เพียงเดินเข้ามาในบ้าน กั๋วคังเหรินพลันรู้สึกได้สัมผัสความคุ้นเคยที่ห่างหายไปนาน เขาปรายตามองไปยังชั้นผนังห้องด้านหนึ่ง เป็นรูปวาดสเก็ตภาพด้วยดินสอ เป็นรูปครอบครัวสี่คนพ่อแม่และลูกแฝดทั้งสอง ภาพงานแต่งงานยังคงประดับอยู่ที่ผนังห้อง รูปภาพเหล่านั้นไม่มีฝุ่นเกาะเลยสักนิด แสดงว่าถูกทำความสะอาดหรือหยิบดูบ่อยๆ นี่คงเป็นเหตุผลที่เด็กสองคนที่ไม่เคยเห็นตัวจริงของเขา แต่กลับเรียกเขาว่าพ่อได้เต็มปากเต็มคำ
“คุณหนู คุณชาย มาทางนี้ก่อนค่ะ”
ป้าฮุ่ยชิวพยักหน้าเรียกเด็กทั้งสอง แต่จางหย่งกอดคอชายหนุ่มแน่นไม่ยอมปล่อย จางลี่มองด้วยตาแดงๆ อยากกอดคุณพ่อบ้าง หลินเหยาซื่อเกรงว่าเด็กจะร้องไห้ออกมาเลยส่งลูกให้ป้าฮุ่ยชิว
“หย่งหย่ง ลี่ลี่ อยู่กับคุณป้าก่อนนะคะ คุณ...เอ่อ...คุณพ่อไม่ไปไหนหรอกค่ะ เราสัญญากันว่าจะไม่ดื้อและเชื่อฟังแม่ใช่ไหม”
เด็กสองคนมองหน้ากันแล้วพยักหน้ารับ จางหย่งยอมปล่อยมือแล้วเดินไปจับมือกับจางลี่ที่ยังมองใบหน้าของผู้ชายที่เหมือนในรูปถ่ายก่อนจะจับมือป้าฮุ่ยชิวไปในครัว
เมื่อไม่มีคนอื่นแล้ว หยินเหยาซื่อจึงจ้องมองชายคนหน้าเต็มตา เช่นเดียวกับกั๋วคังเหริน ที่กวาดสายตามองหญิงสาวตรงหน้า ไม่เจอกันเกือบสี่ปี ดู...เปลี่ยนไปมาก หรือไม่ก็เพราะทำใจเรื่องเขาได้แล้วถึงได้ดู ‘สวย’ ขึ้นขนาดนี้
“คุณ...กั๋วคังเหริน?” หลินเหยาซื่อถามตรงๆ ผู้ชายคนนี้นะหรือ?ที่ ‘หลินเหยาซื่อ’ รักสุดจิตสุดใจ รักมากขนาดที่เธอผู้มาอาศัยร่างนี้ยังรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนในอก ตั้งแต่สบตาในวินาทีแรก ร่างนี้ก็แทบอยากโผเข้ากอด ยังดีที่เธอหันไปคว้าเอาจางลี่มากอดไว้แทน ไม่งั้นก็คง...
“ไม่เชื่อว่าเป็นผมเหรอ” เขาถาม น้ำเสียงราบเรียบ
“ก็...คุณหายไป…”
“สามปี”
“สามปีกับอีกหกเดือน” เธอพูดขึ้น ที่จำได้ก็เพราะไดอารี่ของ ‘หลินเหยาซื่อ’ ล้วนๆ
“ลูก...สามขวบแล้วสินะ”
“ค่ะ จางหย่งกับจางลี่สามขวบแล้ว”
“ชื่อที่ผมเคยตั้งไว้...”
เธอเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขากำลังจะบอกว่าเขาคือกั๋วคังเหรินตัวจริงใช่ไหม เชอะ! อย่าให้ตอกย้ำ ในไดอารี่ของหลินเหยาซื่อเขียนไว้ว่า เขาเคยหลุดปากพูดออกมา ถ้ามีลูกชายจะให้ชื่อจางหย่ง ลูกสาวชื่อจางลี่ แต่เขาไม่ได้บอกสักหน่อยว่าเต็มใจมีลูกกับเธอ
“ใช่...ก่อนที่คุณจะหายตัวไป”
ที่พูดเพราะอยากตอกย้ำ ไม่ใช่อาลัยอาวรณ์หรอกนะ เอ๊ะ! หรือว่าเขาจะกลับมาขอหย่า! สวรรค์! หย่าเลยค่ะ ฉันพร้อมค่ะ!
ดวงตาคมหรี่ลงเล็กน้อย กั๋วคังเหรินแน่ใจว่าเมื่อครู่เขาเห็นแววตารื่นเริงของหญิงสาวตรงหน้า แม้จะแค่เสี้ยววินาทีก็ตาม เพราะนั่งประจันหน้ากัน เธออยู่ตรงข้ามกับเขา กั๋วคังเหรินจึงโน้มตัวไปข้างหน้าและยื่นหน้าไปใกล้
“คุณอยากให้พิสูจน์หรือเปล่าล่ะ”
เพราะลมหายใจอุ่นร้อนที่ปะทะใบหน้าทำให้หลินเหยาซื่อตัวเกร็งไปเล็กน้อยแต่ยังบังคับไม่ให้เอนหลังถอยหนี หรือเขาก็ ‘รู้สึก’ว่าเธอไม่ใช่ภรรยาผู้แสนว่านอนสอนง่ายคนนั้น
ทั้งสองประสานสายตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร
ก่อนที่จะทันได้ ‘พิสูจน์’ ว่าคนตรงหน้าคือ ‘สามี’ ตัวจริง หางตาก็เห็นเงาร่างเล็กๆ ที่มุมห้อง ดวงตาสองคู่แอบมองอยู่ กั๋วคังเหรินก็รู้เช่นกัน เขาย้ายสายตากลับไปมองเด็กน้อยทั้งสองด้วยแววตาอ่อนโยน คล้ายทุกสิ่งมันตรงข้ามกับที่เขาคิด หลินเหยาซื่อไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายหรือแม้แต่ทุบตีเขา แต่เธอกลับใช้ ‘สายตา’ไม่เชื่อใจจ้องมอง จนเขาไม่อาจประเมินสถานการณ์เช่นนี้ได้
เด็กสองคนเห็นรอยยิ้มของผู้ชายที่เหมือนในรูปที่ติดผนังห้องเป๊ะ! ก็ยิ้มตอบ แต่พอเห็นสายตาดุๆ ของแม่ก็หดคอกลับไปทันที
กั๋วคังเหรินกลัวหญิงสาวจะดุลูกจึงยื่นมือไปจับมือที่วางอยู่บนโต๊ะเป็นเชิงห้าม เธอหันมามองเขาแวบหนึ่งก่อนจะหันไปฉีกยิ้มให้ลูกทั้งสอง เป็นจังหวะที่ป้าฮุ่ยชิวรีบเดินมาจูงมือเด็กน้อยเข้าไปในครัว เธอจึงหันมาสบตากับเขา
“คิดว่าฉันจะดุลูกหรือไง” เธอแยกเขี้ยวใส่ “ว่าแต่คุณหายไปไหนมา”
เขาเลิกคิ้วขึ้น ไม่คิดว่านี้จะเป็นประโยคที่เขาไม่คิดว่าจะได้ยินจากภรรยาที่อ่อนโยน ตั้งแต่เขารู้จักหลินเหยาซื่อ จะมีดวงตาคู่หนึ่งลอบมองเขาอย่างอ่อนหวานและหากเขาสบตาก็จะพบแววตาประหม่าเขินอาย ต่อให้แต่งงานกันแล้ว ก็ยังเป็นเช่นนั้นอยู่
หรือเพราะวันเวลาที่เขาไม่อยู่ ทำให้เธอกลายเป็นแบบนี้
คงเป็นเพราะเขาถึงทำให้ทุกอย่างมาถึงจุดนี้สินะ
เห็นแววตาอ่อนล้าของเขาแล้ว หลินเหยาซื่อรู้สึกผิดขึ้นมา เขาคือคนที่คุณพ่อเชื่อใจและไว้ใจให้แต่งงานด้วย จู่ๆ กลับหายไป คงมีเรื่องจำเป็นถึงกลายเป็นแบบนี้ หลินเหยาซื่อกระแอมไอพลางคิดว่าต้องพูดใหม่ ต้องงัดวิชายุทธ์ที่เคยเรียนการแสดงออกมา เธอต้องเป็นหลินเหยาซื่อที่อ่อนแอ
“ขอโทษที่ทำให้ลำบาก”
ยังไม่ทันจะปั้นสีหน้า หลินเหยาซื่อก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นมาก่อน เธอเงยหน้าสบตากับแววตาที่รู้สึกผิดซึ่งเธอมั่นใจว่าเขาไม่ได้เสแสร้ง
“เอ่อ...” เธออึกอักไปครู่หนึ่ง จะพูดกับคนที่ไม่เจอกันสามปีหกเดือนยังไงดี
“กลับมาก็ดีแล้วค่ะ” คราวนี้เธอพูดเบาลง
“ผมไม่รู้ว่าคุณท้อง...”
‘ถ้ารู้แล้วจะหายไปไหมล่ะ?’
หลินเหยาซื่อกลืนคำประโยคของตัวตัวเองลงท้อง ยังไม่อยากสร้างรอยร้าวขึ้นในเวลานี้
“ตอนนั้นฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” เธอพูดไปตามที่อ่านในไดอารี่ของหลินเหยาซื่อ “ถ้าไม่มีพวกเขา ฉันก็คงไม่มีกำลังใจอยู่มาถึงตอนนี้”
‘ส่วนประโยคนี้เธอคิดอย่างนั้นจริงๆนะ จู่ๆ เธอก็ฟื้นในร่างของผู้หญิงที่ชื่อเดียวกันแต่ในปี1980 แถมมีลูกแฝดด้วย แต่เพราะเจ้าเด็กแฝดนั้นแหละ ที่ทำให้เธออยากมีชีวิตอยู่ต่อไป’
‘นั้นสินะ ถ้าเขารู้...เขาคงหาทางกลับมาได้เร็วกว่านี้’
“เราค่อยๆคุยเรื่องพวกนี้กันเถอะนะ” หลินเหยาซื่อรีบพูดออกไป เธอเอง จู่ๆมีลูกก็ใช้เวลาทำใจอยู่หลายวัน ตอนนี้จู่ๆสามีก็โผล่มาอีก ไม่รู้จะมีเจ้ากรรมนายเวรที่ไหนโผล่มาอีกไหม
“อืม” เขาพยักหน้ารับ “ผมขอเข้าห้องตัวเองได้ไหม” “ค่ะ” เธอพยักหน้าหงึกหงัก “ป้าฮุ่ยชิวทำความสะอาดเป็นประจำ เผื่อคุณกลับมาก็ใช้ห้องนั้นได้ทันที” เขาชะงักไปเล็กน้อย เกือบสี่ปีที่หายไป เธอคงหวังให้เขากลับมาเสมอเลยสินะ กั๋วคังเหรินหลุบตาลงแล้วลุกขึ้นยืน เดินในบ้านที่คุ้นเคย มันคือบ้านหลังเดิมที่เขารู้จักมานานกว่าสิบปี ตั้งแต่เขายังเป็นนักศึกษา ท่านประธานหลินให้ทุนการศึกษากับเขามาตลอด เรียนจบก็กลับมาทำงานรับใช้ท่าน ที่ผ่านมาเขารู้ว่าสายตาของหลินเหยาซื่อมองเขาด้วยความรู้สึกมากกว่าพี่ชาย แต่ตัวเขาไม่เคยคิดเกินเลย จนกระทั่งคำขอของท่านประธานทำให้เขาแต่งงานกับเธอ แม้แต่งงานกัน แต่แยกห้องนอน เขามีห้องส่วนตัวบนชั้นสองของบ้าน แม้บ้านก็ยังคงเป็นบ้านหลังเดิม เพียงแต่บรรยากาศต่างไป อาจเพราะมีเด็กเล็กๆ อยู่ในบ้าน ความสดใสจึงละลายความหมองหม่นที่ปกคลุมมานาน หลินเหยาซื่อเดินตามแผ่นหลังของเขา เพียงอยากสังเกตว่าเขาจำข้าวของของตัวเองได้หรือไม่ ดูเหมือนเขาจะเดินตรงไปที่ห้องของตัวเองจริงๆ ห้องของเขาไม่ได้ล็อกไว้ ในบ้านตอนนี้มีแค่ป้าฮุ่ยชิว เธอกับลูกแฝด ไม่มีคนอ
“คุณพ่อ” เสียงเด็กชายตัวน้อยยังพูดไม่ชัดนักแต่เรียกกั๋วคังเหรินให้ตื่นจากภวังค์ ยังไม่ทันเอ่ยปากพูดอะไร ป้าฮุ่ยชิวก็เดินเร็วๆ ตรงมาทางเขา “ขอโทษค่ะคุณผู้ชาย คุณหนูกับคุณชายน้อยไปรบกวนหรือเปล่าเจ้าคะ” “ไม่หรอก” เขาตอบแล้วยกมือวางบนศีรษะของเด็กทั้งสอง “ทำไมเด็กๆ ตื่นเช้ากันจัง” “คุณหนูกับคุณชายน้อยตื่นพร้อมป้าเจ้าค่ะ” นางพูดเพราะกลัวว่าคุณผู้ชายจะเข้าใจผิดว่านางดูแลเด็กไม่ดีให้ตื่นไม่เป็นเวลา “ปกติป้านอนห้องเดียวกับคุณหนู ส่วนคุณผู้หญิงทำงานดึกนอนไม่เป็นเวลา เกรงว่าจะรบกวนเวลานอนของลูกเลยแยกไปนอนอีกห้อง แต่เพิ่งแยกห้องนอนไม่นานนี่นะเจ้าค่ะ ปกติคุณนายดูแลคุณหนูทั้งสองดีมาก ต้องอ่านนิทานให้ลูกฟัง กล่อมจนกว่าจะหลับถึงจะออกไปทำงาน” ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างเข้าใจ เขาไม่มีสิทธิตำหนิหลินเหยาซื่อด้วยซ้ำ “ก่อนหน้านี้คุณผู้หญิงล้มป่วยหมดสติไปเจ็ดวัน คุณหนูทั้งสองกลัวคุณผู้หญิงจะไม่ตื่นจึงชอบมาปลุกด้วยตัวเอง เอ่อ...ประเดี๋ยวป้าพาคุณหนูคุณชายลงไปชั้นล่างเองเจ้าค่ะ” “ไม่เป็นไร ผมพาไปเอง ป้าไปทำอาหารเช้า
กั๋วคังเหรินไม่ได้เอ่ยอะไรอีก เขากินโจ๊กในชามตัวเองแล้วคอยดูลูกๆ กินข้าว เสียดายที่ไม่ได้อยู่ตอนที่พวกเขาเกิด ไม่ได้อุ้มตอนที่พวกเขายังแบเบาะ ต่อไปนี้เขาจะชดเชยเวลาที่ขาดหายไปให้ดีที่สุด และเอาทุกสิ่งที่ควรเป็นของหลินเหยาซื่อกลับคืนมา“ลูกแม่เก่งมากๆ” หลินเหยาซื่อพูดขึ้นเมื่อเห็นลูกกินข้าวได้เองแต่พร่องไปเกือบหมดชามแล้ว กั๋วคังเหรินกวาดตามองภรรยาตัวเล็กที่สวมเสื้อผ้าแปลกตา ที่ผ่านมาเขาเห็นเธอมักสวมกระโปรงแต่งกายเรียบร้อยอยู่เสมอแม้จะอยู่บ้านก็ตาม แต่ตอนนี้เธอสวมเสื้อเชิ้ตคอจีนแบบพอดีตัว แต่เป็นแบบเสื้อแขนกุด อวดเรียวแขนขาวผ่อง กับกางเกงทรงประหลาด ดูคล้ายเป็นกางเกงสแล็คของผู้ชายแต่ตัดให้พอดีกับรูปร่าง ผ้าสีครีมทำให้เธอดูอ่อนนุ่มไปทั้งตัว ผมยาวถูกรวบขึ้นอย่างง่ายๆ รับกับผมม้าน่ารัก“คุณแม่หม่ำๆ” จางลี่พูดแล้วยิ้มกว้าง“คุณแม่กินข้าว” จางหย่งไม่ยอมแพ้“จ๊ะๆ แม่กินข้าวด้วยนะ” เพียงหลินเหยาซื่อนั่งลง ป้าฮุ่ยชิวก็ยกโจ๊กมาให้เธอ “ขอบคุณค่ะ”“ขอบคุณค่ะ” จางลี่พูดเลียนแบบแม่“ขอบคุณค่ะ” จางหย่งรีบพูดขึ้นบ้างหลินเหยาซื่อหัวเราะเบาๆ “หย่งหย่งต้องพูดว่าครับ ลี่ลี่พูดว่าค่ะ”“คับ/ค่ะ”ถึงจะพูด
หลินเหยาซื่อยุ่งกับการเย็บชุดตัวอย่าง เธออยากทำงานให้เสร็จก่อนเวลาเพื่อต้องปรับเปลี่ยนแก้ไขให้ถูกใจลูกค้า โชคดีที่เด็กฝาแฝดเป็นเด็กดีไม่ดื้อไม่ซนจนเกินไป เวลาที่เธอทำงานก็จะอยู่กับป้าฮุ่ยชิวเสมอ หญิงสาวยืดตัวแล้วบิดเอวไปมาขับไล่ตงามเมื่อยขบ สายตามองไปที่นอกหน้าต่าง ตรงจุดที่เธอนั่งอยู่มองเห็นโรงจอดรถพอดี เธอแปลกใจที่เห็นร่างของกั๋วคังเหรินกลับเข้ามาทั้งที่เพิ่งจะบ่ายกว่าๆ แต่เขาไม่ได้ตรงเข้ามาในบ้าน แต่ไปที่โรงจอดรถด้วยความอยากรู้ หญิงสาวลุกขึ้นแล้วเดินออกไปทางประตูครัว เดินไปที่โรงจอดรถที่เปิดประตูทิ้งไว้อยู่แล้ว เธอชะงักไปเล็กน้อย สายตาปะทะกับร่างสูงโปรงที่กำลังถอดเสื้อเชิ้ตออก เหลือเพียงเสื้อกล้ามสีขาวเห็นแขนเพรียวที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม เอ...ผู้ชายของ ‘หลินเหยาซื่อ’ ไม่ใช่รูปร่างผอมบางเหมือนคุณชายไม่เคยถูกแดดถูกลมหรอกรึ? หรือว่าเขาเป็นคนอื่นสวมรอยมาเป็น ‘กั๋วคังเหริน’ ชายหนุ่มแขวนเสื้อเชิ้ตกับตะขอที่ผนังห้องแล้วหันมาเจอดวงตากลมโตที่จ้องมองเขาอยู่ กั๋วคังเหรินยกมือขึ้นกอดอกแล้วเอนกายพิงผนังโรงรถ ราวกับจะยืนให้เธอมองเต็มตา
“คุณพ่อกัดปากคุณแม่จริงๆนะ” จางหย่งพูดขึ้นยืนยันสิ่งที่เห็น“คุณแม่ดื้อ คุณพ่อเลยลงโทษ” กั๋วคังเหรินพูดยิ้มๆ แล้วอุ้มลูกชายลูกสาวขึ้นพร้อมกัน “แต่วิธีนี้พ่อทำกับแม่ได้เท่านั้น ลูกเป็นเด็กห้ามทำเด็ดขาด”“ลี่ลี่เป็นเด็กดีไม่ดื้อเหมือนคุณแม่ค่ะ” จางลี่พยักหน้ายืนยัน“หย่งหย่งก็ไม่ดื้อ เป็นเด็กดีครับ” จางหย่งก็ยืนยันอีกเสียง“อืม ลูกๆเป็นเด็กดีจริงๆ” เขายิ้มอ่อนโยน “เด็กดีอยู่กับป้าฮุ่ยชิวก่อนนะครับ พ่อขอซ่อมรถก่อน ตรงนี้ฝุ่นเยอะ ประเดี๋ยวลูกจะจามเพราะฝุ่น”เขาปรายตามองภรรยาสาวที่ขึงตาใส่เขา กั๋วคังเหรินยิ้มยั่วแล้วอุ้มลูกเข้าไปส่งที่บ้าน ปล่อยให้หลินเหยาซื่อกระทืบเท้าไม่พอใจอยู่ตรงนั้น“เด็กพวกนี้นี่! พอมีพ่อก็ลืมแม่ไปหมดเลย!” ‘คนบ้า!’ ผ่านมาสองวันแล้ว แต่ทุกครั้งที่เผลอคิดถึงริมฝีปากของเขา หลินเหยาซื่อก็หน้าแดงทุกที แม้จะพยายามตั้งสติมุ่งมั่นกับการทำงานตรงหน้า แต่มันก็อดคิดไม่ได้อยู่เรื่อยไป ไม่ว่า ‘กั๋วคังเหริน’ เป็นผู้ชายสุภาพอ่อนโยนไม่ใช่เหรอ แต่ ‘กั๋วคังเหริน’ ที่เธอรู้จัก ทำไมเผด็จการขนาดนี้‘ห้ามพูดเรื่องหย่าอีก ระหว่างคุณกับผมจะไม่มีเรื่องนั้นเกิดขึ้นอ
“ถ้าอยากไปก็ได้ ผมไม่มีอะไรปิดบัง อืม...ความจริงผมก็มีเรื่องจะปรึกษาคุณ ผมจะหาพี่เลี้ยงไว้ช่วยคุณเลี้ยงลูกกับเรียกคนรับใช้เก่าแก่ที่เขายังต้องการทำงานอยู่กลับมาทำเหมือนเดิม”“เรา...เรามีเงินจ่ายค่าจ้างเหรอ”หลินเหยาซื่อทำตาโต“เรื่องลูกยังไงฉันก็จะเลี้ยงเอง ไม่ต้องหาพี่เลี้ยงมาหรอก แต่...ป้าฮุ่ยชิวดูแลบ้านคนเดียวคงไม่ไหว ถ้ามีคนช่วยอีกสักคนสองคนก็คงดีไม่น้อย”เจ้าของเสียงทุ่มต่ำหัวเราะเบาๆ แล้วยื่นมือมาจับเอวบางขึ้นมานั่งบนตักของเขา หลินเหยาซื่อทำหน้าตาแตกตื่น คิดจะดิ้นหนีแต่มือแกร่งกอดเอวไว้แน่นทำให้เธอขยับตัวไม่ได้“เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา เรื่องงานที่คุณทำ ผมก็ไม่ห้าม ขอแค่อย่าให้ตัวเองเหนื่อยเกินไป เข้าใจไหม?”หลินเหยาซื่อพยักหน้าหงึกหงักแล้วเอนหลังถอยหนี แต่ฝ่ามือใหญ่ดันแผ่นหลังเอาไว้ แถมยังยื่นหน้าไปใกล้อีก“เมื่อครู่เพิ่งสอนลูกไปไม่ใช่เหรอ ต้องพูดว่ายังไง”หลินเหยาซื่อขึงตาใส่ แต่เขายังไม่ยอมปล่อย เธอสู้แรงไม่ได้จึงพูดเสียงเบาออกไป“ขะ...เข้าใจแล้วค่ะ”“เป็นเด็กดีอย่าดื้อ” เขาได้ใจแกล้งเธออีก ยิ่งเห็นแก้มเนียนแดงเรื่อ ยิ่งพอใจ คิดถึงรสหวานจากริมฝีปากสวยก็อยากลิ้มรสอีกสักครั้งอ
“เข้าใจค่ะ” เธอพยักหน้ายืนยัน “สามีของฉันยังพูดเลยว่า สกุลหวังเป็นนักลงทุนที่ดีมีวิสัยทัศน์ในการทำงานที่ยอดเยี่ยมค่ะ” “พูดต่อหน้ากันแบบนี้ฉันก็เขินแย่สิ” หวังเข่อซิงหัวเราะเบาๆ เป็นจังหวะเดียวกับลูกสาวอายุสิบสองเดินผ่านมา นางจึงเรียกไว้ “แองเจิ้ล ลองเปลี่ยนใส่ชุดนี้ดูสิลูก” เด็กหญิงหน้าตาน่ารักรับชุดกระโปรงมาไว้ในมือ เธอนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนหมุนตัวเดินจากไป “แกเป็นคนพูดน้อยค่ะ” หวังเข่อซิงรีบพูดแทนลูกสาว “สามีคุณก็คงกว้างขวางในแวดวงนักธุรกิจสินะคะ” “ไม่หรอกค่ะ” เธอพูดอย่างถ่อมตัว แต่จริงๆ เธอก็ไม่ค่อยรู้เรื่องของเขานัก “ไหนๆ เราก็จะได้ร่วมงานกันแล้ว ฉันอยากรู้จักสามีของคุณแล้วสิ เขาชื่ออะไรคะ” “กั๋วคังเหรินค่ะ เขาไม่ใช่คนเด่นดังอะไรหรอกค่ะ” “กั๋วคังเหริน...ผู้บริหารหลินกรุ๊ฟ บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หรือคะ?” “เอ่อ...น่าจะใช่นะคะ” ก็เธอไม่รู้จริงๆนี่น่า ในไดอารี่ไม่ได้มีเขียนเรื่องพ่อกับบริษัทตัวเองเลย ในสมองมีแต่เรื่องกั๋วคังเหรินทั้งนั้น แล้วเธอไม่มีความทรงจำของเ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองสามครั้งก่อนบานประตูจะเปิดออกโดยไม่รอให้คนด้านในอนุญาต กั๋วคังเหรินเงยหน้าขึ้นจากหนังสือหนังสือตำราพิชัยสงครามซุนวู หลินเหยาซื่อเดินเข้ามาพร้อมสมุดบันทึกและตลับสายวัดตัว เธอเห็นเขาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม “ฉันจะวัดตัวคุณค่ะ ไหนๆ เราจะได้ออกงานคู่กัน ฉันจะสั่งตัดชุดสูทใหม่ให้คุณให้เข้ากับชุดของฉัน”รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากของชายหนุ่ม“เหมือนชุดของลูกๆ ที่แบบเดียวกับคุณนะเหรอ” “ก็ทำนองนั้น” หลินเหยาซื่อยักไหล่ “ในฐานะที่ฉันกำลังจะเป็นดีไซเนอร์ ฉันก็อยากแสดงว่าตัวเองมีฝีมือจริงๆ ไม่ได้เส้นสายของใคร” เขากลืนเสียงหัวเราะลงท้องแล้วพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ร่างสูงลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วยืนพิงโต๊ะทำงานที่ตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้องนอน ค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตที่สวมอยู่เผยเสื้อกล้ามสีขาว จู่ๆ หลินเหยาซื่อก็รู้สึกร้อนผ่าวทั่วใบหน้า “คุณ...คุณ ถอดเสื้อทำไม” “อ้าว...” เขาแสร้งทำหน้างุนงง “คุณภรรยาจะวัดตัวสามีไม่ใช่เหรอ ผมก็ควรถอดเสื้อให้คุณวัดตัวนี่” เขาพูดแล้วถอดเสื้อเชิ้ตออก ถึงจะยังมีเสื้อกล้ามอยู่
จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกอบอุ่นผูกพันในแววตาคู่นั้น หลินเหยาซื่อไม่แน่ใจว่า ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้คืออะไร ทำไมเธอรู้สึกว่าเขาคือคนที่เคยกุมมือไว้ก่อนที่จะสิ้นใจดวงตาหลังแว่นสายตาตื่นตกใจที่เห็นดวงตาคู่สวยมีหยดน้ำตา “คุณเจ็บตรงไหนหรือเปล่า มีอะไรผิดปกติไหม”หญิงสาวใส่หน้าไปมา “ขอโทษค่ะ ฉันไม่รู้ทำไมตัวเองถึงมีน้ำตา”เธอพยายามหัวเราะเช่นทุกครั้ง เวลามีอะไรเธอมักจะหัวเราะเสมอ กระทั่งครั้งนี้เธอก็หัวเราะทั้งที่มีน้ำตา ชายหนุ่มยื่นมือไปเช็ดน้ำตาที่เปื้อนแก้ม“สัญญากันแล้วนี่นา ว่าจะไม่หลับไปนานแบบนี้อีก”คราวนี้หญิงสาวตกใจกับคำพูดของเขา“เมื่อกี้คุณหมอพูดว่าอะไรนะคะ”‘คุณหมอ’ ชายหนุ่มยิ้มเศร้า เธอคงจำเขาไม่ได้สินะ ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วขยับตัวรักษาระยะห่างระหว่างหมอกับคนป่วย ทั้งที่เขาอยากคว้าเธอมากอดแนบอกเหลือเกิน‘จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แค่เขาจำเธอได้ก็พอ’ชายหนุ่มมองดวงตากลมโตที่ยังมีแววสงสัย เรื่องแบบนี้เล่าไปจะมีใครเชื่อ ตัวเขาเองยังไม่อยากจะเชื่อเลยหลังจากภรรยาตายจากได้ห้าปี เช้าวันหนึ่งเขาก็ตื่นขึ้นมาในร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้าของร่างนี้ป่ว
หญิงสาวถอนหายใจเบาๆ มองตัวเองในกระจก ยกมือขึ้นเปิดเส้นผมที่ปรกหน้าเห็นรอยแผลจากการถูกกระแทกต้องเย็บยี่สิบเข็ม คุณหมอแจ้งว่าถ้าเธอต้องการทำศัลยกรรมเพื่อลบรอยแผลเป็นก็ทำได้ เธอจำได้ว่าตอนนั้นเธอหัวเราะและตอบไปว่า“ไม่เป็นไรค่ะ แผลเป็นนิดเดียว”แต่จริงๆเธอเสียเงินหลายหมื่นหยวน ในปีค.ศ. 2023 นี้ เธอคือผู้หญิงที่หน้าตาธรรมดา เหลือเงินติดบัญชีอยู่ไม่เท่าไหร่ โชคยังดีที่บริษัทภาพยนตร์ที่เธอรับงานเป็นตัวประกอบเห็นใจให้เงินค่าทำขวัญมาจำนวนหนึ่ง ส่วนค่ารักษาพยาบาลนั้นมาจากประกันอุบัติเหตุ เธอจึงไม่ต้องเป็นหนี้สินล้มละลายเพราะการรักษาตัวเอง แต่ข่าวที่เธอช่วยชีวิตคนอื่นก็ทำให้เธอกลายเป็นที่สนใจ ตอนนี้แม้เธอเป็นแค่ตัวประกอบ แต่ก็มีหลายบริษัทอยากให้เธอไปร่วมเล่นซีรีย์บทเล็กๆ ถึงอย่างไรหน้าตาเธอก็ไม่ได้สะสวยพอจะเป็นถึงนางเอกได้ และยิ่งตอนนี้มีแผลเป็นที่หน้าผากอีก ต่อให้ใช้ make up ปิดบังยังไง ก็ยังเห็นอยู่ดี แผลเป็นไม่ได้น่าเกลียดเท่าไหร่ เห็นแล้วก็อดคิดถึงแผลเป็นของผู้ชายคนนึงไม่ได้ แผลเป็นของเขาใหญ่กว่าเธอมาก ผ่านมาหลายปี แผลเป็นนั้นก็เป็นรอยจางๆหลินเหยาซื่อต้องทำกายภาพบำบัดที่โรงพยา
“ผู้ชายหรือผู้หญิงก็ได้ พ่อก็รักไม่น้อย ปกว่ากัน แล้วพวกลูกล่ะ จะรักน้อง ไม่ว่าน้องจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายหรือเปล่า”“แน่นอนครับค่ะ พวกเรารักน้อง อยากให้น้องออกมาเร็วๆ จะช่วยคุณแม่เลี้ยงน้องและเล่นกับน้อง” คนเป็นแม่หัวเราะเสียงใส จะช่วยแม่เลี้ยงน้องหรืออยากเล่นกับน้องก็ไม่รู้เสียงหัวเราะของคนในครอบครัว ละลายความหม่นเศร้าที่เคยปกคลุมในบ้านหายไปหมดสิ้น ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือไปตรงหน้า“เข้าบ้านเถอะเย็นแล้ว อากาศเย็น เดี๋ยวคุณจะไม่สบายเอา”หญิงสาวมองมือใหญ่แข็งแกร่งที่ยื่นมาตรงหน้า เธอรู้ว่ามือคู่นี้จะคอยประคองเธอไว้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เช่นเดียวกับเธอที่สัญญาไว้กับเขาว่าจะจับมือเขาไว้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบางที...นี่อาจเป็นเหตุผลที่โชคชะตาส่งเธอมาในปีนี้ 1980 เพื่อได้รับใครสักคน และเพื่อให้หัวใจได้ถูกรัก.จบ.ลืมตาอีกครั้งหญิงสาวลืมตาขึ้นแล้วพบว่า ตัวเองอยู่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ต้องตั้งสติอยู่นานกว่าจะรู้ว่า ตัวเองตื่นมาในปีค.ศ. 2023 เธอคือผู้รอดตายอย่างปาฏิหาริย์ในอุบัติเหตุรถบัสตกเขาลงแม่น้ำหลินเหยาซื่อจำได้ว่าตอนที่ฟื้นขึ้นมา เธอสบตากับดวงตาคู่หนึ่งแม้เขาจะสวมหน้ากากอนา
คราวนี้เห็นทีจะจบเรื่องแล้วจริงๆ หลินเหยาซื่อถอนหายใจอย่างหอบเหนื่อย เธอถึงกับหมดแรงนั่งลงไปกับพื้น สามีเห็นแล้วก็รีบเข้าไปประคองอุ้มเธอขึ้นมาไว้บนเตียง เขาสั่งการกับเว่ยฉือให้จัดการเรื่องทั้งหมดแทนเขา เมื่อในห้องไม่มีคนนอกแล้ว ลูกทั้งสองคนก็ได้รับอนุญาตให้เข้ามาหาแม่ได้“คุณแม่เกิดอะไรขึ้นครับ/ค่ะ”เด็กน้อยสองคน ปีนขึ้นเตียงรีบเข้ามากอดแม่ เด็กฝาแฝดคนแย่งกันพูดเสียงดัง บรรยากาศกลับสดใสอีกครั้ง หลินเหยาซื่อส่ายหน้าไปมา บทเรียนต่อไปเธอต้องสอนให้ลูกพูดเสียงให้เบาลงกว่านี้ แต่เอาเถอะ เวลานี้เสียงของลูก ไพเราะที่สุดแล้ว“ขอแม่หอมแก้มเพิ่มพลังหน่อยสิ” หญิงสาวพูดขึ้น เด็กน้อยสองคนก็รุมหอมแก้มกันใหญ่สามีถอนหายใจแล้วค่อยยิ้มออกมา ทั้งที่เมื่อครู่เจอเรื่องอันตรายมากแต่เธอก็ยังยิ้มได้ คนที่บ้าที่สุดอาจจะเป็นภรรยาของเขาก็ได้ คิดแล้วเขาก็หัวเราะออกมาหลินเหยาซื่อเสียงสามีหัวเราะ ก็หันไปทำหน้ายู่ใส่“หัวเราะอะไรคะ”“หัวเราะอะไรคะ/ครับ” ลูกสองคนพูดเลียนแบบแม่“ไม่มีอะไรครับ”คนเป็นพ่อพูดแล้วโบกมือไปมา แต่หลินเหยาซื่อสบตากับลูกทั้งสองส่งสัญญาณ คนเป็นสามีรู้สึกไม่ค่อยน่าไว้ใจแสร้งถอยหลัง แต
ภาพที่เห็นตรงหน้า ทำให้ดาราสาวปวดใจแทบเป็นบ้า ยิ่งเห็นกั๋วคังเหรินโอบกอดหลินเหยาซื่ออย่างปกป้องและความห่วงใย ครั้งหนึ่งอ้อมกอดนั้นเคยเป็นของเธอมาก่อน ทำไมมันถึงมาจุดนี้ได้ ทำไมไม่ใช่เธอที่อยู่ในอ้อมกอดเขา ดาราสาวแหงนหน้าหัวเราะ ท่าทางไม่ต่างจากคนเสียสติ โลกไม่ยุติธรรมเสียเลย เธอมองหน้าชายที่เคยรักผ่านม่านน้ำตา“ทำไมคะ ทำไมคุณไม่รักฉัน ทำไมคุณต้องแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้น”ชายหนุ่มถอนหายใจหนักหน่วง เขาประคองร่างของภรรยาขึ้น มองเห็นหยดเลือดจากที่เธอกระชากสายน้ำเกลือออกก็ปวดใจ โชคดีที่ลูกสาวลูกชายไม่ได้อยู่ในห้องนี้ เขาไม่อยากให้ลูกๆ ต้องมาเห็นภาพแบบนี้“เรื่องของเรามันจบไปนานแล้ว คุณจะรื้อฟื้นทำไม คุณเองก็ไม่ได้มีผมเพียงคนเดียว ระหว่างที่เราคบกัน ก็ใช่ว่าผมจะไม่รู้ว่าคุณมีคนอื่น” เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า ได้ยินดังนี้ ดาราสาวถึงกับหน้าซีดไป เพราะเธอคิดเสมอว่าเขาไม่เคยรู้เรื่องราวด้านมืดของเธอเลยชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง“ให้มันจบแค่นี้เถอะ คุณมีชีวิตของคุณ ผมมีชีวิตของผม ผมมีภรรยาและลูกที่รักมากและผมต้องดูแลพวกเขา นอกจากหลินเหยาซื่อแล้ว ชีวิตนี้ผมไม่อาจรักใครได้อีกแล้ว เห็นแก่ควา
หลังจากมั่นใจว่า ในห้องไม่มีคนอื่นอยู่แล้ว หลินเหยาซื่อจึงลุกขึ้นจากเตียงนอน เธอรู้สึกรำคาญสายน้ำเกลืออยู่บ้าง แต่จะทำอย่างไรได้ก็สถานะตอนนี้เป็นคนป่วยนี้นะเธอไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้กับตัวเองอีกเมื่อไหร่ เธอจะหลับไปแบบนี้อีกไหม หลับไปยาวนานถึง 7 วัน ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเธอ แม้กระทั่งหมอ แต่ตัวเธอเอง ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่า ชีวิตที่ได้มาใหม่นี้ จะใช้ได้ยาวนานเพียงใด แต่ที่สุดแล้ว ก็ยังมีลมหายใจอยู่ โดยเฉพาะในชาตินี้ เธอรู้ดีว่า มีสิ่งที่สำคัญที่สุดรออยู่ นั่นก็คือ ลูกชายหญิงฝาแฝดของเธอ ที่แม้ซนเหมือนลิง แต่เธอก็รักพวกเขามากแม้ไม่มีความทรงจำที่อุ้มท้องพวกเขา แต่เธอก็รู้สึกว่าทั้งสองเป็นลูกของเธอจริงๆหญิงสาว มองไปที่โต๊ะตรงหัวเตียง มีกระเช้าผลไม้ตั้งอยู่ มีผลไม้หลากชนิด เธอเอื้อมมือไปหยิบแอปเปิ้ลสีสวย เห็นแล้วก็คิดถึงงานที่ทำค้างอยู่ Collection ใหม่ครั้งหน้า เธอน่าจะออกแบบลายผ้า เป็นรูปผลไม้เด็กๆชอบผลไม้สีสันสดใส น่าจะทำลายผ้าแล้ว ทำของอย่างอื่นด้วยก็ดีนะหลินเหยาซื่อคิดฝันไปไกลถึงกิจการของตัวเอง และเม็ดเงินที่จะเข้ากระเป๋า เมื่อมีเงินมาก เธอก็สามารถท
แม้จะไม่ได้อาบน้ำแต่ก็สบายตัวขึ้น หลินเหยาซื่ออารมณ์ดีขึ้น เธอเดินกลับมานั่งบนเตียง ผู้ชายตัวโตบังคับให้เธอลงนอน แต่เธอตีแขนเขาเบาๆ “นอนเยอะแล้วค่ะ ให้นั่งบ้างเถอะ” เธอกวาดตามองเขาแล้วดึงแขนให้เขามานั่งข้างๆ ยื่นมือไปแตะบริเวณที่จำได้ว่าเคยเห็นเลือดไหล “หลังก็มีแผลเป็น หน้าจะมีแผลเป็นอีกไหมนะ” “คุณกลัวเหรอ” เขาถามยิ้มๆ เขาเป็นผู้ชาย แผลเป็นไม่ได้สำคัญกับเลยสักนิด “เปล่าเสียหน่อย ฉันเป็นห่วงคุณต่างหาก คุณให้คุณหมอตรวจร่างกายหรือยังคะ ทุกอย่างโอเค.ไหม” “ผมบาดเจ็บเล็กน้อย คุณต่างหากที่หลับไป หมอก็หาสาเหตุไม่เจอ” “ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะคะ” “ผมต่างหากที่ทำให้คุณต้องบาดเจ็บ” “ก็บอกแล้วไงว่าตอนนี้ไม่ใช่เรื่องของคุณ-เรื่องของฉัน แต่เป็นเรื่องของเราแล้วค่ะ” นอกจากแม่แล้ว เขาก็ไม่เคยมีใครใกล้ชิดแบบนี้ แม้แต่ตอนที่คบกับเดซี่ แม้ภายนอกใกล้ชิดกันแต่ระยะห่างของหัวใจนั้นไกลมาก เสียงประตูห้องเปิดออก กั๋วคังเหรินคิดว่าลูกๆกลับมาแล้ว แต่เมื่อหันไปดูจึงพบว่าเป็นคนที่เขาไม่อยากเจอหน้
ทันทีที่ลืมตา ภาพที่เห็นคือเด็กน้อยสองคนที่หน้าตาคล้ายกันจนเหมือนพิมพ์เดียวกันนั่งจ้องหน้าด้วยแววตาวิตกกังวล ทำให้เธอยื่นมือไปตั้งใจจะคว้าเอาเด็กสองคนมากอด แต่มีสายน้ำเกลือติดที่แขนทำให้ชะงักไป หลินเหยาซื่อทำหน้างุนงงและสับสนว่าเธออยู่ในปีค.ศ.ไหนกันแน่ “คุณแม่ตื่นแล้ว!” จางลี่กับจางหย่งผสานเสียงขึ้นพร้อมกันเสียงดังจนหลินเหยาซื่อต้องหยีตาและทำให้กั๋วคังเหรินที่ยืนคุยกับคุณหมอรีบสาวเท้ามาข้างเตียงภรรยาสาว “เหยาซื่อ...ได้ยินผมไหม?” กั๋วคังเหรินถามเสียงสั่น เขาเองก็กลัวว่าเธอจะไม่ฟื้นขึ้นมา แต่ไม่อาจแสดงความอ่อนแอได้ เพราะลูกยังต้องการเขาอยู่ “เกิดอะไรขึ้น” เธอถามและพบว่าน้ำเสียงแหบแห้งเหลือเกิน “ฉันอยู่ที่ไหน” “โรงพยาบาล...” เขาเอ่ยชื่อออกไป “คุณหลับไปเจ็ดวันเลยทีเดียว” “เจ็ดวัน...” หลินเหยาซื่อยังมึนงงอยู่ แต่เมื่อยื่นมือไปแตะใบหน้าที่โน้มลงมาใกล้สัมผัสไออุ่นที่คุ้นเคยก็ทำให้มั่นใจว่าไม่ได้ฝันไป “ขอโทษที่หลับไปนานนะคะ” เธอหันไปมองลูกทั้งสองที่ทำตาแดงๆ มองเธอ “แม่หลับไปหลายวัน ดื้อกับคุณพ่อหรือเปล่า
หลินเหยาซื่อถูกแรงกระแทกทำให้ผวาตื่น เธอหันซ้ายแลขวาอย่างตื่นตระหนก รถยนต์ส่ายไปมาอย่างน่ากลัว ความทรงจำสุดท้ายก่อนจะมาฟื้นในปี1980คือรถบัสที่ส่ายไปมาและพุ่งตกเขา เธอตื่นตระหนกด้วยคิดว่าตัวเองกลับไปสู่เหตุการณ์ในปี2023 แต่มือที่กุมมือแน่นอยู่นั้นทำให้เธอรู้ว่าตอนนี้เธออยู่ในปี1980กับผู้ชายที่ชื่อกั๋วคังเหริน“เกิดอะไรขึ้นคะ”“เชื่อใจผม” เขาโอบเธอไว้ในอ้อมกอดกดศีรษะเธอให้ซุกกับแผ่นอกของเขา“เว่ยฉือ”“พวกมันมากันหลายคน ผมจะพยายามสลัดพวกมันให้หลุด อ๊ะ!”รถยนต์คันนั้นพุ่งเข้าชนจากท้ายรถอีกครั้งแต่ครั้งนี้มันดันให้ไปด้านหน้า เว่ยซือจะหักพวกมาลัยหลบแต่รถยนต์อีกคันมาขนาบข้าง ดวงตาดำจ้องมองผ่านหน้าต่างรถ กั๋วคังเหรินเห็นปากกระบอกปืนส่องมาตรงมาทางเขาก็รีบกดร่างหลินเหยาซื่อให้หมอบลงไป เว่ยซือเห็นท่าไม่ดีเหยียดคันเร่งหนีให้พ้นวิถีปืน ทว่ารถยนต์เสียหลักออกนอกเส้นทางพุ่งตกลงไปในแม่น้ำ!รวดเร็วจนหลินเหยาซื่อไม่ทันกรีดร้อง เธอรู้สึกว่าร่างกระเด็นกระดอนในรถยนต์ แต่ก็มีกั๋วคังเหรินกอดไว้แน่น เธอหูอื้อไม่ยินเสียงใดทั้งนั้น ราวกับเคยเกิดเรื่องนี้มาก่อน ใช่ ...มันเคยเกิดขึ้นในรถบัสที่เธอนั่งเดินไปเป็น