หลินเหยาซื่อทำแป้งโดว์ให้เด็กทั้งสองเล่นและสอนปั้นเป็นรูปทรงต่างๆ จางหย่ง จางลี่ ต่างก็ชื่นชอบกันมาก
“ไม่คิดว่าแป้งสาลี่จะเอามาทำแป้งปั้นแบบนี้ได้นะคะ”
“ใช้ดีกว่าดินน้ำมันอีก” หลินเหยาซื่อหัวเราะคิกคัก นั่งมองเด็กๆ ปั้นแป้งเป็นรูปสัตว์ต่างๆ “ให้เด็กๆ เล่นหน้าบ้านสักยี่สิบนาทีแล้วพาเข้าบ้านนะคะ ฉันจะไปทำงานก่อน”
“เจ้าค่ะ คุณผู้หญิง” ป้าฮุ่ยชิวนั่งดูเด็กๆ ปั้นดิน ตอนนี้หลินเหยาซื่อใช้ห้องนั่งเล่นเป็นห้องทำงานตัดเย็บเสื้อผ้าตัวอย่าง จึงไม่อยากให้เด็กๆ เข้าไปรบกวนเวลาทำงาน
“ไข่ น้องไก่ไข่แล้วไปเก็บไข่กัน” จางลี่พูดขึ้นเมื่อได้ยินเสียงแม่ไก่ร้องกระต๊ากๆ
“เก็บไข่ๆ” จางหย่งพูดขึ้นและทำท่าจะวิ่งไปที่เล้าไก่ใกล้ๆ
“ใจเย็นๆค่ะคุณหนูคุณชาย” ป้าฮุ่ยชิวหัวเราะออกมา จางลี่เป็นผู้หญิงแต่นิสัยใจกล้าอยากรู้อยากเห็นเหมือนเด็กผู้ชาย แต่จางหย่งเป็นเด็กชายกลับนิสัยอ่อนโยนว่าง่ายราวเด็กผู้หญิง
“เดี๋ยวป้าเก็บเอง คุณๆ รออยู่ตรงนี้ อ้อ เล่นลูกบอลนี้ก็ได้ค่ะ” ป้าฮุ่ยชิวส่งลูกบอลให้จางหย่งแล้วเดินไปทางเล้าไก่ ครั้งก่อนให้เด็กๆ เก็บไข่เอง ทำไข่แตกคามือ จางหย่งเสียใจจนน้ำตาร่วง คราวนี้นางจึงไปเก็บเอง
จางลี่แย่งลูกบอลให้มือจางหย่ง จางหย่งมองมือที่ว่างเปล่าแล้วก็ได้สติ วิ่งไล่แย่งลูกบอลจากจางลี่ เด็กสองคนวิ่งเล่นแย่งลูกบอลส่งเสียงหัวเราะสดใส ใครเดินผ่านไปผ่านมาต้องหยุดมองด้วยรอยยิ้ม จางหย่งแย่งลูกบอลกลับมาได้ จางลี่แย่งกลับคืน แล้วเด็กหญิงตัวน้อยก็โยนลูกบอลขึ้นก่อนจะใช้ปลายเท้าเตะไปสุดแรงเลียนแบบที่เคยเห็นในโทรทัศน์ แต่หนูน้อยเสียหลัก หงายหลังก้นกระแทกพื้น ลูกบอลกระเด็นกระดอนออกนอกรั้ว จางหย่งหันซ้ายหันขวาไม่รู้จะช่วยพี่สาวหรือลูกบอลก่อนดี
“ไปเก็บลูกบอล” จางลี่รีบสั่งการ “เดี๋ยวถูกคุณแม่ดุเอาอีก”
ทั้งสองสร้างวีกรรมเล่นของเล่นแล้วพังคามือมานับไม่ถ้วน
จางหย่งวิ่งตามลูกบอลที่กลิ้งไปอยู่นอกรั้วบ้าน เขาอาศัยรูปร่างเล็กและปราดเปรียวมุดช่องว่างของรั้วหน้าบ้านวิ่งตามลูกบอลไป สายตาของเด็กชายตัวน้อยอยู่ที่ลูกบอลลูกนั้น เขาวิ่งไปตะครุบไว้ได้ทัน แต่พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นรถยนต์คันหนึ่งตรงมาทางเขาแล้ว
รวดเร็วจนเด็กชายตัวน้อยยังไม่ทันกะพริบตา ร่างของเขาก็ลอยละลิ่วขึ้นทั้งที่กอดลูกบอลอยู่
เสียงกดแตรรถยนต์หน้าบ้านดังลั่น หลินเหยาซื่อที่กำลังตัดผ้าถึงกับทิ้งกรรไกรแล้ววิ่งออกมาดูทันที แรกทีเดียวเธอเกือบโล่งอกแต่กลับเห็นเพียงจางลี่นั่งอยู่บนสนามหญ้าหน้าบ้าน แต่ไม่เห็นเงาร่างของจางหย่ง ป้าฮุ่ยชิววิ่งหน้าตาตื่นออกมาพร้อมไข่ไก่ในมือก็ตกใจ ทั้งสองสบตากันแล้วมองไปที่นอกรั้วบ้าน
“หย่งหย่ง!”
หลินเหยาซื่อวิ่งไปที่หน้าบ้าน เธอแทบกระชากประตูรั้วให้เปิด ทว่าเบื้องหน้ามีชายหนุ่มอุ้มจางหย่งนั่งบนท่อนแขนของเขา ในมือลูกชายยังกอดลูกบอลอยู่ เด็กชายเห็นมารดาก็ยิ้มกว้าง
“แม่ครับ”
“หย่งหย่ง! ทำไมทำแบบนี้!”
ทั้งตกใจทั้งโกรธ หลินเหยาซื่ออยากจะตีลูกตัวเองนัก ถ้าถูกรถชนขึ้นมา เธอจะทำยังไง แค่คิดหัวใจก็เจ็บ น้ำตาก็รื้นขึ้นมาทันที
“แม่...” จางหย่งเสียงอ่อนลง แค่เห็นตาสวยๆ ของแม่มีน้ำตา ตัวเองก็พาลจะร้องไห้ไปด้วย “ขอโทษครับแม่”
หญิงสาวยื่นมือไปรับ แต่ชายหนุ่มยังกอดเด็กชายไว้ คิ้วเรียวงามเลิกขึ้นประหลาดใจ เธอเงยหน้าขึ้นสบตากับดวงตาดำลึกล้ำคู่นั้นอย่างไร้ความหวาดกลัว พลันรู้สึกคุ้นหน้าอยู่บ้าง เหมือน...เหมือนเคยเจอที่ร้านกาแฟหลายวันก่อน
“ขอบคุณที่ช่วยนะคะ แต่ส่งลูกชายฉันคืนมาด้วยค่ะ”
ชายหนุ่มยังคงนิ่งงัน แต่หลินเหยาซื่อขึงตาใส่
“คุณ! ฟังไม่เข้าใจเหรอ”
“แม่...นี่คุณพ่อไง”
คราวนี้หลินเหยาซื่อเป็นฝ่ายนิ่งไปบ้าง เธอพิเคราะห์คนตรงหน้าอีกครั้ง จะว่าไปก็หน้าตาคล้ายๆ กับคนในรูปถ่ายงานแต่งงานอยู่นะ แต่คนนี้ดูผิวเข้ม ผอมลง แต่ท่อนแขนเต็มไปด้วยมัดกล้าม
ไม่ละมั้ง คนหน้าคล้ายมีเยอะไป
ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึก เด็กชายที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกเรียกเขาว่า ‘พ่อ’ ได้เต็มปากเต็มคำ แต่คนที่เป็น ‘ภรรยา’ กลับทำหน้าเหมือนไม่เคยรู้จักกัน ต่อให้โกรธเกลียดกันขนาดไหนก็ไม่ใช่ว่าจะทำเป็นไม่รู้จักกันเช่นนี้
ป้าฮุ่ยชิวอุ้มจางลี่ออกมาดูที่หน้าบ้าน ดวงตานางเบิกกว้างก่อนจะพูดออกมา
“คุณผู้ชาย! คุณผู้ชายกลับมาแล้ว”
ชายหนุ่มคนเดิมจ้องมองเด็กหญิงตัวน้อยที่หน้าตาพิมพ์เดียวกับเด็กชายที่เขาอุ้มอยู่ จางลี่ยื่นมือไปข้างหน้า หลินเหยาซื่อรับลูกสาวมาอุ้มไว้เองแล้วกวาดสายตามองอีกฝ่ายเต็มตา เท่าที่เคยอ่านในไดอารี่ของ ‘หลินเหยาซื่อ’ เจ้าตัวเองก็ไม่รู้ว่ากำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ วันที่ตำรวจแจ้งเรื่องอุบัติเหตุ เธอไปดูที่เกิดเหตุและสภาพรถรวมทั้งศพผู้หญิงที่ไม่รู้จักคนนั้น เธอหน้ามืดเป็นลมไป ตำรวจจึงพาส่งโรงพยาบาลและทำให้รู้ว่าตอนนั้นเธอตั้งท้องลูกได้สามเดือนแล้ว การที่รู้ว่าตั้งครรภ์กลายเป็นแรงผลักดันให้เธอพยายามที่จะมีชีวิตอยู่
เขาหายไปกี่ปีกัน
ใบหน้าเด็กฝาแฝดดูอย่างไรก็เห็นโครงหน้าละม้ายคล้ายเขาอยู่หลายส่วน
“ลูก...”
กว่าจะค้นหาเสียงจนพูดออกมาได้ก็ทำเอาชายหนุ่มข่มความรู้สึกบางอย่างลงไป ไม่คิดว่า แค่ ‘คืนเดียว’ ที่มีความสัมพันธ์กันและเขาก็เมามาก จะทำให้มีเด็กน่าตาน่าเอ็นดูถึงสองคนอย่างนี้
“คุณพ่อ!” จางลี่พูดออกมา “คุณพ่อกลับมาแล้ว”
“เข้าไปในบ้านก่อนเถอะค่ะ”
ป้าฮุ่ยชิวพูดขึ้น นางกลัวว่าคุณผู้หญิงจะโกรธจนไล่คุณผู้ชายออกไป อย่างไรก็เป็นสามีภรรยากัน คุยกันปรับความเข้าใจกันจะดีกว่า อย่างน้อยก็เห็นแก่หน้าลูกที่เพิ่งจะได้พบพ่อครั้งแรก แต่นี่ก็เพราะคุณนายชอบคุยกับเด็กๆ ให้ดูรูปทุกวันจนพวกเขาจำได้ว่า ‘พ่อ’ หน้าตาเป็นอย่างไร
หลินเหยาซื่อได้สติก็พยักหน้ารับ เป็นฝ่ายเดินนำเขาเข้ามาในบ้าน ชายหนุ่มคนนั้นยังคงอุ้มจางหย่งอยู่เพราะเด็กชายก็กอดคอเขาไม่ยอมปล่อย
เพียงเดินเข้ามาในบ้าน กั๋วคังเหรินพลันรู้สึกได้สัมผัสความคุ้นเคยที่ห่างหายไปนาน เขาปรายตามองไปยังชั้นผนังห้องด้านหนึ่ง เป็นรูปวาดสเก็ตภาพด้วยดินสอ เป็นรูปครอบครัวสี่คนพ่อแม่และลูกแฝดทั้งสอง ภาพงานแต่งงานยังคงประดับอยู่ที่ผนังห้อง รูปภาพเหล่านั้นไม่มีฝุ่นเกาะเลยสักนิด แสดงว่าถูกทำความสะอาดหรือหยิบดูบ่อยๆ นี่คงเป็นเหตุผลที่เด็กสองคนที่ไม่เคยเห็นตัวจริงของเขา แต่กลับเรียกเขาว่าพ่อได้เต็มปากเต็มคำ“คุณหนู คุณชาย มาทางนี้ก่อนค่ะ”ป้าฮุ่ยชิวพยักหน้าเรียกเด็กทั้งสอง แต่จางหย่งกอดคอชายหนุ่มแน่นไม่ยอมปล่อย จางลี่มองด้วยตาแดงๆ อยากกอดคุณพ่อบ้าง หลินเหยาซื่อเกรงว่าเด็กจะร้องไห้ออกมาเลยส่งลูกให้ป้าฮุ่ยชิว“หย่งหย่ง ลี่ลี่ อยู่กับคุณป้าก่อนนะคะ คุณ...เอ่อ...คุณพ่อไม่ไปไหนหรอกค่ะ เราสัญญากันว่าจะไม่ดื้อและเชื่อฟังแม่ใช่ไหม”เด็กสองคนมองหน้ากันแล้วพยักหน้ารับ จางหย่งยอมปล่อยมือแล้วเดินไปจับมือกับจางลี่ที่ยังมองใบหน้าของผู้ชายที่เหมือนในรูปถ่ายก่อนจะจับมือป้าฮุ่ยชิวไปในครัวเมื่อไม่มีคนอื่นแล้ว หยินเหยาซื่อจึงจ้องมองชายคนหน้าเต็มตา เช่นเดียวกับกั๋วคังเหริน ที่กวาดสายตามองหญิงสาวตรงหน้า ไม่เจอกันเ
แนะนำตัวละครหลินเหยาซื่อ : อายุ 22 ปี อาชีพนักแสดงตัวประกอบ กั๋วคังเหริน : อายุ 28 ปี ประธานกั๋วผู้บริหารบริษัทหลินกรุ๊ฟกั๋วจางหย่ง ( กล้าหาญ ) กั๋วจางลี่ / ( งดงาม) : ลูกแฝดชายหญิงวัย 3 ขวบ ป้าฮุ่ยชิว : ป้าแม่บ้านที่อยู่มานาน 'ตัวประกอบ' คือนักแสดงที่แทบไม่เคยอยู่ในสายตาคนดูคนเราล้วนเป็นตัวประกอบในชีวิตของกันและกันอาจแค่เคยเดินผ่านมาในชีวิตใครสักคนเพื่อให้ฉากในวันนั้นสมบูรณ์แบบและในขณะเดียวกัน คนที่เล่นเป็นตัวประกอบในชีวิตคนอื่น ก็เล่นเป็นนางเอก(พระเอก)ในชีวิตของตัวเอง ทันทีที่ตัดสินใจลืมตา ภาพแรกที่เห็นคือเด็กน้อยสองคนที่หน้าตาคล้ายกันจนเหมือนพิมพ์เดียวกันนั่งจ้องหน้าด้วยแววตาวิตกกังวล มันไม่ใช่แววตาที่เด็กสามขวบควรมี ทำให้เธอตัดสินใจยื่นมือไปคว้าเอาเด็กสองคนมากอดแล้วหอมแก้มฟอดใหญ่ เสียงหัวเราะคิกคักจึงดังขึ้น “แม่ตื่นแล้ว” หญิงสาวบอกกับเด็กน้อยที่ตอนนี้ปีนขึ้นเตียงเธอเรียบร้อยแล้ว “ทำไมลูกๆ ตื่นเช้ากันจัง หรือว่าหิวกันแล้ว” “หม่ำๆ” “ขอโทษนะ แม่ตื่นสายเอง” เธอจุ๊บแก้มนุ่มๆ ของเด็กๆ ไม่กี่นาทีต่อมา แม่บ้านวัยห้าสิบก
ภายนอกเขาคือสามีที่ใส่ใจภรรยา แต่เรื่องในบ้านไม่มีใครรู้ และยิ่งทุกอย่างกลายเป็นความดำมืดที่ไม่มีใครล่วงรู้ก็คือ วันหนึ่งฮุ่ยชิวรับโทรศัพท์จากตำรวจซึ่งแจ้งว่าพบรถยนต์ของคุณกั๋วคังเหรินตกเขา สภาพรถพังเสียหาย ในที่เกิดเหตุพบศพหญิงสาวที่มาทราบภายหลังว่าเป็นนักร้องไนท์คลับแห่งหนึ่ง แต่ไม่พบร่างของกั๋วคังเหริน ไม่มีใครรู้ความสัมพันธ์ของกั๋วคังเหรินกับผู้หญิงคนนั้น แต่แน่นอนว่าข่าวที่ออกไปไม่ดีนัก ในปีนั้นเองที่หลินเหยาซื่อตั้งครรภ์อ่อนๆ เธอเองก็ไม่รู้ว่ากั๋วคังเหรินรู้หรือไม่ว่าภรรยาสาวตั้งครรภ์ได้สามเดือนแล้ว หญิงสาวเดินเข้าในห้องครัว เด็กชายหญิงหน้าตาละม้ายคล้ายกันหันมามองแล้วสิ่งยิ้มกว้าง เด็กทั้งสองนั่งแกว่งเท้าไปมาบนเก้าอี้เด็ก หลินเหยาซื่อส่งยิ้มกว้าง เดินไปคว้าผ้ากันเปื้อนมาคาดเอวอย่างรวดเร็วและเตรียมลงมือป้อนอาหารเช้าให้เด็กทั้งสอง“คุณผู้หญิงค่ะ ไก่ที่สั่งไว้มาส่งแล้วนะคะ”“ไก่มาแล้วหรือ?” เธอหันไปมองนาฬิกา “มาแต่เช้าเลยรึ? หรือว่าฉันตื่นสาย”ป้าฮุ่ยชิวแอบค้อนเข้าให้ “คุณผู้หญิงไม่น่าให้เงินไปก่อนเลยเจ้าค่ะ คราวหน้าคราวหลังได้ของแล้วค่อยให้เงินนะเจ้าค่ะ”“แค่ไก่ไม่กี่ตัว เขาคง
“คุณนายค่ะ ให้คนยกจักรเย็บผ้าออกมาให้แล้วค่ะ”“ขอบใจจ๊ะ” หลินเหยาซื่อตื่นจากภวังค์ เธอไม่มีเวลามาสนใจผู้ชายที่หายไปคนนั้น หญิงสาวลุกขึ้นยืนแล้วจูงมือเด็กทั้งสองคนไปที่ห้องนั่งเล่น บ้านหลังนี้กว้างขวางดี ด้านหลังที่เคยเป็นสวนดอกไม้ เธอก็จ้างคนมาทำเสียใหม่ มีเล้าไก่เล็กๆ และทำแปลงผัก ป้าฮุ่ยชิวเล่าว่าแต่ก่อนบ้านนี้ก็มีคนรับใช้มากมาย เรื่องคนสวนแทบไม่มีปัญหาเลย แต่หลังจากนายท่านใหญ่เสียชีวิตและคุณผู้ชายหายตัวไป การเงินในบ้านขัดสน จำต้องให้คนรับใช้ทยอยออกกันไป แต่เมื่อต้องการใช้งาน หลินเหยาซื่อจะจ้างเป็นรายวัน ป้าฮุ่ยชิวไปตามคนสวนเก่ามาช่วยทำแปลงผักให้คุณนาย ใช้เวลาแค่สองวันก็ได้ตามที่เหยาซื่อต้องการ“คุณนายไม่เสียดายหรือเจ้าคะ” ป้าฮุ่ยชิวอดถามไม่ได้“มีอะไรให้เสียดายกันเล่า” เหยาซื่อหัวเราะเสียงใสขณะจูงมือเด็กฝาแฝดไปดูเล้าไก่ แม่ไก่สามตัวและพ่อไก่หนึ่งตัว อีกไม่นานก็จะเก็บไข่กินได้“ปล่อยไว้ไม่ได้ใช้ประโยชน์มันน่าเสียดายมากกว่า”ป้าฮุ่ยชิวเป็นคนเก่าคนแก่ ซ้ำยังไม่รู้หนังสือ ชีวิตเหลือตัวคนเดียว เมื่อหลินเหยาซื่อสั่งให้ทำอะไร นางก็ลงมือทำทันทีแม้จะมีคำถามในใจอยู่บ้างก็ตาม จักรเย็บผ้า
“ของป้าฮุ่ยซิวก็มีนะ” หลินเหยาซื่อหยิบหมวกทรงฟักทองส่งให้ “เอาไว้คราวหน้าจะเย็บเสื้อผ้าชุดใหม่ให้นะคะ” “ไม่ต้องลำบากหรอกค่ะ” “ลำบากอะไรกันค่ะ” หญิงสาวหัวเราะร่า “เราเป็นครอบครัวเดียวกันนี่น่า วันนี้ไปเที่ยวกันค่ะ” ป้าฮุ่ยซิวยกไม้ยกมือปฏิเสธแต่ถูกเด็กแฝดชายหญิงวิ่งเข้าไปเกาะขาส่งสายตาอ้อนวอน เด็กสองคนแทบไม่ได้ออกไปไหน นานทีจะมีโอกาสได้ไปเที่ยวเล่นนอกบ้าน หากคุณนายไปคนเดียวก็เกรงว่าจะดูแลเด็กสองคนไม่ไหว นางจึงตัดสินใจพยักหน้ารับ “ป้าปิดบ้านสักประเดี๋ยวนะคะ” “ค่ะ” ที่โรงรถมีรถเก๋งอยู่หนึ่งคัน แต่ฝุ่นจับเขรอะไปหมด เรื่องขับรถ เธอขับเป็นอยู่แล้วเพราะตอนสถานสงเคราะห์ก็ได้หัดขับรถ เวลามีกิจกรรมเธอก็ขับรถตู้พาเด็กๆไปพิพิธภัณฑ์หรือไปสวนสัตว์ เท่าที่เธอพอจะรู้ ‘หลินเหยาซื่อ’ในปี1980 เรียนจบมัธยมปลายและไม่ได้เรียนต่อ ทั้งที่บ้านมีฐานะดี แต่เดาว่าเจ้าของร่างนี้สุขภาพไม่แข็งแรงนัก ป้าฮุ่ยซิวเองยังเคยพูดว่า แค่คลอดลูกแฝดได้อย่างปลอดภัยก็นับว่าเธอยังมีบุญอยู่มากแล้ว คงเพราะแบบนี้ถึงรีบแต่งงานตั้งแต่อายุสิบแปด พ
ตอนนี้นางรู้แค่ว่ามีรายรับแค่เดือนละหนึ่งหมื่นหยวน บ้านหลังนี้มีบริเวณเลยสามารถเพาะปลูกเล็กๆน้อยๆ และเลี้ยงไก่เก็บกินไข่ได้ ประสบการณ์จากอยู่สถานสงเคราะห์ทำให้เธอรู้ว่าจะเอาตัวรอดได้อย่างไร แต่การมีชีวิตน้อยๆ ที่เติบโตอย่างช้าๆ ก็เป็นความท้าทายให้หลินเหยาซื่อต้องลองสู้ดูสักตั้ง วันนี้เธอออกมาข้างนอกเพียงลำพัง อาศัยคำอธิบายของป้าฮุ่ยซิว หลายวันก่อนเอาฟิลม์มาล้างและที่ร้านนัดรับวันนี้ออกมารับภาพเอง ตั้งใจว่าจะเดินสำรวจบริเวณนี้ ถ้าอยู่ในปี2023 เธอมีวุฒิปริญญาตรีก็ยังพาหางานทำได้ไม่ยาก แต่ที่นี่เธอจบแค่มัธยมปลาย แม้อาจสูงกว่าคนทั่วไปแต่ก็ยังนับว่าเป็นอุปสรรคในการหางานทำอยู่ดี เอาเถอะ อย่างน้อยก็ยังมี ‘บ้าน’ อยู่ ไม่ต้องจ่ายค่าเช่า แค่นี้ก็ประหยัดไปได้มากแล้ว หญิงสาวเดินตรงไปที่ร้านอัดรูป เพียงผลักบานประตูก็ได้ยินเสียงกรุ๋งกริ๋ง ในร้านมีลูกค้าสาวอยู่ก่อนแล้ว เจ้าของร้านเห็นลูกค้าก็ยิ้มกว้างออกมาต้อนรับอย่างดี ดีเสียจนหลินเหยาซื่อนึกแปลกใจ “มารับรูปค่ะ” เธอเอ่ยบอกแล้วยื่นบัตรนัดรูปไว้ เจ้าของหยิบซองใส่ภาพพร้อมฟิล์มที่ล้างแล้วส่งให้ เธอดูภาพเพื่อตรว
“กั๋ว-จาง-หย่ง- กั๋ว-จาง-ลี่” หญิงสาวพูดพลางให้เด็กๆ จับดินสอเขียนชื่อตัวเอง นิ้วมือเล็กๆ จับดินสออย่างตั้งใจ หลายวันก่อนซื้ออุปกรณ์สำหรับฝึกเขียนอักษร รวมทั้งหนังสือคัดอักษร เด็กแฝดทั้งสองหัวไวกว่าที่เธอคิดไว้มาก ซ้ำยังสนุกกับการขีดๆ เขียนๆ รวมทั้งวาดรูปจนเลอะเทอะให้ป้าฮุ่ยชิวบ่นอุบอยู่บ้าง แต่ก็ทำให้บ้านเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ“เดี๋ยวฉันเย็บผ้ากันเปื้อนให้เด็กๆใส่แล้วกัน เวลาเด็กๆ ทำเลอะจะได้ไม่เลอะไปถึงเสื้อผ้า”“ก็ดีเจ้าค่ะ”ป้าฮุ่ยชิวหัวเราะเบาๆ นางก็บ่นไปอย่างนั้น แต่บ้านที่มีเสียงหัวเราะแบบนี้สิ ถึงจะเป็นบ้าน นางทำงานที่นี่ตั้งแต่สาวยันแก่ บรรยากาศในบ้านมักจะเงียบนิ่งเสมอ แม้กระทั่งก่อนหน้านี้ก็ตาม วันๆ คุณนายก็เอาแต่ตามหาสามีที่หายไป นางเข้าใจคนมั่นในรักอย่างหลินเหยาซื่อ แต่สามีที่หายไปสามปี หากยังมีชีวิตอยู่ก็ควรกลับมาหาลูกหาเมียสิ แต่นี่หายไปไร่ร่องรอยเหมือนคนไม่ต้องการกลับมาที่นี่อีก แต่หลังจากคุณนายฟื้นขึ้นก็ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เลิกตามหาคุณผู้ชาย และทุ่มเทดูแลคุณหนูคุณชายน้อยทั้งสอง เห็นเช่นนี้แล้วนางก็พลอยดีใจกับคุณหนูทั้งสองที่ได้มารดากลับคืน“หลิ
“กั๋วซีฮัน...” หลินเหยาซื่อพยักหน้ารับ เธอพอนึกออกอยู่บ้างเพราะในสมุดบันทึกของ ‘หลินเหยาซื่อ’ มีเขียนถึงกั๋วซีฮันซึ่งเป็นพี่ชายของกั๋วคังเหริน “ป้าฮุ่ยซิวพาเด็กๆไปกินขนมก่อนนะคะ ฉันจะดูแลคุณ เอ่อ พี่ซีฮันเอง” กั๋วซีฮันมองหญิงสาวที่พูดคุยกับเด็กฝาแฝดที่ลอบมองทางเขาก่อนสะบัดหน้าเดินไปพร้อมกับแม่บ้าน ภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้มซ่อนความชิงชังไว้อย่างมิดชิด เด็กสองคนนั้นหน้าตาคล้าย ‘กั๋วคังเหริน’ เสียเหลือเกิน ใครจะรู้ว่าไอ้ไก่อ่อนอย่างกั๋วคังเหรินจะทิ้งทายาทไว้ให้เป็นเสี้ยนหนามชีวิตอีก “พี่ซีฮัน รับน้ำชานะคะ” เธอเอ่ยถามแต่ตัวเองเดินไปรินน้ำร้อนใส่กาน้ำชาเรียบร้อยแล้ว “ให้พี่ช่วยดีกว่าครับ” กั๋วซีฮันปาดเข้าไปยกถาดน้ำชาด้วยตนเอง “เรานั่งที่เก้าอี้สนามหน้าบ้านดีไหม” “ค่ะ” หยินเหยาซื่อพยักหน้ารับ เธอไม่อยากอยู่กับผู้ชายสองต่อสองในบ้านอยู่พอดี พอเขาเสนอให้ไปนั่งด้านนอกก็โล่งใจไปเปราะหนึ่ง “ต้องขอโทษด้วยนะคะ ช่วงที่ไม่สบายหลับไปหลายวัน ตื่นมาอีกทีก็มึนๆ งงๆ จำใครไม่ค่อยได้” “น้องเหยาซื่อไปหาหมอหรือยัง ให้คุณหมอตรวจร่างกายหน่อยดีไหมครับ”