กั๋วคังเหรินไม่ได้เอ่ยอะไรอีก เขากินโจ๊กในชามตัวเองแล้วคอยดูลูกๆ กินข้าว เสียดายที่ไม่ได้อยู่ตอนที่พวกเขาเกิด ไม่ได้อุ้มตอนที่พวกเขายังแบเบาะ ต่อไปนี้เขาจะชดเชยเวลาที่ขาดหายไปให้ดีที่สุด และเอาทุกสิ่งที่ควรเป็นของหลินเหยาซื่อกลับคืนมา
“ลูกแม่เก่งมากๆ”
หลินเหยาซื่อพูดขึ้นเมื่อเห็นลูกกินข้าวได้เองแต่พร่องไปเกือบหมดชามแล้ว กั๋วคังเหรินกวาดตามองภรรยาตัวเล็กที่สวมเสื้อผ้าแปลกตา ที่ผ่านมาเขาเห็นเธอมักสวมกระโปรงแต่งกายเรียบร้อยอยู่เสมอแม้จะอยู่บ้านก็ตาม แต่ตอนนี้เธอสวมเสื้อเชิ้ตคอจีนแบบพอดีตัว แต่เป็นแบบเสื้อแขนกุด อวดเรียวแขนขาวผ่อง กับกางเกงทรงประหลาด ดูคล้ายเป็นกางเกงสแล็คของผู้ชายแต่ตัดให้พอดีกับรูปร่าง ผ้าสีครีมทำให้เธอดูอ่อนนุ่มไปทั้งตัว ผมยาวถูกรวบขึ้นอย่างง่ายๆ รับกับผมม้าน่ารัก
“คุณแม่หม่ำๆ” จางลี่พูดแล้วยิ้มกว้าง
“คุณแม่กินข้าว” จางหย่งไม่ยอมแพ้
“จ๊ะๆ แม่กินข้าวด้วยนะ” เพียงหลินเหยาซื่อนั่งลง ป้าฮุ่ยชิวก็ยกโจ๊กมาให้เธอ “ขอบคุณค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ” จางลี่พูดเลียนแบบแม่
“ขอบคุณค่ะ” จางหย่งรีบพูดขึ้นบ้าง
หลินเหยาซื่อหัวเราะเบาๆ “หย่งหย่งต้องพูดว่าครับ ลี่ลี่พูดว่าค่ะ”
“คับ/ค่ะ”
ถึงจะพูดไม่ชัดนัก แต่ก็นับว่ามีความพยายาม หลินเหยาซื่อพยักหน้าอย่างพอใจแต่นึกขึ้นได้จึงหันไปมองกั๋วคังเหรินที่กินโจ๊กไปได้แค่ครึ่งชาม
“ไม่ถูกปากหรือคะ เอาอะไรเพิ่มไหม?”
“อ้อ! ไม่หรอก ผมดูลูกกินข้าวอยู่” เขารู้สึกผิดขึ้นมาวูบหนึ่ง
“ฟักทองมีเบต้าแคโรทีน สร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย เหมาะกับเด็กๆค่ะ” เธอคิดไปเองว่าเขาอาจจะไม่พอใจที่เห็นเด็กแฝดกินโจ๊กฟักทองแบบนี้
เขาแค่พยักหน้ารับ ลอบมองหญิงสาวที่นั่งใกล้เขาไม่ได้ แล้วก็ย้ายไปมองลูกทั้งสอง ที่แต่งตัวคล้ายกันมาก แค่คนหนึ่งใส่กระโปรง อีกคนใส่กางเกง ‘เด็กๆถูกจับแต่งตัวเป็นตุ๊กตา’ น่ารักไม่น้อย
“กินข้าวแล้วผมออกไปธุระข้างนอกสักหน่อยนะ”
“คะ?” หลินเหยาซื่อย้ายสายตาจากเด็กฝาแฝดมามองผู้ชายที่นั่งหัวโต๊ะ
“ผมไปธุระ ตอนเย็นจะกลับ” เขาไม่อาจอธิบายรายละเอียดได้ “ไม่ต้องกลัว ครั้งนี้ผมไม่หายไปไหนอีกแล้ว”
น้ำเสียงราบเรียบแต่หลินเหยาซื่อรู้สึกเหมือนได้ยินคำมั่นสัญญา แววตาอ่อนโยนที่ทอดมองทำให้หัวใจเธอเต้นแรงขึ้นมา เอ่อ...นี่เป็นเพราะร่างกายของหลินเหยาซื่อมีปฏิกิริยากับกั๋วคังเหรอใช่ไหม
เธอไม่ได้หวั่นไหวกับเขาเลยสักนิดเดียว.
ชายหนุ่มลงจากรถแท็กซี่แล้วเดินเข้าไปในบ้านสกุลกั๋ว คนรับใช้ถึงกับยืนตะลึงหลายนาทีก่อนจะรีบไปรายงานคุณนายใหญ่ กั๋วคังเหรินได้เม้มริมฝีปากแน่นจนเรียบตึง เขาเดินเข้าไปโดยไม่ต้องรอให้คนรับใช้เชื้อเชิญ ร่างสูงโปร่งเดินตรงไปที่ห้องหนังสือ ปลายนิ้วไล้บนสันหนังสือเล่มหนาที่เรียงอัดแน่นบนชั้นไม้ที่จัดวางอย่างเป็นระเบียบ
เสียงฝีเท้าหนักๆที่ก้าวเร็วๆ จนเกือบจะเป็นวิ่งตรงเข้ามาในห้องหนังสือ กั๋วซีฮันหยุดที่ประตูแล้วปรับลมหายใจครู่หนึ่งก่อนฉีกยิ้มออกมา
“คังเหริน? ใช่คังเหรินจริงๆหรือนี่”
กั๋วซีฮันเดินตรงไปหาหมายจะโอบกอดน้องชายแสดงความคิดถึงและห่วงใย ทว่ากั๋วคังเหรินแค่ใช้หางตามอง เขาหยิบหนังสือที่ต้องการออกมาจากชั้นแล้วหมุนตัวมาเผชิญหน้า เอนหลังพิงชั้นหนังสือด้วยท่าทีสบายๆ ราวกับไม่เคยหายไปไหน
“พี่ใหญ่” เขายิ้มมุมปาก แต่รอยยิ้มไม่ไปถึงดวงตา
ระหว่างกั๋วคังเหรินกับกั๋วซีฮัน คือพี่น้องที่ผู้อื่นมองว่ารักใคร่ปรองดอง แต่ภายในบ้านสกุลกั๋ว กั๋วคังเหรินเป็นลูกชายที่เกิดจากฮูหยินรอง ส่วนกั๋วซีฮันเกิดจากฮูหยินใหญ่ และยังมีลูกสาวอีกสองคน กั๋วคังเหรินควรนับพวกเธอเป็นน้อง แต่สายตาคนเหล่านั้นไม่เคยนับเขาเป็นพี่-น้อง สกุลกั๋วเป็นตระกูลเก่าแก่และร่ำรวยในสายตาผู้อื่น การมีลูกมากกว่าหนึ่งคนจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่ในความเป็นจริง สถานะทางการเงินย่ำแย่เต็มที หากไม่มีหลินซือซง บิดาของหลินเหยาซื่อยื่นมือเข้าช่วย เขาคงไม่ได้เรียนต่อถึงระดับปริญญาโท
แต่สิ่งที่สกุลกั๋วต้องการคือให้กั๋วซีฮันแต่งงานกับหลินเหยาซื่อ และให้เธอเข้ามาในสกุลกั๋วจากนั้นก็โยกย้ายทรัพย์สินจากสกุลหลินมาให้หมด
แต่เขาทำไม่ได้ และไม่มีวันทำ!
เขาไม่อาจทอดทิ้งให้เธอต้องเผชิญกับครอบครัวสูบเลือดสูบเนื้อของเขาไม่ได้
“หายไปไหนมา รู้ไหมทุกคนเป็นห่วง” กั๋วซีฮันเดินเข้ามาตบไหล่ของน้องชายต่างมารดา แม้ใบหน้าแย้มยิ้มแต่ดวงใจเจ็บเหมือนถูกมีดกรีดจนหลั่งเลือดอยู่ภายใน
“มีคนเป็นห่วงผมด้วยเหรอ” เขาปรายตามองนิ้วมือที่จับไหล่อยู่
รอยยิ้มแข็งค้างบนใบหน้าของกั๋วซีฮัน แต่เขายังคงฝืนทำเป็นไม่เข้าใจในสิ่งที่กั๋วคังเหรินพูด
“พูดอะไรแบบนั้น” เขาปล่อยมือจากไหล่ข้างนั้น รู้สึกว่าน้องชายที่เคยก้มหัวยอมให้เขาโขกสับมาตลอดเปลี่ยนไป กล้าสบตา กล้าต่อปากต่อคำ และที่สำคัญ เขารู้สึกว่าแขนนั้นแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม
‘มันหายไปทำอะไรมา? ทำไมมันไม่หายไปจากโลกนี้ซะ!’
“อยู่กินข้าวเที่ยงด้วยกันสิ จะได้คุยกัน แล้วนี่เจอน้องเหยาซื่อหรือยัง”
“ผมแค่มาเอาของ จะกลับแล้ว”
กั๋วคังเหรินชูหนังสือปกแข็งในมือ มันเป็นหนังสือตำราพิชัยสงครามซุนวู ที่เขาอ่านตอนที่ยังอยู่ที่บ้านหลังนี้
“หนังสือนั้นนะรึ” กั๋วซีฮั่นประหลาดใจ
“ผมควรจะหยิบไปตอนย้ายเข้าสกุลหลิน แต่ดันลืมเสียได้” เขาลูบปกหนังสืออย่างทะนุถนอม “หนังสือเล่มนี้แม่ของผมซื้อให้ ยังไงก็ต้องขอบคุณคนตระกูลกั๋วที่เก็บไว้ให้อย่างดี”
“คังเหริน”
กั๋วซีฮั่นใช้น้ำเสียงกำราบ แต่อีกฝ่ายยกมือแตะไหล่เบาๆ ก่อนเดินออกไปหน้าตาเฉย หญิงสาวสองคนวัยไล่เลี่ยกันก้าวเร็วๆ เข้ามาแต่ไม่ทันได้มองหน้าคนที่เข้ามาได้ถนัดชัดเต็มตา คนตัวสูงก็ก้าวออกไปแล้ว
“พี่ใหญ่ นั้น...คังเหรินเหรอ?”
กั๋วซีฮั่นพยักหน้ารับ รอยยิ้มบนใบหน้าหายไปทันที
“มันยังไม่ตายเหรอ!”
กั๋วซูฉีและกั๋วซูซ่านพูดขึ้นแทบพร้อมกัน แล้วก็รีบยกมือขึ้นปิดปาก ชายหนุ่มถอนหายใจหนักๆ กับความปากไวของน้องสาว เมื่อไหร่จะมีคนมาสู่ขอน้องสาวทั้งสองคนออกเรือนไปเสียที ไม่ขยันเรียนแล้วยังหาเรื่องให้ปวดหัวตลอด
“คุณแม่อยู่ไหน”
“ไปเล่นไพ่นกกระจอกยังไม่กลับค่ะ” กั๋วซูซ่านตอบ
“โทรตามคุณแม่กลับมา เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
“ค่ะ” สองสาวตอบรับพร้อมกันแล้วเดินออกไปทันที
กั๋วซีฮั่นปรายตามองไปที่ชั้นหนังสือแล้วโคลงศีรษะไปมาอย่างไม่เข้าใจ ทำไม ‘มัน’ ยังกลับมาอีก และดูเหมือนครั้งนี้ ‘มัน’ เปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยทีเดียว.
หลินเหยาซื่อยุ่งกับการเย็บชุดตัวอย่าง เธออยากทำงานให้เสร็จก่อนเวลาเพื่อต้องปรับเปลี่ยนแก้ไขให้ถูกใจลูกค้า โชคดีที่เด็กฝาแฝดเป็นเด็กดีไม่ดื้อไม่ซนจนเกินไป เวลาที่เธอทำงานก็จะอยู่กับป้าฮุ่ยชิวเสมอ หญิงสาวยืดตัวแล้วบิดเอวไปมาขับไล่ตงามเมื่อยขบ สายตามองไปที่นอกหน้าต่าง ตรงจุดที่เธอนั่งอยู่มองเห็นโรงจอดรถพอดี เธอแปลกใจที่เห็นร่างของกั๋วคังเหรินกลับเข้ามาทั้งที่เพิ่งจะบ่ายกว่าๆ แต่เขาไม่ได้ตรงเข้ามาในบ้าน แต่ไปที่โรงจอดรถด้วยความอยากรู้ หญิงสาวลุกขึ้นแล้วเดินออกไปทางประตูครัว เดินไปที่โรงจอดรถที่เปิดประตูทิ้งไว้อยู่แล้ว เธอชะงักไปเล็กน้อย สายตาปะทะกับร่างสูงโปรงที่กำลังถอดเสื้อเชิ้ตออก เหลือเพียงเสื้อกล้ามสีขาวเห็นแขนเพรียวที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม เอ...ผู้ชายของ ‘หลินเหยาซื่อ’ ไม่ใช่รูปร่างผอมบางเหมือนคุณชายไม่เคยถูกแดดถูกลมหรอกรึ? หรือว่าเขาเป็นคนอื่นสวมรอยมาเป็น ‘กั๋วคังเหริน’ ชายหนุ่มแขวนเสื้อเชิ้ตกับตะขอที่ผนังห้องแล้วหันมาเจอดวงตากลมโตที่จ้องมองเขาอยู่ กั๋วคังเหรินยกมือขึ้นกอดอกแล้วเอนกายพิงผนังโรงรถ ราวกับจะยืนให้เธอมองเต็มตา
“คุณพ่อกัดปากคุณแม่จริงๆนะ” จางหย่งพูดขึ้นยืนยันสิ่งที่เห็น“คุณแม่ดื้อ คุณพ่อเลยลงโทษ” กั๋วคังเหรินพูดยิ้มๆ แล้วอุ้มลูกชายลูกสาวขึ้นพร้อมกัน “แต่วิธีนี้พ่อทำกับแม่ได้เท่านั้น ลูกเป็นเด็กห้ามทำเด็ดขาด”“ลี่ลี่เป็นเด็กดีไม่ดื้อเหมือนคุณแม่ค่ะ” จางลี่พยักหน้ายืนยัน“หย่งหย่งก็ไม่ดื้อ เป็นเด็กดีครับ” จางหย่งก็ยืนยันอีกเสียง“อืม ลูกๆเป็นเด็กดีจริงๆ” เขายิ้มอ่อนโยน “เด็กดีอยู่กับป้าฮุ่ยชิวก่อนนะครับ พ่อขอซ่อมรถก่อน ตรงนี้ฝุ่นเยอะ ประเดี๋ยวลูกจะจามเพราะฝุ่น”เขาปรายตามองภรรยาสาวที่ขึงตาใส่เขา กั๋วคังเหรินยิ้มยั่วแล้วอุ้มลูกเข้าไปส่งที่บ้าน ปล่อยให้หลินเหยาซื่อกระทืบเท้าไม่พอใจอยู่ตรงนั้น“เด็กพวกนี้นี่! พอมีพ่อก็ลืมแม่ไปหมดเลย!” ‘คนบ้า!’ ผ่านมาสองวันแล้ว แต่ทุกครั้งที่เผลอคิดถึงริมฝีปากของเขา หลินเหยาซื่อก็หน้าแดงทุกที แม้จะพยายามตั้งสติมุ่งมั่นกับการทำงานตรงหน้า แต่มันก็อดคิดไม่ได้อยู่เรื่อยไป ไม่ว่า ‘กั๋วคังเหริน’ เป็นผู้ชายสุภาพอ่อนโยนไม่ใช่เหรอ แต่ ‘กั๋วคังเหริน’ ที่เธอรู้จัก ทำไมเผด็จการขนาดนี้‘ห้ามพูดเรื่องหย่าอีก ระหว่างคุณกับผมจะไม่มีเรื่องนั้นเกิดขึ้นอ
“ถ้าอยากไปก็ได้ ผมไม่มีอะไรปิดบัง อืม...ความจริงผมก็มีเรื่องจะปรึกษาคุณ ผมจะหาพี่เลี้ยงไว้ช่วยคุณเลี้ยงลูกกับเรียกคนรับใช้เก่าแก่ที่เขายังต้องการทำงานอยู่กลับมาทำเหมือนเดิม”“เรา...เรามีเงินจ่ายค่าจ้างเหรอ”หลินเหยาซื่อทำตาโต“เรื่องลูกยังไงฉันก็จะเลี้ยงเอง ไม่ต้องหาพี่เลี้ยงมาหรอก แต่...ป้าฮุ่ยชิวดูแลบ้านคนเดียวคงไม่ไหว ถ้ามีคนช่วยอีกสักคนสองคนก็คงดีไม่น้อย”เจ้าของเสียงทุ่มต่ำหัวเราะเบาๆ แล้วยื่นมือมาจับเอวบางขึ้นมานั่งบนตักของเขา หลินเหยาซื่อทำหน้าตาแตกตื่น คิดจะดิ้นหนีแต่มือแกร่งกอดเอวไว้แน่นทำให้เธอขยับตัวไม่ได้“เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา เรื่องงานที่คุณทำ ผมก็ไม่ห้าม ขอแค่อย่าให้ตัวเองเหนื่อยเกินไป เข้าใจไหม?”หลินเหยาซื่อพยักหน้าหงึกหงักแล้วเอนหลังถอยหนี แต่ฝ่ามือใหญ่ดันแผ่นหลังเอาไว้ แถมยังยื่นหน้าไปใกล้อีก“เมื่อครู่เพิ่งสอนลูกไปไม่ใช่เหรอ ต้องพูดว่ายังไง”หลินเหยาซื่อขึงตาใส่ แต่เขายังไม่ยอมปล่อย เธอสู้แรงไม่ได้จึงพูดเสียงเบาออกไป“ขะ...เข้าใจแล้วค่ะ”“เป็นเด็กดีอย่าดื้อ” เขาได้ใจแกล้งเธออีก ยิ่งเห็นแก้มเนียนแดงเรื่อ ยิ่งพอใจ คิดถึงรสหวานจากริมฝีปากสวยก็อยากลิ้มรสอีกสักครั้งอ
“เข้าใจค่ะ” เธอพยักหน้ายืนยัน “สามีของฉันยังพูดเลยว่า สกุลหวังเป็นนักลงทุนที่ดีมีวิสัยทัศน์ในการทำงานที่ยอดเยี่ยมค่ะ” “พูดต่อหน้ากันแบบนี้ฉันก็เขินแย่สิ” หวังเข่อซิงหัวเราะเบาๆ เป็นจังหวะเดียวกับลูกสาวอายุสิบสองเดินผ่านมา นางจึงเรียกไว้ “แองเจิ้ล ลองเปลี่ยนใส่ชุดนี้ดูสิลูก” เด็กหญิงหน้าตาน่ารักรับชุดกระโปรงมาไว้ในมือ เธอนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนหมุนตัวเดินจากไป “แกเป็นคนพูดน้อยค่ะ” หวังเข่อซิงรีบพูดแทนลูกสาว “สามีคุณก็คงกว้างขวางในแวดวงนักธุรกิจสินะคะ” “ไม่หรอกค่ะ” เธอพูดอย่างถ่อมตัว แต่จริงๆ เธอก็ไม่ค่อยรู้เรื่องของเขานัก “ไหนๆ เราก็จะได้ร่วมงานกันแล้ว ฉันอยากรู้จักสามีของคุณแล้วสิ เขาชื่ออะไรคะ” “กั๋วคังเหรินค่ะ เขาไม่ใช่คนเด่นดังอะไรหรอกค่ะ” “กั๋วคังเหริน...ผู้บริหารหลินกรุ๊ฟ บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หรือคะ?” “เอ่อ...น่าจะใช่นะคะ” ก็เธอไม่รู้จริงๆนี่น่า ในไดอารี่ไม่ได้มีเขียนเรื่องพ่อกับบริษัทตัวเองเลย ในสมองมีแต่เรื่องกั๋วคังเหรินทั้งนั้น แล้วเธอไม่มีความทรงจำของเ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองสามครั้งก่อนบานประตูจะเปิดออกโดยไม่รอให้คนด้านในอนุญาต กั๋วคังเหรินเงยหน้าขึ้นจากหนังสือหนังสือตำราพิชัยสงครามซุนวู หลินเหยาซื่อเดินเข้ามาพร้อมสมุดบันทึกและตลับสายวัดตัว เธอเห็นเขาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม “ฉันจะวัดตัวคุณค่ะ ไหนๆ เราจะได้ออกงานคู่กัน ฉันจะสั่งตัดชุดสูทใหม่ให้คุณให้เข้ากับชุดของฉัน”รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากของชายหนุ่ม“เหมือนชุดของลูกๆ ที่แบบเดียวกับคุณนะเหรอ” “ก็ทำนองนั้น” หลินเหยาซื่อยักไหล่ “ในฐานะที่ฉันกำลังจะเป็นดีไซเนอร์ ฉันก็อยากแสดงว่าตัวเองมีฝีมือจริงๆ ไม่ได้เส้นสายของใคร” เขากลืนเสียงหัวเราะลงท้องแล้วพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ร่างสูงลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วยืนพิงโต๊ะทำงานที่ตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้องนอน ค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตที่สวมอยู่เผยเสื้อกล้ามสีขาว จู่ๆ หลินเหยาซื่อก็รู้สึกร้อนผ่าวทั่วใบหน้า “คุณ...คุณ ถอดเสื้อทำไม” “อ้าว...” เขาแสร้งทำหน้างุนงง “คุณภรรยาจะวัดตัวสามีไม่ใช่เหรอ ผมก็ควรถอดเสื้อให้คุณวัดตัวนี่” เขาพูดแล้วถอดเสื้อเชิ้ตออก ถึงจะยังมีเสื้อกล้ามอยู่
“ยังไงคุณก็เป็นพ่อของลูก...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเขาก็จะเป็นลูกของคุณตลอดไป” เขาดันไหล่เธอออกเบาๆ เพื่อได้สบตากับดวงตาคู่สวย “แล้วคุณล่ะ” “คะ?” “ระหว่างคุณกับผม” “ฉัน...” สายตาตาเว้าวอนรอคำตอบทำให้เธอพูดไม่ออก เธอใช่ร่างของหลินเหยาซื่อก็จริง แต่ ‘ความรู้สึก’นั้นเป็นของเธอโดยแท้จริง นอกจากรู้จักเขาผ่านไดอารี่ของหลินเหยาซื่อแล้ว เธอก็เพิ่งได้พบเขาไม่นาน เขาอาจจะ ‘รัก’ เจ้าของร่างนี้ที่ตายไป หรือ ‘รัก’ หลินเหยาซื่อที่เป็นเธอ คนที่อยากทำอะไรก็ทำ ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ หรือเขาอาจจะไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอเลย แค่เพราะมี ‘ลูก’ ด้วยกัน ทำไมจู่ๆ หัวใจก็เจ็บแปลบขึ้นมา สายตาเลื่อนลอยและริมฝีปากที่เม้มแน่นทำให้หัวใจของกั๋วคังเหรินเจ็บปวดขึ้นมา โทษเธอไม่ได้หรอก เป็นเขาที่ทำให้เธอเจ็บ คนที่ทำลายความรักที่เธอมีก็คือตัวเขาเอง “ผมเข้าใจ” “คะ?” ‘เข้าใจอะไร ฉันยังไม่เข้าใจอะไรเลย’ “ผมขอแค่คุณให้โอกาสผมอีกครั้ง แค่ครั้งเดียว ผมจะทำให้คุณรักผมอีกคร
“ค่ะ/ครับ”หญิงสาวลุกออกไป เธอเป็นห่วงอาการของป้าฮุ่ยชิว อยู่ด้วยกันมานาน นอกจากปวดเข่าหรือปวดเนื้อตัวตามประสาคนอายุมากแล้ว แทบไม่เคยเจ็บป่วยอะไร“ป้าฮุ่ยชิวเป็นยังไงบ้างคะ”ป้าฮุ่ยชิวที่นอนอยู่สะดุ้งเล็กน้อยแล้วไอแรงๆ สองสามครั้งก่อนโบกไม้โบกมือ “คุณนายอย่าเข้ามาเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวติดหวัดจากป้า”หลินเหยาซื่อชะงักไป ได้แต่ยืนมองห่างๆ ด้วยความเป็นห่วง“ป้ากินยาแล้ว นอนพักสักวันสองวันก็ดีขึ้นเจ้าค่ะ”“ถ้ามีอะไรป้าเรียกได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ ยังไงเราก็เหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน”“ลำบากคุณผู้หญิงต้องดูแลคุณหนูกับคุณชายแล้วเจ้าค่ะ”“พูดอะไรแบบนั้น นั่นลูกฉันนะ” เธอหัวเราะ “ป้าพักผ่อนมากๆนะคะ ตอนเช้าไม่ต้องรีบลุกก็ได้ ฉันทำอาหารเช้าเองได้”ป้าฮุ่ยชิวพยักหน้ารับแล้วหลับตาลง หลินเหยาซื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแล้วจึงเดินไปที่ห้องครัว อุ่นนมสองแก้วให้ลูก แต่นึกขึ้นได้ก็อุ่นนมเพิ่มให้ เอ่อ...สามีอีกแก้ว จัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็วางแก้วนมใส่ถาดเดินกลับขึ้นมาที่ห้องชั้นบน ห้องนอนกั๋วคังเหรินไม่ได้ปิดประตู เธอจึงเดินเข้าไปโดยง่าย“ดื่มนมก่อนนอนนะคะ ถ้าดื่มไม่หมด แม่ไม่อ่านนิทานให้ฟังด้วย”“ค่ะ/ครับ” เด็ก
“ตลกมากสินะ”“เปล่านะคะ” เธอยิ้มจนดวงตาเป็นประกายพราวระยับเด็กสองคนนอนตรงกลาง กั๋วคังเหรินใช้มือยันฟูกนอนยื่นตัวข้ามร่างของลูกลิงที่นอนอยู่ตรงหน้า ยื่นหน้าไปจูบริมฝีปากสวยเร็วๆ แล้วกลับมาฝั่งตัวเอง หลินเหยาซื่อไม่ทันตั้งตัวได้แต่กระพริบตาปริบๆ และครู่ต่อมาใบหน้าก็แดงเรื่อขึ้นมา“คุณ!”“ชู่ว์”เขายกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากเหมือนที่เธอเคยทำเวลาบอกให้ลูกเงียบ หลินเหยาซื่อทั้งเขินและอายจนไม่รู้จะทำอย่างไรดี เธอจึงมุดตัวลงไปนอนอย่างหงุดหงิดที่ถูกเอาเปรียบ แต่จะว่าไป เธอก็ไม่ได้โกรธ แค่เขินอายกับการกระทำใกล้ชิดสนิทสนมอย่างกับคนรักหัวใจเต้นแรงจังเลยหรือจะป่วยนะเฮ้อ! หลินเหยาซื่อรู้สึกคุ้นตากับคนรับใช้สองคนและคนสวนอีกหนึ่งคนที่กั๋วคังเหรินเรียกกลับมาทำงานที่บ้านอีกครั้ง อาจเป็นร่องรอยความทรงจำเก่าก็ผุดขึ้นมาที่ละน้อยก็เป็นได้ ที่สำคัญเขาทำตามที่พูดไว้จริงๆ คนรับใช้ที่รับกลับเข้ามาต่างน้ำตาคลอเบ้าไม่รู้ว่าดีใจหรือซาบซึ้งใจที่ได้กลับมาทำงานที่นี้ หลินเหยาซื่อลอบมองใบหน้าของกั๋วคังเหริน เธอนั่งข้างเขาที่โซฟาห้องรับแขก สีหน้าเรียบนิ่งยากจะคาดเดาความคิดแต่ให้ความรู้ส
จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกอบอุ่นผูกพันในแววตาคู่นั้น หลินเหยาซื่อไม่แน่ใจว่า ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้คืออะไร ทำไมเธอรู้สึกว่าเขาคือคนที่เคยกุมมือไว้ก่อนที่จะสิ้นใจดวงตาหลังแว่นสายตาตื่นตกใจที่เห็นดวงตาคู่สวยมีหยดน้ำตา “คุณเจ็บตรงไหนหรือเปล่า มีอะไรผิดปกติไหม”หญิงสาวใส่หน้าไปมา “ขอโทษค่ะ ฉันไม่รู้ทำไมตัวเองถึงมีน้ำตา”เธอพยายามหัวเราะเช่นทุกครั้ง เวลามีอะไรเธอมักจะหัวเราะเสมอ กระทั่งครั้งนี้เธอก็หัวเราะทั้งที่มีน้ำตา ชายหนุ่มยื่นมือไปเช็ดน้ำตาที่เปื้อนแก้ม“สัญญากันแล้วนี่นา ว่าจะไม่หลับไปนานแบบนี้อีก”คราวนี้หญิงสาวตกใจกับคำพูดของเขา“เมื่อกี้คุณหมอพูดว่าอะไรนะคะ”‘คุณหมอ’ ชายหนุ่มยิ้มเศร้า เธอคงจำเขาไม่ได้สินะ ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วขยับตัวรักษาระยะห่างระหว่างหมอกับคนป่วย ทั้งที่เขาอยากคว้าเธอมากอดแนบอกเหลือเกิน‘จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แค่เขาจำเธอได้ก็พอ’ชายหนุ่มมองดวงตากลมโตที่ยังมีแววสงสัย เรื่องแบบนี้เล่าไปจะมีใครเชื่อ ตัวเขาเองยังไม่อยากจะเชื่อเลยหลังจากภรรยาตายจากได้ห้าปี เช้าวันหนึ่งเขาก็ตื่นขึ้นมาในร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้าของร่างนี้ป่ว
หญิงสาวถอนหายใจเบาๆ มองตัวเองในกระจก ยกมือขึ้นเปิดเส้นผมที่ปรกหน้าเห็นรอยแผลจากการถูกกระแทกต้องเย็บยี่สิบเข็ม คุณหมอแจ้งว่าถ้าเธอต้องการทำศัลยกรรมเพื่อลบรอยแผลเป็นก็ทำได้ เธอจำได้ว่าตอนนั้นเธอหัวเราะและตอบไปว่า“ไม่เป็นไรค่ะ แผลเป็นนิดเดียว”แต่จริงๆเธอเสียเงินหลายหมื่นหยวน ในปีค.ศ. 2023 นี้ เธอคือผู้หญิงที่หน้าตาธรรมดา เหลือเงินติดบัญชีอยู่ไม่เท่าไหร่ โชคยังดีที่บริษัทภาพยนตร์ที่เธอรับงานเป็นตัวประกอบเห็นใจให้เงินค่าทำขวัญมาจำนวนหนึ่ง ส่วนค่ารักษาพยาบาลนั้นมาจากประกันอุบัติเหตุ เธอจึงไม่ต้องเป็นหนี้สินล้มละลายเพราะการรักษาตัวเอง แต่ข่าวที่เธอช่วยชีวิตคนอื่นก็ทำให้เธอกลายเป็นที่สนใจ ตอนนี้แม้เธอเป็นแค่ตัวประกอบ แต่ก็มีหลายบริษัทอยากให้เธอไปร่วมเล่นซีรีย์บทเล็กๆ ถึงอย่างไรหน้าตาเธอก็ไม่ได้สะสวยพอจะเป็นถึงนางเอกได้ และยิ่งตอนนี้มีแผลเป็นที่หน้าผากอีก ต่อให้ใช้ make up ปิดบังยังไง ก็ยังเห็นอยู่ดี แผลเป็นไม่ได้น่าเกลียดเท่าไหร่ เห็นแล้วก็อดคิดถึงแผลเป็นของผู้ชายคนนึงไม่ได้ แผลเป็นของเขาใหญ่กว่าเธอมาก ผ่านมาหลายปี แผลเป็นนั้นก็เป็นรอยจางๆหลินเหยาซื่อต้องทำกายภาพบำบัดที่โรงพยา
“ผู้ชายหรือผู้หญิงก็ได้ พ่อก็รักไม่น้อย ปกว่ากัน แล้วพวกลูกล่ะ จะรักน้อง ไม่ว่าน้องจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายหรือเปล่า”“แน่นอนครับค่ะ พวกเรารักน้อง อยากให้น้องออกมาเร็วๆ จะช่วยคุณแม่เลี้ยงน้องและเล่นกับน้อง” คนเป็นแม่หัวเราะเสียงใส จะช่วยแม่เลี้ยงน้องหรืออยากเล่นกับน้องก็ไม่รู้เสียงหัวเราะของคนในครอบครัว ละลายความหม่นเศร้าที่เคยปกคลุมในบ้านหายไปหมดสิ้น ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือไปตรงหน้า“เข้าบ้านเถอะเย็นแล้ว อากาศเย็น เดี๋ยวคุณจะไม่สบายเอา”หญิงสาวมองมือใหญ่แข็งแกร่งที่ยื่นมาตรงหน้า เธอรู้ว่ามือคู่นี้จะคอยประคองเธอไว้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เช่นเดียวกับเธอที่สัญญาไว้กับเขาว่าจะจับมือเขาไว้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบางที...นี่อาจเป็นเหตุผลที่โชคชะตาส่งเธอมาในปีนี้ 1980 เพื่อได้รับใครสักคน และเพื่อให้หัวใจได้ถูกรัก.จบ.ลืมตาอีกครั้งหญิงสาวลืมตาขึ้นแล้วพบว่า ตัวเองอยู่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ต้องตั้งสติอยู่นานกว่าจะรู้ว่า ตัวเองตื่นมาในปีค.ศ. 2023 เธอคือผู้รอดตายอย่างปาฏิหาริย์ในอุบัติเหตุรถบัสตกเขาลงแม่น้ำหลินเหยาซื่อจำได้ว่าตอนที่ฟื้นขึ้นมา เธอสบตากับดวงตาคู่หนึ่งแม้เขาจะสวมหน้ากากอนา
คราวนี้เห็นทีจะจบเรื่องแล้วจริงๆ หลินเหยาซื่อถอนหายใจอย่างหอบเหนื่อย เธอถึงกับหมดแรงนั่งลงไปกับพื้น สามีเห็นแล้วก็รีบเข้าไปประคองอุ้มเธอขึ้นมาไว้บนเตียง เขาสั่งการกับเว่ยฉือให้จัดการเรื่องทั้งหมดแทนเขา เมื่อในห้องไม่มีคนนอกแล้ว ลูกทั้งสองคนก็ได้รับอนุญาตให้เข้ามาหาแม่ได้“คุณแม่เกิดอะไรขึ้นครับ/ค่ะ”เด็กน้อยสองคน ปีนขึ้นเตียงรีบเข้ามากอดแม่ เด็กฝาแฝดคนแย่งกันพูดเสียงดัง บรรยากาศกลับสดใสอีกครั้ง หลินเหยาซื่อส่ายหน้าไปมา บทเรียนต่อไปเธอต้องสอนให้ลูกพูดเสียงให้เบาลงกว่านี้ แต่เอาเถอะ เวลานี้เสียงของลูก ไพเราะที่สุดแล้ว“ขอแม่หอมแก้มเพิ่มพลังหน่อยสิ” หญิงสาวพูดขึ้น เด็กน้อยสองคนก็รุมหอมแก้มกันใหญ่สามีถอนหายใจแล้วค่อยยิ้มออกมา ทั้งที่เมื่อครู่เจอเรื่องอันตรายมากแต่เธอก็ยังยิ้มได้ คนที่บ้าที่สุดอาจจะเป็นภรรยาของเขาก็ได้ คิดแล้วเขาก็หัวเราะออกมาหลินเหยาซื่อเสียงสามีหัวเราะ ก็หันไปทำหน้ายู่ใส่“หัวเราะอะไรคะ”“หัวเราะอะไรคะ/ครับ” ลูกสองคนพูดเลียนแบบแม่“ไม่มีอะไรครับ”คนเป็นพ่อพูดแล้วโบกมือไปมา แต่หลินเหยาซื่อสบตากับลูกทั้งสองส่งสัญญาณ คนเป็นสามีรู้สึกไม่ค่อยน่าไว้ใจแสร้งถอยหลัง แต
ภาพที่เห็นตรงหน้า ทำให้ดาราสาวปวดใจแทบเป็นบ้า ยิ่งเห็นกั๋วคังเหรินโอบกอดหลินเหยาซื่ออย่างปกป้องและความห่วงใย ครั้งหนึ่งอ้อมกอดนั้นเคยเป็นของเธอมาก่อน ทำไมมันถึงมาจุดนี้ได้ ทำไมไม่ใช่เธอที่อยู่ในอ้อมกอดเขา ดาราสาวแหงนหน้าหัวเราะ ท่าทางไม่ต่างจากคนเสียสติ โลกไม่ยุติธรรมเสียเลย เธอมองหน้าชายที่เคยรักผ่านม่านน้ำตา“ทำไมคะ ทำไมคุณไม่รักฉัน ทำไมคุณต้องแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้น”ชายหนุ่มถอนหายใจหนักหน่วง เขาประคองร่างของภรรยาขึ้น มองเห็นหยดเลือดจากที่เธอกระชากสายน้ำเกลือออกก็ปวดใจ โชคดีที่ลูกสาวลูกชายไม่ได้อยู่ในห้องนี้ เขาไม่อยากให้ลูกๆ ต้องมาเห็นภาพแบบนี้“เรื่องของเรามันจบไปนานแล้ว คุณจะรื้อฟื้นทำไม คุณเองก็ไม่ได้มีผมเพียงคนเดียว ระหว่างที่เราคบกัน ก็ใช่ว่าผมจะไม่รู้ว่าคุณมีคนอื่น” เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า ได้ยินดังนี้ ดาราสาวถึงกับหน้าซีดไป เพราะเธอคิดเสมอว่าเขาไม่เคยรู้เรื่องราวด้านมืดของเธอเลยชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง“ให้มันจบแค่นี้เถอะ คุณมีชีวิตของคุณ ผมมีชีวิตของผม ผมมีภรรยาและลูกที่รักมากและผมต้องดูแลพวกเขา นอกจากหลินเหยาซื่อแล้ว ชีวิตนี้ผมไม่อาจรักใครได้อีกแล้ว เห็นแก่ควา
หลังจากมั่นใจว่า ในห้องไม่มีคนอื่นอยู่แล้ว หลินเหยาซื่อจึงลุกขึ้นจากเตียงนอน เธอรู้สึกรำคาญสายน้ำเกลืออยู่บ้าง แต่จะทำอย่างไรได้ก็สถานะตอนนี้เป็นคนป่วยนี้นะเธอไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้กับตัวเองอีกเมื่อไหร่ เธอจะหลับไปแบบนี้อีกไหม หลับไปยาวนานถึง 7 วัน ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเธอ แม้กระทั่งหมอ แต่ตัวเธอเอง ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่า ชีวิตที่ได้มาใหม่นี้ จะใช้ได้ยาวนานเพียงใด แต่ที่สุดแล้ว ก็ยังมีลมหายใจอยู่ โดยเฉพาะในชาตินี้ เธอรู้ดีว่า มีสิ่งที่สำคัญที่สุดรออยู่ นั่นก็คือ ลูกชายหญิงฝาแฝดของเธอ ที่แม้ซนเหมือนลิง แต่เธอก็รักพวกเขามากแม้ไม่มีความทรงจำที่อุ้มท้องพวกเขา แต่เธอก็รู้สึกว่าทั้งสองเป็นลูกของเธอจริงๆหญิงสาว มองไปที่โต๊ะตรงหัวเตียง มีกระเช้าผลไม้ตั้งอยู่ มีผลไม้หลากชนิด เธอเอื้อมมือไปหยิบแอปเปิ้ลสีสวย เห็นแล้วก็คิดถึงงานที่ทำค้างอยู่ Collection ใหม่ครั้งหน้า เธอน่าจะออกแบบลายผ้า เป็นรูปผลไม้เด็กๆชอบผลไม้สีสันสดใส น่าจะทำลายผ้าแล้ว ทำของอย่างอื่นด้วยก็ดีนะหลินเหยาซื่อคิดฝันไปไกลถึงกิจการของตัวเอง และเม็ดเงินที่จะเข้ากระเป๋า เมื่อมีเงินมาก เธอก็สามารถท
แม้จะไม่ได้อาบน้ำแต่ก็สบายตัวขึ้น หลินเหยาซื่ออารมณ์ดีขึ้น เธอเดินกลับมานั่งบนเตียง ผู้ชายตัวโตบังคับให้เธอลงนอน แต่เธอตีแขนเขาเบาๆ “นอนเยอะแล้วค่ะ ให้นั่งบ้างเถอะ” เธอกวาดตามองเขาแล้วดึงแขนให้เขามานั่งข้างๆ ยื่นมือไปแตะบริเวณที่จำได้ว่าเคยเห็นเลือดไหล “หลังก็มีแผลเป็น หน้าจะมีแผลเป็นอีกไหมนะ” “คุณกลัวเหรอ” เขาถามยิ้มๆ เขาเป็นผู้ชาย แผลเป็นไม่ได้สำคัญกับเลยสักนิด “เปล่าเสียหน่อย ฉันเป็นห่วงคุณต่างหาก คุณให้คุณหมอตรวจร่างกายหรือยังคะ ทุกอย่างโอเค.ไหม” “ผมบาดเจ็บเล็กน้อย คุณต่างหากที่หลับไป หมอก็หาสาเหตุไม่เจอ” “ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะคะ” “ผมต่างหากที่ทำให้คุณต้องบาดเจ็บ” “ก็บอกแล้วไงว่าตอนนี้ไม่ใช่เรื่องของคุณ-เรื่องของฉัน แต่เป็นเรื่องของเราแล้วค่ะ” นอกจากแม่แล้ว เขาก็ไม่เคยมีใครใกล้ชิดแบบนี้ แม้แต่ตอนที่คบกับเดซี่ แม้ภายนอกใกล้ชิดกันแต่ระยะห่างของหัวใจนั้นไกลมาก เสียงประตูห้องเปิดออก กั๋วคังเหรินคิดว่าลูกๆกลับมาแล้ว แต่เมื่อหันไปดูจึงพบว่าเป็นคนที่เขาไม่อยากเจอหน้
ทันทีที่ลืมตา ภาพที่เห็นคือเด็กน้อยสองคนที่หน้าตาคล้ายกันจนเหมือนพิมพ์เดียวกันนั่งจ้องหน้าด้วยแววตาวิตกกังวล ทำให้เธอยื่นมือไปตั้งใจจะคว้าเอาเด็กสองคนมากอด แต่มีสายน้ำเกลือติดที่แขนทำให้ชะงักไป หลินเหยาซื่อทำหน้างุนงงและสับสนว่าเธออยู่ในปีค.ศ.ไหนกันแน่ “คุณแม่ตื่นแล้ว!” จางลี่กับจางหย่งผสานเสียงขึ้นพร้อมกันเสียงดังจนหลินเหยาซื่อต้องหยีตาและทำให้กั๋วคังเหรินที่ยืนคุยกับคุณหมอรีบสาวเท้ามาข้างเตียงภรรยาสาว “เหยาซื่อ...ได้ยินผมไหม?” กั๋วคังเหรินถามเสียงสั่น เขาเองก็กลัวว่าเธอจะไม่ฟื้นขึ้นมา แต่ไม่อาจแสดงความอ่อนแอได้ เพราะลูกยังต้องการเขาอยู่ “เกิดอะไรขึ้น” เธอถามและพบว่าน้ำเสียงแหบแห้งเหลือเกิน “ฉันอยู่ที่ไหน” “โรงพยาบาล...” เขาเอ่ยชื่อออกไป “คุณหลับไปเจ็ดวันเลยทีเดียว” “เจ็ดวัน...” หลินเหยาซื่อยังมึนงงอยู่ แต่เมื่อยื่นมือไปแตะใบหน้าที่โน้มลงมาใกล้สัมผัสไออุ่นที่คุ้นเคยก็ทำให้มั่นใจว่าไม่ได้ฝันไป “ขอโทษที่หลับไปนานนะคะ” เธอหันไปมองลูกทั้งสองที่ทำตาแดงๆ มองเธอ “แม่หลับไปหลายวัน ดื้อกับคุณพ่อหรือเปล่า
หลินเหยาซื่อถูกแรงกระแทกทำให้ผวาตื่น เธอหันซ้ายแลขวาอย่างตื่นตระหนก รถยนต์ส่ายไปมาอย่างน่ากลัว ความทรงจำสุดท้ายก่อนจะมาฟื้นในปี1980คือรถบัสที่ส่ายไปมาและพุ่งตกเขา เธอตื่นตระหนกด้วยคิดว่าตัวเองกลับไปสู่เหตุการณ์ในปี2023 แต่มือที่กุมมือแน่นอยู่นั้นทำให้เธอรู้ว่าตอนนี้เธออยู่ในปี1980กับผู้ชายที่ชื่อกั๋วคังเหริน“เกิดอะไรขึ้นคะ”“เชื่อใจผม” เขาโอบเธอไว้ในอ้อมกอดกดศีรษะเธอให้ซุกกับแผ่นอกของเขา“เว่ยฉือ”“พวกมันมากันหลายคน ผมจะพยายามสลัดพวกมันให้หลุด อ๊ะ!”รถยนต์คันนั้นพุ่งเข้าชนจากท้ายรถอีกครั้งแต่ครั้งนี้มันดันให้ไปด้านหน้า เว่ยซือจะหักพวกมาลัยหลบแต่รถยนต์อีกคันมาขนาบข้าง ดวงตาดำจ้องมองผ่านหน้าต่างรถ กั๋วคังเหรินเห็นปากกระบอกปืนส่องมาตรงมาทางเขาก็รีบกดร่างหลินเหยาซื่อให้หมอบลงไป เว่ยซือเห็นท่าไม่ดีเหยียดคันเร่งหนีให้พ้นวิถีปืน ทว่ารถยนต์เสียหลักออกนอกเส้นทางพุ่งตกลงไปในแม่น้ำ!รวดเร็วจนหลินเหยาซื่อไม่ทันกรีดร้อง เธอรู้สึกว่าร่างกระเด็นกระดอนในรถยนต์ แต่ก็มีกั๋วคังเหรินกอดไว้แน่น เธอหูอื้อไม่ยินเสียงใดทั้งนั้น ราวกับเคยเกิดเรื่องนี้มาก่อน ใช่ ...มันเคยเกิดขึ้นในรถบัสที่เธอนั่งเดินไปเป็น