“ไปดูแปลงผักหลังบ้านกันค่ะ”
เด็กสองคนพยักหน้ารับด้วยท่าทางดีอกดีใจเพราะอยากชวนคุณแม่ไปเล่นกัน หลินเหยาซื่อหยิบผ้ากันเปื้อนลายเดียวกันแล้วสวมให้ลูก จางลี่จางหย่งช่วยกันผูกปมเชือกที่ด้านหลัง เธอสอนเด็กๆ ให้ช่วยเหลือกัน เธอเองสวมผ้ากันเปื้อนตอนทำงานอยู่แล้วเพราะเกรงว่าเวลาลงสีที่ภาพจะเลอะเสื้อผ้า เมื่อชุดพร้อมเด็กทั้งสองก็จูงมือแม่ไปที่แปลงผักหลังบ้าน หลายวันก่อนเพิ่งเอาชิงช้ามาตั้งไว้ วันนี้คนสวนกำลังลงเถาองุ่น เธอไม่รู้ขั้นตอนการปลูกองุ่น เคยเห็นแต่ผลในซุปเปอร์มาเก็ต แต่ยังไงก็ช่างเถอะ ตอนนี้แปลงผักของเธอกลายเป็นสวนหย่อมน่ารักไปแล้ว
“คุณผู้หญิง” ลุงจวงผู้ดูสวนทักด้วยท่าทีนอบน้อม
“เหนื่อยหน่อยนะคะ”
หลินเหยาซื่อยิ้มรับเดินตามมือน้อยๆ ที่จูงไปที่แปลกผัก ผักกาดหอมสีเขียวสดพร้อมถูกกลายเป็นสลัดจานโปรด เธอนั่งลงพร้อมเด็กๆ ที่ชี้ชวนให้ดูผักในแปลงผักเล็กๆ ตรงหน้า
“ความจริง พวกเราไม่ควรทิ้งคุณผู้หญิงไปเลย” ลุงจวงพูดอย่างรู้สึกผิด “นายท่านดูแลพวกเราและครอบครัวอย่างดีมาตลอด พอมีปัญหาพวกเราก็พากันทิ้งคุณผู้หญิงไปกันหมด”
“เรื่องมันผ่านมาแล้วอย่าคิดมากเลยค่ะ” เธอตอบด้วยรอยยิ้มมองมือน้อยๆ จิ้มๆ ไปที่ดินชื้นๆ
“คุณผู้หญิงรักคุณผู้ชายมากจริงๆ หากเป็นคนอื่นจะทนรับข่าวแย่ๆ พวกนั้นได้อย่างไรกัน”
“ข่าวแย่ๆ?” หลินเหยาซื่อเงยหน้าขึ้น
“ข่าวที่คุณผู้ชายมีบ้านเล็กบ้านน้อย...”
“บ้านน้อยบ้านเล็กคืออะไรคะ” จางลี่ถามทันทีตามประสาเด็กช่างสงสัย
“บ้านเล็กบ้านน้อยต่างหากล่ะ” จางหย่งพูดแก้
หลินเหยาซื่อกระแอมไอเบาๆ ทำให้ลุงจวงก้มหน้างุดนึกอยากตบปากตัวเองแต่คงไม่ทันแล้ว “ลุงจวงหมายถึงบ้านหลังเล็กๆค่ะ”
เอาเถอะ วัยขนาดนี้อย่าเพิ่งเข้าใจอะไรเลย เธอเป็นผู้ใหญ่ยังไม่พร้อมจะรับฟังเลย
“ลุงไปดูต้นไม้ทางโน้นก่อนนะครับ” ลุงจวงรีบถอยออกไปทันที “คุณผู้ชายบอกว่าปลูกต้นเก๊กฮวยริมรั้ว ลุงขอไปเตรียมดินก่อนนะครับ”
เด็กๆ ได้แต่เอียงคอมอง แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มของแม่แล้วก็ไม่ถามอะไร แม้ใบหน้าเปื้อนยิ้มแต่ในใจยังมีเคลือบแคลงสงสัย เธอรู้ว่าคนอื่นๆ ก็อยากรู้เช่นกัน แต่เจ้านายไม่พูด ก็ไม่มีใครกล้าปริปากพูด เธอเองยังยอมรับเลยว่า ยังไม่ได้เตรียมใจไว้รอฟังคำตอบในคำถามที่อยากรู้ หากเขาพูดออกมาแล้ว เธอจะเชื่อคำพูดเขาเต็มร้อยหรือไม่? ซึ่งแน่นอนว่าเธอยังไม่เชื่อใจเขา นั้นจึงเป็นเหตุผลที่เธอไม่เคยถามเขา
ในเมื่อใจของเธอยังไม่พร้อม...แล้วเธอจะถามไปทำไม
แต่ถึงอย่างไร เธอต้องเตรียมใจรับมือ หากวันหนึ่ง... เขาไม่ได้ดีอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้
อยากจะเชื่อใจใครสักคนแต่เชื่อได้ไม่สุดใจนี้มันก็หงุดหงิดไม่น้อยเหมือนกันนะ
หลินเหยาซื่อสะบัดหน้าไปมาไล่ความคิดฟุ้งซ่านในหัว เด็กสองคนเห็นแล้วก็สะบัดหน้าไปมาเลียนแบบมารดา หญิงสาวหัวเราะเสียงใส แล้วสอนจางหย่งจางลี่ให้เรียกชื่อผักในแปลกเล็กๆ
“ผัก-กาด-หอม”
“ผัก-กวาง-ตุ้ง”
“มะ-เขือ-เทศ”
เด็กทั้งสองต่างส่งเสียงพูดกันเสียงดัง หลินเหยาซื่ออดยิ้มไม่ได้ แล้วก็นึกขึ้นมาได้
“เราปลูกผักกันเยอะๆ ปีหน้าเทศกาลชิวฉิก เราก็ได้กินผักที่ตัวเองปลูกดีไหมคะ”
“เทด-สะ-กาน-ชิว-ฉิก” เด็กแฝดออกเสียงแล้วก็เอียงคอไปมาอย่างไม่เข้าใจ
“วันที่เจ็ดของเทศกาลตรุษจีนเป็นวันกินผักเจ็ดอย่าง หัวไชเท้า, ตั่วฉ่าย, ผักคะน้า, ผักขึ้นฉ่าย ,
ผักโขม, เก๋าฮะฉ่าย ,และต้นกระเทียม”
พูดถึงผักเด็กก็ทำหน้าแหย หลินเหยาซื่อยิ้มกว้างแล้วพูดต่อ “ใครกันนะ เป็นเด็กดี เด็กดีต้องกินผัก”
“หย่งหย่งเป็นเด็กดี ชอบกินผัก” จางหย่งรีบพูดก่อน เพราะตัวเขาชอบกินผัก แต่จางลี่ชอบขโมยกินเนื้อในจานข้าวของเขาทุกที
“ลี่ลี่ก็...ชอบ...กินผักค่ะ” แม้จะพูดไม่เต็มเสียง แต่ก็กลัวน้อยหน้าน้องชายฝาแฝดจึงต้องแย่งพูดขึ้นมา
สามคนแม่ลูกหัวเราะสนุกสนานจึงไม่ทันสังเกตว่ามีใครเดินเข้ามาใกล้ๆ กั๋วคังเหรินยืนมองด้วยแววตาเหม่อลอย เขาพลาดช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดไป ไม่ได้เห็นลูกตั้งแต่อยู่ในท้อง ไม่อยู่ข้างๆ ตอนที่เธอคลอด และช่วงเวลาที่ทั้งสองเติบโต แต่หลินเหยาซื่อก็ยังให้เด็กทั้งสองรู้จักเขาในฐานะ ‘พ่อ’ เพียงครั้งแรกที่เด็กน้อยเรียกเขาว่า ‘พ่อ’ หัวใจของเขาก็สั่นไหวรุนแรง
“คุณพ่อ!”
เสียงจางหย่งจางลี่พูดขึ้นพร้อมกัน ทำให้หลินเหยาซื่อเงยหน้าขึ้นมอง เขายืนนิ่งเหมือนรูปปั้นสีหน้าปวดใจครู่หนึ่งก่อนยิ้มออกมา เด็กๆ ทำท่าจะโผเข้ากอดเช่นทุกวัน แต่หลินเหยาซื่อดึงคอเสื้อของทั้งสองไว้ทัน
“ไม่ได้ค่ะ”
ลูกลิงหันกลับมามองแม่พร้อมกันด้วยแววตาสงสัย
“ลูกมือเปื้อน ประเดี๋ยวทำเสื้อผ้าคุณพ่อเลอะ” หลินเหยาซื่ออธิบาย “เช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนก่อนค่ะ”
“ค่ะ/ครับ” เด็กทั้งสองทำตามที่มารดาสอน
“ไม่เป็นไรหรอก” กั๋วคังเหรินอยากให้ลูกกอดใจแทบขาด เขาเดินเข้าไปหาแล้วค่อยๆ นั่งลงบนส้นเท้า
“ไม่ได้ค่ะ เสื้อผ้าเลอะจะซักยาก” เธอทำปากยื่นใส่ “ถ้าไม่ล้างมือก็ต้องเช็ดมือก่อน”
“คุณเข้มงวดไปไหม?” เขาพูดพลางส่ายหน้าไปมา เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง แค่เลอะดินนิดๆหน่อยๆจะเป็นไรไป
“คุณพ่ออย่าดื้อกับคุณแม่สิค่ะ” เธอฉีกยิ้มแววตาเจ้าเล่ห์ และลูกสองคนก็ยืนอยู่ฝั่งเธอด้วยการพูดซ้ำประโยคเดียวกัน
“คุณพ่อย่าดื้อกับคุณแม่สิค่ะ/ครับ”
กั๋วคังเหรินอ้าปากค้างไม่คิดว่าจะถูกแม่และลูกแฝดรุมแบบนี้ แต่เขากลับชอบใจและหัวเราะในลำคอ
“ครับๆ เข้าใจแล้ว พ่อจะไม่ดื้อกับแม่ครับ”
“ดีค่ะ” หลินเหยาซื่อแอบแลบลิ้นทะเล้นใส่เขา “งานที่บริษัทเป็นไงบ้างคะ”
“ไม่มีอะไรให้เป็นห่วง” เขาทำให้เธอลำบากมาเกือบสี่ปี ต้องจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยที่สุด “อ้อ! ผมทำบัตรเครดิตกับบัตรATM ไว้ให้คุณแล้วนะ ส่วนเงินสดจะเข้าบัญชีทุกเดือน ค่าใช้จ่ายในบ้านเดือนละสองแสนหยวน”
หลินเหยาซื่อคิดว่าตัวเองฟังผิดไป “อะไรนะคะ สองหมื่นหรือสองแสน”
“สองแสน...ไม่พอเหรอ ต้องใช้เท่าไหร่ผมจะเพิ่มให้” “ไม่ใช่ๆ ฉันแค่...” “ที่ผ่านมาทำให้คุณกับลูกต้องลำบาก ผมขอโทษจริงๆ” “ช่างเถอะค่ะ อย่าพูดเรื่องนี้ต่อหน้าลูกเลย” เธอรีบเปลี่ยนเรื่อง “แล้วงานคุณเป็นไงบ้าง ให้ผมช่วยอะไรไหม” เธอส่ายหน้าไปมา แล้วก็นึกขึ้นได้ “ได้ช่วยแน่ค่ะ เสื้อสูทที่สั่งตัดไว้ใกล้เสร็จแล้ว คุณต้องเป็นไม้แขวนเสื้อให้ฉัน” “ไม้-แขวน-เสื้อ” เด็กๆพูดตามที่ได้ยิน “ทำไมคุณพ่อต้องเป็นไม้แขวนเสื้อด้วยคะ” จางลี่ขี้สงสัยอดถามไม่ได้ “ก็คุณพ่อหล่อไงค่ะ” “คุณพ่อหล่อจริงๆด้วย” จางหย่งพยักหน้าหงึกหงัก“จางหย่งหล่อเหมือนพ่อ” หลินเหยาซื่อพูดแบบไม่คิดอะไร แต่พอเห็นรอยยิ้มกว้างได้ใจของเขาแล้วก็นึกโกรธตัวเองที่ไม่คิดก่อนพูด ตอนนี้เธอได้แต่กลอกตามองบนไม่อยากเห็นหน้าคนหลงตัวเอง “ไปล้างมือกันค่ะ” เธอบอกกับเด็กๆ “คุณๆ ช่วยเปิดก๊อกน้ำให้หน่อย” กั๋วคังเหรินเดินไปเปิดก๊อกน้ำ หลินเหยาซื่อจับสายยางให้เด็กๆ ล้างมือให้สะอาด แอบออกมาพักผ่อนใจแล้วก็ต้องกลั
“สามีจะมารับค่ะ” หลินเหยาซื่อยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา “อีกสักพักเขาคงมาถึง ฉันไปรอด้านล่างดีกว่าค่ะ”“ถ้าอย่างนั้นเราลงไปพร้อมกันก็ได้ค่ะ” หวังเข่อซิงยิ้มและยืนรอหลินเหยาซื่อเก็บของใส่กระเป๋าแล้วจึงเดินออกมาพร้อมกัน“น้องเหยาซื่อทำงานนอกบ้านเป็นครั้งแรกสินะคะ” หวังเข่อซิงชวนคุยขณะกำลังเดินไปที่ลิฟต์“ค่ะ” เธอยิ้มตอบ ‘ถ้าไม่นับรวมก่อนที่เธอจะมาอยู่ในร่างนี้นะ’ “ขอบคุณมาดามที่ให้โอกาสฉันด้วยค่ะ”“ฉันก็ให้ได้แค่โอกาสแต่ความสามารถก็ต้องมีด้วย” มาดามหวังพูดไปตามตรง “จริงสิ เมื่อครู่ฝ่ายตัดเย็บโทรบอกว่าชุดสูทชุดนั้นตัดเย็บเรียบร้อยแล้ว เราลงไปดูด้วยกันไหม ฉันก็อยากเห็นของจริงว่าเป็นยังไง”“เสร็จแล้วหรือคะ ดีจริง” ประตูลิฟต์เปิดออก ทั้งสองก้าวเข้าไปในลิฟต์ มาดามหวังไม่ถือตัวแม้เป็นรองประธานบริษัทก็กดลิฟต์ด้วยตนเอง หลินเหยาซื่อรู้สึกว่าตัวเองโชคดีจริงๆ ที่ได้ทำงานกับผู้หญิงคนนี้ หวังเข่อซิงพาหลินเหยาซื่อมาที่แผนกตัดเย็บเสื้อผ้าตัวอย่าง ซึ่งหลายครั้งก็ตัดเย็บเสื้อผ้าสำหรับลูกค้า VIP ด้วย เมื่อรองประธานบริษัทก้าวเท้าเข้าไป ทุกคนก็หันมามองแต่ยังไม่ทันลุกขึ้น มาดาวหวังก็ยกมือห้ามไว้ก่อน“ไม่เป
หวังเข่อซิงแอบถอนหายใจเบาๆ ขนาดเธอเองยังไม่กล้าเอ่ยปากถามเรื่องสามีคนอื่นแบบนี้ ดูท่าทางเดซี่ จาง คนนี้ก็คงไม่ธรรมดา แต่...ข่าวลือที่ว่าประธานกั๋วมีเลี้ยงผู้หญิงอื่นไว้นอกบ้านก่อนที่จะหายตัวไปก็มี แต่ก็นั้นแหละ ไม่ว่าจะจนหรือรวย หรืออยู่ระดับไหน ก็ถูกคนหยิบเอาไปนินทาได้ทั้งนั้นหลิวเหยาซื่อลงลิฟต์มาถึงชั้นล่าง เธอเดินผ่านเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ สองสาวที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ไม่ได้สนใจเธอสักนิด แต่สายตาไปหยุดอยู่ที่ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ที่โซฟารับรองแขกตรงทางเข้า เธอเดินเข้าไปใกล้แล้วหยุดยืนมองคนที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ธุรกิจราวกับตัดขาดตัวเองกับโลกภายนอก ครู่หนึ่งเธอจึงกระแอมไอออกมา ทำให้กั๋วคังเหรินเงยหน้าขึ้นและเมื่อเห็นว่าเป็นคนที่ตนรออยู่จึงพับหนังสือพิมพ์แล้วลุกขึ้นยืน“ฉันว่า...ฉันรับข้อเสนอให้คุณหาคนขับให้ฉันดีกว่า”“ทำไมล่ะ?” กั๋วคังเหรินเลิกคิ้วแล้วยื่นมือไปช่วยถือข้าวของที่เธอหอบไว้ในวงแขน“ระดับประธานกั๋วต้องมาขับรถให้เอง ดูไม่เหมาะนะคะ ดูสิมีแต่สาวๆจ้องตาเป็นมันเชียว!” ได้ยินแบบนี้แล้ว กั๋วคังเหรินกลับอารมณ์ดี การงานที่เคร่งเครียดมาทั้งวันหายไปปลิดทิ้ง“ไม่ใช่เพราะว่า...ผมเกะ
“แต่...คุณอาจเสียเวลาเปล่า”“ผมเสียช่วงเวลาที่มีค่าที่สุดไปแล้ว” น้ำเสียงเจือความเจ็บปวด“ก่อนหน้านี้คุณเย็นชากับฉัน” พูดไปแล้วก็รู้สึกถึงความน้อยใจ ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นจากเจ้าของร่างนี้หรือเพราะเธออ่านสมุดบันทึกของหลินเหยาซื่อ“เหยาซื่อ..”‘คุณคือคนที่ผมจะรักไม่ได้’ เขาเอียงใบหน้าเล็กน้อยเพื่อได้สบตากับดวงตาคู่สวย ไม่อาจพูดทุกสิ่งที่อยู่ในใจได้หมด“อยู่ในสกุลกั๋ว ผมคือลูกเมียรองของคุณพ่อ แต่อยู่นอกบ้าน ผมคือลูกนอกสมรส ชีวิตผมเจอสายตาดูแคลนมาตลอดรวมทั้งคนในครอบครัว ผมจะไม่ให้ลูกของผมต้องเจอเรื่องแบบเดียวกับผม ถ้าคุณไม่เชื่อใจ ผมทำหมันก็ได้นะ”“ทำหมันเหรอ” เธอทำตาโตไม่คิดว่าเขาจะพูดเรื่องนี้“คุณจะได้มั่นใจว่าผมจะไม่มีลูกกับใครแน่นอน”“เรื่องนั้น...” เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง “ไม่ต้องหรอกค่ะ ถ้าคนจะนอกใจ ทำหมันก็นอกใจได้อยู่ดี”ได้ยินแบบนี้แล้ว กั๋วคังเหรินยิ้มออกมาแล้วกอดเธอแน่นขึ้นอีกนิด“แสดงว่าตอนนี้ผมอยู่ในใจของคุณแล้วใช่ไหม”“ฉันไม่ได้...” ไม่ได้อะไรล่ะ? ไม่ได้คิดเรื่องนั้น หรือไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวจู่ๆ หลินเหยาซื่อก็นึกคำพูดไม่ออก“ขออนุญาตนะครับ”“คะ?”มือใหญ่ประคองท้ายทอยเธอไว้ก่
“วันนี้คุณพ่อยืมตัวคุณแม่ไปเที่ยวหน่อยนะครับ” กั๋วคังเหรินค้อมเอวลงพูดกับลูกฝาแฝด “อยู่บ้านกับป้าฮุ่ยชิว ต้องเป็นเด็กดีนะครับ” “ลี่ลี่เป็นเด็กดี” “หย่งหย่งก็เป็นเด็กดีครับ” “คราวหน้าคุณพ่อพาพวกเราไปเที่ยวด้วยนะคะ” จางลี่รีบพูดขึ้น “ใช่ๆ คุณพ่อต้องพาเราไปเที่ยวด้วย” “ได้ๆ คราวหน้าเราไปเที่ยวพร้อมกันทั้งหมดนี้เลยนะ” “สัญญานะครับ/ค่ะ” เด็กๆ ยื่นนิ้วก้อยออกมา กั๋วคังเหรินยื่นนิ้วก้อยเกี่ยวกับนิ้วน้อยๆ “พ่อสัญญาครับ” ป้าฮุ่ยชิวกับคนรับใช้ที่เข้ามาช่วยคุณผู้หญิงแต่งตัวถึงกับน้ำตาซึม ดีจริงๆ ที่คุณผู้ชายกลับมาและยอมรับเรื่องลูกอย่างไม่ติดใจอะไร ก่อนหน้านี้หลินเหยาซื่อต้องลำบากมากทั้งอุ้มท้องและคอยสืบข่าวตามหาสามี โดนโกงเงินอีก เจ็บป่วยปางตายกว่าจะรอดชีวิตมาได้ นางได้แต่ภาวนาให้ครอบครัวนี้พ้นเคราะห์กรรมแล้วพบเจอแต่ความสุข หลินเหยาซื่อใส่ต่างหูและสร้อยข้อมือเรียบร้อยแล้ว ป้าฮุ่ยชิวนึกได้รีบเตือนคุณผู้หญิงทันที “คุณผู้หญิงคะ สวมแหวนแต่งงานด้วยค่ะ”
กั๋วซีฮั่นแย้มยิ้มแต่แววตาเย้ยเยาะน้องชายต่างมารดา ซึ่งไม่เคยนับเป็นน้องชายเลยสักนิด ตอนนี้เขาคือหัวหน้าสกุลกั๋วแต่แทบไม่มีอำนาจอะไรเลย ตั้งแต่บิดาตายจากเงินทองก็ร่อยหรอ กิจการก็ล้มพังไม่เป็นท่าเหลือเพียงหน้าฉากที่กินเงินปันผลเพียงเล็กน้อยซึ่งมันก็ไม่พอให้แม่และน้องสาวสองคนถลุงเล่น เป็นเพราะหลินซือซงเป็นเพื่อนสนิทกับบิดาของเขา ทำให้เขากับกั๋วคังเหรินเข้ามาทำงานในบริษัทหลินกรุ๊ฟ แต่แผนการของเขาพังพินาศเพราะไอ้เจ้าน้องชายนอกสมรสคนนี้ “ประธานกั๋วกลับมาแล้วจริงๆ” หลายคนเข้ามาทักทายและต้องการย้ำกับตัวเองว่ากั๋วคังเหรินกลับมานั่งตำแหน่งประธานหลินกรุ๊ฟแล้วจริงๆ ความน่าเชื่อถือและความมั่นใจของนักลงทุนเป็นเรื่องสำคัญ และยิ่งวันนี้กั๋วคังเหรินมาพร้อมภรรยาสาวทำให้สยบข่าวลือเรื่องนอกใจไปได้มาก “ไม่นึกว่าจะได้เห็นประธานกั๋วควรภรรยาออกงานเลี้ยง”เพราะฝึกซ้อมมาอย่างดี หลินเหยาซื่อไม่ได้แสดงอาการประหม่าออกมา เธอยิ้มและพูดคุยกับคนอื่นอย่างเป็นธรรมชาติ ทุกคนชื่นชมชุดที่เธอใส่ทำให้มาดามหวังแอบโฆษณาผลงานของเธอไปด้วย กั๋วคังเหรินพูดคุยทักทาย
“คังเหริน...คุณมีเงินไหม?” “หือ? คุณจะเอาเท่าไหร่ครับ” ‘ฟังดูรวยจัง’ “ก็คุณเดซี่ร้องเพลงเพื่อรับเงินบริจาคนี่ค่ะ คุณก็ช่วยบริจาคหน่อยสิ เพื่อการกุศลนะคะ” ก็งานครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อระดมทุนสร้างโรงพยาบาลในพื้นที่ทุรกันดาร ไม่ใช่เหรอ เธอจำได้อยู่นะ “อ้อ...ได้สิ คุณจะบริจาคเท่าไหร่ล่ะ” หลินเหยาซื่อนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนยกหนึ่งนิ้วขึ้นมา กั๋วคังเหรินพยักหน้ารับ เขายกมือขึ้นส่งสัญญาณ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างนอบน้อม กั๋วคังเหรินหยิบสมุดเช็กในกระเป๋าเสื้อสูทแล้วตวัดมือเขียนไม่กี่นาทีก็ยื่นกระดาษแผ่นนั้นให้เจ้าหน้าที่ไป พิธีกรบนเวทีอ่านโน้ตสั้นๆแล้วประกาศบนเวที “กลุ่มบริษัทหลินกรุ๊ฟบริจาคเงินหนึ่งแสนหยวนค่ะ” เสียงปรบมือดังขึ้น กั๋วคังเหรินค้อมศีรษะลงเล็กน้อย แต่เมื่อหันไปมองคนข้างๆ ก็เห็นดวงตากลมจ้องมองเขาอยู่ “น้อยไปหรือ?” เขาก้มหน้าถาม ใบหน้าอยู่ใกล้มากจนได้กลิ่นหอมของดอกไม้จางๆ กลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอ “ปะ...เปล่าค่ะ ฉันนึกว่าคุณจะบริจาคหนึ่งหมื่นหยว
เขายื่นหน้าไปใกล้จ้องมองดวงตาหวานฉ่ำคู่นั้นก่อนหลุบตามองริมฝีปากอิ่มสวยแล้วพูดออกไป “ขออนุญาตนะครับ” “คะ?” แม้จะมึนเมาอยู่แต่ก็รับรู้ได้ว่าเรียวลิ้นเข้ามาในโพรงปาก สร้างความวาบหวามและร้อนแรงจนหัวใจเต้นแรง เธออยากขยับตัวหนีแต่มือข้างหนึ่งประคองท้ายทอยไว้ทำให้เธอต้องจ่ายค่าจ้างให้ไม้แขวนเสื้ออย่างเขา อาจเพราะดื่มแชมเปญไปมาก เธอถึงรู้สึก ‘กระหาย’ สัมผัสจากเขา ยิ่งวันนี้เห็นสายตาหญิงสาวหลายคนจ้องมองที่ผู้ชายคนนี้ เธอรู้สึก ‘หึงหวง’ ขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ กั๋วคังเหรินเลิกคิ้วเล็กน้อย เป็นครั้งแรกที่เธอจูบเขาตอบ แม้จะเงอะงะไปหน่อยแต่ก็เรียนรู้ได้เร็ว คราวนี้เธอไม่ได้ทุบอกเขาเพื่อบอกให้หยุดอีก แต่ปลายนิ้วแตะที่แผ่นอกของเขา เป็นเขาที่ต้องหยุดตัวเองเพื่อสบตากับดวงตางดงาม “มากกว่าจูบได้ไหม” “ฉัน...เอ่อ...” เขายื่นหน้าไปประทับริมฝีปากที่หน้าผากเธอแผ่วเบา ก่อนค่อยๆพรมจูบทั่วใบหน้า จูบอ่อนหวานแตกต่างจากท่าทีเผด็จการ เธอได้ยินคนพูดถึงเขาในทางร้าย ตัดสินใจเด็ดขาด ยอมหักไม่ยอมงอ เป็นคนไร้หัวใจ แต่เมื่อเ
จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกอบอุ่นผูกพันในแววตาคู่นั้น หลินเหยาซื่อไม่แน่ใจว่า ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้คืออะไร ทำไมเธอรู้สึกว่าเขาคือคนที่เคยกุมมือไว้ก่อนที่จะสิ้นใจดวงตาหลังแว่นสายตาตื่นตกใจที่เห็นดวงตาคู่สวยมีหยดน้ำตา “คุณเจ็บตรงไหนหรือเปล่า มีอะไรผิดปกติไหม”หญิงสาวใส่หน้าไปมา “ขอโทษค่ะ ฉันไม่รู้ทำไมตัวเองถึงมีน้ำตา”เธอพยายามหัวเราะเช่นทุกครั้ง เวลามีอะไรเธอมักจะหัวเราะเสมอ กระทั่งครั้งนี้เธอก็หัวเราะทั้งที่มีน้ำตา ชายหนุ่มยื่นมือไปเช็ดน้ำตาที่เปื้อนแก้ม“สัญญากันแล้วนี่นา ว่าจะไม่หลับไปนานแบบนี้อีก”คราวนี้หญิงสาวตกใจกับคำพูดของเขา“เมื่อกี้คุณหมอพูดว่าอะไรนะคะ”‘คุณหมอ’ ชายหนุ่มยิ้มเศร้า เธอคงจำเขาไม่ได้สินะ ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วขยับตัวรักษาระยะห่างระหว่างหมอกับคนป่วย ทั้งที่เขาอยากคว้าเธอมากอดแนบอกเหลือเกิน‘จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แค่เขาจำเธอได้ก็พอ’ชายหนุ่มมองดวงตากลมโตที่ยังมีแววสงสัย เรื่องแบบนี้เล่าไปจะมีใครเชื่อ ตัวเขาเองยังไม่อยากจะเชื่อเลยหลังจากภรรยาตายจากได้ห้าปี เช้าวันหนึ่งเขาก็ตื่นขึ้นมาในร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้าของร่างนี้ป่ว
หญิงสาวถอนหายใจเบาๆ มองตัวเองในกระจก ยกมือขึ้นเปิดเส้นผมที่ปรกหน้าเห็นรอยแผลจากการถูกกระแทกต้องเย็บยี่สิบเข็ม คุณหมอแจ้งว่าถ้าเธอต้องการทำศัลยกรรมเพื่อลบรอยแผลเป็นก็ทำได้ เธอจำได้ว่าตอนนั้นเธอหัวเราะและตอบไปว่า“ไม่เป็นไรค่ะ แผลเป็นนิดเดียว”แต่จริงๆเธอเสียเงินหลายหมื่นหยวน ในปีค.ศ. 2023 นี้ เธอคือผู้หญิงที่หน้าตาธรรมดา เหลือเงินติดบัญชีอยู่ไม่เท่าไหร่ โชคยังดีที่บริษัทภาพยนตร์ที่เธอรับงานเป็นตัวประกอบเห็นใจให้เงินค่าทำขวัญมาจำนวนหนึ่ง ส่วนค่ารักษาพยาบาลนั้นมาจากประกันอุบัติเหตุ เธอจึงไม่ต้องเป็นหนี้สินล้มละลายเพราะการรักษาตัวเอง แต่ข่าวที่เธอช่วยชีวิตคนอื่นก็ทำให้เธอกลายเป็นที่สนใจ ตอนนี้แม้เธอเป็นแค่ตัวประกอบ แต่ก็มีหลายบริษัทอยากให้เธอไปร่วมเล่นซีรีย์บทเล็กๆ ถึงอย่างไรหน้าตาเธอก็ไม่ได้สะสวยพอจะเป็นถึงนางเอกได้ และยิ่งตอนนี้มีแผลเป็นที่หน้าผากอีก ต่อให้ใช้ make up ปิดบังยังไง ก็ยังเห็นอยู่ดี แผลเป็นไม่ได้น่าเกลียดเท่าไหร่ เห็นแล้วก็อดคิดถึงแผลเป็นของผู้ชายคนนึงไม่ได้ แผลเป็นของเขาใหญ่กว่าเธอมาก ผ่านมาหลายปี แผลเป็นนั้นก็เป็นรอยจางๆหลินเหยาซื่อต้องทำกายภาพบำบัดที่โรงพยา
“ผู้ชายหรือผู้หญิงก็ได้ พ่อก็รักไม่น้อย ปกว่ากัน แล้วพวกลูกล่ะ จะรักน้อง ไม่ว่าน้องจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายหรือเปล่า”“แน่นอนครับค่ะ พวกเรารักน้อง อยากให้น้องออกมาเร็วๆ จะช่วยคุณแม่เลี้ยงน้องและเล่นกับน้อง” คนเป็นแม่หัวเราะเสียงใส จะช่วยแม่เลี้ยงน้องหรืออยากเล่นกับน้องก็ไม่รู้เสียงหัวเราะของคนในครอบครัว ละลายความหม่นเศร้าที่เคยปกคลุมในบ้านหายไปหมดสิ้น ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือไปตรงหน้า“เข้าบ้านเถอะเย็นแล้ว อากาศเย็น เดี๋ยวคุณจะไม่สบายเอา”หญิงสาวมองมือใหญ่แข็งแกร่งที่ยื่นมาตรงหน้า เธอรู้ว่ามือคู่นี้จะคอยประคองเธอไว้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เช่นเดียวกับเธอที่สัญญาไว้กับเขาว่าจะจับมือเขาไว้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบางที...นี่อาจเป็นเหตุผลที่โชคชะตาส่งเธอมาในปีนี้ 1980 เพื่อได้รับใครสักคน และเพื่อให้หัวใจได้ถูกรัก.จบ.ลืมตาอีกครั้งหญิงสาวลืมตาขึ้นแล้วพบว่า ตัวเองอยู่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ต้องตั้งสติอยู่นานกว่าจะรู้ว่า ตัวเองตื่นมาในปีค.ศ. 2023 เธอคือผู้รอดตายอย่างปาฏิหาริย์ในอุบัติเหตุรถบัสตกเขาลงแม่น้ำหลินเหยาซื่อจำได้ว่าตอนที่ฟื้นขึ้นมา เธอสบตากับดวงตาคู่หนึ่งแม้เขาจะสวมหน้ากากอนา
คราวนี้เห็นทีจะจบเรื่องแล้วจริงๆ หลินเหยาซื่อถอนหายใจอย่างหอบเหนื่อย เธอถึงกับหมดแรงนั่งลงไปกับพื้น สามีเห็นแล้วก็รีบเข้าไปประคองอุ้มเธอขึ้นมาไว้บนเตียง เขาสั่งการกับเว่ยฉือให้จัดการเรื่องทั้งหมดแทนเขา เมื่อในห้องไม่มีคนนอกแล้ว ลูกทั้งสองคนก็ได้รับอนุญาตให้เข้ามาหาแม่ได้“คุณแม่เกิดอะไรขึ้นครับ/ค่ะ”เด็กน้อยสองคน ปีนขึ้นเตียงรีบเข้ามากอดแม่ เด็กฝาแฝดคนแย่งกันพูดเสียงดัง บรรยากาศกลับสดใสอีกครั้ง หลินเหยาซื่อส่ายหน้าไปมา บทเรียนต่อไปเธอต้องสอนให้ลูกพูดเสียงให้เบาลงกว่านี้ แต่เอาเถอะ เวลานี้เสียงของลูก ไพเราะที่สุดแล้ว“ขอแม่หอมแก้มเพิ่มพลังหน่อยสิ” หญิงสาวพูดขึ้น เด็กน้อยสองคนก็รุมหอมแก้มกันใหญ่สามีถอนหายใจแล้วค่อยยิ้มออกมา ทั้งที่เมื่อครู่เจอเรื่องอันตรายมากแต่เธอก็ยังยิ้มได้ คนที่บ้าที่สุดอาจจะเป็นภรรยาของเขาก็ได้ คิดแล้วเขาก็หัวเราะออกมาหลินเหยาซื่อเสียงสามีหัวเราะ ก็หันไปทำหน้ายู่ใส่“หัวเราะอะไรคะ”“หัวเราะอะไรคะ/ครับ” ลูกสองคนพูดเลียนแบบแม่“ไม่มีอะไรครับ”คนเป็นพ่อพูดแล้วโบกมือไปมา แต่หลินเหยาซื่อสบตากับลูกทั้งสองส่งสัญญาณ คนเป็นสามีรู้สึกไม่ค่อยน่าไว้ใจแสร้งถอยหลัง แต
ภาพที่เห็นตรงหน้า ทำให้ดาราสาวปวดใจแทบเป็นบ้า ยิ่งเห็นกั๋วคังเหรินโอบกอดหลินเหยาซื่ออย่างปกป้องและความห่วงใย ครั้งหนึ่งอ้อมกอดนั้นเคยเป็นของเธอมาก่อน ทำไมมันถึงมาจุดนี้ได้ ทำไมไม่ใช่เธอที่อยู่ในอ้อมกอดเขา ดาราสาวแหงนหน้าหัวเราะ ท่าทางไม่ต่างจากคนเสียสติ โลกไม่ยุติธรรมเสียเลย เธอมองหน้าชายที่เคยรักผ่านม่านน้ำตา“ทำไมคะ ทำไมคุณไม่รักฉัน ทำไมคุณต้องแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้น”ชายหนุ่มถอนหายใจหนักหน่วง เขาประคองร่างของภรรยาขึ้น มองเห็นหยดเลือดจากที่เธอกระชากสายน้ำเกลือออกก็ปวดใจ โชคดีที่ลูกสาวลูกชายไม่ได้อยู่ในห้องนี้ เขาไม่อยากให้ลูกๆ ต้องมาเห็นภาพแบบนี้“เรื่องของเรามันจบไปนานแล้ว คุณจะรื้อฟื้นทำไม คุณเองก็ไม่ได้มีผมเพียงคนเดียว ระหว่างที่เราคบกัน ก็ใช่ว่าผมจะไม่รู้ว่าคุณมีคนอื่น” เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า ได้ยินดังนี้ ดาราสาวถึงกับหน้าซีดไป เพราะเธอคิดเสมอว่าเขาไม่เคยรู้เรื่องราวด้านมืดของเธอเลยชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง“ให้มันจบแค่นี้เถอะ คุณมีชีวิตของคุณ ผมมีชีวิตของผม ผมมีภรรยาและลูกที่รักมากและผมต้องดูแลพวกเขา นอกจากหลินเหยาซื่อแล้ว ชีวิตนี้ผมไม่อาจรักใครได้อีกแล้ว เห็นแก่ควา
หลังจากมั่นใจว่า ในห้องไม่มีคนอื่นอยู่แล้ว หลินเหยาซื่อจึงลุกขึ้นจากเตียงนอน เธอรู้สึกรำคาญสายน้ำเกลืออยู่บ้าง แต่จะทำอย่างไรได้ก็สถานะตอนนี้เป็นคนป่วยนี้นะเธอไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้กับตัวเองอีกเมื่อไหร่ เธอจะหลับไปแบบนี้อีกไหม หลับไปยาวนานถึง 7 วัน ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเธอ แม้กระทั่งหมอ แต่ตัวเธอเอง ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่า ชีวิตที่ได้มาใหม่นี้ จะใช้ได้ยาวนานเพียงใด แต่ที่สุดแล้ว ก็ยังมีลมหายใจอยู่ โดยเฉพาะในชาตินี้ เธอรู้ดีว่า มีสิ่งที่สำคัญที่สุดรออยู่ นั่นก็คือ ลูกชายหญิงฝาแฝดของเธอ ที่แม้ซนเหมือนลิง แต่เธอก็รักพวกเขามากแม้ไม่มีความทรงจำที่อุ้มท้องพวกเขา แต่เธอก็รู้สึกว่าทั้งสองเป็นลูกของเธอจริงๆหญิงสาว มองไปที่โต๊ะตรงหัวเตียง มีกระเช้าผลไม้ตั้งอยู่ มีผลไม้หลากชนิด เธอเอื้อมมือไปหยิบแอปเปิ้ลสีสวย เห็นแล้วก็คิดถึงงานที่ทำค้างอยู่ Collection ใหม่ครั้งหน้า เธอน่าจะออกแบบลายผ้า เป็นรูปผลไม้เด็กๆชอบผลไม้สีสันสดใส น่าจะทำลายผ้าแล้ว ทำของอย่างอื่นด้วยก็ดีนะหลินเหยาซื่อคิดฝันไปไกลถึงกิจการของตัวเอง และเม็ดเงินที่จะเข้ากระเป๋า เมื่อมีเงินมาก เธอก็สามารถท
แม้จะไม่ได้อาบน้ำแต่ก็สบายตัวขึ้น หลินเหยาซื่ออารมณ์ดีขึ้น เธอเดินกลับมานั่งบนเตียง ผู้ชายตัวโตบังคับให้เธอลงนอน แต่เธอตีแขนเขาเบาๆ “นอนเยอะแล้วค่ะ ให้นั่งบ้างเถอะ” เธอกวาดตามองเขาแล้วดึงแขนให้เขามานั่งข้างๆ ยื่นมือไปแตะบริเวณที่จำได้ว่าเคยเห็นเลือดไหล “หลังก็มีแผลเป็น หน้าจะมีแผลเป็นอีกไหมนะ” “คุณกลัวเหรอ” เขาถามยิ้มๆ เขาเป็นผู้ชาย แผลเป็นไม่ได้สำคัญกับเลยสักนิด “เปล่าเสียหน่อย ฉันเป็นห่วงคุณต่างหาก คุณให้คุณหมอตรวจร่างกายหรือยังคะ ทุกอย่างโอเค.ไหม” “ผมบาดเจ็บเล็กน้อย คุณต่างหากที่หลับไป หมอก็หาสาเหตุไม่เจอ” “ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะคะ” “ผมต่างหากที่ทำให้คุณต้องบาดเจ็บ” “ก็บอกแล้วไงว่าตอนนี้ไม่ใช่เรื่องของคุณ-เรื่องของฉัน แต่เป็นเรื่องของเราแล้วค่ะ” นอกจากแม่แล้ว เขาก็ไม่เคยมีใครใกล้ชิดแบบนี้ แม้แต่ตอนที่คบกับเดซี่ แม้ภายนอกใกล้ชิดกันแต่ระยะห่างของหัวใจนั้นไกลมาก เสียงประตูห้องเปิดออก กั๋วคังเหรินคิดว่าลูกๆกลับมาแล้ว แต่เมื่อหันไปดูจึงพบว่าเป็นคนที่เขาไม่อยากเจอหน้
ทันทีที่ลืมตา ภาพที่เห็นคือเด็กน้อยสองคนที่หน้าตาคล้ายกันจนเหมือนพิมพ์เดียวกันนั่งจ้องหน้าด้วยแววตาวิตกกังวล ทำให้เธอยื่นมือไปตั้งใจจะคว้าเอาเด็กสองคนมากอด แต่มีสายน้ำเกลือติดที่แขนทำให้ชะงักไป หลินเหยาซื่อทำหน้างุนงงและสับสนว่าเธออยู่ในปีค.ศ.ไหนกันแน่ “คุณแม่ตื่นแล้ว!” จางลี่กับจางหย่งผสานเสียงขึ้นพร้อมกันเสียงดังจนหลินเหยาซื่อต้องหยีตาและทำให้กั๋วคังเหรินที่ยืนคุยกับคุณหมอรีบสาวเท้ามาข้างเตียงภรรยาสาว “เหยาซื่อ...ได้ยินผมไหม?” กั๋วคังเหรินถามเสียงสั่น เขาเองก็กลัวว่าเธอจะไม่ฟื้นขึ้นมา แต่ไม่อาจแสดงความอ่อนแอได้ เพราะลูกยังต้องการเขาอยู่ “เกิดอะไรขึ้น” เธอถามและพบว่าน้ำเสียงแหบแห้งเหลือเกิน “ฉันอยู่ที่ไหน” “โรงพยาบาล...” เขาเอ่ยชื่อออกไป “คุณหลับไปเจ็ดวันเลยทีเดียว” “เจ็ดวัน...” หลินเหยาซื่อยังมึนงงอยู่ แต่เมื่อยื่นมือไปแตะใบหน้าที่โน้มลงมาใกล้สัมผัสไออุ่นที่คุ้นเคยก็ทำให้มั่นใจว่าไม่ได้ฝันไป “ขอโทษที่หลับไปนานนะคะ” เธอหันไปมองลูกทั้งสองที่ทำตาแดงๆ มองเธอ “แม่หลับไปหลายวัน ดื้อกับคุณพ่อหรือเปล่า
หลินเหยาซื่อถูกแรงกระแทกทำให้ผวาตื่น เธอหันซ้ายแลขวาอย่างตื่นตระหนก รถยนต์ส่ายไปมาอย่างน่ากลัว ความทรงจำสุดท้ายก่อนจะมาฟื้นในปี1980คือรถบัสที่ส่ายไปมาและพุ่งตกเขา เธอตื่นตระหนกด้วยคิดว่าตัวเองกลับไปสู่เหตุการณ์ในปี2023 แต่มือที่กุมมือแน่นอยู่นั้นทำให้เธอรู้ว่าตอนนี้เธออยู่ในปี1980กับผู้ชายที่ชื่อกั๋วคังเหริน“เกิดอะไรขึ้นคะ”“เชื่อใจผม” เขาโอบเธอไว้ในอ้อมกอดกดศีรษะเธอให้ซุกกับแผ่นอกของเขา“เว่ยฉือ”“พวกมันมากันหลายคน ผมจะพยายามสลัดพวกมันให้หลุด อ๊ะ!”รถยนต์คันนั้นพุ่งเข้าชนจากท้ายรถอีกครั้งแต่ครั้งนี้มันดันให้ไปด้านหน้า เว่ยซือจะหักพวกมาลัยหลบแต่รถยนต์อีกคันมาขนาบข้าง ดวงตาดำจ้องมองผ่านหน้าต่างรถ กั๋วคังเหรินเห็นปากกระบอกปืนส่องมาตรงมาทางเขาก็รีบกดร่างหลินเหยาซื่อให้หมอบลงไป เว่ยซือเห็นท่าไม่ดีเหยียดคันเร่งหนีให้พ้นวิถีปืน ทว่ารถยนต์เสียหลักออกนอกเส้นทางพุ่งตกลงไปในแม่น้ำ!รวดเร็วจนหลินเหยาซื่อไม่ทันกรีดร้อง เธอรู้สึกว่าร่างกระเด็นกระดอนในรถยนต์ แต่ก็มีกั๋วคังเหรินกอดไว้แน่น เธอหูอื้อไม่ยินเสียงใดทั้งนั้น ราวกับเคยเกิดเรื่องนี้มาก่อน ใช่ ...มันเคยเกิดขึ้นในรถบัสที่เธอนั่งเดินไปเป็น