัญก็คืออาจารย์ของข้ามิได้ใช้ตำลึงหรือเงินอีแปะ แบบที่พวกเราใช้แต่อย่างใด แต่ท่านตายออกด้วยหินวิญญาณก้อนเล็กที่สุดเพียงแค่หนึ่งก่อน ก็สามารถซื้อสิ่งของมากมายที่ท่านเห็นได้เลย”“หินวิญญาณอย่างนั้นหรือ... เจ้าไปอยู่ในสำน
บทที่ 35 สัตว์อสูร“...”จางหู่รู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก จนแทบอยากจะเอาหน้ามุดดินหนี รู้สึกเขินอายจนแทบจะไม่รู้ว่าควรจะวางตัวเช่นไรดีในเวลาแบบนี้ จึงพยายามอธิบายแก้เก้อไปอย่างนั้นเอง “ก็ข้าไม่รู้นี่ ใครจะไปคิดว่าสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งขนาดนี้จะไม่อยู่ในหมู่บ้านของเรา”ฮุม...เจ้าสังที่เพิ่งมาถึงครางฮูมในลำคอเบาๆ พลางบ่ายหน้าไปทางหมู่บ้าน ส่งสัญญาณให้ทุกคนเป็นเชิงบอกว่าต้องรีบกลับแล้ว“เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะเอาไว้คุยรายละเอียดกันทีหลัง ในตอนนี้เราทุกคนรีบกลับหมู่บ้านกันก่อน ก่อนที่จะมืดค่ำเถิดพวกเรามีเวลาอีกราวครึ่งชั่วยาม...” จางหลงกล่าวพลางหันไปหาเจ้าสังที่มองมาที่เขาอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน “ข้าขอให้ท่านช่วยปิดท้ายขบวนหน่อยนะครับ”“...”เจ
บทที่ 36 พี่น้อง“เสี่ยวเฉินคุณหนูยังไม่มาหรือ”พวกเขาเดินทางเร็วกว่ากำหนดนิดหน่อย จนสามารถเดินทางมาถึงหมู่บ้านก่อนเวลาพรบค่ำ จางหลงที่สอดส่ายสายตาไปมาก็ไม่พบเห็นเด็กหญิงเลย จึงได้เอ่ยถามเด็กๆ ที่กำลังวิ่งเล่นอยู่“คุณหนูยังไม่มาขอรับ เห็นพี่ต้าพังบอกว่าคุณกำลังยุ่งอยู่กับการเขียนตำรา น่าจะยังไม่ลงมาวันนี้ขอรับ” เด็กชายตัวน้อยกล่าว “ท่านลุงหลงมีอะไรหรือเปล่าครับ”“ไม่มีอะไรหรอกเจ้าไปเล่นก่อนเถอะ แต่ว่าเจ้าอย่าลืมกลับไปที่บ้านก่อนค่ำล่ะ เพราะว่าอีกเดี๋ยวมันก็จะค่ำแล้ว”“ทราบแล้วขอรับ” เด็กชายตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะวิ่งแจ้นหายลับไปเล่นกับเพื่อนๆ“จางหู่พี่ ขอให้เจ้าช่วยเก็บของทั้งหมดเอาไว้เปิดพรุ่งนี้ได้หรือไม่ ในเมื่อเจ้าเป็นคนที่หาสิ่งของทั้งหมดนี้มา แต่
บทที่ 37 ม้วนตำรา“ในที่สุดก็เสร็จสิ้นสักที นึกว่าข้าจะตายก่อนเสียแล้ว” หลังจากที่เขียนตัวอักษรสุดท้ายลงบนม้วนตำราเรียบร้อยแล้ว นางก็ถึงกับถอนหายใจยาวแล้วนอนแผ่กายลงบนฟูกหนังสัตว์ในช่วงสิบวันที่ผ่านมา นางลงมือลงแรงไปกับสิ่งที่เรียกว่าม้วนตำรานี้มากที่สุด เพราะหลังจากที่นางคิดใคร่ครวญมาพักใหญ่ และทบทวนความทรงจำที่มีอยู่ในตอนนี้ ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมตัวนางถึงสามารถจำมันได้อย่างชัดเจน ทั้งยังเข้าใจ อ่านออก เขียนได้ ทั้งๆที่ก่อนนางจะตายนั้นนางไม่เห็นจะจำได้เลยว่านางเคยเรียนรู้ภาษาจีนไปตั้งแต่เมื่อไหร่และตอนไหนแต่ในที่สุดนางก็สามารถสร้างม้วนตำรา ที่จะเอาไว้ใช้สอนเด็กๆได้สำเร็จย้อนความกลับไปก่อนหน้า ถึงแม้นางจะไม่รู้ว่าทำไมนางถึงสามารถเรียนรู้และเข้าใจภาษาจีนได้อย่างคล่องแคล่ว แต่นางก็พอจะจดจำได้ว่านางได้เรียนรู้วิธีการสร้างม้วนตำรานี้มาจากอินเทอร์เน็ต
บทที่ 81 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (1)#บทนี้เป็น บท ย่อยแยกอีกบทหนึ่งนะครับ#ย้อนกลับไปในตอนก่อนที่เขาจะมอบระฆังธรรมให้กับเพื่อน ในขณะนั้นชาได้สังเกตเห็น ถึงความตั้งใจที่จะสั่งสอนธรรมะของเพื่อน แต่ด้วยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การที่นางไม่สามารถจดจำข้อธรรมใดๆ ได้มากนักก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรเนื่องจากว่าการที่เขาได้ทำการล้วงเอาจิตของนางขึ้นมาจากนรกนั้น มันเป็นเรื่องที่ทำการฝืนชะตากรรมของคนคนหนึ่ง และการที่เขา เรียกดวงจิตเดิมของนางที่ควรจะแตกดับไปนานแล้ว ตลอดไปจนถึง สัญญาสังขารและวิญญาณแต่เดิมของนาง ในภพแรกที่พวกเขาทั้ง 2 คนได้เจอกันโดยวิธีการเปิดพระธรรมคำสั่งสอนจากระฆังธรรม ให้ดวงจิตที่แตกสลายของนางได้ฟังซ้ำไปซ้ำมาครั้งแล้วครั้งเล่า ยาวนานนับหมื่นปีกว่าที่ดวงจิตของนางจะสามารถเรียกสติกลับคืนมาได้อีกครั้ง ซึ่งมันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เหล่าสัตว์นรกบางส่วนที่พอมีฤทธิ์สามารถแทรกออกมายังบนโลกอีกครั้ง...และนั่นก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมจู่ๆ นางถึงเหมือนกับว่า สามารถอธิบายข้อธรรมคำสั่งสอนทั้งหลาย ออกมาได้ราวกับเคยศึกษามันมาอย่างถ่องแท้ ทั้งๆ ที่ตัวนางแทบจะไม่เคยศึกษาเรื่องราวในแน
ก่อนอื่นเลยที่สำคัญที่สุดต้องขอบคุณมากๆ เลยนะครับ ที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้(น่าจะเหลือไม่ถึง1/10ของคนที่หลงเข้ามาที่จะเดินมาจนถึงจุดนี้) ดีใจที่เดินทางมาด้วยกันจนถึงจุถดเริ่มต้นที่แท้จริงของนิยายเรื่องนี้ครับใช่แล้วครับ…ตั้งแต่บทนำมาจนถึงตอนนี้เพิ่งจะเป็นส่วนที่ปูจุดเริ่มต้นของ เย่หัว-เยว่หัว ให้ทุกคนได้รู้จักตัวตนและสภาพแวดล้อมของนาง โลกที่นางอยู่ ผู้คน สังคม รายละเอียดที่จะทำให้เข้าใจเนื้อหาหลัก และเหตุผลของการกระทำต่างๆ ที่นางจะทำต่อจากนี้ไป จนบางครั้งอาจจะเป็นการกระทำที่ “โหดเหี้ยม” แบบไร้เหตุผลเลยก็มี เล่ม1-2จะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวในส่วนของ “บทนำ” แต่หลังจากเล่ม 3 เป็นต้นไปก็จะเข้าสู่ปฐมบทที่แท้จริง ตามชื่อบทของบทนี้ครับ เราจะคุยกันแบบจริงจังกับเนื้อเรื่องที่แท้จริงกันครับ อย่างแรกเลยก็คือหลังจากนี้จะต้อนรับเข้าสู่โลกแห่งความแฟนตาซีที่แท้จริง ของแม่ครัวตัวจิ๋วที่รักในการทำอาหารให้ผู้คนได้ลิ้มรส เป็นหนึ่งในความสุขของนาง และเป็นสิ่งสำคัญที่จะคอยยึดเหนี่ยวตัวนางเอาไว้ ส่วนยึดนางจากอะไรนั้นต้องไปติดตามในเนื้อเรื่องครับอย่างที่สองก็คือเรื่องของความแฟนตาซีและโลกในจินตนาการที
บทที่ 80 เลี้ยงส่ง(จบ)หลังจากที่เยว่หัวสามารถเรียกสติของผู้คนกลับมาได้อีกครั้ง ตลอดช่วงเช้าไปจนถึงเที่ยง นางก็ทำการจัดแจงแบ่งกลุ่มคนออกเป็นกลุ่มๆ โดยที่ไม่ลืมนำวัตถุดิบจำนวนมากออกมา แล้วจัดแจ้งเตรียมการฝึกซ้อมทั้งหมด กว่าที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางก็ปาเข้าไปจนถึงช่วงเที่ยงแล้วซึ่งในระหว่างที่ทำการฝึกซ้อมปรุงอาหารชนิดต่างๆ นั่นเอง เหล่าแม่บ้านและเด็กๆทุกคนต่างก็ได้ลองชิมอาหารกันอย่างเต็มอิ่ม และเมื่อเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว ทุกคนเลยหยุดพักกันในตอนเที่ยงพอดิบพอดี และถือเป็นการพักท้องอีกครั้ง เนื่องจากในตอนนี้ทุกคนแทบจะท้องแตกเสียแล้วส่วนฝั่งของจางหลงที่เป็นฝ่ายจัดเตรียมสถานที่ ซึ่งพวกเขาทุกคนก็ทำเต็มที่ในหน้าที่ของตนเอง แต่ด้วยข้อจำกัดของหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง โดยเฉพาะเวลาที่มีอยู่เพียงแค่ไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น พวกเขาจึงตกลงกันใหม่ว่า จะจัดเป็นโต๊ะไม้ยาวๆ ขนาด 6 ถึง 8ที่ แทนที่แผนการจะทำโต๊ะชุดวงกลม และโต๊ะทั้งหมดจะหันหน้าเข้าหาเวที ด้านเดียว ส่วนตัวเวทีเองก็จะสร้างขึ้นมา โดยการขุดดินมาถมเป็นเนินสูงขึ้นประมาณหัวเข่า ใช้ดินเหนียวในการป้ายโดยรอบเพื่อไม่ให้หน้าดินพัง
บทที่ 79 เลี้ยงส่ง(3)“ตอนแรกข้าขอยอมรับสารภาพเลยว่า ตัวข้าเองก็ไม่ได้จินตนาการเลยว่าทุกคนจะให้ความร่วมมือมากขนาดนี้”เยว่หัวมองไปยังทั้งผู้หญิงและเด็ก แทบทั้งหมดในหมู่บ้านที่มารวมตัวกัน ซึ่งในมือทุกคนต่างก็มีหม้อกระทะถ้วยชามรามไห รวมไปถึงตะเกียบและแก้ว น้ำที่ทำจากไม้บ้างหินบ้างดินเผาบ้างเหล็กบ้าง ซึ่งเรียกได้ว่าทุกคนเต็มที่กับสิ่งที่นางบอก จนนางที่เพียงแค่อยากจะทดลองการปรุงอาหาร เพื่อที่จะนำไปเป็นเมนูในร้านที่กำลังจะเปิด ก็ต้องเปลี่ยนความคิดอีกครั้ง“...”“...”“...”ทุกคนไม่ได้กล่าวอะไรออกมา เพียงแค่ยิ้มมองไปทางเด็กหญิงเท่านั้น และกำลังรอฟังคำสั่งด้วยความตั้งใจ แม้กระทั่งเด็กๆ ทุกคนที่ปกติเมื่อเจอกับนางเซียนน้อยของพวกเขา ก็มักจะแสดงออกอย่างดีอกดีใจ กระโดดโลดเต้นกันต่างๆนานา ยิ่งในตอนที่ไม่ได้พบได้เจอกันหลายวันแบบนี้แล้ว ปกติพวกเขาจะยิ่งกุลีกุจอมาหานาง แต่ในตอนนี้เด็กๆทุกคนเพียงแค่รออยู่กับผู้ปกครองของตนเองด้วยความตั้งใจ ไม่มีใครแตกแถวเลยแม้แต่คนเดียว“ในเมื่อทุกคนจริงจังกันขนาดนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าเองก็ขอจริงจังด้วยอีกคนก็แล้วกัน...” เด็กหญิงยิ้มและใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว เนื่องจาก
บทที่ 78 เลี้ยงส่ง(2)“ก็ตามที่ได้บอกไปก็แล้วกัน เดี๋ยวทุกคนก็แยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเอง ข้าจะเป็นคนนำฝ่ายผู้ชายไปจัดเตรียมสถานที่ตามที่คุณหนูได้สั่งเอาไว้ ส่วนพวกผู้หญิงก็เดินทางไปหาคุณหนูได้เลย เห็นนางบอกว่า วันนี้นางจะจัดเตรียมวัตถุดิบทั้งหมดด้วยตัวเอง พวกเจ้าไม่ต้องนำสิ่งใดไปด้วย ถ้าจะเอาไปก็คงจะเป็นพวกอุปกรณ์ จานชาม และสิ่งที่จำเป็นต่อการประกอบอาหารก็แล้วกัน พวกเจ้ามีอะไรก็เอาไปเท่าที่มี เพราะว่าการที่จะจัดเลี้ยงผู้คนทั้งหมู่บ้านก็คงจะต้องเตรียม หลายอย่างเลยทีเดียว”“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพวกข้าขอแบ่งออกไปตัดไม้แล้วกันนะหัวหน้า จะพาคนไปด้วยร้อยคนจะได้ช่วยกันหาไม้มาให้ได้มากที่สุด”“ส่วนพวกข้าก็จะไปเตรียมลานกว้างเลยแล้วกันนะ ขอรับ ถ้าจะขยายพื้นที่เพื่อวางโต๊ะ ตามรูปแบบที่นางเซียนน้อยได้กล่าว คงจะต้องเตรียมพื้นที่ให้มากขึ้นอีกหน่อย จะได้เดินเหินสะดวกในงานเลี้ยงขอรับ”“ถ้าอย่างนั้นข้ากับพวกผู้หญิงคนอื่นๆ ก็ขอแยกย้ายกลับบ้านก่อนแล้วกันนะเจ้าคะ จะได้ไปบอกเด็กๆให้ไปเล่นที่บ้านของนางเซียนน้อยด้วย หลายวันมานี้ทุกคนตั้งใจเรียนมากเลย ผ่อนคลายสักวันก็คงจะไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”“ก็ดีนะเจ้าคะ เดี๋ยว
บทที่ 77 เลี้ยงส่ง(1)“วันนี้คุณหนูเป็นอะไรหรือเปล่าขอรับ” จางหลงที่รับรู้ได้ถึงความรู้สึกขุ่นมัวในใจของนางเซียนน้อย ก็ได้เอ่ยถามขึ้นหลังจากที่ออกมาจากเรือน ซึ่งเป็นที่พักของผู้มาใหม่ทั้ง 2 คน “ทำไมวันนี้คุณหนูถึงได้ดูอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลยขอรับ”“ไม่ได้มีอะไรมากหรอกเจ้าค่ะ เพราะว่าวันนี้ข้าตั้งใจจะทำตามความต้องการของตัวเองตั้งแต่แรก คือก็คือการปรุงอาหารให้ทุกคนได้ลองกินดู ไหนๆก็จะเปิดโรงเตี๊ยมอยู่แล้ว แต่ข้ายังไม่เคยได้ทำอาหารจริงๆจังๆเลยสักครั้ง การที่ต้องมาเจออะไรแบบนี้ตั้งแต่เช้า มันก็คงจะทำให้ข้าหงุดหงิดไปบ้าง อย่างไรต้องขออภัยด้วยนะเจ้าคะ” เยว่หัวพยายามเปลี่ยนเรื่อง เพราะว่าไม่ได้อยากจะให้ใครรู้เรื่องราวของความฝันมากนัก เพราะว่าการที่มีใครรับรู้มันไปมากกว่านี้ จะเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นอีกไหม และอีกอย่างหนึ่ง สิ่งที่นางพูดไปก็ไม่ใช่เรื่องโกหกไปเสียทั้งหมด เพราะว่ากันแล้ววันนี้นางต้องการที่จะลงมือควบคุมการปรุงอาหาร ในการเลี้ยงผู้คนทั้งหมู่บ้านทั้งหมดจริงๆ ไหนๆก็ไหนๆแล้วนางอยากจะลองทำอย่างจริงจังดูสักครั้ง“จริงหรือขอรับ ทุกคนคงดีใจมากแน่ๆ”“ขนาดนั้นเลยหรือเจ้าคะ?”“คุณหน
บทที่ 76 หลอมรวม“ไม่ต้องระวังตัวขนาดนั้นก็ได้เจ้าค่ะ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำอันตรายพวกท่าน” ในทันทีที่เด็กสาวเข้ามาถึงห้องที่มีผู้ป่วย 2 คนนอนอยู่ หนึ่งในนั้นที่เป็นชายหนุ่มก็ได้ดึงตัวลุกขึ้นเตรียมต่อสู้ในทันที เยว่หัวเลยกล่าวออกไปแบบนั้น พลางหันไปหาจางหลงที่มาด้วยกัน “ไหนท่านบอกว่าพวกเขาหมดสติไปอย่างไรเล่าเจ้าคะ แล้วไม่ใช่ว่าเข้ามาตามหาข้าหรอกหรือ”“ขออภัยด้วยขอรับ อาจจะเป็นเพราะว่าฤทธิ์ยาที่ทำให้เขามึนงงอยู่บ้าง” จางหลงถอนหายใจเบาๆ แล้วมองไปทางอีกฝ่ายด้วยท่าทีไม่เป็นมิตรเท่าไรนัก “เป็นท่านเองมิใช่หรือที่มาขอความช่วยเหลือจากพวกเรา แล้วทำไมถึงได้แสดงท่าทีเป็นอริศัตรูกันแบบนี้เล่า”“ข้าขออภัยด้วย อาจเป็นเพราะว่าตัวข้ายังรู้สึกเหมือนกับเพิ่งจะถูกตามล่ามา ทำให้แสดงท่าทีเสียมารยาทไปแบบนั้น ข้าขออภัยจริงๆ” แม้อย่าพูดออกมาแบบนั้น แม้จะละท่าทีความหวาดระแวงลง แต่ก็ยังสามารถมองเห็นความไม่เป็นมิตรในสายตาของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน“เลิกตั้งป้อมเป็นศัตรูกันเถอะเจ้าค่ะ ถ้ามีอะไรสงสัยก็แค่พูดมา เพราะถ้าหากว่าพวกข้าต้องการจะทำอะไรพวกท่านจริง ก็คงจะไม่ปล่อยเอาไว้จนถึงตอนนี้หรอกเจ้าค่ะ” เยว่หัวที่คร้านจ
บทที่ 75 ผู้มาใหม่“ต้าพัง...ต้าพัง!”เยว่หัวร้องตะโกนออกมาเสียงดังลั่น เด้งตัวลุกขึ้นมานั่งมองภาพรอบๆด้วยสายตาที่ตื่นตระหนก แต่หลังจากที่นางกะพริบตาถี่ๆ หลายครั้ง ก็สามารถรับรู้ได้ว่าตอนนี้ตนเองตื่นขึ้นมาจากความฝันแล้ว“ข้าฝันไปอย่างนั้นสินะ แต่ว่ามันคงจะไม่ใช่ความฝันธรรมดาธรรมดาแน่ เพราะไม่มีทางที่เจ้านั่นจะทำอะไรแบบนี้โดยเปล่าประโยชน์อย่างแน่นอน แต่ที่ข้าไม่เข้าใจก็คือทำไมต้าพังถึงไปอยู่ในความฝันนั้นได้ ตกลงว่านี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่...”เด็กหญิงพยายามใช้ความคิดของตัวเองหมุนวนอย่างเร็วจี๋ เพื่อที่จะทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในห้วงแห่งความฝัน แต่ไม่ว่านางจะพยายามอย่างไร ก็เหมือนจะไม่เข้าใจอยู่ดี สิ่งที่มันยังจำได้แม่นก็มีเพียงแค่เรื่องของการฝึกฝนเคล็ดวิชาขั้นถัดไปเท่านั้นอีกอย่างหนึ่งไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไรกันแน่ ยิ่งนางใช้ชีวิตในโลกนี้ผ่านไปนานเท่าไหร่ ความทรงจำของนางในโลกใบเดิมก็ยิ่งหายไปเรื่อยๆ ทั้งๆที่นางเคยคิดว่านางสามารถจดจำ เรื่องราวเกี่ยวกับเพื่อนเก่าหรือตัวนางเองได้มากแค่ไหน แต่มันก็ราวกับว่านางแทบจะลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปจนเหมือนกับจำไม่ได้เลยแม้แต่อย่างเดียวแล
บทที่ 74 ซวนซานจุน“เป็นอย่างไรบ้าง การที่ได้เจอนางอีกครั้งแบบนี้เจ้ารู้สึกเป็นอย่างไร”“ก็ยังรู้สึกยินดีแบบเดิมขอรับ เพียงแต่ว่าข้าไม่เข้าใจว่าในตอนนี้ข้าเป็นอะไรไปแล้ว ทำไมข้าถึงยังอยู่ที่นี่ทั้งๆที่ข้าได้ตายไปแล้วหรือขอรับ”“เพราะว่าในช่วงสุดท้ายของชีวิต เจ้าได้ทำการให้ในสิ่งที่ยากที่สุด ก็คือการให้อภัยต่อบิดาผู้เอาชีวิตของเจ้า ทั้งยังตัวเจ้าในตอนนั้นได้ระลึกถึงบุญคุณของนางที่มีต่อเจ้า ต่อผู้คนที่อยู่รอบกายของเจ้า ทำให้เจ้าสามารถพ้นสภาวะจิตความเป็นมนุษย์ แล้วเสวยรูปของการเป็นเทพได้ในตอนนี้”“เทพอย่างนั้นหรือ...”“เพียงแต่ว่าเจ้ายังสั่งสมบุญบารมีมาไม่มากพอ มิได้บรรลุธรรม หรือมิได้สร้างกรรมอันยิ่งใหญ่ จนสามารถรังสรรค์ปราสาทและบริวารของเจ้าได้ เมื่อรวมกับดวงจิตสุดท้ายของเจ้าที่ผูกติดกับสถานที่แห่งนี้ เจ้าก็เลยยังเป็นเทพเบื้องต่ำที่ยังมิได้ไปไหนถึงฟังดูอาจจะไม่ค่อยน่าฟังสักเท่าไหร่ แต่สุดท้ายแล้วเจ้าก็ยังสูง กว่าภพมนุษย์ที่เจ้าจากมามาก”“แล้วหลังจากนี้ข้าควรจะทำอย่างไรต่อไป”“ตราบเท่าที่เจ้ายังไม่ก้าวพ้นห้วงสังสารวัฎ กล่าวคือยังเกิดในภพของมนุษย์ เทพ เดรัจฉาน เปรต และสัตว์นรก เจ้าก็จะย