บทที่6
หลิวอี้สงจึงสั่งบ่าวไพร่ตั้งสำรับ นานๆ จะได้ทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตา ท่ามกลางบรรยากาศครอบครัวสุขสันต์
“พี่ใหญ่ น้ำแกงไก่ดำ ทานร้อนๆ ช่วยขับเลือดลม” หลิวเจียลี่รับถ้วยน้ำแกงจากสาวใช้ส่วนตัวของนางแล้ววางถ้วยตรงหน้าหลิวชิงชิง
ชิงชิงรับมาอย่างไม่อิดออด วันนี้นางจะกินให้หมดทุกอย่างเลย หลายวันที่ผ่านมา เรือนของนางได้รับกับข้าวเพียงสองอย่างในแต่ล่ะมื้อ เป็นเพียงผัดผักและน้ำแกงเท่านั้น
“ดูสิเจ้าค่ะ ลี่เอ๋อร์อายุเพียงเท่านี้ รู้จักเป็นห่วงใยคนอื่น” หลิวฮูหยิน รีบอวดลูกสาวให้ผู้เป็นสามีฟัง นานๆ จะได้มานั่งทานข้าวร่วมกัน เพราะปกติ แยกทานเรือนใครเรือนมัน
“ข้าตุ๋นน้ำแกงไปเยี่ยมพี่ใหญ่ที่เรือนทุกวันเจ้าค่ะ ท่านแม่”
ชิงชิงก้มหน้าเข้าหาชามข้าว เยียดมุมปากเล็กน้อยไม่ให้ใครสังเกตเห็น ตุ๋นน้ำแกง ต้มตุ๋นล่ะสิไม่ว่า หมาซักตัวข้ายังไม่เคยเห็นไปเยี่ยมแม้แต่เงา มือบางยกน้ำแกงไก่ขึ้นซด
“แค่กๆ” ชิงชิงสำรักน้ำแกงไก่ ไม่ใช่น้ำแกงแล้ว นี่มันน้ำเกลือชัดๆ
“พี่ใหญ่ ร้อนหรือเจ้าค่ะ มาข้าเป่าให้” หลิวเจียลี่แย่งถ้วยน้ำแกงไปเป่าจนหายร้อน แล้วน้ำมาจ่อริมฝีปากชิงชิง “ทานให้หมดเลยนะเจ้าค่ะ ข้าเคี่ยวเองกับมือ” หลิวเจียลี่ทำสีหน้าท่าทางบริสุทธิ์ไร้เดียงสา
ชิงชิงเห็นสีหน้าคาดหวังจากทุกคนภายในห้อง หากจะเปิดโปงเจียลี่ หลิวฮูหยินไม่ปล่อยนางไปง่ายๆ แน่ เอาว่ะ ข้าจะให้พวกเจ้ารังแกข้าเป็นครั้งสุดท้ายก็แล้วกัน เมื่อตัดสินใจได้จึงกลั้นใจดื่มน้ำแกงจนหมดถ้วย ตายๆ ไตพังแน่ๆ วันนี้
หลิวอี้สงมองบุตรสาวที่รักใคร่กลมเกลียวกัน ก็อดภูมิใจในตัวฮูหยินไม่ได้ คิดไม่ผิดที่แต่งนางเข้ามา หลังจวนถึงได้สงบสุขเพียงนี้ ไม่วุ่นวายเหมือนจวนอื่นๆ
หลิวชิงชิงมิสนทนาอันใดต่อ การกลั่นแกล้งภายในจวนมักจะป็นแบบนี้เสมอ ไม่โจ่งแจ้ง ลงมือแนบเนียนและนางเอกก็ไม่สู้คน ชิงชิงร่วมสนทนาเพียงไม่กี่คำเออออไปด้วยตามมารยาท ตั้งหน้าตั้งตากินอาหารตรงหน้า วันนี้ไม่จุกไม่วางตะเกียบ ตุนเอาไว้เพราะมื้อต่อไปอาจมีเพียงแค่ผัดผัก คิดซะว่ามากินบุฟเฟต์
ยามอิ๋น (03.00 – 04.59 น.) บ่าวไพร่ในจวนวิ่งกันให้วุ่นวาย เสียงอึกทึกครึกโครมดังไปทั่วบริเวณลานใหญ่หน้าจวนคุณหนูใหญ่จะเดินทางไปรักษาตัวที่บ้านเดิมของมารดา หลิวอี้สงสั่งคนให้เตรียมของรถม้าและสัมภาระให้หลิวชิงชิงเดินทางด้วยตัวเอง เนื่องจากห่วงบุตรสาว ทั้งยังจ้างสำนักคุ้มภัยฝีมือดีที่สุดที่ใช้งานเป็นประจำให้ร่วมเดินทางไปด้วย
จากเดิมหลิวฮูหยินจะส่งคนสนิทจะลอบขนถ่ายสินเดิมของอี๋นัวออกมาจากคลังสมบัติ แต่พอรู้ว่าสามีจะเป็นคนลงเมื่อเตรียมการเอง ได้แต่เก็บความเคียดแค้เอาไว้ภายใน สมบัติที่นางคิดว่าซักวันต้องเป็นของลูกสาวนางกลับต้องถูกผู้อื่นแย่งชิงไป
เช้าวันนั้น มีหนึ่งคนยิ้ม แต่มีอีกสามคนน้ำตาตกใน
“คุณหนูเจ้าค่ะ ทำไมท่านดีใจที่ได้ไปอยู่ที่อื่นถึงเพียงนี้” การเดินทางออกไปอยู่ไกลถึงฉางอัน แบบไม่มีกำหนดกลับ ไม่ต่างกับถูกขับออกจากจวนเลย
หลิวชิงชิง เปิดม่านรถม้า มองดูขบวนสำภาระ นิ้วขาวเรียวโพล่พ้นจากชายเสื้อ
“จางจิ้ว เจ้าดูนั้นสิ รถม้าที่ขนข้าวของและเงินทองกี่คันรถ ตอนอยู่จวนตะกูลหลิวข้ามีเบี้ยหวัดเพียงสิบตำลึงเงิน แถมถูกแม่ใหญ่และน้องๆ ค่อยกลั่นแกล้ง ข้าวจะกินแต่ล่ะมื้อก็น้อยนิด แต่ดูสิพอข้าได้เดินทางออกไปอยู่ห่างไกล กลับมีสมบัติถึงสามสิบหีบ อยู่ที่ใดไม่สำคัญเท่าอยู่แล้วมีตำลึงจับจ่ายใช่หรือไม่”
จางจิ้วคิดตาม ฟังคุณหนูพูดแล้วมองตามนิ้วยาวเรียว เห็นรถม้าที่วิ่งตามหลายคันก็พยักหน้า ก็จริงอย่างที่นางว่า “ไม่ว่าคุณหนูอยู่ที่ใดข้าก็จะอยู่ด้วยเจ้าค่ะ”
บทที่7ขบวนรถม้าของหลิวชิงชิงออกจากเมืองหลวงมาได้หสิบวันแล้ว ค่ำไหนนอนนั้น แวะเบี้ยป้ายรายทาง ชมนกชมไม้ไปเรื่อย ไม่รีบร้อน ถึงฉางอันเมื่อไรเมื่อนั้น อีกไม่ช้าจะเข้าเขตเมืองผิงเหยา ชิงชิง จะนำสินเดิมของมารดาบางส่วนแลกเปลี่ยนเป็นตั๋วเงิน เก็บไว้เพียงของมีค่าไม่กี่ชิ้นเท่านั้น นางตั้งใจจะพักในเมืองผิงเหยาซักสามวันแล้วค่อนเดินทางต่อป่านนี้ม้าเร็วคงส่งจดหมายของท่านพ่อไปถึงจวนสกุลหลี่แล้ว“จางจิ้ง เจ้าเหนื่อยเหรอไม่ อีกไม่ช้าจะถึงเมืองผิงเหยาแล้ว เมื่อถึงข้าจะพาเจ้าเที่ยว”“คุณหนูจะพาข้าเที่ยวได้อย่างไร เพิ่งเคยมาด้วยกันหนแรก”“เอ้า ไม่เคยมาไม่ได้หมายความว่าจะพาเจ้าเที่ยวไม่ได้ มีถนนให้เดิน มีตำลึงในมือเท่านั้นก็พอแล้ว”มีตำลึงก็เที่ยวได้งั้นหรือ?หลิวชิงชิง เห็นสีหน้าโง่งมของจางจิ้งอดจะเอ็นดูไม่ได้ จางจิ้งเพิ่งจะอายุ 13 เท่านั้น ความคิดความอ่านหลายๆ อย่างยังเด็กนัก อีกทั้งวันๆ อาศัยอยู่แต่ในจวนไม่เคยออกมาข้างนอก ส่วนนางนั้นถึงแม้ร่างนี้จะอายุแค่ 15หนาว แต่วิญญาณข้างใน 30แล้ว เรียกว่าผ่านโลกมาค่อนชีวิต แต่อาจจะยังใหม่สำหรับโลกนี้ นิยายจีนเธอไม่เคยหยิบมาอ่านเลย ปิ่นหงส์คือเรื่องแรก ส่วนวัฒนธ
บทที่8“หากท่านต้องการร่วมโต๊ะ ท่านต้องจ่ายค่าอาหารมื้อนี้” ไอ้หล่ออ่ะหล่อ แต่มาชวนสาวกินข้าวเฉยได้ยังไงพี่ชายต้องป็นคนจ่าย“ไม่มีปัญหา”“เชิญนั่งเจ้าค่ะ” ชอบจังผู้ชายสายเปย์“ขอบคุณ” ชายหนุ่มนั่งลงเคียงข้างเรียกเสี่ยวเอ้อมาสั่งอาหารเพิ่มอีกหลายอย่าง กริยาท่าทางดูแล้วเพลินหูเพลินตาหน้าตาแบบนี้เคยเห็นแต่ในโซเชี่ยล เพิ่งเคยเห็นตัวเป็นๆ แบบหายใจรดต้นคอแบบนี้ นี่มันลูกนรักพระเจ้าชัดๆ ถึงจะเลิกกับแฟนเก่าไปไม่ได้คบหาดูใจกับใครต่อ ไม่ได้แปลว่าตายด้านนะย่ะ“ข้ามัวแต่ดีใจที่แม่นางให้ร่วมโต๊ะ จนเสียมารยาทลืมแนะนำตัว ข้าแซ่หลง มีนามว่า หลงเจี้ยนกั๋ว”รอยยิ้มบนหน้าชิงชิงค่อยๆ หมองลง จากแววตาพราวระยับ พลันกลายเป็นตกตะลึง เดี๋ยวน่ะ ชื่อคุ้นๆ คงไม่ใช่“ข้าน้อยแซ่หลิว เรียกข้าคุณหนูหลิว ก็แล้วกัน” ไม่เหมือนที่คุยกันไว้ ในนิยายพระเอกเจอนางเอกในวันลอยโคมไฟไม่ใช่เหรอ อีก 1 ปีข้างหน้า แล้วทำไมถึงโพล่มาตอนนี้ได้ แล้วข้าจะหนีมาเพื่ออะไร“คุณหนูหลิวท่านคงไม่ไช่คนเมืองนี้”“ท่านก็มิใช่คนเมืองนี้ “ไม่ได้ดูคนเป็นหรอก รู้ว่าพระเอกอยู่เมืองหลวง แต่อยากรู้ว่า ไอ้ด้ายแดงมันแผลงฤทธิ์ดึงพระเอกมาเจอนางได้อย่างไร โหวด
บทที่9หลงเจี้ยนกั๋วเดินตามคุณหนูหลิวมาถึงโรงเตี๊ยม เห็นนางขึ้นรถม้าวิ่งออกนอกเมืองไป ในคราวแรกเขาตั้งใจจะกลับเมืองหลวงทันที ไม่มีรู้อะไรดลใจให้แวะทานอาหารที่เหลา โชคชะตาคงทำให้เขาได้พบนางที่เมืองผิงเหยา หลงจู้โรงเตี๊ยมบอกว่านางเป็นคุณหนูที่เดินทางมาจากเมืองหลวง เขาจึงให้คนติดตามไปสืบว่าเป็นคุณหนูตะกูลใด เขาไม่อาจตามนางไปได้เพราะต้องกลับเมืองหลวง คงต้องกลับไปรอข่าวที่เมืองหลวงก่อนหลงเจี้ยนยกยิ้มเมื่อนึกถึงใบหน้าคุณหนูหลิว ตอนที่นางยิ้มพูดคุยกับสาวใช้ นางไม่ถือตัว อีกทั้งยังให้สาวใช้ร่วมโต๊ะตั้งแต่เข้าพิธีสวมกวานเขาไม่เคยเชื่อในรักแรกพบ แต่เมื่อถูกศรรักปักอกยามที่สบตานาง เขารู้ได้ทันทีว่านางคือคนที่เขารอหลังจากเดินทางออกจากผิงเหยา ทั้งๆ ที่ตั้งใจจะให้ขบวนรถม้าพักซักสามวัน กลับต้องเดินทางออกมา คนที่อยู่บนรถม้าก็สบายหน่อยแต่คนที่เดินเท้าคงเหนื่อยไม่น้อย เมื่อเห็นลำธาร จึงสั่งหยุดขบวนตั้งกระโจมพักค้างแรม ดีที่หลงจู๊โรงเตี๊ยมไหวพริบดีรู้จักค้าขาย ถามขายสะเบียงอาหารตั้งแต่เหยียบเท้าเข้าที่พัก การเดินทางครั้งนี้สินเดิมของมารดาถูกใช้ไปถึง 1 หีบ แต่ชิงชิงก็ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อย อยากให้ทุกคนที
บทที่10“แม่นาง ข้าขอวาดรูปท่านได้หรือไม่”ชิงชิงหันมามองผู้เฒ่า ที่เดินเข้ามาหานางกับจางจิ้ง ลักษณ์การแต่งการคล้ายนักพรต เสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน ไม่เหมือนคนเดินทางอ้างแรมตามป่าเขา“ท่านผู้เฒ่าวาดทิวทัศน์ไม่ดีกว่าหรือ แม้ข้าจะรู้ตัวว่าตัวเองนั้นงดงาม แต่ก็ไม่อาจเทียบทิวทัศน์ตรงหน้าได้” เหมือนจะถ่อมตัว แต่เปล่าเลยไม่อวยตัวเองจะไปอวยใครจริงป่ะ“ข้ากับแม่นางมีวาสนาต่อ จึงอยากวาดภาพให้แม่นางเก็บไว้”อ้อ หมายความว่าจะวาดแล้วให้นาง ไม่ได้วาดแล้วไปด้วย โถ่ๆๆๆ ก็นึกว่าจะวาดรูปนางไปขาย“งั้นข้าไม่ขัดสัทธา” หลิวชิงชิง จัดท่านั่งในท่าที่คิดว่าสบายที่สุด เคยไปนั่งถนนคนเดินให้ศิลปินมือสมัครเล่นวาดมาแล้ว งานนี้หมูๆผู้เฒ่าเปิดกล่องไม้หยิบพู่กัน ลงหมึกบนกระดาษสีขาว ทั้งสองไม่ได้สนทนาอันใด จางจิ้งนั่งดูอยู่ด้านข้างก็ปิดปากเงียบเกรงจะทำลายสมาธิท่านผู้เฒ่าเวลาผ่านไป ครึ่งชั่วยาม ผู้เฒ่าจึงวางพู่กันแล้วส่งรูปภาพให้สาวงามต้นแบบรูปภาพหลิวชิงชิง มองภาพด้วยแววตาสั่นไหว ภาพของนางที่ปรากฏอยู่บนกระดาษ พื้นหลังของภาพไม่ใช่ทิวทัศน์เบื้องหน้าแต่เป็นยืนอยู่ในสวน กลางจวนแห่งหนึ่ง ใจนางหล่นวูบ ภาพเดียวกับปกหนังสือ“ข้
บทที่11ในที่สุดขบวนรถม้าก็เดินทางมาถึงฉางอัน เมืองฉางอันไม่สร้างเสร็จภายในวันเดียว เหมือนที่หลิวชิงชิง ใช้เวลาเดินทางถึง 20 วัน ไม่ได้นั่งรถม้ามาแล้วแบบนี้ เดินมาเถอะเมื่อถึงจวนสกุลลี่ กลับพบว่า ท่านตาท่านยายได้จากไปแล้ว เจ้าของจวนตอนนี้คือท่านลุงหลี่เจิน ลุงป้าน้าอาคนอื่นๆ แยกย้ายออกไปหมดแล้ว เหลือเพียงครอบครัวสายหลัก ท่านลุงลี่มิได้ยินดีต้อนรับหลิวชิงชิงนัก แต่เพราะจดหมายที่หลิวอี้ส่ง ส่งมาล่วงหน้า หากเขาใจร้ายขับไล่นางกลับไปคงจะกลายเป็นคนไร้เมตตาในสายตาคนนอก จึงจำใจรับนางเอาไว้“ชิงเอ๋อร์ เจ้ามาเพื่อรักษาตัว คงจะไม่ว่าลุงใช่หรือไม่ หากจัดให้เจ้าอยู่ท้ายจวน”หลิวชิงชิงสิ่งยิ้มหวานกลับไป “ลำบากท่านลุงแล้วเจ้าค่ะ ข้าต้องการมารักษาโรคหนาวใน หนีอากาศหนาวจากเมืองหลวงมาเท่านั้นคงมิอยู่นาน”หลี่เจิน ยกยิ้มอย่างน้อยๆ นางก็ไม่เรื่องมากให้เขาลำบากใจ หวังว่านางจะอยู่ท้ายจวนอย่างสงบเสงี่ยมบ่าวที่ติดตามมาช่วยกันขนสำภาระคนล่ะไม้คนล่ะมือ คาดว่าคงจะพักผ่อนไม่กี่วันก็ต้องเดินทางกลับเมืองหลวงพร้อมคนของสำนักคุ้มภัย ชิงชิงให้จางจิ้งน้ำสินน้ำใจมอบให้ทุกคน ไม่เว้นแม้แต่คนของสำนักคุ้มภัย“คุณหนูเจ้าคะ
บทที่12หลงเจี้ยนกั๋ว เดินวนเวียนอยู่ด้านหน้าประตูทางเข้าจวนสกุลหลี่ หลังจากเดินทางไปถึงเมืองหลวง ไม่นานคนที่ใช้ให้ไปสืบข่าวคุณหนูหลิวก็ตามไป นางคือคุณหนูใหญ่สกุลหลิว นามว่าหลิวชิงชิง ช่างเหมาะกับนางเหลือเกิน ตาดวงจองนางเปล่งประกายระหยิบระยับดุจดาวบนฟากฟ้า คุณหลิวหลังจากแยกจากเขานางเดินทางมาฉางอันเพื่อนรักษาอาการป่วย รอแล้วรอเล่านางก็ไม่กลับเมืองหลวงซักที เขาทนไม่ไหวจึงควบม้าจากเมืองหลวงมายังเมืองฉางอัน อยากเพียงเห็นหน้านางอีกซักครั้งด้วยความร้อนใจจึงมาแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง ไม่รู้ว่าจะขอพบนางด้วยเหตุผลอะไร จึงทำได้เพียงเดินวนเวียนอยู่หน้าจวน หวังว่านางจะออกไปข้างนอกแล้วบังเอิญได้พบกันอีกครั้ง“คุณหนูเจ้าค่ะ นายท่านให้มาเรียนเชิญไปเรือนหลักเจ้าค่ะ” สาวใช้จวนสกุลหลี่ที่คอยดูแลงานทั่วไปหยอบกายเล็กน้อย“ท่านลุงเรียกข้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะอะไร” หรือเพราะเมื่อวาน ที่มีคนลอบมองนางที่เก๋ง เอาอะไรไปฟ้องท่านลุงกัน ข้าอยู่ของข้าเงียบๆชิงชิงไม่คิดนาน ในเมื่อเจ้าของจวนออกปากเชิญนางก็ต้องไปหลิวขิงชิงเดินเข้าไปในห้องโถ่ง แทบอยากจะหมุนตัววิ่งกลับเรือน แต่ก็ทำไม่ได้ กรีดร้องอยู่ภายในใจเป็นหมื่นล้
บทที่13วันต่อมายามอู่ (午:wǔ) คือ 11.00 – 12.59 น.) สาวใช้ของจวนบอกว่ามีแขกมาพบ ชิงชิงไม่ขอเดาว่าเป็นใคร นางจึงให้แขกไปรอที่เก๋งริมสระบัว“คุณชายหลง รอนานหรือไม่”“ไม่นาน คุณหนูหลิวเชิญนั่ง”หลิวชิงชิงส่งยิ้มให้ ในเมื่อหนีก็แล้ว สุดท้ายพระเอกก็ดั้นด้นมาหานางถึงฉางอัน นางจึงตัดสินใจไม่หนีอีกแล้ว“คุณชายหลง ข้าไม่อ้อมค้อม ข้าเป็นเพียงผู้อาศัยจวนนี้เท่านั้น หากท่านมาพบข้าบ่อยๆ คงจะดูไม่ดี อย่างไรข้าก็คือคุณหนูในห้องหอ ผู้อื่นจะเอาไปนินทาได้”“เป็นข้าที่คิดน้อย แต่ข้าถูกชะตากับคุณหนู อยากสนทนาด้วย ข้าเข้าใจสิ่งที่คุณหนูกังวล”“คุณชาย ท่านเรียกข้าแม่นางหลิวเถอะ ในเมื่อข้าดั้นด้นมาถึงฉางอันยังได้มาพบท่าน ข้ายินดีเป็นสหายท่าน” ในเมื่อคุณชายหลงไม่ได้นิสัยแย่อะไร เป็นบัณฑิตที่น่ายกย่องคนหนึ่ง คบเป็นสหายก็ไม่เสียเปล่า ยังไรหากข้าไม่ตอบรับรักเขาก็ทำอะไรข้าไม่ได้“ขอบคุณแม่นางหลิวที่ให้โอกาสข้า” เจี้ยนกั๋วไม่พอใจที่นางอยากเป็นแค่สหาย แต่เขาจะทำอะไรได้ รุกหนักไปนางคงหนีไปก่อน ค่อยๆ คบหาเรียนรู้กันไปก่อนก็ดี อย่างไรนางก็ยังไม่มีคู่หมั่นหมาย นั้นหมายความว่าเขายังมีโอกาส“แต่ไหนๆ ก็เป็นสหายกันแล้ว เจ
บทที่14คุณชายหลงยังคงแวะเวียนมาเยี่ยมหลิวชิงชิงที่จวนสกุลหลี่ ชิงชิงจะไม่อึดอัดเลยหากท่านลุงไม่แวะเวียนเข้ามาร่วมด้วย บางวันก็พาบุตรสาวคนโตมาร่วมวงสนทนาด้วย มองจากดาวเสาร์ยังดูออกว่าท่านลุงคิดการอันใด อย่างที่จางจิ้งบอก ตระกูลหลงมีอำนาจไม่น้อย เดิมที่นางอยากผูกวาสนาให้หลงเจี้ยวกั๋วกับบุตรสาวท่านลุง แต่ดูสีหน้าท่าทางของเขาแล้วคงไม่ได้มีใจออกจะติดลำคารด้วยซ้ำ ความรักมันบังคับกันไม่ได้ แล้วข้าเป็นใครจะไปยัดเยียดคนอื่นให้เขาเมื่อนางผู้นั้นปรากฏตัวเขาลืมเลือนข้าไปเอง“ ท่านไม่สนใจคุณหนูหลี่บ้างเลยเหรอ” ชิงชิงเท้าคางกับโต๊ะ“ข้าเมื่อปักใจรักผู้ใดแล้วก็รักมั่นแต่ผู้นั้น” เจี้ยนกั๋วมองตรงเข้าไปในแววตาของนาง อยากให้นางรับรู้ว่าเขารักนางเพียงใด“ท่านเป็นสหายข้า” ชิงชิงรีบหลบสายตา คนหล่อๆ มานั่งมองตาหวานแบบนี้ ใจบางหมด ใครไม่ใจเต้นให้ถีบเลย“แต่ข้าชอบเจ้า” นี่ก็ตรงเกินชิงชิงกลอกตาค้านจะพูด” แต่ข้าไม่ได้รู้สึกกับท่านแบบนั้นพี่เจี้ยนกั๋ว คบหากันเพราะรูปโฉม ความงามร่วงโรย ความรักก็สลาย ท่านชอบข้าเพราะรูปโฉมข้าต่างหาก วันหนึ่งท่านเจอสาวงามมากกว่าข้า หากท่านมั่นคงไม่พอย่อมไขว้เขวเป็นสหายย่อมยืนยาวก
บทที่45“พระชายาตั้งครรภ์” เสียงหวีดร้องจากจางจิ้ง หลังจากพระชายาหน้ามืด นางก็รีบไปตามหมอหลวงมากูอาการ หลังจากท่านหมอตรวจเสร็จก็แจ้งว่าพระชายาทรงควรรภ์ได้ 2 เดือนแล้ว“เดือนหน้าเจ้าจะปักปิ่นแล้ว ลดความม้าดีดกะโหลกลงซักนิดเถิดจิ้งเอ๋อร์”“พระชายา” จางจิ้งทำตาปริบๆ นางไม่ได้ซนอะไรขนาดนั้น นางเพียงแค่ทำอะไรคล่องแคล่ว “งั้นข้าให้คนไปแจ้งท่างอ๋องก่อนนะเพค่ะ“ไม่ต้องหรอก ข้าว่าป่านนี้องค์รักษ์เงาวิ่งแจ่นไปบอกแล้วล่ะ เจ้าอยู่ช่วยดูแลข้านี้ล่ะ ข้าเวียนหัวอยากอ้วกตลอดเวลา”“กระหม่อนจัดยาแก้วิงเวียนให้แล้ว ต้มดื่มทุกเช้าอาการจะทุเลาลง” ท่านหมอเก็บของแล้วกล่าวอำลาพอชินอ๋องทราบข่าวว่าพระชายากำลังตั้งครรภ์ก็ขอลากลับวังมาดูแล แต่กลับเป็นต้องลาพักยาวเพราะนอกจากยาแก้วิงเวียนที่พระชายาต้มดื่มทุกเช้า คนที่ดื่มกลับกลายเป็นชินอ๋อง หน้ามืดจะเป็นลมทุกครั้งที่ก้าวขาออกจากวัง จนไม่สามารถเข้าวังหลวงไป ช่วยราชกิจได้“ท่านรู้ว่ากลิ่นจากกระเทียมเจียวจะทำให้ท่านอาเจียน ท่านก็ยังให้คนต้มโจ๊กมาให้ข้าทานทุกเช้า” มือบางลูบหลังพระสวามีที่แพ้ท้องแท้นาง ขอบคุณเขาทุกวันที่แพ้แท้ หากให้นางแพ้แบบนี้คงไม่ได้บำรุงเจ้าก้อนแป
บทที่44ผ่านไป 2 เดือน ฮองเต้มีราชโองการแต่งตั้งองค์ชายใหญ่เป็นรัชทายาท และแต่งตั้งองค์ชายสามเป็นชินอ๋อง“จากนี้ไปท่านก็อยู่แต่ในวังไม่ได้แล้วสิ ต้องไปช่วยงานในราชวังบ้างแล้ว” ชิงชิง เอี้ยวหน้าไปคุยกับคนที่พายเรือให้นางชมดอกบัวในสระ“ข้าทุ่มแรงกายแรงใจสร้างฐานอำนาจ เพื่อวันที่ได้อยู่กับเจ้าและจะไม่มีปัญหาตามมา ตำแหน่งชินอ๋องนั้นย่อมมีคนเพ่งเล็ง อยากเข้ามาหาผลประโยชน์ด้วย อำนาจมันหอมหวาน”“เหมือนกับตำแหน่งพระชายารองของท่านสิน่ะ” หลังจากแต่งงานแรกวันไปเคาระวะยกน้ำชา ฮองเฮาก็เอ่ยถึงการแต่งพระชายารอง“ที่ข้ายังถือตรากองทัพอยู่และแอบรวบรวมคนไว้ ก็เพราะเหตุนี้ด้วย จะไม่มีใครบังคับให้ข้าแต่งใครเข้าวังชินอ๋องได้” เย่ชิง พายเรือกลับเข้าฝั่ง อุ้มภรรยาตัวน้อยขึ้นจากเรือ ไปนั่งดื่มชาและขนมที่เก๋งต่อ“แต่ท่านไปให้สัญญากับฮองเฮา หากทำให้จางหลันอันกับเจี้ยนกั๋วลงเอยได้จะแต่งพระชายารองจากคนในตระกูลของพระนาง”“แต่ข้าไม่ได้บอกว่าเมื่อไร” เย่ชิงยักไหล่ บิดยิ้ม “ไว้วันที่ข้าลุกจากเตียงไม่ไหวกำลังจะสิ้นลมหายใจ ข้าถึงจะแต่ง เจ้าไม่ต้องคิดมากจะมีเจ้าที่ทำหน้าที่อุ่นเตียงให้ข้าไปตลอดชีวิต” เย่ชิงส่งสายตายิ้ม
บทที่43วันพระราชทานสมรถมาถึง เจ้าบ่าวในชุดแดงมงคลนั่งบนอาชาสีดำคลับ ขี่ม้านำเกี้ยวมารับเจ้าสาว พร้อมขบวนสินสอดยาวจนสุดถนน สินสอดทั้งหมดฮองเต้เป็นผู้พระราชทานให้ว่าที่พระชายาขององค์ชายเมื่อเป็นเช่นนั้น หลิวชิงชิงจึงขอให้หลิวอี้สงไม่ต้องเพิ่มสินสอดเจ้าสาวนางจะเอาไปเพียงสินเดิมของมารดานางเท่านั้น ไม่อยากกลับมาข้องเกี่ยวกับคนในจวนนี้อีก จะว่าตัดขาดกันก็ได้ ตัวนางนั้นไม่ได้มีความผูกพันใดๆ กับคนสุกลหลิวเลยแม้แต่นิด อยู่เพียงอาศัยเป็นที่พึ่งเพราะหลงมาเท่านั้น จะว่านางใจร้ายและใจดำกับบิดาผู้ให้กำเนิด นางก็ขอใจร้าย หากบิดาใส่ใจซักนิดนางคงไม่โดดเดี่ยว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เทพธิดาหงเหม่ยเขียนผ่านในนิยาย หรือที่นางนั้นสัมผัสด้วยตัวเอง หลิวอี้สงมีแค่ความห่างเหินไม่ต่างจากจากคนอื่น สนใจแค่งาน ถึงจะไม่ได้ลงมือรังแกหรือทำร้ายนาง แต่เขาทำร้ายนางทางอ้อม หากเขาใส่ใจนางซักนิดจะรู้ว่านางนั้นไม่มีความสุข ถูกหลิวฮูหยินทำร้าย รักที่ไม่พูดไม่แสดงออกไม่มีวันส่งถึงใจใคร แต่หากวันหนึ่งเขาจะสำนึกได้นางก็คงจะให้อภัย แต่ถ้าไม่รู้สึกก็ปล่อยไปแบบนี้ก็แล้วกันด้วยนางไปใช้ชีวิตในโลกอนาคตถึง 30 ปี จึงมีความคิดอ่านต่าง
บทที่41หลิวฮูหยินส่วจดหมายนัดคุณชายหลงให้ออกมาพบ หวังจะให้เขาทำอะไรซักอย่างไม่ให้มีงานแต่งพระราชทาน ให้เขาลักพาตัวดีไหม หรือให้เขาแอบเข้าเรือนนอนนาง หลิวฮูหยินยืนรอที่จุดนัดพบจนเลยเวลานัดหมายมาเกือบครึ่งชั่วยาม คุณชายหลงก็ยังไม่ปรากฏตัว“หลิวฮูหยิน” ร่างสูงใหญ่เดินออกมาจากเงามืด“คุณชายหลงท่านมาช้า ข้าร้อนใจจะแย่”“เจ้าแก่จนสายตาเลอะเลือนหรืออย่างไร” ร่างสูงกล่าวหลิวฮูหยินเพ่งสายตานมนความมืดยกโคมไฟขึ้นสูงเพื่อมองคนตรงหน้าชัดๆ “อะ..องค์ชาย”“คุณชายหลงคงไม่มา ป่านนี้คงนอนกกกอดฮูหยินรองอยู่คงได้เจ้าก้อนแป้งน้อยในไม่ช้า ส่วนหลิวเจี่ยหลี่จนสิ้นลมหายใจคงไม่อาจมีทายาท เพราะฮูหยินเอกของคุณชายจวงคงไม่มีวันยอม”“องค์ชายรู้เรื่องนี้ “เย่ชิงยิ้มเหี้ยม“ท่านให้คุณชายจวงสั่งให้เจี่ยหลี่เดิมยาห้ามครรภ์”“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าแค่ผลักดันให้คุณชายจวงแต่งงานกับบุตรสาวเจ้า แต่เพราะรู้ว่าคนรักของคุณชายจวงมีนิสัยหึงหวงและคุณชายจวงก็รักนางมากยอมทำทุกอย่างเพื่อความสบายใจของนาง นางสั่งให้ห้ามมีบุตรกับบุตรสาวของเจ้า”“เหตุใดท่านถึงทำกับพวกข้าแบบนี้ เจียลี่ไปทำอะไรให้ท่าน”“เพราะบุตรสาวของเจ้าลงมือกลั่นแกล้ง
บทที่40ทำตามหัวใจตัวเอง คำพูดที่ผู้เฒ่าใบ้เอาไว้ ครั้งที่ข้าใจสั่นกับเจี้ยนกั๋วมันเป็นแค่อาการเวลามองไอดอลยิ้มให้ แต่ตอนที่ใจสั่นตอนสบตากับเย่ชิงมันกลับรู้สึกอีกอย่างที่แตกต่างออกไป เย่ชิง ชิงชิง ดาว ชื่อทำไม่ความหมายแฝงคล้ายกันปิ่นหงส์หลิวชิงชิงยกมือขึ้นจับปิ่นหงส์ที่อยู่บนศีรษะ ชื่อนิยายเรื่องนั้น ปิ่นหงส์ แต่รูปภาพบนปกนิยายไม่ได้ปักปิ่นอันนี้ หรือข้าคือแสงสว่างจากดวงจันทร์ส่องลงมายังสระบัวทั้งที่ตะวันเพิ่งลับขอบฟ้าไป กลับมีแสงจันทร์สว่าง เสียงแว่วมาตามสายลม‘ชิงเอ๋อร์ ข้ารักเจ้า เจ้าคือดวงดาวที่ค่อยส่องแสงอยู่เคียงข้างข้าเสมอ ข้าเยว่ชิงจะเป็นดวงจันทร์ที่ส่องแสงโอบกอดเจ้าไว้ข้างกายไม่ห่าง ข้าสาบานจะรักเจ้าทุกภพทุกชาติไป’‘พี่เยว่ชิง ท่านพูดแล้วห้ามคืนคำ’‘ข้าพูดที่ไหน ข้าสาบานต่างหาก ฟ้าดินเป็นพยาน ข้าจะรักเจ้าเพียงคนเดียว หากชาตินั้นหาเจ้าไม่พบข้าก็จะไม่รักใคร’ร่างบางยืนขาสั่น จนไม่อาจทรงได้ได้ ทรุดลงกับพื้น ก่อนที่ตัวจะถึงพื้น มีมือหนาเข้ามาประคองเอาไว้นางเงยหน้าสบตาคนที่ตะกองกองนางเอาไว้ทั้งน้ำตา“ข้า…ขอโทษที่ลืมเลือนท่าน”เย่ชิงประคองร่างบางไว้ด้วยฝ่ามือเดียว หัวแม่มืออีกข้
บทที่39จวนสกุลหลิวบ่าวต่างวิ่งกันวุ่นวาย เมื่อมีม้าเร็วมาแจ้งว่ามีราชโองการ ให้ทุกคนออกมารอรับหน้าจวน“รับราชโองการ คุณหลิวชิงชิง บุตรสาวหลิวอี้สง งดงาม เพียบพร้อม ไปด้วยคุณธรรมและจริยาธรรม องค์ฮงค์เต้จึงพระราชทานสมรสให้หลิวชงชิงแต่งเข้าจวนองค์ชายสามในตำแหน่งพระชายา อีกหนึ่งเดือนข้างหน้า จบราชโองการ”หลิวชิงชิง ก้าวออกไปรับม้วนราชโองการด้วยความสับสนมึงงง ไหนเมื่อวานบอกว่าเจี้ยนกั๋วไปขอฮองเต้ ทำไมกลายเป็นองค์ชายสามไปได้ จะมัดมือชกนางเกินไปแล้วหลิวฮูหยินคุกเข่ารับราชโองการแทบลุกไม่ขึ้น ทำไมคนที่หลิวชิงชิงแต่งออกไปด้วยไม่ใช่คุณชายหลง นางเปิดโอกาสให้มาพบหลิวชิงชิงที่เรือนทุกวัน รีบให้นางแต่งออกไป นางจะได้สมุดบัญชีจวนกลับคืนมาซักที่ชิงชิงคลี่ม้วนราชโองการออกดู ว่าตกใจที่มีราชโองการแล้ว กลับต้องมาตกใจวันที่ข้างๆ ตราประทับของฮองเต้ วันที่เมื่อห้าปีที่แล้ว เพราะอะไรเย่ชิงถึงได้ขอประทานสมรสกับหลิวชิงชิง สองคนนี้ในอดีตเคยพบกันงั้นเหรอ แต่ถ้าเคยเจอในความทรงจำเดิมต้องมีอะไรบ้างสิ หรือนั้นเป็นสาเหตุที่นางคุ้นแววตาของเย่ชิง“เจ้าถามข้าได้” เย่ชิงตัดสินใจเดินออกมายืนเคียงข้างนาง“องค์ชายเข้ามาได้
บทที่38จ้าวเย่ชิงเข้าวังหลวงในยามวิกาล มาทวงสัญญาหลังจากที่กลับมาจากชายแดน สัญญาที่เขาขอไว้ ไม่ให้บังคับเขาแต่งพระชายา“เจ้าเข้ามายามวิกาล เจ้าอยากหัวขาดหรือเย่ชิง” ฮองเต้ลุกขึ้นจากเตียงบรรทม หลังจากกงกงมากระซิบปลุกที่ข้างหู“ลูกมาทวงสัญญา”“แล้วถ้าเจิ้นบอกว่าลืมไปแล้วล่ะ” ฮองเต้แกล้งยียวน พระองค์พอจะทราบข่าวเรื่ององค์ชายสาม ประกาศบอกรักคุณหนูหลิวกลางเหลาอาหาร อยากเห็นคุณหนูคนนั้นจริง เอาอะไรมาหลอมหัวใจน้ำแข็งเจ้าลูกคนนี้“ลูกหยิบม้วนราชโองการมาด้วย เสร็จพ่อเพียงเติมชื่อนางลงไป เป็นอันเสร็จสิ้น”“เจ้ารีบ?”“ไม่เลยข้าไม่รีบ ข้าขอราชโองการจากท่านพ่อมาถือไว้ถึง 5 ปี ข้าไม่รีบเลยพ่ะย่ะค่ะ”“เอ้าๆ นางมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร ข้าจะได้นอนต่อ”“หลิวชิงชิง บุตรคหบดีขายผ้าไหม หลิวอี้สง” เย่ชิงรีบปรี่เข้าไป ฝนหมึกให้อย่างเอาใจ พอฮองเต้จดปลายพู่กันลงบนราชโองการ เย่ชิงก็เข้าไปบีบนวดแขนแกร่งของบิดา“เห้ยๆ อย่าบีบแขนแรง หากข้าขีดเส้นผิด ข้าไม่แก้ให้ ไม่ออกราชโองการให้เจ้าใหม่ด้วย”“เสด็จพ่อ”“เสร็จแล้วไสหัวไปได้แล้ว ข้าจะนอน วันๆ ราชสำนักไม่เคยเข้า ไปซุ่มฝึกกองกำลังลับอยู่ได้”“ข้าก็ทำเพื่อพี่ใหญ
บทที่37หลังจากพายุสงบ จึงกลับมาทานอาหารกันต่อแบบประตูเปิดโล่ง องค์ชายดึงดันจะมาส่งนางให้ได้ นางกลัวคนที่จวนแตกตื่น จึงขู่ให้ชานตงมาส่งนางเป็นเพื่อนด้วย หากไม่หลอกนางออกไป นางคงไม่ถูกมัดมือชกแบบนี้มือบางลูบไล้ไปตามปิ่นหยก ตัวปิ่นเป็นสีขาว ส่วนตัวหงส์กลับเป็นสีแดง หยกหายากเช่นนี้คงไม่แปลกที่ข้าจะตกตลึงทันทีที่เห็นมัน แต่ความรู้สึกที่แวบขึ้นมาเพียงแวบหนึ่ง กลับทำให้ข้ายังคิดวนเวียนอยู่แบบนี้เจ้าเป็นอะไรชิงชิง อ่อนไหวง่ายไปหรือเปล่าหลิวชิงชิง เดินไปที่กระจกทองเหลือง ไม่รู้สิ่งดลใจนางดึงปิ่นอันเดิมแล้วปักปิ่นหงส์ลงบนม้วยผม แวบตานางสั่นไหวอย่างรุนแรง ภาพสะท้อนในกระจกทำเอาน้ำตานางไหลอาบแก้ม“จ้าวเย่ชิง เจ้าเป็นใครกันแน่” มือบางเอื้อมหมายจะดึงปิ่นหงส์ออก แต่ก็เปลี่ยนใจชักมือลง จ้าวเย่ชิง ท่านเป็นใครทำไมท่านถึงมีของสิ่งนี้ในมือ ของที่ข้ารู้สึกว่ามันคือของๆ ข้า ของที่ข้าทำหายการกระทำทั้งหมดล้วนอยู่ในสายตาคม เย่ชิงตั้งท่าจะกระโดดเข้าไปในห้องนาง“เจ้าทำแบบนี้ เจ้าได้กลายเป็นโจรเด็ดบุปผาของจริง”มือเหี่ยวย่นดึงไหล่หนาเอาไว้“แต่นางกำลังจะนึกออก” ร่างสูง ตาแดงกล่ำ เห็นนางในดวงใจ ร้องไห้ เขาทนไม
บทที่36หลิวชิงชิงได้รับจดหมายจากชานตงให้มาพบที่เหลาอ่านหาร หลังจากเขามาส่งที่เมืองหลวงก็ไม่ได้พบกันเลยเสี่ยวเอ้อจึงพานางมายังห้องที่จองเอาไว้ เมื่อเปิด ชิงชิงแทบอยากจะร้องออกมาดังๆข้าลืมไปว่าพี่ชานตงเป็นผู้ช่วยตัวเอ้ของตัวร้าย“องค์ชาย ท่านรองแม่ทัพ “ ชิงชิงกัดฟันพูดแล้วเดินเข้าไปนั่ง ค่อยดูข้าจะถล่มให้หยับ บังอาจหลอกข้ามา“เจ้ามองข้าตาเขียวขนาดนั้น เดินมาฟาดข้าเลยเถอะ” ชานตงที่ร่วมเดินทางมาจากฉางอัน พอจะรู้นิสัยนางพอสมควร“ข้าจะทำแบบนั้นต่อหน้าองค์ชายสามได้อย่างไร” นางอุตส่าห์ไม่ออกจากจวนจะได้กลบข่าวลือหนก่อน“หากองค์ชายไม่อยู่เจ้าจะตีข้า เจ้าช่างใจคอโหดเหี้ยม ข้าเห็นเหลาเปิดใหม่เลยอยากพาเจ้ามากิน แต่มีเจ้ามือเสนอเลี้ยง ข้ามิอาจขัดศัทธา” รองแม่ทัพ เอาเท้าเตะขาองค์ชายอยู่ภายใต้โต๊ะ จะนั่งเป็นใบ้อีกนานมั้ย ข้าเปิดให้ขนาดนี้แล้ว“วันนี้เจ้าสวยกว่าทุกวัน” องค์ชายสามเอ่ยชมชุดที่นางสวมใส่วันนี้ สีเขียวรับกับผิวหน้ากระจ่างใส่ของนางเหลือเกินที่เงียบคือมองตาค้างอยู่สิน่ะ เฮอะ !ไอ้ข้าก็หลงเป็นห่วงพอถูกชมซึ่งหน้า ใครไหนเลยจะปั้นหน้าบึ้งอยู่ได้ แม้จะหวั่นๆ ใจในตัวอองค์ชาย แต่นางก็แอบอมยิ้ม