เพียงเดินเข้ามาในบ้าน กั๋วคังเหรินพลันรู้สึกได้สัมผัสความคุ้นเคยที่ห่างหายไปนาน เขาปรายตามองไปยังชั้นผนังห้องด้านหนึ่ง เป็นรูปวาดสเก็ตภาพด้วยดินสอ เป็นรูปครอบครัวสี่คนพ่อแม่และลูกแฝดทั้งสอง ภาพงานแต่งงานยังคงประดับอยู่ที่ผนังห้อง รูปภาพเหล่านั้นไม่มีฝุ่นเกาะเลยสักนิด แสดงว่าถูกทำความสะอาดหรือหยิบดูบ่อยๆ นี่คงเป็นเหตุผลที่เด็กสองคนที่ไม่เคยเห็นตัวจริงของเขา แต่กลับเรียกเขาว่าพ่อได้เต็มปากเต็มคำ
“คุณหนู คุณชาย มาทางนี้ก่อนค่ะ”
ป้าฮุ่ยชิวพยักหน้าเรียกเด็กทั้งสอง แต่จางหย่งกอดคอชายหนุ่มแน่นไม่ยอมปล่อย จางลี่มองด้วยตาแดงๆ อยากกอดคุณพ่อบ้าง หลินเหยาซื่อเกรงว่าเด็กจะร้องไห้ออกมาเลยส่งลูกให้ป้าฮุ่ยชิว
“หย่งหย่ง ลี่ลี่ อยู่กับคุณป้าก่อนนะคะ คุณ...เอ่อ...คุณพ่อไม่ไปไหนหรอกค่ะ เราสัญญากันว่าจะไม่ดื้อและเชื่อฟังแม่ใช่ไหม”
เด็กสองคนมองหน้ากันแล้วพยักหน้ารับ จางหย่งยอมปล่อยมือแล้วเดินไปจับมือกับจางลี่ที่ยังมองใบหน้าของผู้ชายที่เหมือนในรูปถ่ายก่อนจะจับมือป้าฮุ่ยชิวไปในครัว
เมื่อไม่มีคนอื่นแล้ว หยินเหยาซื่อจึงจ้องมองชายคนหน้าเต็มตา เช่นเดียวกับกั๋วคังเหริน ที่กวาดสายตามองหญิงสาวตรงหน้า ไม่เจอกันเกือบสี่ปี ดู...เปลี่ยนไปมาก หรือไม่ก็เพราะทำใจเรื่องเขาได้แล้วถึงได้ดู ‘สวย’ ขึ้นขนาดนี้
“คุณ...กั๋วคังเหริน?” หลินเหยาซื่อถามตรงๆ ผู้ชายคนนี้นะหรือ?ที่ ‘หลินเหยาซื่อ’ รักสุดจิตสุดใจ รักมากขนาดที่เธอผู้มาอาศัยร่างนี้ยังรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนในอก ตั้งแต่สบตาในวินาทีแรก ร่างนี้ก็แทบอยากโผเข้ากอด ยังดีที่เธอหันไปคว้าเอาจางลี่มากอดไว้แทน ไม่งั้นก็คง...
“ไม่เชื่อว่าเป็นผมเหรอ” เขาถาม น้ำเสียงราบเรียบ
“ก็...คุณหายไป…”
“สามปี”
“สามปีกับอีกหกเดือน” เธอพูดขึ้น ที่จำได้ก็เพราะไดอารี่ของ ‘หลินเหยาซื่อ’ ล้วนๆ
“ลูก...สามขวบแล้วสินะ”
“ค่ะ จางหย่งกับจางลี่สามขวบแล้ว”
“ชื่อที่ผมเคยตั้งไว้...”
เธอเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขากำลังจะบอกว่าเขาคือกั๋วคังเหรินตัวจริงใช่ไหม เชอะ! อย่าให้ตอกย้ำ ในไดอารี่ของหลินเหยาซื่อเขียนไว้ว่า เขาเคยหลุดปากพูดออกมา ถ้ามีลูกชายจะให้ชื่อจางหย่ง ลูกสาวชื่อจางลี่ แต่เขาไม่ได้บอกสักหน่อยว่าเต็มใจมีลูกกับเธอ
“ใช่...ก่อนที่คุณจะหายตัวไป”
ที่พูดเพราะอยากตอกย้ำ ไม่ใช่อาลัยอาวรณ์หรอกนะ เอ๊ะ! หรือว่าเขาจะกลับมาขอหย่า! สวรรค์! หย่าเลยค่ะ ฉันพร้อมค่ะ!
ดวงตาคมหรี่ลงเล็กน้อย กั๋วคังเหรินแน่ใจว่าเมื่อครู่เขาเห็นแววตารื่นเริงของหญิงสาวตรงหน้า แม้จะแค่เสี้ยววินาทีก็ตาม เพราะนั่งประจันหน้ากัน เธออยู่ตรงข้ามกับเขา กั๋วคังเหรินจึงโน้มตัวไปข้างหน้าและยื่นหน้าไปใกล้
“คุณอยากให้พิสูจน์หรือเปล่าล่ะ”
เพราะลมหายใจอุ่นร้อนที่ปะทะใบหน้าทำให้หลินเหยาซื่อตัวเกร็งไปเล็กน้อยแต่ยังบังคับไม่ให้เอนหลังถอยหนี หรือเขาก็ ‘รู้สึก’ว่าเธอไม่ใช่ภรรยาผู้แสนว่านอนสอนง่ายคนนั้น
ทั้งสองประสานสายตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร
ก่อนที่จะทันได้ ‘พิสูจน์’ ว่าคนตรงหน้าคือ ‘สามี’ ตัวจริง หางตาก็เห็นเงาร่างเล็กๆ ที่มุมห้อง ดวงตาสองคู่แอบมองอยู่ กั๋วคังเหรินก็รู้เช่นกัน เขาย้ายสายตากลับไปมองเด็กน้อยทั้งสองด้วยแววตาอ่อนโยน คล้ายทุกสิ่งมันตรงข้ามกับที่เขาคิด หลินเหยาซื่อไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายหรือแม้แต่ทุบตีเขา แต่เธอกลับใช้ ‘สายตา’ไม่เชื่อใจจ้องมอง จนเขาไม่อาจประเมินสถานการณ์เช่นนี้ได้
เด็กสองคนเห็นรอยยิ้มของผู้ชายที่เหมือนในรูปที่ติดผนังห้องเป๊ะ! ก็ยิ้มตอบ แต่พอเห็นสายตาดุๆ ของแม่ก็หดคอกลับไปทันที
กั๋วคังเหรินกลัวหญิงสาวจะดุลูกจึงยื่นมือไปจับมือที่วางอยู่บนโต๊ะเป็นเชิงห้าม เธอหันมามองเขาแวบหนึ่งก่อนจะหันไปฉีกยิ้มให้ลูกทั้งสอง เป็นจังหวะที่ป้าฮุ่ยชิวรีบเดินมาจูงมือเด็กน้อยเข้าไปในครัว เธอจึงหันมาสบตากับเขา
“คิดว่าฉันจะดุลูกหรือไง” เธอแยกเขี้ยวใส่ “ว่าแต่คุณหายไปไหนมา”
เขาเลิกคิ้วขึ้น ไม่คิดว่านี้จะเป็นประโยคที่เขาไม่คิดว่าจะได้ยินจากภรรยาที่อ่อนโยน ตั้งแต่เขารู้จักหลินเหยาซื่อ จะมีดวงตาคู่หนึ่งลอบมองเขาอย่างอ่อนหวานและหากเขาสบตาก็จะพบแววตาประหม่าเขินอาย ต่อให้แต่งงานกันแล้ว ก็ยังเป็นเช่นนั้นอยู่
หรือเพราะวันเวลาที่เขาไม่อยู่ ทำให้เธอกลายเป็นแบบนี้
คงเป็นเพราะเขาถึงทำให้ทุกอย่างมาถึงจุดนี้สินะ
เห็นแววตาอ่อนล้าของเขาแล้ว หลินเหยาซื่อรู้สึกผิดขึ้นมา เขาคือคนที่คุณพ่อเชื่อใจและไว้ใจให้แต่งงานด้วย จู่ๆ กลับหายไป คงมีเรื่องจำเป็นถึงกลายเป็นแบบนี้ หลินเหยาซื่อกระแอมไอพลางคิดว่าต้องพูดใหม่ ต้องงัดวิชายุทธ์ที่เคยเรียนการแสดงออกมา เธอต้องเป็นหลินเหยาซื่อที่อ่อนแอ
“ขอโทษที่ทำให้ลำบาก”
ยังไม่ทันจะปั้นสีหน้า หลินเหยาซื่อก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นมาก่อน เธอเงยหน้าสบตากับแววตาที่รู้สึกผิดซึ่งเธอมั่นใจว่าเขาไม่ได้เสแสร้ง
“เอ่อ...” เธออึกอักไปครู่หนึ่ง จะพูดกับคนที่ไม่เจอกันสามปีหกเดือนยังไงดี
“กลับมาก็ดีแล้วค่ะ” คราวนี้เธอพูดเบาลง
“ผมไม่รู้ว่าคุณท้อง...”
‘ถ้ารู้แล้วจะหายไปไหมล่ะ?’
หลินเหยาซื่อกลืนคำประโยคของตัวตัวเองลงท้อง ยังไม่อยากสร้างรอยร้าวขึ้นในเวลานี้
“ตอนนั้นฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” เธอพูดไปตามที่อ่านในไดอารี่ของหลินเหยาซื่อ “ถ้าไม่มีพวกเขา ฉันก็คงไม่มีกำลังใจอยู่มาถึงตอนนี้”
‘ส่วนประโยคนี้เธอคิดอย่างนั้นจริงๆนะ จู่ๆ เธอก็ฟื้นในร่างของผู้หญิงที่ชื่อเดียวกันแต่ในปี1980 แถมมีลูกแฝดด้วย แต่เพราะเจ้าเด็กแฝดนั้นแหละ ที่ทำให้เธออยากมีชีวิตอยู่ต่อไป’
‘นั้นสินะ ถ้าเขารู้...เขาคงหาทางกลับมาได้เร็วกว่านี้’
“เราค่อยๆคุยเรื่องพวกนี้กันเถอะนะ” หลินเหยาซื่อรีบพูดออกไป เธอเอง จู่ๆมีลูกก็ใช้เวลาทำใจอยู่หลายวัน ตอนนี้จู่ๆสามีก็โผล่มาอีก ไม่รู้จะมีเจ้ากรรมนายเวรที่ไหนโผล่มาอีกไหม
แนะนำตัวละครหลินเหยาซื่อ : อายุ 22 ปี อาชีพนักแสดงตัวประกอบ กั๋วคังเหริน : อายุ 28 ปี ประธานกั๋วผู้บริหารบริษัทหลินกรุ๊ฟกั๋วจางหย่ง ( กล้าหาญ ) กั๋วจางลี่ / ( งดงาม) : ลูกแฝดชายหญิงวัย 3 ขวบ ป้าฮุ่ยชิว : ป้าแม่บ้านที่อยู่มานาน 'ตัวประกอบ' คือนักแสดงที่แทบไม่เคยอยู่ในสายตาคนดูคนเราล้วนเป็นตัวประกอบในชีวิตของกันและกันอาจแค่เคยเดินผ่านมาในชีวิตใครสักคนเพื่อให้ฉากในวันนั้นสมบูรณ์แบบและในขณะเดียวกัน คนที่เล่นเป็นตัวประกอบในชีวิตคนอื่น ก็เล่นเป็นนางเอก(พระเอก)ในชีวิตของตัวเอง ทันทีที่ตัดสินใจลืมตา ภาพแรกที่เห็นคือเด็กน้อยสองคนที่หน้าตาคล้ายกันจนเหมือนพิมพ์เดียวกันนั่งจ้องหน้าด้วยแววตาวิตกกังวล มันไม่ใช่แววตาที่เด็กสามขวบควรมี ทำให้เธอตัดสินใจยื่นมือไปคว้าเอาเด็กสองคนมากอดแล้วหอมแก้มฟอดใหญ่ เสียงหัวเราะคิกคักจึงดังขึ้น “แม่ตื่นแล้ว” หญิงสาวบอกกับเด็กน้อยที่ตอนนี้ปีนขึ้นเตียงเธอเรียบร้อยแล้ว “ทำไมลูกๆ ตื่นเช้ากันจัง หรือว่าหิวกันแล้ว” “หม่ำๆ” “ขอโทษนะ แม่ตื่นสายเอง” เธอจุ๊บแก้มนุ่มๆ ของเด็กๆ ไม่กี่นาทีต่อมา แม่บ้านวัยห้าสิบก
ภายนอกเขาคือสามีที่ใส่ใจภรรยา แต่เรื่องในบ้านไม่มีใครรู้ และยิ่งทุกอย่างกลายเป็นความดำมืดที่ไม่มีใครล่วงรู้ก็คือ วันหนึ่งฮุ่ยชิวรับโทรศัพท์จากตำรวจซึ่งแจ้งว่าพบรถยนต์ของคุณกั๋วคังเหรินตกเขา สภาพรถพังเสียหาย ในที่เกิดเหตุพบศพหญิงสาวที่มาทราบภายหลังว่าเป็นนักร้องไนท์คลับแห่งหนึ่ง แต่ไม่พบร่างของกั๋วคังเหริน ไม่มีใครรู้ความสัมพันธ์ของกั๋วคังเหรินกับผู้หญิงคนนั้น แต่แน่นอนว่าข่าวที่ออกไปไม่ดีนัก ในปีนั้นเองที่หลินเหยาซื่อตั้งครรภ์อ่อนๆ เธอเองก็ไม่รู้ว่ากั๋วคังเหรินรู้หรือไม่ว่าภรรยาสาวตั้งครรภ์ได้สามเดือนแล้ว หญิงสาวเดินเข้าในห้องครัว เด็กชายหญิงหน้าตาละม้ายคล้ายกันหันมามองแล้วสิ่งยิ้มกว้าง เด็กทั้งสองนั่งแกว่งเท้าไปมาบนเก้าอี้เด็ก หลินเหยาซื่อส่งยิ้มกว้าง เดินไปคว้าผ้ากันเปื้อนมาคาดเอวอย่างรวดเร็วและเตรียมลงมือป้อนอาหารเช้าให้เด็กทั้งสอง“คุณผู้หญิงค่ะ ไก่ที่สั่งไว้มาส่งแล้วนะคะ”“ไก่มาแล้วหรือ?” เธอหันไปมองนาฬิกา “มาแต่เช้าเลยรึ? หรือว่าฉันตื่นสาย”ป้าฮุ่ยชิวแอบค้อนเข้าให้ “คุณผู้หญิงไม่น่าให้เงินไปก่อนเลยเจ้าค่ะ คราวหน้าคราวหลังได้ของแล้วค่อยให้เงินนะเจ้าค่ะ”“แค่ไก่ไม่กี่ตัว เขาคง
“คุณนายค่ะ ให้คนยกจักรเย็บผ้าออกมาให้แล้วค่ะ”“ขอบใจจ๊ะ” หลินเหยาซื่อตื่นจากภวังค์ เธอไม่มีเวลามาสนใจผู้ชายที่หายไปคนนั้น หญิงสาวลุกขึ้นยืนแล้วจูงมือเด็กทั้งสองคนไปที่ห้องนั่งเล่น บ้านหลังนี้กว้างขวางดี ด้านหลังที่เคยเป็นสวนดอกไม้ เธอก็จ้างคนมาทำเสียใหม่ มีเล้าไก่เล็กๆ และทำแปลงผัก ป้าฮุ่ยชิวเล่าว่าแต่ก่อนบ้านนี้ก็มีคนรับใช้มากมาย เรื่องคนสวนแทบไม่มีปัญหาเลย แต่หลังจากนายท่านใหญ่เสียชีวิตและคุณผู้ชายหายตัวไป การเงินในบ้านขัดสน จำต้องให้คนรับใช้ทยอยออกกันไป แต่เมื่อต้องการใช้งาน หลินเหยาซื่อจะจ้างเป็นรายวัน ป้าฮุ่ยชิวไปตามคนสวนเก่ามาช่วยทำแปลงผักให้คุณนาย ใช้เวลาแค่สองวันก็ได้ตามที่เหยาซื่อต้องการ“คุณนายไม่เสียดายหรือเจ้าคะ” ป้าฮุ่ยชิวอดถามไม่ได้“มีอะไรให้เสียดายกันเล่า” เหยาซื่อหัวเราะเสียงใสขณะจูงมือเด็กฝาแฝดไปดูเล้าไก่ แม่ไก่สามตัวและพ่อไก่หนึ่งตัว อีกไม่นานก็จะเก็บไข่กินได้“ปล่อยไว้ไม่ได้ใช้ประโยชน์มันน่าเสียดายมากกว่า”ป้าฮุ่ยชิวเป็นคนเก่าคนแก่ ซ้ำยังไม่รู้หนังสือ ชีวิตเหลือตัวคนเดียว เมื่อหลินเหยาซื่อสั่งให้ทำอะไร นางก็ลงมือทำทันทีแม้จะมีคำถามในใจอยู่บ้างก็ตาม จักรเย็บผ้า
“ของป้าฮุ่ยซิวก็มีนะ” หลินเหยาซื่อหยิบหมวกทรงฟักทองส่งให้ “เอาไว้คราวหน้าจะเย็บเสื้อผ้าชุดใหม่ให้นะคะ” “ไม่ต้องลำบากหรอกค่ะ” “ลำบากอะไรกันค่ะ” หญิงสาวหัวเราะร่า “เราเป็นครอบครัวเดียวกันนี่น่า วันนี้ไปเที่ยวกันค่ะ” ป้าฮุ่ยซิวยกไม้ยกมือปฏิเสธแต่ถูกเด็กแฝดชายหญิงวิ่งเข้าไปเกาะขาส่งสายตาอ้อนวอน เด็กสองคนแทบไม่ได้ออกไปไหน นานทีจะมีโอกาสได้ไปเที่ยวเล่นนอกบ้าน หากคุณนายไปคนเดียวก็เกรงว่าจะดูแลเด็กสองคนไม่ไหว นางจึงตัดสินใจพยักหน้ารับ “ป้าปิดบ้านสักประเดี๋ยวนะคะ” “ค่ะ” ที่โรงรถมีรถเก๋งอยู่หนึ่งคัน แต่ฝุ่นจับเขรอะไปหมด เรื่องขับรถ เธอขับเป็นอยู่แล้วเพราะตอนสถานสงเคราะห์ก็ได้หัดขับรถ เวลามีกิจกรรมเธอก็ขับรถตู้พาเด็กๆไปพิพิธภัณฑ์หรือไปสวนสัตว์ เท่าที่เธอพอจะรู้ ‘หลินเหยาซื่อ’ในปี1980 เรียนจบมัธยมปลายและไม่ได้เรียนต่อ ทั้งที่บ้านมีฐานะดี แต่เดาว่าเจ้าของร่างนี้สุขภาพไม่แข็งแรงนัก ป้าฮุ่ยซิวเองยังเคยพูดว่า แค่คลอดลูกแฝดได้อย่างปลอดภัยก็นับว่าเธอยังมีบุญอยู่มากแล้ว คงเพราะแบบนี้ถึงรีบแต่งงานตั้งแต่อายุสิบแปด พ
ตอนนี้นางรู้แค่ว่ามีรายรับแค่เดือนละหนึ่งหมื่นหยวน บ้านหลังนี้มีบริเวณเลยสามารถเพาะปลูกเล็กๆน้อยๆ และเลี้ยงไก่เก็บกินไข่ได้ ประสบการณ์จากอยู่สถานสงเคราะห์ทำให้เธอรู้ว่าจะเอาตัวรอดได้อย่างไร แต่การมีชีวิตน้อยๆ ที่เติบโตอย่างช้าๆ ก็เป็นความท้าทายให้หลินเหยาซื่อต้องลองสู้ดูสักตั้ง วันนี้เธอออกมาข้างนอกเพียงลำพัง อาศัยคำอธิบายของป้าฮุ่ยซิว หลายวันก่อนเอาฟิลม์มาล้างและที่ร้านนัดรับวันนี้ออกมารับภาพเอง ตั้งใจว่าจะเดินสำรวจบริเวณนี้ ถ้าอยู่ในปี2023 เธอมีวุฒิปริญญาตรีก็ยังพาหางานทำได้ไม่ยาก แต่ที่นี่เธอจบแค่มัธยมปลาย แม้อาจสูงกว่าคนทั่วไปแต่ก็ยังนับว่าเป็นอุปสรรคในการหางานทำอยู่ดี เอาเถอะ อย่างน้อยก็ยังมี ‘บ้าน’ อยู่ ไม่ต้องจ่ายค่าเช่า แค่นี้ก็ประหยัดไปได้มากแล้ว หญิงสาวเดินตรงไปที่ร้านอัดรูป เพียงผลักบานประตูก็ได้ยินเสียงกรุ๋งกริ๋ง ในร้านมีลูกค้าสาวอยู่ก่อนแล้ว เจ้าของร้านเห็นลูกค้าก็ยิ้มกว้างออกมาต้อนรับอย่างดี ดีเสียจนหลินเหยาซื่อนึกแปลกใจ “มารับรูปค่ะ” เธอเอ่ยบอกแล้วยื่นบัตรนัดรูปไว้ เจ้าของหยิบซองใส่ภาพพร้อมฟิล์มที่ล้างแล้วส่งให้ เธอดูภาพเพื่อตรว
“กั๋ว-จาง-หย่ง- กั๋ว-จาง-ลี่” หญิงสาวพูดพลางให้เด็กๆ จับดินสอเขียนชื่อตัวเอง นิ้วมือเล็กๆ จับดินสออย่างตั้งใจ หลายวันก่อนซื้ออุปกรณ์สำหรับฝึกเขียนอักษร รวมทั้งหนังสือคัดอักษร เด็กแฝดทั้งสองหัวไวกว่าที่เธอคิดไว้มาก ซ้ำยังสนุกกับการขีดๆ เขียนๆ รวมทั้งวาดรูปจนเลอะเทอะให้ป้าฮุ่ยชิวบ่นอุบอยู่บ้าง แต่ก็ทำให้บ้านเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ“เดี๋ยวฉันเย็บผ้ากันเปื้อนให้เด็กๆใส่แล้วกัน เวลาเด็กๆ ทำเลอะจะได้ไม่เลอะไปถึงเสื้อผ้า”“ก็ดีเจ้าค่ะ”ป้าฮุ่ยชิวหัวเราะเบาๆ นางก็บ่นไปอย่างนั้น แต่บ้านที่มีเสียงหัวเราะแบบนี้สิ ถึงจะเป็นบ้าน นางทำงานที่นี่ตั้งแต่สาวยันแก่ บรรยากาศในบ้านมักจะเงียบนิ่งเสมอ แม้กระทั่งก่อนหน้านี้ก็ตาม วันๆ คุณนายก็เอาแต่ตามหาสามีที่หายไป นางเข้าใจคนมั่นในรักอย่างหลินเหยาซื่อ แต่สามีที่หายไปสามปี หากยังมีชีวิตอยู่ก็ควรกลับมาหาลูกหาเมียสิ แต่นี่หายไปไร่ร่องรอยเหมือนคนไม่ต้องการกลับมาที่นี่อีก แต่หลังจากคุณนายฟื้นขึ้นก็ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เลิกตามหาคุณผู้ชาย และทุ่มเทดูแลคุณหนูคุณชายน้อยทั้งสอง เห็นเช่นนี้แล้วนางก็พลอยดีใจกับคุณหนูทั้งสองที่ได้มารดากลับคืน“หลิ
“กั๋วซีฮัน...” หลินเหยาซื่อพยักหน้ารับ เธอพอนึกออกอยู่บ้างเพราะในสมุดบันทึกของ ‘หลินเหยาซื่อ’ มีเขียนถึงกั๋วซีฮันซึ่งเป็นพี่ชายของกั๋วคังเหริน “ป้าฮุ่ยซิวพาเด็กๆไปกินขนมก่อนนะคะ ฉันจะดูแลคุณ เอ่อ พี่ซีฮันเอง” กั๋วซีฮันมองหญิงสาวที่พูดคุยกับเด็กฝาแฝดที่ลอบมองทางเขาก่อนสะบัดหน้าเดินไปพร้อมกับแม่บ้าน ภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้มซ่อนความชิงชังไว้อย่างมิดชิด เด็กสองคนนั้นหน้าตาคล้าย ‘กั๋วคังเหริน’ เสียเหลือเกิน ใครจะรู้ว่าไอ้ไก่อ่อนอย่างกั๋วคังเหรินจะทิ้งทายาทไว้ให้เป็นเสี้ยนหนามชีวิตอีก “พี่ซีฮัน รับน้ำชานะคะ” เธอเอ่ยถามแต่ตัวเองเดินไปรินน้ำร้อนใส่กาน้ำชาเรียบร้อยแล้ว “ให้พี่ช่วยดีกว่าครับ” กั๋วซีฮันปาดเข้าไปยกถาดน้ำชาด้วยตนเอง “เรานั่งที่เก้าอี้สนามหน้าบ้านดีไหม” “ค่ะ” หยินเหยาซื่อพยักหน้ารับ เธอไม่อยากอยู่กับผู้ชายสองต่อสองในบ้านอยู่พอดี พอเขาเสนอให้ไปนั่งด้านนอกก็โล่งใจไปเปราะหนึ่ง “ต้องขอโทษด้วยนะคะ ช่วงที่ไม่สบายหลับไปหลายวัน ตื่นมาอีกทีก็มึนๆ งงๆ จำใครไม่ค่อยได้” “น้องเหยาซื่อไปหาหมอหรือยัง ให้คุณหมอตรวจร่างกายหน่อยดีไหมครับ”
หลินเหยาซื่อตรวจดูของในกระเป๋าแล้วก้าวออกจากบ้าน เธอสำรวจเส้นทางจนคุ้นชินไม่จำเป็นต้องเรียกแท็กซี่แล้ว การใช้รถโดยสารก็ไม่ได้ลำบากอะไร การแต่งตัวที่โดดเด่นสะดุดตากลายเป็นเป้าสายตาอยู่บ้าง แต่เธอก็เลือกที่จะเชิดใบหน้าขึ้น หญิงสาวมาถึงค๊อฟฟี่ช็อฟก่อนเวลาเล็กน้อย เธอเลือกโต๊ะที่นั่งสบายและมองเห็นประตูทางเข้า สั่งกาแฟร้อนให้ตัวเองแล้วนั่งกวาดตามองไปรอบๆ ก่อนรับงานเป็นตัวประกอบ เธอก็เคยทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านกาแฟขณะคิดอะไรเพลินๆ ร่างของหวังเข่อซิงก็เดินเข้ามา หลินเหยาซื่อลุกขึ้นยืนพร้อมรอยยิ้ม หวังเข่อซิงเดินเข้ามาใกล้แล้วจับไหล่ของหญิงสาวไว้ กวาดสายตามองพร้อมรอยยิ้ม “สวยมากจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าแค่เปลี่ยนลวดลายก็ดูสวยแปลกตาขึ้น” “ขอบคุณค่ะ” “มาๆ นั่งก่อน” หวังเข่อซิงนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามแล้วเรียกพนักงานมาสั่งเครื่องดื่ม “เค้กร้านนี้อร่อยนะคะ ซื้อไปฝากเด็กๆที่บ้านก็ได้นะ” หลินเหยาซื่อใจชื้นขึ้น ดูท่าทางหวังเข่อซิงจะเป็นคนคุยง่ายอยู่เหมือนกัน “วันนี้ฉันเอาแบบร่างเสื้อผ้ามาให้ดูค่ะ เผื่อว่ามาดามจะชอบ” หวังเข่อซิง