“ค่ะ/ครับ”
หญิงสาวลุกออกไป เธอเป็นห่วงอาการของป้าฮุ่ยชิว อยู่ด้วยกันมานาน นอกจากปวดเข่าหรือปวดเนื้อตัวตามประสาคนอายุมากแล้ว แทบไม่เคยเจ็บป่วยอะไร
“ป้าฮุ่ยชิวเป็นยังไงบ้างคะ”
ป้าฮุ่ยชิวที่นอนอยู่สะดุ้งเล็กน้อยแล้วไอแรงๆ สองสามครั้งก่อนโบกไม้โบกมือ “คุณนายอย่าเข้ามาเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวติดหวัดจากป้า”
หลินเหยาซื่อชะงักไป ได้แต่ยืนมองห่างๆ ด้วยความเป็นห่วง
“ป้ากินยาแล้ว นอนพักสักวันสองวันก็ดีขึ้นเจ้าค่ะ”
“ถ้ามีอะไรป้าเรียกได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ ยังไงเราก็เหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน”
“ลำบากคุณผู้หญิงต้องดูแลคุณหนูกับคุณชายแล้วเจ้าค่ะ”
“พูดอะไรแบบนั้น นั่นลูกฉันนะ” เธอหัวเราะ “ป้าพักผ่อนมากๆนะคะ ตอนเช้าไม่ต้องรีบลุกก็ได้ ฉันทำอาหารเช้าเองได้”
ป้าฮุ่ยชิวพยักหน้ารับแล้วหลับตาลง หลินเหยาซื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแล้วจึงเดินไปที่ห้องครัว อุ่นนมสองแก้วให้ลูก แต่นึกขึ้นได้ก็อุ่นนมเพิ่มให้ เอ่อ...สามีอีกแก้ว จัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็วางแก้วนมใส่ถาดเดินกลับขึ้นมาที่ห้องชั้นบน ห้องนอนกั๋วคังเหรินไม่ได้ปิดประตู เธอจึงเดินเข้าไปโดยง่าย
“ดื่มนมก่อนนอนนะคะ ถ้าดื่มไม่หมด แม่ไม่อ่านนิทานให้ฟังด้วย”
“ค่ะ/ครับ” เด็กฝาแฝดพูดพร้อมกันแล้วรีบเดินมารับแก้วนมในถาด
“เป่าก่อน มันร้อนค่ะ”
เด็กทั้งสองทำแก้มป่องก่อนเป่าลมใส่แก้วนมของตัวเอง หลินเหยาซื่อยิ้มขำแล้วเดินไปหากั๋วคังเหริน
“นมค่ะ”
ชายหนุ่มนิ่งไปเล็กน้อย เขาไม่ได้ดื่มนมก่อนนอนมานานมากแล้ว แต่เธอทำให้ขนาดนี้เขาไม่รับก็เกรงว่าจะผิดใจกัน เขาจึงรับแก้วนมมาถือไว้
“เป่าๆ” จางหย่งบอกคุณพ่อ
“คุณพ่อเป่าก่อน นมร้อน” จางลี่พูดขึ้นด้วย
“อ้อ...ใช่ๆ ต้องเป่าก่อน” เขาทำตามที่ลูกสอน แต่ปรายตามองทางหลินเหยาซื่อแล้วเปลี่ยนใจ ยื่นแก้วไปทางภรรยา “นมมันร้อน เป่าให้หน่อยสิ”
ห๊ะ ! หลินเหยาซื่อได้แต่ทำตาโต แต่จะแสดงออกอะไรก็ไม่ได้เพราะลูกๆ จ้องอยู่ เธอจึงยื่นปากเป่าแก้วนมให้เขา
รู้งี้ไม่อุ่นนมมาให้ก็ดีหรอก!
“ขอบคุณครับ” เขาพูดแล้วกลั้นยิ้ม ยกนมขึ้นดื่มจนหมด หลินเหยาซื่อแอบแยกเขี้ยวใส่เขาก่อนยื่นมือไปรับแก้วนม แต่เขาปฏิเสธ
“เดี๋ยวผมเก็บเอง คุณอยู่กับลูกเถอะ” เขาพูดแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเป็นคนรับถาดของเธอมาถือไว้ก่อนเดินไปรับแก้วนมของลูกๆ ไปวางไว้ที่โต๊ะมุมห้อง
“คุณแม่ขา อ่านนิทานค่ะ”
จางหย่นหยิบหนังสือนิทานภาพขึ้นมา จางลี่จูงมือมารดาไปที่เตียง หญิงสาวเขินเล็กน้อยก่อนขึ้นเตียงของสามี เด็กๆ มุดเข้าไปในผ้าห่มแล้วไปโผล่ที่หัวเตียงพลางหัวเราะกันสนุกสนาน
“อย่าเสียงดังสิคะ คุณพ่อทำงานอยู่นะ” หลินเหยาซื่อยกนิ้วชี้ขึ้นแตะที่ริมฝีปาก
เด็กสองคนยกนิ้วชี้แตะริมฝีปากแล้วส่งเสียงใส่กัน
“ชู่ว์ๆ”
หลินเหยาซื่อกลั้นหัวเราะ เธอจัดที่นอนและวางหมอนที่เด็กๆไปขนมาจากห้องของตัวเอง ลูกสองคนนอนตรงกลางเตียง เธอนอนด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้านเว้นที่ให้คนเป็นพ่อ
“วันนี้เรื่องอะไรดีคะ” เธอถามทั้งที่เห็นว่าลูกหยิบหนังสือนิทานภาพมารอแล้ว
“ลูกหมูสามตัว”
เด็กสองคนแย่งกันพูดเสียงดัง หลินเหยาซื่อยกนิ้วชี้แตะปากเป็นสัญญาณ เด็กๆเงียบเสียงลง เธอเปิดหนังสือภาพแล้วเริ่มอ่านนิทานให้ลูกฟัง
กั๋วคังเหรินได้ยินเสียงหวานเล่านิทานด้วยน้ำเสียงสูงต่ำเป็นจังหวะ ไม่ช้าไม่เร็วจนเกินไป เธอเล่าด้วยแววตาเป็นประกายและใบหน้าระบายยิ้ม เด็กๆฟังแล้วพูดแทรกบ้าง หัวเราะบ้าง บางครั้ง เธอก็พูดเป็นเชิงสอนให้เด็กรู้ว่าไม่ใครไว้ใจคนแปลกหน้า ชีวิตวัยเด็กของเขา แม่ไม่เคยเล่านิทานให้ฟังแบบนี้ แต่ที่เขาจำได้ คือแม่มักร้องเพลงเก่าๆ ให้เขาฟังจนผล็อยหลับไป
สายตาของเขามองไปยังร่างของหญิงสาวในชุดนอนที่ค่อนข้างเรียบร้อย อาจเพราะคืนนี้เธอมานอนห้องเดียวกับเขา ไม่เหมือนเวลาที่เธอนอนตามลำพัง กระดุมเสื้อจึงติดครบทุกเม็ด เผลอคิดไปถึงภาพที่เธออาบน้ำให้ลูก เสียงหัวเราะสนุกสนานแต่พอเขาเห็นเรือนร่างภรรยาที่เปียกชุ่ม ตัวเขาก็แทบสะกดอารมณ์ไม่อยู่จนต้องเบือนสายตาไปทางอื่น
จบเรื่องหมูสามตัว จางหย่งขอร้องให้แม่อ่านหนูน้อยหมวกแดง หลินเหยาซื่อก็ไม่ขัดใจ อ่านให้ลูกฟังหลายครั้งแต่พวกเขาก็ยังชอบอยู่ เธอเหลือบตามองไปทางกั๋วคังเหรินเป็นระยะๆ เพราะเกรงใจว่าจะรบกวนเขาทำงาน หลินเหยาซื่อเล่านิทานพลางทำมือเป็นรูปสัตว์ต่างๆ เธอพยายามทำรูปหมาป่าแต่ดูไม่เหมือนเท่าไหร่
“นี่หมาป่าหรือกำปั้นครับแม่” จางหย่งขมวดคิ้ว
“หย่งหย่งให้กำลังใจแม่หน่อยสิ” จางลี่พูด
คราวนี้หลินเหยาซื่อทำหน้ามุ่ยแล้วมองมือตัวเอง
‘ก็ทำถูกแล้วนี่ ดูไม่เหมือนหมาป่าเหรอ?’
“แบบนี้เป็นหมาป่าได้ไหม” กั๋วคังเหรินเดินมานั่งบนเตียงแล้วทำมือเป็นรูปหมาป่า เขาทำได้เหมือนมากจนเด็กๆ ตาโต แต่หลินเหยาซื่อแลบลิ้นใส่
คิดจะแย่งลูกไปจากฉันเรอะ!
ถึงจะบ่นในใจ แต่หลินเหยาซื่อก็รู้สึกดีที่เห็นลูกๆ มีความสุข เด็กน้อยนอนกอดพ่อจนผล็อยหลับไปกั๋วคังเหรินลูบผมของลูกสองคนสลับกัน การมี ‘ครอบครัว’ มันดีแบบนี้นี่เอง เขาที่เกิดมาในครอบครัวใหญ่เหมือนตัวคนเดียวมาตลอด เวลานี้หัวใจอ่อนยวบลงทันทีที่เห็นนิ้วมือของลูกจับนิ้วของเขาไว้ ราวกับกลัวว่าพ่อจะหนีหาย
“คุณจะไปทำงานต่อไหมคะ” เธอถามเบาๆ อย่างเกรงใจ
“ผมอยากนอนกับลูก” เขาพูดแล้วมองหน้าเธอ “ได้ไหมครับ”
“ก็...คุณเป็นพ่อพวกเขาก็ต้องได้อยู่แล้ว” เธอหลุบตาลงแล้วค่อยๆ จับมือของลูกออกจากมือของพ่อให้เด็กๆ ได้นอนสบายๆ แล้วก็แอบหัวเราะเบาๆ แต่กั๋วคังเหรินเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“เดี๋ยวก็รู้อิทธิฤทธิ์ลูกลิง นอนดิ้นยิ่งกว่าอะไรอีก”
เด็กจะนอนดิ้นสักแค่ไหนเชียว
กั๋วคังเหรินคิดในใจ และเป็นจังหวะเดียวกับที่จางหย่งเตะเท้าขึ้นมาประทับที่ใบหน้าของเขาทันทีหลินเหยาซื่อกลั้นหัวเราะเต็มที่ ไม่กล้าส่งเสียงดังเพราะกลัวลูกจะตื่น จางลี่ก็ไม่น้อยหน้าเหวี่ยงแขนใส่มาทางแม่ แต่หลินเหยาซื่อนอนกับลูกมาหลายครั้งจึงรับมือได้ทันไม่โดนลูกฟาดหน้าเข้าให้
“ตลกมากสินะ”“เปล่านะคะ” เธอยิ้มจนดวงตาเป็นประกายพราวระยับเด็กสองคนนอนตรงกลาง กั๋วคังเหรินใช้มือยันฟูกนอนยื่นตัวข้ามร่างของลูกลิงที่นอนอยู่ตรงหน้า ยื่นหน้าไปจูบริมฝีปากสวยเร็วๆ แล้วกลับมาฝั่งตัวเอง หลินเหยาซื่อไม่ทันตั้งตัวได้แต่กระพริบตาปริบๆ และครู่ต่อมาใบหน้าก็แดงเรื่อขึ้นมา“คุณ!”“ชู่ว์”เขายกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากเหมือนที่เธอเคยทำเวลาบอกให้ลูกเงียบ หลินเหยาซื่อทั้งเขินและอายจนไม่รู้จะทำอย่างไรดี เธอจึงมุดตัวลงไปนอนอย่างหงุดหงิดที่ถูกเอาเปรียบ แต่จะว่าไป เธอก็ไม่ได้โกรธ แค่เขินอายกับการกระทำใกล้ชิดสนิทสนมอย่างกับคนรักหัวใจเต้นแรงจังเลยหรือจะป่วยนะเฮ้อ! หลินเหยาซื่อรู้สึกคุ้นตากับคนรับใช้สองคนและคนสวนอีกหนึ่งคนที่กั๋วคังเหรินเรียกกลับมาทำงานที่บ้านอีกครั้ง อาจเป็นร่องรอยความทรงจำเก่าก็ผุดขึ้นมาที่ละน้อยก็เป็นได้ ที่สำคัญเขาทำตามที่พูดไว้จริงๆ คนรับใช้ที่รับกลับเข้ามาต่างน้ำตาคลอเบ้าไม่รู้ว่าดีใจหรือซาบซึ้งใจที่ได้กลับมาทำงานที่นี้ หลินเหยาซื่อลอบมองใบหน้าของกั๋วคังเหริน เธอนั่งข้างเขาที่โซฟาห้องรับแขก สีหน้าเรียบนิ่งยากจะคาดเดาความคิดแต่ให้ความรู้ส
“ประธานกั๋ว...” “เลขาหลี่ ช่วยนัดประชุมผู้บริหารให้ผมด้วย” “คะ...เอ่อ...ค่ะ ได้ค่ะ” กั๋วซีฮั่นสูดลมหายใจลึก ปรับสีหน้าอยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินเข้ามาใกล้ยื่นมือขวาออกไป กั๋วคังเหรินปรายตามองเล็กน้อย มุมปากยกยิ้มแล้วยื่นมือขวาไปจับมือพี่ชายต่างมารดา “ยินดีต้อนรับกลับบริษัทหลินกรุ๊ฟ” “ที่ผ่านมาทำให้พี่ซีฮั่นต้องลำบากแล้ว” เขายิ้มแต่บีบมือแรงขึ้น “ต่อไปนี้จะไม่ให้พี่ต้องลำบากอีกแน่นอนครับ” แม้ภายนอกคนมองพี่น้องรักใคร่ปรองดองกันดี กั๋วคังเหรินเข้ามาสืบทอดกิจการของประธานหลินก่อนที่ท่านจะเสียไป แสดงให้เห็นว่าหลินซือซง-ประธานบริษัทผู้ก่อตั้งมีความเชื่อใจและไว้ใจลูกเขยคนนี้มาก แม้ก่อนหน้านี้ ผู้คนต่างคาดเดากันไปต่างๆนานา ว่าระหว่าง กั๋วซีฮั่นกับกั๋วคังเหริน ใครจะได้เป็นเขยสกุลหลิน สุดท้ายแล้วเป็นกั๋วคังเหรินที่เหมือนหนูตกถังข้าวสาร แม้ว่าเป็นการแต่งงานเข้าบ้านผู้หญิง แต่ฐานะที่ร่ำรวยเช่นนั้น เป็นใคร ใครก็อยากแต่งเข้าไปทั้งนั้น หลินซือซงบุกเบิกสร้างกิจการใหญ่โตจนกลายเป็นเศรษฐี เป็นที่นับหน้าถือตาของคนใ
“คะ?” เธอจ่ายค่าขนมเค้กแล้วหันมามองเขาอย่างงุนงง “ขอโทษเรื่องอะไรคะ”“เมื่อก่อนค่าใช้จ่ายต่างๆในบ้านผมเป็นคนจัดการเองทั้งหมด ตอนนี้คุณเป็นคนดูแลบ้าน ผมควรให้คุณถือเงินทั้งหมด”“เรื่องแค่นี้เอง ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนี่” เธอยักไหล่ ปกติเธอคุ้นชินกับการใช้เงินแบบจำกัดจำเขี่ย เพราะรายได้อันแสนน้อยนิดแม้วิ่งรอกรับงานตัวประกอบหลายเรื่องก็ตาม“สามีภรรยาก็เหมือนคนเดียวกัน ยังไงเรื่องเงินก็ต้องช่วยเหลือกันอยู่แล้ว”‘แต่เงินเดือนของเธอก็คือของเธอนะ ไม่ใช่ของเขา’กั๋วคังเหรินเห็นแววตาขบขันในดวงตาคู่สวยของภรรยา แปลกใจที่เธอยังยิ้มได้ทั้งที่... ช่างเถอะ พูดไปทุกอย่างก็เป็นความผิดของเขา ขนมเค้กใส่กล่องเรียบร้อยแล้ว เขาได้แต่ยืนมือหญิงสาวยื่นมือไปรับมาประคองไว้ราวกับสิ่งล้ำค่า ทำให้เขารู้สึกผิดหนักขึ้น ที่ผ่านมา เธอต้องลำบากเพราะเขา ทั้งที่เขาเคยสัญญากับประธานหลินไว้ว่าจะดูแลเธอให้ดี ไม่ใช้ต้องลำบากกายและใจ ถ้าประธานหลินยังอยู่ ได้เห็นหลานชายหญิงคงมีความสุขไม่น้อย “กลับกันเถอะค่ะ เด็กๆ รอแย่แล้ว” “ครับ”เขาเปิดประตูร้านให้หญิงสาวเดินออกไปก่อน แล้วยื่นมือไปรับกล่องเค้กมาถือเอง“ให้ผมถือให้ดีกว่า”
“ไปดูแปลงผักหลังบ้านกันค่ะ” เด็กสองคนพยักหน้ารับด้วยท่าทางดีอกดีใจเพราะอยากชวนคุณแม่ไปเล่นกัน หลินเหยาซื่อหยิบผ้ากันเปื้อนลายเดียวกันแล้วสวมให้ลูก จางลี่จางหย่งช่วยกันผูกปมเชือกที่ด้านหลัง เธอสอนเด็กๆ ให้ช่วยเหลือกัน เธอเองสวมผ้ากันเปื้อนตอนทำงานอยู่แล้วเพราะเกรงว่าเวลาลงสีที่ภาพจะเลอะเสื้อผ้า เมื่อชุดพร้อมเด็กทั้งสองก็จูงมือแม่ไปที่แปลงผักหลังบ้าน หลายวันก่อนเพิ่งเอาชิงช้ามาตั้งไว้ วันนี้คนสวนกำลังลงเถาองุ่น เธอไม่รู้ขั้นตอนการปลูกองุ่น เคยเห็นแต่ผลในซุปเปอร์มาเก็ต แต่ยังไงก็ช่างเถอะ ตอนนี้แปลงผักของเธอกลายเป็นสวนหย่อมน่ารักไปแล้ว “คุณผู้หญิง” ลุงจวงผู้ดูสวนทักด้วยท่าทีนอบน้อม “เหนื่อยหน่อยนะคะ”หลินเหยาซื่อยิ้มรับเดินตามมือน้อยๆ ที่จูงไปที่แปลกผัก ผักกาดหอมสีเขียวสดพร้อมถูกกลายเป็นสลัดจานโปรด เธอนั่งลงพร้อมเด็กๆ ที่ชี้ชวนให้ดูผักในแปลงผักเล็กๆ ตรงหน้า “ความจริง พวกเราไม่ควรทิ้งคุณผู้หญิงไปเลย” ลุงจวงพูดอย่างรู้สึกผิด “นายท่านดูแลพวกเราและครอบครัวอย่างดีมาตลอด พอมีปัญหาพวกเราก็พากันทิ้งคุณผู้หญิงไปกันหมด”
“สองแสน...ไม่พอเหรอ ต้องใช้เท่าไหร่ผมจะเพิ่มให้” “ไม่ใช่ๆ ฉันแค่...” “ที่ผ่านมาทำให้คุณกับลูกต้องลำบาก ผมขอโทษจริงๆ” “ช่างเถอะค่ะ อย่าพูดเรื่องนี้ต่อหน้าลูกเลย” เธอรีบเปลี่ยนเรื่อง “แล้วงานคุณเป็นไงบ้าง ให้ผมช่วยอะไรไหม” เธอส่ายหน้าไปมา แล้วก็นึกขึ้นได้ “ได้ช่วยแน่ค่ะ เสื้อสูทที่สั่งตัดไว้ใกล้เสร็จแล้ว คุณต้องเป็นไม้แขวนเสื้อให้ฉัน” “ไม้-แขวน-เสื้อ” เด็กๆพูดตามที่ได้ยิน “ทำไมคุณพ่อต้องเป็นไม้แขวนเสื้อด้วยคะ” จางลี่ขี้สงสัยอดถามไม่ได้ “ก็คุณพ่อหล่อไงค่ะ” “คุณพ่อหล่อจริงๆด้วย” จางหย่งพยักหน้าหงึกหงัก“จางหย่งหล่อเหมือนพ่อ” หลินเหยาซื่อพูดแบบไม่คิดอะไร แต่พอเห็นรอยยิ้มกว้างได้ใจของเขาแล้วก็นึกโกรธตัวเองที่ไม่คิดก่อนพูด ตอนนี้เธอได้แต่กลอกตามองบนไม่อยากเห็นหน้าคนหลงตัวเอง “ไปล้างมือกันค่ะ” เธอบอกกับเด็กๆ “คุณๆ ช่วยเปิดก๊อกน้ำให้หน่อย” กั๋วคังเหรินเดินไปเปิดก๊อกน้ำ หลินเหยาซื่อจับสายยางให้เด็กๆ ล้างมือให้สะอาด แอบออกมาพักผ่อนใจแล้วก็ต้องกลั
“สามีจะมารับค่ะ” หลินเหยาซื่อยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา “อีกสักพักเขาคงมาถึง ฉันไปรอด้านล่างดีกว่าค่ะ”“ถ้าอย่างนั้นเราลงไปพร้อมกันก็ได้ค่ะ” หวังเข่อซิงยิ้มและยืนรอหลินเหยาซื่อเก็บของใส่กระเป๋าแล้วจึงเดินออกมาพร้อมกัน“น้องเหยาซื่อทำงานนอกบ้านเป็นครั้งแรกสินะคะ” หวังเข่อซิงชวนคุยขณะกำลังเดินไปที่ลิฟต์“ค่ะ” เธอยิ้มตอบ ‘ถ้าไม่นับรวมก่อนที่เธอจะมาอยู่ในร่างนี้นะ’ “ขอบคุณมาดามที่ให้โอกาสฉันด้วยค่ะ”“ฉันก็ให้ได้แค่โอกาสแต่ความสามารถก็ต้องมีด้วย” มาดามหวังพูดไปตามตรง “จริงสิ เมื่อครู่ฝ่ายตัดเย็บโทรบอกว่าชุดสูทชุดนั้นตัดเย็บเรียบร้อยแล้ว เราลงไปดูด้วยกันไหม ฉันก็อยากเห็นของจริงว่าเป็นยังไง”“เสร็จแล้วหรือคะ ดีจริง” ประตูลิฟต์เปิดออก ทั้งสองก้าวเข้าไปในลิฟต์ มาดามหวังไม่ถือตัวแม้เป็นรองประธานบริษัทก็กดลิฟต์ด้วยตนเอง หลินเหยาซื่อรู้สึกว่าตัวเองโชคดีจริงๆ ที่ได้ทำงานกับผู้หญิงคนนี้ หวังเข่อซิงพาหลินเหยาซื่อมาที่แผนกตัดเย็บเสื้อผ้าตัวอย่าง ซึ่งหลายครั้งก็ตัดเย็บเสื้อผ้าสำหรับลูกค้า VIP ด้วย เมื่อรองประธานบริษัทก้าวเท้าเข้าไป ทุกคนก็หันมามองแต่ยังไม่ทันลุกขึ้น มาดาวหวังก็ยกมือห้ามไว้ก่อน“ไม่เป
หวังเข่อซิงแอบถอนหายใจเบาๆ ขนาดเธอเองยังไม่กล้าเอ่ยปากถามเรื่องสามีคนอื่นแบบนี้ ดูท่าทางเดซี่ จาง คนนี้ก็คงไม่ธรรมดา แต่...ข่าวลือที่ว่าประธานกั๋วมีเลี้ยงผู้หญิงอื่นไว้นอกบ้านก่อนที่จะหายตัวไปก็มี แต่ก็นั้นแหละ ไม่ว่าจะจนหรือรวย หรืออยู่ระดับไหน ก็ถูกคนหยิบเอาไปนินทาได้ทั้งนั้นหลิวเหยาซื่อลงลิฟต์มาถึงชั้นล่าง เธอเดินผ่านเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ สองสาวที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ไม่ได้สนใจเธอสักนิด แต่สายตาไปหยุดอยู่ที่ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ที่โซฟารับรองแขกตรงทางเข้า เธอเดินเข้าไปใกล้แล้วหยุดยืนมองคนที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ธุรกิจราวกับตัดขาดตัวเองกับโลกภายนอก ครู่หนึ่งเธอจึงกระแอมไอออกมา ทำให้กั๋วคังเหรินเงยหน้าขึ้นและเมื่อเห็นว่าเป็นคนที่ตนรออยู่จึงพับหนังสือพิมพ์แล้วลุกขึ้นยืน“ฉันว่า...ฉันรับข้อเสนอให้คุณหาคนขับให้ฉันดีกว่า”“ทำไมล่ะ?” กั๋วคังเหรินเลิกคิ้วแล้วยื่นมือไปช่วยถือข้าวของที่เธอหอบไว้ในวงแขน“ระดับประธานกั๋วต้องมาขับรถให้เอง ดูไม่เหมาะนะคะ ดูสิมีแต่สาวๆจ้องตาเป็นมันเชียว!” ได้ยินแบบนี้แล้ว กั๋วคังเหรินกลับอารมณ์ดี การงานที่เคร่งเครียดมาทั้งวันหายไปปลิดทิ้ง“ไม่ใช่เพราะว่า...ผมเกะ
“แต่...คุณอาจเสียเวลาเปล่า”“ผมเสียช่วงเวลาที่มีค่าที่สุดไปแล้ว” น้ำเสียงเจือความเจ็บปวด“ก่อนหน้านี้คุณเย็นชากับฉัน” พูดไปแล้วก็รู้สึกถึงความน้อยใจ ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นจากเจ้าของร่างนี้หรือเพราะเธออ่านสมุดบันทึกของหลินเหยาซื่อ“เหยาซื่อ..”‘คุณคือคนที่ผมจะรักไม่ได้’ เขาเอียงใบหน้าเล็กน้อยเพื่อได้สบตากับดวงตาคู่สวย ไม่อาจพูดทุกสิ่งที่อยู่ในใจได้หมด“อยู่ในสกุลกั๋ว ผมคือลูกเมียรองของคุณพ่อ แต่อยู่นอกบ้าน ผมคือลูกนอกสมรส ชีวิตผมเจอสายตาดูแคลนมาตลอดรวมทั้งคนในครอบครัว ผมจะไม่ให้ลูกของผมต้องเจอเรื่องแบบเดียวกับผม ถ้าคุณไม่เชื่อใจ ผมทำหมันก็ได้นะ”“ทำหมันเหรอ” เธอทำตาโตไม่คิดว่าเขาจะพูดเรื่องนี้“คุณจะได้มั่นใจว่าผมจะไม่มีลูกกับใครแน่นอน”“เรื่องนั้น...” เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง “ไม่ต้องหรอกค่ะ ถ้าคนจะนอกใจ ทำหมันก็นอกใจได้อยู่ดี”ได้ยินแบบนี้แล้ว กั๋วคังเหรินยิ้มออกมาแล้วกอดเธอแน่นขึ้นอีกนิด“แสดงว่าตอนนี้ผมอยู่ในใจของคุณแล้วใช่ไหม”“ฉันไม่ได้...” ไม่ได้อะไรล่ะ? ไม่ได้คิดเรื่องนั้น หรือไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวจู่ๆ หลินเหยาซื่อก็นึกคำพูดไม่ออก“ขออนุญาตนะครับ”“คะ?”มือใหญ่ประคองท้ายทอยเธอไว้ก่
จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกอบอุ่นผูกพันในแววตาคู่นั้น หลินเหยาซื่อไม่แน่ใจว่า ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้คืออะไร ทำไมเธอรู้สึกว่าเขาคือคนที่เคยกุมมือไว้ก่อนที่จะสิ้นใจดวงตาหลังแว่นสายตาตื่นตกใจที่เห็นดวงตาคู่สวยมีหยดน้ำตา “คุณเจ็บตรงไหนหรือเปล่า มีอะไรผิดปกติไหม”หญิงสาวใส่หน้าไปมา “ขอโทษค่ะ ฉันไม่รู้ทำไมตัวเองถึงมีน้ำตา”เธอพยายามหัวเราะเช่นทุกครั้ง เวลามีอะไรเธอมักจะหัวเราะเสมอ กระทั่งครั้งนี้เธอก็หัวเราะทั้งที่มีน้ำตา ชายหนุ่มยื่นมือไปเช็ดน้ำตาที่เปื้อนแก้ม“สัญญากันแล้วนี่นา ว่าจะไม่หลับไปนานแบบนี้อีก”คราวนี้หญิงสาวตกใจกับคำพูดของเขา“เมื่อกี้คุณหมอพูดว่าอะไรนะคะ”‘คุณหมอ’ ชายหนุ่มยิ้มเศร้า เธอคงจำเขาไม่ได้สินะ ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วขยับตัวรักษาระยะห่างระหว่างหมอกับคนป่วย ทั้งที่เขาอยากคว้าเธอมากอดแนบอกเหลือเกิน‘จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แค่เขาจำเธอได้ก็พอ’ชายหนุ่มมองดวงตากลมโตที่ยังมีแววสงสัย เรื่องแบบนี้เล่าไปจะมีใครเชื่อ ตัวเขาเองยังไม่อยากจะเชื่อเลยหลังจากภรรยาตายจากได้ห้าปี เช้าวันหนึ่งเขาก็ตื่นขึ้นมาในร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้าของร่างนี้ป่ว
หญิงสาวถอนหายใจเบาๆ มองตัวเองในกระจก ยกมือขึ้นเปิดเส้นผมที่ปรกหน้าเห็นรอยแผลจากการถูกกระแทกต้องเย็บยี่สิบเข็ม คุณหมอแจ้งว่าถ้าเธอต้องการทำศัลยกรรมเพื่อลบรอยแผลเป็นก็ทำได้ เธอจำได้ว่าตอนนั้นเธอหัวเราะและตอบไปว่า“ไม่เป็นไรค่ะ แผลเป็นนิดเดียว”แต่จริงๆเธอเสียเงินหลายหมื่นหยวน ในปีค.ศ. 2023 นี้ เธอคือผู้หญิงที่หน้าตาธรรมดา เหลือเงินติดบัญชีอยู่ไม่เท่าไหร่ โชคยังดีที่บริษัทภาพยนตร์ที่เธอรับงานเป็นตัวประกอบเห็นใจให้เงินค่าทำขวัญมาจำนวนหนึ่ง ส่วนค่ารักษาพยาบาลนั้นมาจากประกันอุบัติเหตุ เธอจึงไม่ต้องเป็นหนี้สินล้มละลายเพราะการรักษาตัวเอง แต่ข่าวที่เธอช่วยชีวิตคนอื่นก็ทำให้เธอกลายเป็นที่สนใจ ตอนนี้แม้เธอเป็นแค่ตัวประกอบ แต่ก็มีหลายบริษัทอยากให้เธอไปร่วมเล่นซีรีย์บทเล็กๆ ถึงอย่างไรหน้าตาเธอก็ไม่ได้สะสวยพอจะเป็นถึงนางเอกได้ และยิ่งตอนนี้มีแผลเป็นที่หน้าผากอีก ต่อให้ใช้ make up ปิดบังยังไง ก็ยังเห็นอยู่ดี แผลเป็นไม่ได้น่าเกลียดเท่าไหร่ เห็นแล้วก็อดคิดถึงแผลเป็นของผู้ชายคนนึงไม่ได้ แผลเป็นของเขาใหญ่กว่าเธอมาก ผ่านมาหลายปี แผลเป็นนั้นก็เป็นรอยจางๆหลินเหยาซื่อต้องทำกายภาพบำบัดที่โรงพยา
“ผู้ชายหรือผู้หญิงก็ได้ พ่อก็รักไม่น้อย ปกว่ากัน แล้วพวกลูกล่ะ จะรักน้อง ไม่ว่าน้องจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายหรือเปล่า”“แน่นอนครับค่ะ พวกเรารักน้อง อยากให้น้องออกมาเร็วๆ จะช่วยคุณแม่เลี้ยงน้องและเล่นกับน้อง” คนเป็นแม่หัวเราะเสียงใส จะช่วยแม่เลี้ยงน้องหรืออยากเล่นกับน้องก็ไม่รู้เสียงหัวเราะของคนในครอบครัว ละลายความหม่นเศร้าที่เคยปกคลุมในบ้านหายไปหมดสิ้น ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือไปตรงหน้า“เข้าบ้านเถอะเย็นแล้ว อากาศเย็น เดี๋ยวคุณจะไม่สบายเอา”หญิงสาวมองมือใหญ่แข็งแกร่งที่ยื่นมาตรงหน้า เธอรู้ว่ามือคู่นี้จะคอยประคองเธอไว้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เช่นเดียวกับเธอที่สัญญาไว้กับเขาว่าจะจับมือเขาไว้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบางที...นี่อาจเป็นเหตุผลที่โชคชะตาส่งเธอมาในปีนี้ 1980 เพื่อได้รับใครสักคน และเพื่อให้หัวใจได้ถูกรัก.จบ.ลืมตาอีกครั้งหญิงสาวลืมตาขึ้นแล้วพบว่า ตัวเองอยู่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ต้องตั้งสติอยู่นานกว่าจะรู้ว่า ตัวเองตื่นมาในปีค.ศ. 2023 เธอคือผู้รอดตายอย่างปาฏิหาริย์ในอุบัติเหตุรถบัสตกเขาลงแม่น้ำหลินเหยาซื่อจำได้ว่าตอนที่ฟื้นขึ้นมา เธอสบตากับดวงตาคู่หนึ่งแม้เขาจะสวมหน้ากากอนา
คราวนี้เห็นทีจะจบเรื่องแล้วจริงๆ หลินเหยาซื่อถอนหายใจอย่างหอบเหนื่อย เธอถึงกับหมดแรงนั่งลงไปกับพื้น สามีเห็นแล้วก็รีบเข้าไปประคองอุ้มเธอขึ้นมาไว้บนเตียง เขาสั่งการกับเว่ยฉือให้จัดการเรื่องทั้งหมดแทนเขา เมื่อในห้องไม่มีคนนอกแล้ว ลูกทั้งสองคนก็ได้รับอนุญาตให้เข้ามาหาแม่ได้“คุณแม่เกิดอะไรขึ้นครับ/ค่ะ”เด็กน้อยสองคน ปีนขึ้นเตียงรีบเข้ามากอดแม่ เด็กฝาแฝดคนแย่งกันพูดเสียงดัง บรรยากาศกลับสดใสอีกครั้ง หลินเหยาซื่อส่ายหน้าไปมา บทเรียนต่อไปเธอต้องสอนให้ลูกพูดเสียงให้เบาลงกว่านี้ แต่เอาเถอะ เวลานี้เสียงของลูก ไพเราะที่สุดแล้ว“ขอแม่หอมแก้มเพิ่มพลังหน่อยสิ” หญิงสาวพูดขึ้น เด็กน้อยสองคนก็รุมหอมแก้มกันใหญ่สามีถอนหายใจแล้วค่อยยิ้มออกมา ทั้งที่เมื่อครู่เจอเรื่องอันตรายมากแต่เธอก็ยังยิ้มได้ คนที่บ้าที่สุดอาจจะเป็นภรรยาของเขาก็ได้ คิดแล้วเขาก็หัวเราะออกมาหลินเหยาซื่อเสียงสามีหัวเราะ ก็หันไปทำหน้ายู่ใส่“หัวเราะอะไรคะ”“หัวเราะอะไรคะ/ครับ” ลูกสองคนพูดเลียนแบบแม่“ไม่มีอะไรครับ”คนเป็นพ่อพูดแล้วโบกมือไปมา แต่หลินเหยาซื่อสบตากับลูกทั้งสองส่งสัญญาณ คนเป็นสามีรู้สึกไม่ค่อยน่าไว้ใจแสร้งถอยหลัง แต
ภาพที่เห็นตรงหน้า ทำให้ดาราสาวปวดใจแทบเป็นบ้า ยิ่งเห็นกั๋วคังเหรินโอบกอดหลินเหยาซื่ออย่างปกป้องและความห่วงใย ครั้งหนึ่งอ้อมกอดนั้นเคยเป็นของเธอมาก่อน ทำไมมันถึงมาจุดนี้ได้ ทำไมไม่ใช่เธอที่อยู่ในอ้อมกอดเขา ดาราสาวแหงนหน้าหัวเราะ ท่าทางไม่ต่างจากคนเสียสติ โลกไม่ยุติธรรมเสียเลย เธอมองหน้าชายที่เคยรักผ่านม่านน้ำตา“ทำไมคะ ทำไมคุณไม่รักฉัน ทำไมคุณต้องแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้น”ชายหนุ่มถอนหายใจหนักหน่วง เขาประคองร่างของภรรยาขึ้น มองเห็นหยดเลือดจากที่เธอกระชากสายน้ำเกลือออกก็ปวดใจ โชคดีที่ลูกสาวลูกชายไม่ได้อยู่ในห้องนี้ เขาไม่อยากให้ลูกๆ ต้องมาเห็นภาพแบบนี้“เรื่องของเรามันจบไปนานแล้ว คุณจะรื้อฟื้นทำไม คุณเองก็ไม่ได้มีผมเพียงคนเดียว ระหว่างที่เราคบกัน ก็ใช่ว่าผมจะไม่รู้ว่าคุณมีคนอื่น” เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า ได้ยินดังนี้ ดาราสาวถึงกับหน้าซีดไป เพราะเธอคิดเสมอว่าเขาไม่เคยรู้เรื่องราวด้านมืดของเธอเลยชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง“ให้มันจบแค่นี้เถอะ คุณมีชีวิตของคุณ ผมมีชีวิตของผม ผมมีภรรยาและลูกที่รักมากและผมต้องดูแลพวกเขา นอกจากหลินเหยาซื่อแล้ว ชีวิตนี้ผมไม่อาจรักใครได้อีกแล้ว เห็นแก่ควา
หลังจากมั่นใจว่า ในห้องไม่มีคนอื่นอยู่แล้ว หลินเหยาซื่อจึงลุกขึ้นจากเตียงนอน เธอรู้สึกรำคาญสายน้ำเกลืออยู่บ้าง แต่จะทำอย่างไรได้ก็สถานะตอนนี้เป็นคนป่วยนี้นะเธอไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้กับตัวเองอีกเมื่อไหร่ เธอจะหลับไปแบบนี้อีกไหม หลับไปยาวนานถึง 7 วัน ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเธอ แม้กระทั่งหมอ แต่ตัวเธอเอง ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่า ชีวิตที่ได้มาใหม่นี้ จะใช้ได้ยาวนานเพียงใด แต่ที่สุดแล้ว ก็ยังมีลมหายใจอยู่ โดยเฉพาะในชาตินี้ เธอรู้ดีว่า มีสิ่งที่สำคัญที่สุดรออยู่ นั่นก็คือ ลูกชายหญิงฝาแฝดของเธอ ที่แม้ซนเหมือนลิง แต่เธอก็รักพวกเขามากแม้ไม่มีความทรงจำที่อุ้มท้องพวกเขา แต่เธอก็รู้สึกว่าทั้งสองเป็นลูกของเธอจริงๆหญิงสาว มองไปที่โต๊ะตรงหัวเตียง มีกระเช้าผลไม้ตั้งอยู่ มีผลไม้หลากชนิด เธอเอื้อมมือไปหยิบแอปเปิ้ลสีสวย เห็นแล้วก็คิดถึงงานที่ทำค้างอยู่ Collection ใหม่ครั้งหน้า เธอน่าจะออกแบบลายผ้า เป็นรูปผลไม้เด็กๆชอบผลไม้สีสันสดใส น่าจะทำลายผ้าแล้ว ทำของอย่างอื่นด้วยก็ดีนะหลินเหยาซื่อคิดฝันไปไกลถึงกิจการของตัวเอง และเม็ดเงินที่จะเข้ากระเป๋า เมื่อมีเงินมาก เธอก็สามารถท
แม้จะไม่ได้อาบน้ำแต่ก็สบายตัวขึ้น หลินเหยาซื่ออารมณ์ดีขึ้น เธอเดินกลับมานั่งบนเตียง ผู้ชายตัวโตบังคับให้เธอลงนอน แต่เธอตีแขนเขาเบาๆ “นอนเยอะแล้วค่ะ ให้นั่งบ้างเถอะ” เธอกวาดตามองเขาแล้วดึงแขนให้เขามานั่งข้างๆ ยื่นมือไปแตะบริเวณที่จำได้ว่าเคยเห็นเลือดไหล “หลังก็มีแผลเป็น หน้าจะมีแผลเป็นอีกไหมนะ” “คุณกลัวเหรอ” เขาถามยิ้มๆ เขาเป็นผู้ชาย แผลเป็นไม่ได้สำคัญกับเลยสักนิด “เปล่าเสียหน่อย ฉันเป็นห่วงคุณต่างหาก คุณให้คุณหมอตรวจร่างกายหรือยังคะ ทุกอย่างโอเค.ไหม” “ผมบาดเจ็บเล็กน้อย คุณต่างหากที่หลับไป หมอก็หาสาเหตุไม่เจอ” “ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะคะ” “ผมต่างหากที่ทำให้คุณต้องบาดเจ็บ” “ก็บอกแล้วไงว่าตอนนี้ไม่ใช่เรื่องของคุณ-เรื่องของฉัน แต่เป็นเรื่องของเราแล้วค่ะ” นอกจากแม่แล้ว เขาก็ไม่เคยมีใครใกล้ชิดแบบนี้ แม้แต่ตอนที่คบกับเดซี่ แม้ภายนอกใกล้ชิดกันแต่ระยะห่างของหัวใจนั้นไกลมาก เสียงประตูห้องเปิดออก กั๋วคังเหรินคิดว่าลูกๆกลับมาแล้ว แต่เมื่อหันไปดูจึงพบว่าเป็นคนที่เขาไม่อยากเจอหน้
ทันทีที่ลืมตา ภาพที่เห็นคือเด็กน้อยสองคนที่หน้าตาคล้ายกันจนเหมือนพิมพ์เดียวกันนั่งจ้องหน้าด้วยแววตาวิตกกังวล ทำให้เธอยื่นมือไปตั้งใจจะคว้าเอาเด็กสองคนมากอด แต่มีสายน้ำเกลือติดที่แขนทำให้ชะงักไป หลินเหยาซื่อทำหน้างุนงงและสับสนว่าเธออยู่ในปีค.ศ.ไหนกันแน่ “คุณแม่ตื่นแล้ว!” จางลี่กับจางหย่งผสานเสียงขึ้นพร้อมกันเสียงดังจนหลินเหยาซื่อต้องหยีตาและทำให้กั๋วคังเหรินที่ยืนคุยกับคุณหมอรีบสาวเท้ามาข้างเตียงภรรยาสาว “เหยาซื่อ...ได้ยินผมไหม?” กั๋วคังเหรินถามเสียงสั่น เขาเองก็กลัวว่าเธอจะไม่ฟื้นขึ้นมา แต่ไม่อาจแสดงความอ่อนแอได้ เพราะลูกยังต้องการเขาอยู่ “เกิดอะไรขึ้น” เธอถามและพบว่าน้ำเสียงแหบแห้งเหลือเกิน “ฉันอยู่ที่ไหน” “โรงพยาบาล...” เขาเอ่ยชื่อออกไป “คุณหลับไปเจ็ดวันเลยทีเดียว” “เจ็ดวัน...” หลินเหยาซื่อยังมึนงงอยู่ แต่เมื่อยื่นมือไปแตะใบหน้าที่โน้มลงมาใกล้สัมผัสไออุ่นที่คุ้นเคยก็ทำให้มั่นใจว่าไม่ได้ฝันไป “ขอโทษที่หลับไปนานนะคะ” เธอหันไปมองลูกทั้งสองที่ทำตาแดงๆ มองเธอ “แม่หลับไปหลายวัน ดื้อกับคุณพ่อหรือเปล่า
หลินเหยาซื่อถูกแรงกระแทกทำให้ผวาตื่น เธอหันซ้ายแลขวาอย่างตื่นตระหนก รถยนต์ส่ายไปมาอย่างน่ากลัว ความทรงจำสุดท้ายก่อนจะมาฟื้นในปี1980คือรถบัสที่ส่ายไปมาและพุ่งตกเขา เธอตื่นตระหนกด้วยคิดว่าตัวเองกลับไปสู่เหตุการณ์ในปี2023 แต่มือที่กุมมือแน่นอยู่นั้นทำให้เธอรู้ว่าตอนนี้เธออยู่ในปี1980กับผู้ชายที่ชื่อกั๋วคังเหริน“เกิดอะไรขึ้นคะ”“เชื่อใจผม” เขาโอบเธอไว้ในอ้อมกอดกดศีรษะเธอให้ซุกกับแผ่นอกของเขา“เว่ยฉือ”“พวกมันมากันหลายคน ผมจะพยายามสลัดพวกมันให้หลุด อ๊ะ!”รถยนต์คันนั้นพุ่งเข้าชนจากท้ายรถอีกครั้งแต่ครั้งนี้มันดันให้ไปด้านหน้า เว่ยซือจะหักพวกมาลัยหลบแต่รถยนต์อีกคันมาขนาบข้าง ดวงตาดำจ้องมองผ่านหน้าต่างรถ กั๋วคังเหรินเห็นปากกระบอกปืนส่องมาตรงมาทางเขาก็รีบกดร่างหลินเหยาซื่อให้หมอบลงไป เว่ยซือเห็นท่าไม่ดีเหยียดคันเร่งหนีให้พ้นวิถีปืน ทว่ารถยนต์เสียหลักออกนอกเส้นทางพุ่งตกลงไปในแม่น้ำ!รวดเร็วจนหลินเหยาซื่อไม่ทันกรีดร้อง เธอรู้สึกว่าร่างกระเด็นกระดอนในรถยนต์ แต่ก็มีกั๋วคังเหรินกอดไว้แน่น เธอหูอื้อไม่ยินเสียงใดทั้งนั้น ราวกับเคยเกิดเรื่องนี้มาก่อน ใช่ ...มันเคยเกิดขึ้นในรถบัสที่เธอนั่งเดินไปเป็น