“เข้าใจค่ะ” เธอพยักหน้ายืนยัน “สามีของฉันยังพูดเลยว่า สกุลหวังเป็นนักลงทุนที่ดีมีวิสัยทัศน์ในการทำงานที่ยอดเยี่ยมค่ะ”
“พูดต่อหน้ากันแบบนี้ฉันก็เขินแย่สิ” หวังเข่อซิงหัวเราะเบาๆ เป็นจังหวะเดียวกับลูกสาวอายุสิบสองเดินผ่านมา นางจึงเรียกไว้ “แองเจิ้ล ลองเปลี่ยนใส่ชุดนี้ดูสิลูก”
เด็กหญิงหน้าตาน่ารักรับชุดกระโปรงมาไว้ในมือ เธอนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนหมุนตัวเดินจากไป
“แกเป็นคนพูดน้อยค่ะ” หวังเข่อซิงรีบพูดแทนลูกสาว “สามีคุณก็คงกว้างขวางในแวดวงนักธุรกิจสินะคะ”
“ไม่หรอกค่ะ” เธอพูดอย่างถ่อมตัว แต่จริงๆ เธอก็ไม่ค่อยรู้เรื่องของเขานัก
“ไหนๆ เราก็จะได้ร่วมงานกันแล้ว ฉันอยากรู้จักสามีของคุณแล้วสิ เขาชื่ออะไรคะ”
“กั๋วคังเหรินค่ะ เขาไม่ใช่คนเด่นดังอะไรหรอกค่ะ”
“กั๋วคังเหริน...ผู้บริหารหลินกรุ๊ฟ บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หรือคะ?”
“เอ่อ...น่าจะใช่นะคะ”
ก็เธอไม่รู้จริงๆนี่น่า ในไดอารี่ไม่ได้มีเขียนเรื่องพ่อกับบริษัทตัวเองเลย ในสมองมีแต่เรื่องกั๋วคังเหรินทั้งนั้น แล้วเธอไม่มีความทรงจำของเจ้าของร่างด้วย เธอหลับตาครุ่นคิด บางสิ่งผุดขึ้นมาในสมอง
“คุณพ่อบอกว่าแซ่หลิน แปลว่า "ป่า" มาจากอักษร 木 ที่แปลว่า "ต้นไม้" 2 ตัววางติดกัน บริษัทเราเริ่มจากกิจการเล็กๆ และเชื่อมโยงผู้คนไว้ พวกเขาไม่ใช่แค่คนงานหรือพนักงานแต่เป็นคนในครอบครัว”
“ตายจริง คนกันเองทั้งนั้น”
หวังเข่อซิงหัวเราเสียงใส เธอยั้งปากไว้ได้ทัน ไม่ถามเรื่องที่เคยได้ยินมา ที่ว่า ‘กั๋วคังเหริน’ หายตัวไป ตอนนี้ หรืออาจจะเพราะเรื่องนี้ทำให้ภรรยาคนสวยต้องออกมาทำงานนอกบ้าน เธอนึกถึงภาพเด็กฝาแฝดที่อยู่ในร้านอัด-ขยายที่เจอวันนั้น แล้วก็นึกเห็นใจผู้หญิงด้วยกันขึ้นมาทันที ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ ลูกสาวคนสวยก็เดินออกมาด้วยใบหน้าระบายยิ้ม
“สวยจริงๆ” หวังเข่อซิงทำมือให้ลูกสาวหมุนตัว เด็กหญิงก็ทำตาม กระโปรงผ้าพลิ้วไหวราวกลีบดอกไม้
หลินเหยาซื่อเลือกผ้าสีชมพูอมส้มเหมือนกลีบกุหลาบ ออกแบบคล้ายชุดฮั่นฝูแต่เป็นกระโปรงสั้น แบบดูไม่เก่าและไม่ทันสมัยจนเกินไป ราวกับองค์หญิงตัวน้อย ในยุคสมัยที่เธอจากมา คนก็นิยมใส่ชุดฮั่นฝูประยุกต์กันมาก คงรูปแบบไว้ปรับเปลี่ยนชนิดของผ้า ลวดลายทันสมัย ลดความยาวเพิ่มความคล่องตัว
“ชุดฮั่นฝูโบราณจะสวมใส่ยากไปสักหน่อย ฉันออกแบบให้สวมใส่ง่าย เสื้อกับกระโปรงแย่งชิ้นกันได้ หากเบื่อเราก็ใส่กับชุดอื่นได้ค่ะ”
“ชอบไหมจ๊ะ” มาดามหวังถามลูกสาว
“ชอบค่ะ ใส่ไปแสดงเปียโนได้ไหมคะ”
หวังเข่อซิงหันไปสบตากับหลินเหยาซื่อ “ได้ไหมจ๊ะ”
“ยินดีเลยค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น เรื่องงานออกแบบเสื้อผ้ากับโรงงานของเรา คุณเหยาซื่อพร้อมเริ่มงานเมื่อไหร่ดีค่ะ”
ดวงตากลมโตเป็นประกายขึ้นมา ใจจริงอยากบอกว่าเริ่มงานได้ทันที แต่พอนึกถึงเด็กสองคนที่บ้านก็ทำให้หยุดปากไว้ก่อน
“สัปดาห์หน้าได้ไหมคะ”
“ได้สิค่ะไม่มีปัญหาเลย” หวังเข่อซิงเรียกพ่อบ้านหยิบนามบัตรของบริษัทมาให้หลินเหยาซื่อ “ที่อยู่บริษัทค่ะ รายละเอียดค่าตอบแทนรวมทั้งการทำงาน จะมีหนังสือสัญญาจ้างงานในวันนั้นนะคะ”
“ขอบคุณมากค่ะ”
ทั้งสองนั่งพูดกันกันอย่างเป็นกันเอง หลินเหยาซื่อคิดว่าเป็นโชคดีของเธอจริงๆ อาจเพราะชีวิตผ่านความทุกข์มามาก สวรรค์เมตตาให้เธอได้สุขสบายเสียที หลินเหยาซื่อดูเวลาและคิดว่ากั๋วคังเหรินคงมารอแล้ว เธอจึงขอตัวกลับ หวังเข่อซิงถึงกับเดินออกมาส่งที่ประตูด้วยตนเอง
ชายหนุ่มบานประตูเปิดออกพร้อมร่างของภรรยาที่แย้มยิ้มเบิกบานก็เข้าใจได้ทันทีว่าเธอคงได้รับข่าวดีเป็นแน่ เขาเปิดประตูลงไปรับภรรยาด้วยตนเอง หวังเข่อซิงอดมองชายหนุ่มหล่อเหลาคนนี้ไม่ได้ ดูท่าทางแล้วคงไม่ใช่คนขับรถแน่
“มาดามหวังค่ะ นี่สามีฉันค่ะ กั๋วคังเหริน” หลินเหยาซื่อแนะนำสามีให้ว่าที่เจ้านายรู้จัก
“สวัสดีครับ” กั๋วคังเหรินทักทายอย่างมีมารยาท
“คุณกั๋วตัวจริงสินะ” หวังเข่อซิงไม่อาจเก็บความตื่นเต้นไว้ได้ “เราเคยเจอกัน คุณจำฉันได้ไหม”
“แน่นอนครับมาดามหวัง” เขายิ้มด้วยท่าทีสุภาพ “ขอบคุณที่สนับสนุนภรรยาของผมด้วย”
“เหยาซื่อมีฝีมืออยู่แล้วค่ะ เธอเป็นเพชรน้ำงามเลยทีเดียว ฉันต่างหากต้องขอบคุณที่คุณให้ภรรยามาทำงานกับฉัน”
หลินเหยาซื่อลอบมองใบหน้าของผู้ชายที่ยืนข้างๆ เธอก็อยากจะบอกว่า ‘นี่ฝีมือของเธอล้วนๆ’ แต่เห็นสีหน้าภูมิใจของเขาแล้ว เธอก็เลือกที่จะยิ้ม ที่เหลือค่อยเอาไปคุยที่บ้าน
“จริงสิ” หวังเข่อซิงพูดอย่างนึกได้ “งานกาล่าดินเนอร์ที่จะจัดระดมทุนสร้างโรงพยาบาลในพื้นที่ทุรกันดาร คุณกั๋วกับภรรยามาด้วยไหมคะ”
“แน่นอนครับ” เขายิ้มแล้วก้มมองภรรยาที่เงยหน้าขึ้นสบตากับเขาพอดี “คุณแข็งแรงดีแล้ว ออกงานเปิดหูเปิดตาบ้างดีไหม”
แม้เขาจะพูดอย่างนั้น แต่เธอรู้สึกเหมือนมีความนัยแฝงอยู่ แต่กระนั้นเธอก็ยังยิ้มและพนักหน้ารับ
“ค่ะ”
“พวกเราขอตัวกลับก่อนนะครับ”
“เชิญค่ะ”
กั๋วคังเหรินประคองไหล่ภรรยาเดินมาที่รถและเปิดประตูให้เธอ เมื่อปิดประตูเรียบร้อยก็หันไปส่งยิ้มและผงกศีรษะให้มาดามหวังเล็กน้อยก่อนจะเดินมานั่งที่ฝั่งคนขับ สายตาของหลินเหยาซื่อยังจ้องมองเขาอยู่ ชายหนุ่มสตาท์รถพร้อมรอยิ้มมุมปาก
“คุณจะบอกฉันเมื่อไหร่”
“เรื่องอะไรครับ”
“งานกาล่าดินเนอร์”
“ปกติคุณไม่เคยออกไปงานเลี้ยงงานสังสรรค์อะไรเลย แต่วันนี้มาดามหวังพูดขึ้นมา ผมก็เลยคิดว่าคุณคงอยากไป”
“ไม่ใช่ว่าคุณอยากให้ฉันไปเหรอ” เธอเบ้ปากใส่ “ฉันต้องเตรียมตัวเจออะไรบ้าง”
“ทำไมรู้ทัน” เขาหัวเราะออกมา
“ชิ!” เธอทำเสียงในลำคอ “คุณเจ้าเล่ห์ชะมัด อย่าบอกนะว่าคุณมั่นใจว่ามาดามหวังต้องชอบงานของฉันแน่นอน”
“ผมมั่นใจ” เขาพูดไปตามตรง “แต่เพราะคุณมีฝีมือต่างหากล่ะ”
“คุณคิดอย่างนั้นจริงๆเหรอ” คราวนี้เธอหันมามองเสี้ยวหน้าของเขาที่กำลังตั้งใจขับรถอยู่
“แน่นอน”
“ไม่ได้พูดให้ฉันดีใจใช่ไหม”
“ผมไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น” เขายิ้มปรายตามองเธอเล็กน้อย “อีกอย่าง คุณคงลืมไปแล้วว่าผมพูดไม่เก่ง โดยเฉพาะพูดเอาใจใคร”
“อย่างคุณเนี้ยนะ พูดไม่เก่ง” เธอทำหน้าไม่เชื่อ
“ถ้าเรื่องธุรกิจ เราก็ต้องมีเล่ห์เหลี่ยมนิดหนึ่ง”
“แล้วคุณจะมีเล่ห์เหลี่ยมกับฉันไหม”
เสียงถอนหายใจดังขึ้นเฮือกหนึ่ง เขาไม่อาจหันมาสบตากับเธอได้ ได้แต่พูดอย่างหนักแน่นจากใจ
“ผมไม่มีวันทำร้ายคุณและลูกเด็ดขาด”
เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองสามครั้งก่อนบานประตูจะเปิดออกโดยไม่รอให้คนด้านในอนุญาต กั๋วคังเหรินเงยหน้าขึ้นจากหนังสือหนังสือตำราพิชัยสงครามซุนวู หลินเหยาซื่อเดินเข้ามาพร้อมสมุดบันทึกและตลับสายวัดตัว เธอเห็นเขาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม “ฉันจะวัดตัวคุณค่ะ ไหนๆ เราจะได้ออกงานคู่กัน ฉันจะสั่งตัดชุดสูทใหม่ให้คุณให้เข้ากับชุดของฉัน”รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากของชายหนุ่ม“เหมือนชุดของลูกๆ ที่แบบเดียวกับคุณนะเหรอ” “ก็ทำนองนั้น” หลินเหยาซื่อยักไหล่ “ในฐานะที่ฉันกำลังจะเป็นดีไซเนอร์ ฉันก็อยากแสดงว่าตัวเองมีฝีมือจริงๆ ไม่ได้เส้นสายของใคร” เขากลืนเสียงหัวเราะลงท้องแล้วพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ร่างสูงลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วยืนพิงโต๊ะทำงานที่ตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้องนอน ค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตที่สวมอยู่เผยเสื้อกล้ามสีขาว จู่ๆ หลินเหยาซื่อก็รู้สึกร้อนผ่าวทั่วใบหน้า “คุณ...คุณ ถอดเสื้อทำไม” “อ้าว...” เขาแสร้งทำหน้างุนงง “คุณภรรยาจะวัดตัวสามีไม่ใช่เหรอ ผมก็ควรถอดเสื้อให้คุณวัดตัวนี่” เขาพูดแล้วถอดเสื้อเชิ้ตออก ถึงจะยังมีเสื้อกล้ามอยู่
“ยังไงคุณก็เป็นพ่อของลูก...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเขาก็จะเป็นลูกของคุณตลอดไป” เขาดันไหล่เธอออกเบาๆ เพื่อได้สบตากับดวงตาคู่สวย “แล้วคุณล่ะ” “คะ?” “ระหว่างคุณกับผม” “ฉัน...” สายตาตาเว้าวอนรอคำตอบทำให้เธอพูดไม่ออก เธอใช่ร่างของหลินเหยาซื่อก็จริง แต่ ‘ความรู้สึก’นั้นเป็นของเธอโดยแท้จริง นอกจากรู้จักเขาผ่านไดอารี่ของหลินเหยาซื่อแล้ว เธอก็เพิ่งได้พบเขาไม่นาน เขาอาจจะ ‘รัก’ เจ้าของร่างนี้ที่ตายไป หรือ ‘รัก’ หลินเหยาซื่อที่เป็นเธอ คนที่อยากทำอะไรก็ทำ ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ หรือเขาอาจจะไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอเลย แค่เพราะมี ‘ลูก’ ด้วยกัน ทำไมจู่ๆ หัวใจก็เจ็บแปลบขึ้นมา สายตาเลื่อนลอยและริมฝีปากที่เม้มแน่นทำให้หัวใจของกั๋วคังเหรินเจ็บปวดขึ้นมา โทษเธอไม่ได้หรอก เป็นเขาที่ทำให้เธอเจ็บ คนที่ทำลายความรักที่เธอมีก็คือตัวเขาเอง “ผมเข้าใจ” “คะ?” ‘เข้าใจอะไร ฉันยังไม่เข้าใจอะไรเลย’ “ผมขอแค่คุณให้โอกาสผมอีกครั้ง แค่ครั้งเดียว ผมจะทำให้คุณรักผมอีกคร
“ค่ะ/ครับ”หญิงสาวลุกออกไป เธอเป็นห่วงอาการของป้าฮุ่ยชิว อยู่ด้วยกันมานาน นอกจากปวดเข่าหรือปวดเนื้อตัวตามประสาคนอายุมากแล้ว แทบไม่เคยเจ็บป่วยอะไร“ป้าฮุ่ยชิวเป็นยังไงบ้างคะ”ป้าฮุ่ยชิวที่นอนอยู่สะดุ้งเล็กน้อยแล้วไอแรงๆ สองสามครั้งก่อนโบกไม้โบกมือ “คุณนายอย่าเข้ามาเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวติดหวัดจากป้า”หลินเหยาซื่อชะงักไป ได้แต่ยืนมองห่างๆ ด้วยความเป็นห่วง“ป้ากินยาแล้ว นอนพักสักวันสองวันก็ดีขึ้นเจ้าค่ะ”“ถ้ามีอะไรป้าเรียกได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ ยังไงเราก็เหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน”“ลำบากคุณผู้หญิงต้องดูแลคุณหนูกับคุณชายแล้วเจ้าค่ะ”“พูดอะไรแบบนั้น นั่นลูกฉันนะ” เธอหัวเราะ “ป้าพักผ่อนมากๆนะคะ ตอนเช้าไม่ต้องรีบลุกก็ได้ ฉันทำอาหารเช้าเองได้”ป้าฮุ่ยชิวพยักหน้ารับแล้วหลับตาลง หลินเหยาซื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแล้วจึงเดินไปที่ห้องครัว อุ่นนมสองแก้วให้ลูก แต่นึกขึ้นได้ก็อุ่นนมเพิ่มให้ เอ่อ...สามีอีกแก้ว จัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็วางแก้วนมใส่ถาดเดินกลับขึ้นมาที่ห้องชั้นบน ห้องนอนกั๋วคังเหรินไม่ได้ปิดประตู เธอจึงเดินเข้าไปโดยง่าย“ดื่มนมก่อนนอนนะคะ ถ้าดื่มไม่หมด แม่ไม่อ่านนิทานให้ฟังด้วย”“ค่ะ/ครับ” เด็ก
“ตลกมากสินะ”“เปล่านะคะ” เธอยิ้มจนดวงตาเป็นประกายพราวระยับเด็กสองคนนอนตรงกลาง กั๋วคังเหรินใช้มือยันฟูกนอนยื่นตัวข้ามร่างของลูกลิงที่นอนอยู่ตรงหน้า ยื่นหน้าไปจูบริมฝีปากสวยเร็วๆ แล้วกลับมาฝั่งตัวเอง หลินเหยาซื่อไม่ทันตั้งตัวได้แต่กระพริบตาปริบๆ และครู่ต่อมาใบหน้าก็แดงเรื่อขึ้นมา“คุณ!”“ชู่ว์”เขายกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากเหมือนที่เธอเคยทำเวลาบอกให้ลูกเงียบ หลินเหยาซื่อทั้งเขินและอายจนไม่รู้จะทำอย่างไรดี เธอจึงมุดตัวลงไปนอนอย่างหงุดหงิดที่ถูกเอาเปรียบ แต่จะว่าไป เธอก็ไม่ได้โกรธ แค่เขินอายกับการกระทำใกล้ชิดสนิทสนมอย่างกับคนรักหัวใจเต้นแรงจังเลยหรือจะป่วยนะเฮ้อ! หลินเหยาซื่อรู้สึกคุ้นตากับคนรับใช้สองคนและคนสวนอีกหนึ่งคนที่กั๋วคังเหรินเรียกกลับมาทำงานที่บ้านอีกครั้ง อาจเป็นร่องรอยความทรงจำเก่าก็ผุดขึ้นมาที่ละน้อยก็เป็นได้ ที่สำคัญเขาทำตามที่พูดไว้จริงๆ คนรับใช้ที่รับกลับเข้ามาต่างน้ำตาคลอเบ้าไม่รู้ว่าดีใจหรือซาบซึ้งใจที่ได้กลับมาทำงานที่นี้ หลินเหยาซื่อลอบมองใบหน้าของกั๋วคังเหริน เธอนั่งข้างเขาที่โซฟาห้องรับแขก สีหน้าเรียบนิ่งยากจะคาดเดาความคิดแต่ให้ความรู้ส
“ประธานกั๋ว...” “เลขาหลี่ ช่วยนัดประชุมผู้บริหารให้ผมด้วย” “คะ...เอ่อ...ค่ะ ได้ค่ะ” กั๋วซีฮั่นสูดลมหายใจลึก ปรับสีหน้าอยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินเข้ามาใกล้ยื่นมือขวาออกไป กั๋วคังเหรินปรายตามองเล็กน้อย มุมปากยกยิ้มแล้วยื่นมือขวาไปจับมือพี่ชายต่างมารดา “ยินดีต้อนรับกลับบริษัทหลินกรุ๊ฟ” “ที่ผ่านมาทำให้พี่ซีฮั่นต้องลำบากแล้ว” เขายิ้มแต่บีบมือแรงขึ้น “ต่อไปนี้จะไม่ให้พี่ต้องลำบากอีกแน่นอนครับ” แม้ภายนอกคนมองพี่น้องรักใคร่ปรองดองกันดี กั๋วคังเหรินเข้ามาสืบทอดกิจการของประธานหลินก่อนที่ท่านจะเสียไป แสดงให้เห็นว่าหลินซือซง-ประธานบริษัทผู้ก่อตั้งมีความเชื่อใจและไว้ใจลูกเขยคนนี้มาก แม้ก่อนหน้านี้ ผู้คนต่างคาดเดากันไปต่างๆนานา ว่าระหว่าง กั๋วซีฮั่นกับกั๋วคังเหริน ใครจะได้เป็นเขยสกุลหลิน สุดท้ายแล้วเป็นกั๋วคังเหรินที่เหมือนหนูตกถังข้าวสาร แม้ว่าเป็นการแต่งงานเข้าบ้านผู้หญิง แต่ฐานะที่ร่ำรวยเช่นนั้น เป็นใคร ใครก็อยากแต่งเข้าไปทั้งนั้น หลินซือซงบุกเบิกสร้างกิจการใหญ่โตจนกลายเป็นเศรษฐี เป็นที่นับหน้าถือตาของคนใ
“คะ?” เธอจ่ายค่าขนมเค้กแล้วหันมามองเขาอย่างงุนงง “ขอโทษเรื่องอะไรคะ”“เมื่อก่อนค่าใช้จ่ายต่างๆในบ้านผมเป็นคนจัดการเองทั้งหมด ตอนนี้คุณเป็นคนดูแลบ้าน ผมควรให้คุณถือเงินทั้งหมด”“เรื่องแค่นี้เอง ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนี่” เธอยักไหล่ ปกติเธอคุ้นชินกับการใช้เงินแบบจำกัดจำเขี่ย เพราะรายได้อันแสนน้อยนิดแม้วิ่งรอกรับงานตัวประกอบหลายเรื่องก็ตาม“สามีภรรยาก็เหมือนคนเดียวกัน ยังไงเรื่องเงินก็ต้องช่วยเหลือกันอยู่แล้ว”‘แต่เงินเดือนของเธอก็คือของเธอนะ ไม่ใช่ของเขา’กั๋วคังเหรินเห็นแววตาขบขันในดวงตาคู่สวยของภรรยา แปลกใจที่เธอยังยิ้มได้ทั้งที่... ช่างเถอะ พูดไปทุกอย่างก็เป็นความผิดของเขา ขนมเค้กใส่กล่องเรียบร้อยแล้ว เขาได้แต่ยืนมือหญิงสาวยื่นมือไปรับมาประคองไว้ราวกับสิ่งล้ำค่า ทำให้เขารู้สึกผิดหนักขึ้น ที่ผ่านมา เธอต้องลำบากเพราะเขา ทั้งที่เขาเคยสัญญากับประธานหลินไว้ว่าจะดูแลเธอให้ดี ไม่ใช้ต้องลำบากกายและใจ ถ้าประธานหลินยังอยู่ ได้เห็นหลานชายหญิงคงมีความสุขไม่น้อย “กลับกันเถอะค่ะ เด็กๆ รอแย่แล้ว” “ครับ”เขาเปิดประตูร้านให้หญิงสาวเดินออกไปก่อน แล้วยื่นมือไปรับกล่องเค้กมาถือเอง“ให้ผมถือให้ดีกว่า”
“ไปดูแปลงผักหลังบ้านกันค่ะ” เด็กสองคนพยักหน้ารับด้วยท่าทางดีอกดีใจเพราะอยากชวนคุณแม่ไปเล่นกัน หลินเหยาซื่อหยิบผ้ากันเปื้อนลายเดียวกันแล้วสวมให้ลูก จางลี่จางหย่งช่วยกันผูกปมเชือกที่ด้านหลัง เธอสอนเด็กๆ ให้ช่วยเหลือกัน เธอเองสวมผ้ากันเปื้อนตอนทำงานอยู่แล้วเพราะเกรงว่าเวลาลงสีที่ภาพจะเลอะเสื้อผ้า เมื่อชุดพร้อมเด็กทั้งสองก็จูงมือแม่ไปที่แปลงผักหลังบ้าน หลายวันก่อนเพิ่งเอาชิงช้ามาตั้งไว้ วันนี้คนสวนกำลังลงเถาองุ่น เธอไม่รู้ขั้นตอนการปลูกองุ่น เคยเห็นแต่ผลในซุปเปอร์มาเก็ต แต่ยังไงก็ช่างเถอะ ตอนนี้แปลงผักของเธอกลายเป็นสวนหย่อมน่ารักไปแล้ว “คุณผู้หญิง” ลุงจวงผู้ดูสวนทักด้วยท่าทีนอบน้อม “เหนื่อยหน่อยนะคะ”หลินเหยาซื่อยิ้มรับเดินตามมือน้อยๆ ที่จูงไปที่แปลกผัก ผักกาดหอมสีเขียวสดพร้อมถูกกลายเป็นสลัดจานโปรด เธอนั่งลงพร้อมเด็กๆ ที่ชี้ชวนให้ดูผักในแปลงผักเล็กๆ ตรงหน้า “ความจริง พวกเราไม่ควรทิ้งคุณผู้หญิงไปเลย” ลุงจวงพูดอย่างรู้สึกผิด “นายท่านดูแลพวกเราและครอบครัวอย่างดีมาตลอด พอมีปัญหาพวกเราก็พากันทิ้งคุณผู้หญิงไปกันหมด”
“สองแสน...ไม่พอเหรอ ต้องใช้เท่าไหร่ผมจะเพิ่มให้” “ไม่ใช่ๆ ฉันแค่...” “ที่ผ่านมาทำให้คุณกับลูกต้องลำบาก ผมขอโทษจริงๆ” “ช่างเถอะค่ะ อย่าพูดเรื่องนี้ต่อหน้าลูกเลย” เธอรีบเปลี่ยนเรื่อง “แล้วงานคุณเป็นไงบ้าง ให้ผมช่วยอะไรไหม” เธอส่ายหน้าไปมา แล้วก็นึกขึ้นได้ “ได้ช่วยแน่ค่ะ เสื้อสูทที่สั่งตัดไว้ใกล้เสร็จแล้ว คุณต้องเป็นไม้แขวนเสื้อให้ฉัน” “ไม้-แขวน-เสื้อ” เด็กๆพูดตามที่ได้ยิน “ทำไมคุณพ่อต้องเป็นไม้แขวนเสื้อด้วยคะ” จางลี่ขี้สงสัยอดถามไม่ได้ “ก็คุณพ่อหล่อไงค่ะ” “คุณพ่อหล่อจริงๆด้วย” จางหย่งพยักหน้าหงึกหงัก“จางหย่งหล่อเหมือนพ่อ” หลินเหยาซื่อพูดแบบไม่คิดอะไร แต่พอเห็นรอยยิ้มกว้างได้ใจของเขาแล้วก็นึกโกรธตัวเองที่ไม่คิดก่อนพูด ตอนนี้เธอได้แต่กลอกตามองบนไม่อยากเห็นหน้าคนหลงตัวเอง “ไปล้างมือกันค่ะ” เธอบอกกับเด็กๆ “คุณๆ ช่วยเปิดก๊อกน้ำให้หน่อย” กั๋วคังเหรินเดินไปเปิดก๊อกน้ำ หลินเหยาซื่อจับสายยางให้เด็กๆ ล้างมือให้สะอาด แอบออกมาพักผ่อนใจแล้วก็ต้องกลั
จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกอบอุ่นผูกพันในแววตาคู่นั้น หลินเหยาซื่อไม่แน่ใจว่า ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้คืออะไร ทำไมเธอรู้สึกว่าเขาคือคนที่เคยกุมมือไว้ก่อนที่จะสิ้นใจดวงตาหลังแว่นสายตาตื่นตกใจที่เห็นดวงตาคู่สวยมีหยดน้ำตา “คุณเจ็บตรงไหนหรือเปล่า มีอะไรผิดปกติไหม”หญิงสาวใส่หน้าไปมา “ขอโทษค่ะ ฉันไม่รู้ทำไมตัวเองถึงมีน้ำตา”เธอพยายามหัวเราะเช่นทุกครั้ง เวลามีอะไรเธอมักจะหัวเราะเสมอ กระทั่งครั้งนี้เธอก็หัวเราะทั้งที่มีน้ำตา ชายหนุ่มยื่นมือไปเช็ดน้ำตาที่เปื้อนแก้ม“สัญญากันแล้วนี่นา ว่าจะไม่หลับไปนานแบบนี้อีก”คราวนี้หญิงสาวตกใจกับคำพูดของเขา“เมื่อกี้คุณหมอพูดว่าอะไรนะคะ”‘คุณหมอ’ ชายหนุ่มยิ้มเศร้า เธอคงจำเขาไม่ได้สินะ ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วขยับตัวรักษาระยะห่างระหว่างหมอกับคนป่วย ทั้งที่เขาอยากคว้าเธอมากอดแนบอกเหลือเกิน‘จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แค่เขาจำเธอได้ก็พอ’ชายหนุ่มมองดวงตากลมโตที่ยังมีแววสงสัย เรื่องแบบนี้เล่าไปจะมีใครเชื่อ ตัวเขาเองยังไม่อยากจะเชื่อเลยหลังจากภรรยาตายจากได้ห้าปี เช้าวันหนึ่งเขาก็ตื่นขึ้นมาในร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้าของร่างนี้ป่ว
หญิงสาวถอนหายใจเบาๆ มองตัวเองในกระจก ยกมือขึ้นเปิดเส้นผมที่ปรกหน้าเห็นรอยแผลจากการถูกกระแทกต้องเย็บยี่สิบเข็ม คุณหมอแจ้งว่าถ้าเธอต้องการทำศัลยกรรมเพื่อลบรอยแผลเป็นก็ทำได้ เธอจำได้ว่าตอนนั้นเธอหัวเราะและตอบไปว่า“ไม่เป็นไรค่ะ แผลเป็นนิดเดียว”แต่จริงๆเธอเสียเงินหลายหมื่นหยวน ในปีค.ศ. 2023 นี้ เธอคือผู้หญิงที่หน้าตาธรรมดา เหลือเงินติดบัญชีอยู่ไม่เท่าไหร่ โชคยังดีที่บริษัทภาพยนตร์ที่เธอรับงานเป็นตัวประกอบเห็นใจให้เงินค่าทำขวัญมาจำนวนหนึ่ง ส่วนค่ารักษาพยาบาลนั้นมาจากประกันอุบัติเหตุ เธอจึงไม่ต้องเป็นหนี้สินล้มละลายเพราะการรักษาตัวเอง แต่ข่าวที่เธอช่วยชีวิตคนอื่นก็ทำให้เธอกลายเป็นที่สนใจ ตอนนี้แม้เธอเป็นแค่ตัวประกอบ แต่ก็มีหลายบริษัทอยากให้เธอไปร่วมเล่นซีรีย์บทเล็กๆ ถึงอย่างไรหน้าตาเธอก็ไม่ได้สะสวยพอจะเป็นถึงนางเอกได้ และยิ่งตอนนี้มีแผลเป็นที่หน้าผากอีก ต่อให้ใช้ make up ปิดบังยังไง ก็ยังเห็นอยู่ดี แผลเป็นไม่ได้น่าเกลียดเท่าไหร่ เห็นแล้วก็อดคิดถึงแผลเป็นของผู้ชายคนนึงไม่ได้ แผลเป็นของเขาใหญ่กว่าเธอมาก ผ่านมาหลายปี แผลเป็นนั้นก็เป็นรอยจางๆหลินเหยาซื่อต้องทำกายภาพบำบัดที่โรงพยา
“ผู้ชายหรือผู้หญิงก็ได้ พ่อก็รักไม่น้อย ปกว่ากัน แล้วพวกลูกล่ะ จะรักน้อง ไม่ว่าน้องจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายหรือเปล่า”“แน่นอนครับค่ะ พวกเรารักน้อง อยากให้น้องออกมาเร็วๆ จะช่วยคุณแม่เลี้ยงน้องและเล่นกับน้อง” คนเป็นแม่หัวเราะเสียงใส จะช่วยแม่เลี้ยงน้องหรืออยากเล่นกับน้องก็ไม่รู้เสียงหัวเราะของคนในครอบครัว ละลายความหม่นเศร้าที่เคยปกคลุมในบ้านหายไปหมดสิ้น ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือไปตรงหน้า“เข้าบ้านเถอะเย็นแล้ว อากาศเย็น เดี๋ยวคุณจะไม่สบายเอา”หญิงสาวมองมือใหญ่แข็งแกร่งที่ยื่นมาตรงหน้า เธอรู้ว่ามือคู่นี้จะคอยประคองเธอไว้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เช่นเดียวกับเธอที่สัญญาไว้กับเขาว่าจะจับมือเขาไว้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบางที...นี่อาจเป็นเหตุผลที่โชคชะตาส่งเธอมาในปีนี้ 1980 เพื่อได้รับใครสักคน และเพื่อให้หัวใจได้ถูกรัก.จบ.ลืมตาอีกครั้งหญิงสาวลืมตาขึ้นแล้วพบว่า ตัวเองอยู่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ต้องตั้งสติอยู่นานกว่าจะรู้ว่า ตัวเองตื่นมาในปีค.ศ. 2023 เธอคือผู้รอดตายอย่างปาฏิหาริย์ในอุบัติเหตุรถบัสตกเขาลงแม่น้ำหลินเหยาซื่อจำได้ว่าตอนที่ฟื้นขึ้นมา เธอสบตากับดวงตาคู่หนึ่งแม้เขาจะสวมหน้ากากอนา
คราวนี้เห็นทีจะจบเรื่องแล้วจริงๆ หลินเหยาซื่อถอนหายใจอย่างหอบเหนื่อย เธอถึงกับหมดแรงนั่งลงไปกับพื้น สามีเห็นแล้วก็รีบเข้าไปประคองอุ้มเธอขึ้นมาไว้บนเตียง เขาสั่งการกับเว่ยฉือให้จัดการเรื่องทั้งหมดแทนเขา เมื่อในห้องไม่มีคนนอกแล้ว ลูกทั้งสองคนก็ได้รับอนุญาตให้เข้ามาหาแม่ได้“คุณแม่เกิดอะไรขึ้นครับ/ค่ะ”เด็กน้อยสองคน ปีนขึ้นเตียงรีบเข้ามากอดแม่ เด็กฝาแฝดคนแย่งกันพูดเสียงดัง บรรยากาศกลับสดใสอีกครั้ง หลินเหยาซื่อส่ายหน้าไปมา บทเรียนต่อไปเธอต้องสอนให้ลูกพูดเสียงให้เบาลงกว่านี้ แต่เอาเถอะ เวลานี้เสียงของลูก ไพเราะที่สุดแล้ว“ขอแม่หอมแก้มเพิ่มพลังหน่อยสิ” หญิงสาวพูดขึ้น เด็กน้อยสองคนก็รุมหอมแก้มกันใหญ่สามีถอนหายใจแล้วค่อยยิ้มออกมา ทั้งที่เมื่อครู่เจอเรื่องอันตรายมากแต่เธอก็ยังยิ้มได้ คนที่บ้าที่สุดอาจจะเป็นภรรยาของเขาก็ได้ คิดแล้วเขาก็หัวเราะออกมาหลินเหยาซื่อเสียงสามีหัวเราะ ก็หันไปทำหน้ายู่ใส่“หัวเราะอะไรคะ”“หัวเราะอะไรคะ/ครับ” ลูกสองคนพูดเลียนแบบแม่“ไม่มีอะไรครับ”คนเป็นพ่อพูดแล้วโบกมือไปมา แต่หลินเหยาซื่อสบตากับลูกทั้งสองส่งสัญญาณ คนเป็นสามีรู้สึกไม่ค่อยน่าไว้ใจแสร้งถอยหลัง แต
ภาพที่เห็นตรงหน้า ทำให้ดาราสาวปวดใจแทบเป็นบ้า ยิ่งเห็นกั๋วคังเหรินโอบกอดหลินเหยาซื่ออย่างปกป้องและความห่วงใย ครั้งหนึ่งอ้อมกอดนั้นเคยเป็นของเธอมาก่อน ทำไมมันถึงมาจุดนี้ได้ ทำไมไม่ใช่เธอที่อยู่ในอ้อมกอดเขา ดาราสาวแหงนหน้าหัวเราะ ท่าทางไม่ต่างจากคนเสียสติ โลกไม่ยุติธรรมเสียเลย เธอมองหน้าชายที่เคยรักผ่านม่านน้ำตา“ทำไมคะ ทำไมคุณไม่รักฉัน ทำไมคุณต้องแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้น”ชายหนุ่มถอนหายใจหนักหน่วง เขาประคองร่างของภรรยาขึ้น มองเห็นหยดเลือดจากที่เธอกระชากสายน้ำเกลือออกก็ปวดใจ โชคดีที่ลูกสาวลูกชายไม่ได้อยู่ในห้องนี้ เขาไม่อยากให้ลูกๆ ต้องมาเห็นภาพแบบนี้“เรื่องของเรามันจบไปนานแล้ว คุณจะรื้อฟื้นทำไม คุณเองก็ไม่ได้มีผมเพียงคนเดียว ระหว่างที่เราคบกัน ก็ใช่ว่าผมจะไม่รู้ว่าคุณมีคนอื่น” เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า ได้ยินดังนี้ ดาราสาวถึงกับหน้าซีดไป เพราะเธอคิดเสมอว่าเขาไม่เคยรู้เรื่องราวด้านมืดของเธอเลยชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง“ให้มันจบแค่นี้เถอะ คุณมีชีวิตของคุณ ผมมีชีวิตของผม ผมมีภรรยาและลูกที่รักมากและผมต้องดูแลพวกเขา นอกจากหลินเหยาซื่อแล้ว ชีวิตนี้ผมไม่อาจรักใครได้อีกแล้ว เห็นแก่ควา
หลังจากมั่นใจว่า ในห้องไม่มีคนอื่นอยู่แล้ว หลินเหยาซื่อจึงลุกขึ้นจากเตียงนอน เธอรู้สึกรำคาญสายน้ำเกลืออยู่บ้าง แต่จะทำอย่างไรได้ก็สถานะตอนนี้เป็นคนป่วยนี้นะเธอไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้กับตัวเองอีกเมื่อไหร่ เธอจะหลับไปแบบนี้อีกไหม หลับไปยาวนานถึง 7 วัน ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเธอ แม้กระทั่งหมอ แต่ตัวเธอเอง ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่า ชีวิตที่ได้มาใหม่นี้ จะใช้ได้ยาวนานเพียงใด แต่ที่สุดแล้ว ก็ยังมีลมหายใจอยู่ โดยเฉพาะในชาตินี้ เธอรู้ดีว่า มีสิ่งที่สำคัญที่สุดรออยู่ นั่นก็คือ ลูกชายหญิงฝาแฝดของเธอ ที่แม้ซนเหมือนลิง แต่เธอก็รักพวกเขามากแม้ไม่มีความทรงจำที่อุ้มท้องพวกเขา แต่เธอก็รู้สึกว่าทั้งสองเป็นลูกของเธอจริงๆหญิงสาว มองไปที่โต๊ะตรงหัวเตียง มีกระเช้าผลไม้ตั้งอยู่ มีผลไม้หลากชนิด เธอเอื้อมมือไปหยิบแอปเปิ้ลสีสวย เห็นแล้วก็คิดถึงงานที่ทำค้างอยู่ Collection ใหม่ครั้งหน้า เธอน่าจะออกแบบลายผ้า เป็นรูปผลไม้เด็กๆชอบผลไม้สีสันสดใส น่าจะทำลายผ้าแล้ว ทำของอย่างอื่นด้วยก็ดีนะหลินเหยาซื่อคิดฝันไปไกลถึงกิจการของตัวเอง และเม็ดเงินที่จะเข้ากระเป๋า เมื่อมีเงินมาก เธอก็สามารถท
แม้จะไม่ได้อาบน้ำแต่ก็สบายตัวขึ้น หลินเหยาซื่ออารมณ์ดีขึ้น เธอเดินกลับมานั่งบนเตียง ผู้ชายตัวโตบังคับให้เธอลงนอน แต่เธอตีแขนเขาเบาๆ “นอนเยอะแล้วค่ะ ให้นั่งบ้างเถอะ” เธอกวาดตามองเขาแล้วดึงแขนให้เขามานั่งข้างๆ ยื่นมือไปแตะบริเวณที่จำได้ว่าเคยเห็นเลือดไหล “หลังก็มีแผลเป็น หน้าจะมีแผลเป็นอีกไหมนะ” “คุณกลัวเหรอ” เขาถามยิ้มๆ เขาเป็นผู้ชาย แผลเป็นไม่ได้สำคัญกับเลยสักนิด “เปล่าเสียหน่อย ฉันเป็นห่วงคุณต่างหาก คุณให้คุณหมอตรวจร่างกายหรือยังคะ ทุกอย่างโอเค.ไหม” “ผมบาดเจ็บเล็กน้อย คุณต่างหากที่หลับไป หมอก็หาสาเหตุไม่เจอ” “ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะคะ” “ผมต่างหากที่ทำให้คุณต้องบาดเจ็บ” “ก็บอกแล้วไงว่าตอนนี้ไม่ใช่เรื่องของคุณ-เรื่องของฉัน แต่เป็นเรื่องของเราแล้วค่ะ” นอกจากแม่แล้ว เขาก็ไม่เคยมีใครใกล้ชิดแบบนี้ แม้แต่ตอนที่คบกับเดซี่ แม้ภายนอกใกล้ชิดกันแต่ระยะห่างของหัวใจนั้นไกลมาก เสียงประตูห้องเปิดออก กั๋วคังเหรินคิดว่าลูกๆกลับมาแล้ว แต่เมื่อหันไปดูจึงพบว่าเป็นคนที่เขาไม่อยากเจอหน้
ทันทีที่ลืมตา ภาพที่เห็นคือเด็กน้อยสองคนที่หน้าตาคล้ายกันจนเหมือนพิมพ์เดียวกันนั่งจ้องหน้าด้วยแววตาวิตกกังวล ทำให้เธอยื่นมือไปตั้งใจจะคว้าเอาเด็กสองคนมากอด แต่มีสายน้ำเกลือติดที่แขนทำให้ชะงักไป หลินเหยาซื่อทำหน้างุนงงและสับสนว่าเธออยู่ในปีค.ศ.ไหนกันแน่ “คุณแม่ตื่นแล้ว!” จางลี่กับจางหย่งผสานเสียงขึ้นพร้อมกันเสียงดังจนหลินเหยาซื่อต้องหยีตาและทำให้กั๋วคังเหรินที่ยืนคุยกับคุณหมอรีบสาวเท้ามาข้างเตียงภรรยาสาว “เหยาซื่อ...ได้ยินผมไหม?” กั๋วคังเหรินถามเสียงสั่น เขาเองก็กลัวว่าเธอจะไม่ฟื้นขึ้นมา แต่ไม่อาจแสดงความอ่อนแอได้ เพราะลูกยังต้องการเขาอยู่ “เกิดอะไรขึ้น” เธอถามและพบว่าน้ำเสียงแหบแห้งเหลือเกิน “ฉันอยู่ที่ไหน” “โรงพยาบาล...” เขาเอ่ยชื่อออกไป “คุณหลับไปเจ็ดวันเลยทีเดียว” “เจ็ดวัน...” หลินเหยาซื่อยังมึนงงอยู่ แต่เมื่อยื่นมือไปแตะใบหน้าที่โน้มลงมาใกล้สัมผัสไออุ่นที่คุ้นเคยก็ทำให้มั่นใจว่าไม่ได้ฝันไป “ขอโทษที่หลับไปนานนะคะ” เธอหันไปมองลูกทั้งสองที่ทำตาแดงๆ มองเธอ “แม่หลับไปหลายวัน ดื้อกับคุณพ่อหรือเปล่า
หลินเหยาซื่อถูกแรงกระแทกทำให้ผวาตื่น เธอหันซ้ายแลขวาอย่างตื่นตระหนก รถยนต์ส่ายไปมาอย่างน่ากลัว ความทรงจำสุดท้ายก่อนจะมาฟื้นในปี1980คือรถบัสที่ส่ายไปมาและพุ่งตกเขา เธอตื่นตระหนกด้วยคิดว่าตัวเองกลับไปสู่เหตุการณ์ในปี2023 แต่มือที่กุมมือแน่นอยู่นั้นทำให้เธอรู้ว่าตอนนี้เธออยู่ในปี1980กับผู้ชายที่ชื่อกั๋วคังเหริน“เกิดอะไรขึ้นคะ”“เชื่อใจผม” เขาโอบเธอไว้ในอ้อมกอดกดศีรษะเธอให้ซุกกับแผ่นอกของเขา“เว่ยฉือ”“พวกมันมากันหลายคน ผมจะพยายามสลัดพวกมันให้หลุด อ๊ะ!”รถยนต์คันนั้นพุ่งเข้าชนจากท้ายรถอีกครั้งแต่ครั้งนี้มันดันให้ไปด้านหน้า เว่ยซือจะหักพวกมาลัยหลบแต่รถยนต์อีกคันมาขนาบข้าง ดวงตาดำจ้องมองผ่านหน้าต่างรถ กั๋วคังเหรินเห็นปากกระบอกปืนส่องมาตรงมาทางเขาก็รีบกดร่างหลินเหยาซื่อให้หมอบลงไป เว่ยซือเห็นท่าไม่ดีเหยียดคันเร่งหนีให้พ้นวิถีปืน ทว่ารถยนต์เสียหลักออกนอกเส้นทางพุ่งตกลงไปในแม่น้ำ!รวดเร็วจนหลินเหยาซื่อไม่ทันกรีดร้อง เธอรู้สึกว่าร่างกระเด็นกระดอนในรถยนต์ แต่ก็มีกั๋วคังเหรินกอดไว้แน่น เธอหูอื้อไม่ยินเสียงใดทั้งนั้น ราวกับเคยเกิดเรื่องนี้มาก่อน ใช่ ...มันเคยเกิดขึ้นในรถบัสที่เธอนั่งเดินไปเป็น