หลินเหยาซื่อตรวจดูของในกระเป๋าแล้วก้าวออกจากบ้าน เธอสำรวจเส้นทางจนคุ้นชินไม่จำเป็นต้องเรียกแท็กซี่แล้ว การใช้รถโดยสารก็ไม่ได้ลำบากอะไร การแต่งตัวที่โดดเด่นสะดุดตากลายเป็นเป้าสายตาอยู่บ้าง แต่เธอก็เลือกที่จะเชิดใบหน้าขึ้น หญิงสาวมาถึงค๊อฟฟี่ช็อฟก่อนเวลาเล็กน้อย เธอเลือกโต๊ะที่นั่งสบายและมองเห็นประตูทางเข้า สั่งกาแฟร้อนให้ตัวเองแล้วนั่งกวาดตามองไปรอบๆ ก่อนรับงานเป็นตัวประกอบ เธอก็เคยทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านกาแฟ
ขณะคิดอะไรเพลินๆ ร่างของหวังเข่อซิงก็เดินเข้ามา หลินเหยาซื่อลุกขึ้นยืนพร้อมรอยยิ้ม หวังเข่อซิงเดินเข้ามาใกล้แล้วจับไหล่ของหญิงสาวไว้ กวาดสายตามองพร้อมรอยยิ้ม
“สวยมากจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าแค่เปลี่ยนลวดลายก็ดูสวยแปลกตาขึ้น”
“ขอบคุณค่ะ”
“มาๆ นั่งก่อน” หวังเข่อซิงนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามแล้วเรียกพนักงานมาสั่งเครื่องดื่ม “เค้กร้านนี้อร่อยนะคะ ซื้อไปฝากเด็กๆที่บ้านก็ได้นะ”
หลินเหยาซื่อใจชื้นขึ้น ดูท่าทางหวังเข่อซิงจะเป็นคนคุยง่ายอยู่เหมือนกัน
“วันนี้ฉันเอาแบบร่างเสื้อผ้ามาให้ดูค่ะ เผื่อว่ามาดามจะชอบ”
หวังเข่อซิงดูแบบร่างในสมุดภาพ ดวงตาเบิกกว้างเงยหน้ามองหญิงสาวท่าทางอายุน้อยแล้วก้มมองที่ภาพอีกครั้ง
“ชุดพวกนี้...คุณออกแบบเองทั้งหมดเลยเหรอ” หวังเข่อซิงพูดแล้วก็นึกได้
“อ๊ะ! ฉันไม่ได้ดูแคลนคุณนะคะ แต่มันสวยและมีเอกลักษณ์มาก สามีฉันทำธุรกิจด้านนี้ เรามีโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า ปกติรับตัดเครื่องแบบพนักงาน แต่ตอนนี้อยากขยายงานมาเป็นเสื้อผ้าสำเร็จรูป แต่เรื่องออกแบบเราจ้างดีไซเนอร์มาออกแบบเสื้อผ้าให้แบรนด์ของเรา แต่ยังไม่ตรงใจตลาด วันก่อนที่เห็นภาพเสื้อผ้าชุดครอบครัวก็เลยได้ไอเดียอยากลองทำเสื้อผ้าเช็ตครอบครัวดูค่ะ”
หลินเหยาซื่อตั้งใจฟังแล้วก็พยักหน้ารับ
“คุณหลินอยากลองร่วมงานกับเราไหมคะ ฉันเป็นคนพูดตรงไปตรงมาอย่างนี้ คุณอย่าถือสาฉันเลยนะ”
“ไม่หรอกค่ะ แบบนี้ดีแล้ว” เธอยิ้มกว้าง “ฉันดีใจที่มาดามชอบ แล้วตอนนี้ฉันเองก็กำลังหารายได้จากความสามารถของตัวเองอยู่ แต่ฉันไม่ได้ร่ำเรียนทางนี้มา มีแต่ความชอบล้วนๆ แต่ถ้ามาดามให้โอกาส ฉันจะทำงานเต็มที่แน่นอนค่ะ”
“ได้ยินแบบนี้ฉันดีใจจริงๆค่ะ ขอบคุณมากนะคะ”
“เป็นฉันที่ต้องขอบคุณมาดามมากกว่าค่ะ”
“ฉันยังมีโปรเจคที่อยากทำอีกเยอะแยะ ฉันหวังว่าจะได้ร่วมงานกับคุณจริงๆ” หวังเข่อซิงเปิดกระเป๋าสตางค์ “ถือว่าเป็นค่าต้นแบบก็แล้วกันค่ะ คุณหลินตัดออกมาสักชุด เป็นเซ็ตแม่ลูก ฉันจะเอาไปเสนอที่บริษัทค่ะ”
“ได้ค่ะ” เธอไม่ปฏิเสธที่จะรับเงิน “มาดามเรียกฉันว่าเหยาซื่อก็ได้ค่ะ”
“น้องเหยาซื่อ” หวังเข่อซิงรู้สึกถูกชะตากับผู้คนนี้มากจริงๆ “ฉันเองก็มีลูกสาว น้องเหยาซื่อก็มีลูกฝาแฝด ถ้ามีเรื่องอะไรก็พูดคุยปรึกษากันได้”
“ค่ะ ถ้าอย่างนั้น ฉันขอถามรายละเอียดงามเพิ่มเติมนะคะ”
“ได้เลยค่ะ ยังไงฉันก็ต้องนั่งรอลูกเรียนบัลเลย์จนจบชั่วโมง ไม่ได้ไปไหนอยู่แล้ว”
หญิงสาวยิ้ม หยิบปากกาจดรายละเอียดของเสื้อผ้าในรูปแบบที่หวังเข่อซิงต้องการ ระหว่างนั้น เธอเผลอมองไปนอกร้าน เห็นชายคนหนึ่งสวมหมวกแก๊ปสีดำดึงปีกหมวกลงเกือบปิดใบหน้า เขายืนอยู่หน้าตู้โชว์ขนมอยู่นานแล้ว หลินเหยาซื่อนอกจากคุยเรื่องงานแล้วก็ยังคุยเล่นเป็นเพื่อนหวังเข่อซิงที่รอเวลาลูกสาวเลิกเรียน ผ่านไปครู่ใหญ่หวังเข่อซิงชวนเธอไปเลือกขนมเค้กเพื่อซื้อกลับบ้าน
“เลือกหลายๆ ชิ้นสิ เอาไปฝากลูกๆ เธอด้วย”
“ขอบคุณมากค่ะ”
หลินเหยาซื่อเกรงใจ แต่ขนมน่ากินจริงๆ เธอเลือกหลายชิ้นตั้งใจว่าจะออกเงินเองแต่สุดท้ายหวังเข่อซิงโบกมือห้ามไว้
“ฉันจ่ายเงินให้เอง ถือว่าเป็นของฝากจากฉันก็ได้”
พูดขนาดนี้แล้ว เธอปฏิเสธไม่ลง แต่ก็เลือกกล่องเล็กอีกสองกล่อง
“อันนี้ขอจ่ายเองนะคะ จะเอาไปฝากแม่บ้านค่ะ”
หวังเข่อซิงตามใจ เธอชอบหลินเหยาซื่อมาก แต่เพิ่งพบกันอย่างเป็นทางการ จะถามเรื่องครอบครัวก็ดูจะไม่เหมาะนัก จึงไม่ได้เอ่ยถามสิ่งที่สงสัย หลังจากจ่ายเงินเรียบร้อย หวังเข่อซิงก็หยิบโทรศัพท์ติดตามตัวขึ้นโทรตามคนขับรถมารอรับ หลินเหยาซื่อเห็นแล้วก็ได้แต่อุทานในใจ คนในยุคนี้ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีเงินซื้อโทรศัพท์มือถือ
“ฉันไปก่อนนะอีกสองอาทิตย์เจอกัน แล้วจะให้รถไปรับก็โทรมาบอกได้นะ”
“ขอบคุณมากค่ะมาดาม”
หลินเหยาซื่อรอส่งหวังเข่อซิงเดินไปขึ้นรถเก๋งหรูหราที่มาจอดรออยู่ เธอถอนหายใจเบาๆ แล้วหันไปมองที่หน้าตู้โชว์ขนม ผู้ชายคนนั้นยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เธอก้าวเท้าเข้าไปใกล้แล้วยื่นถุงกระดาษใส่ขนมเค้กก้อนเล็กให้เขา
“เอาไปสิ”
“....”
“ไม่ต้องเกรงใจ เห็นคุณยืนดูอยู่ตั้งนาน” เธอยิ้มให้ แม้จะไม่เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย แต่เขายังยืนนิ่งอยู่ เธอเดาว่าเขาคงเขินอายจึงยัดใส่มือของเขา
“อร่อยมากเลยค่ะ แล้วในถุงนี้มีน้ำดื่มด้วย คุณไม่ต้องกลัวว่าจะติดคอ”
เห็นเขารับถุงใส่ขนมแล้ว หลินเหยาซื่อก็หมุนตัวเดินจากไป ในหัวเธอคิดแต่เรื่องงานที่เพิ่งได้รับ คำนวนเรื่องผ้าที่ต้องใช้ แต่ก่อนกลับบ้านเธอต้องแวะซื้อแป้งสาลี่กับสีผสมอาหาร เธอสัญญากับลูกๆ ว่าจะทำแป้งโดว์ให้เด็กๆ ได้ปั้นเล่นเป็นการฝึกกล้ามเนื้อของมือน้อยๆ ทั้งสองข้าง ที่จริง เธอซื้อดินน้ำมันก็ได้ แต่ดินน้ำมันก็มีหลายยี่ห้อ เธอกลัวเรื่องสารเคมีตกค้างในดินน้ำมัน จึงตั้งใจจะทำแป้งปั้นให้เด็กๆ ไว้ใช้เอง
ชายหนุ่มมองถุงกระดาษที่มีขนมเค้กอยู่ข้าใน เขาขยับปีกหมวกขึ้นมองแผ่นหลังของหญิงสาวที่เดินจากไปแล้ว ดวงตายังฉาบแววฉงนสงสัย ทำไมเธอทำเหมือนไม่รู้จักเขา ทั้งที่เขาคือคนที่เธอควรจะเกลียดที่สุดก็ตาม.
***ฉีเผา(旗袍) = กี่เพ้า
หลินเหยาซื่อทำแป้งโดว์ให้เด็กทั้งสองเล่นและสอนปั้นเป็นรูปทรงต่างๆ จางหย่ง จางลี่ ต่างก็ชื่นชอบกันมาก “ไม่คิดว่าแป้งสาลี่จะเอามาทำแป้งปั้นแบบนี้ได้นะคะ” “ใช้ดีกว่าดินน้ำมันอีก” หลินเหยาซื่อหัวเราะคิกคัก นั่งมองเด็กๆ ปั้นแป้งเป็นรูปสัตว์ต่างๆ “ให้เด็กๆ เล่นหน้าบ้านสักยี่สิบนาทีแล้วพาเข้าบ้านนะคะ ฉันจะไปทำงานก่อน” “เจ้าค่ะ คุณผู้หญิง” ป้าฮุ่ยชิวนั่งดูเด็กๆ ปั้นดิน ตอนนี้หลินเหยาซื่อใช้ห้องนั่งเล่นเป็นห้องทำงานตัดเย็บเสื้อผ้าตัวอย่าง จึงไม่อยากให้เด็กๆ เข้าไปรบกวนเวลาทำงาน “ไข่ น้องไก่ไข่แล้วไปเก็บไข่กัน” จางลี่พูดขึ้นเมื่อได้ยินเสียงแม่ไก่ร้องกระต๊ากๆ “เก็บไข่ๆ” จางหย่งพูดขึ้นและทำท่าจะวิ่งไปที่เล้าไก่ใกล้ๆ “ใจเย็นๆค่ะคุณหนูคุณชาย” ป้าฮุ่ยชิวหัวเราะออกมา จางลี่เป็นผู้หญิงแต่นิสัยใจกล้าอยากรู้อยากเห็นเหมือนเด็กผู้ชาย แต่จางหย่งเป็นเด็กชายกลับนิสัยอ่อนโยนว่าง่ายราวเด็กผู้หญิง “เดี๋ยวป้าเก็บเอง คุณๆ รออยู่ตรงนี้ อ้อ เล่นลูกบอลนี้ก็ได้ค่ะ” ป้าฮุ่ยชิวส่งลูกบอลให้จางหย่งแล้วเดินไปทางเล้าไก่ คร
เพียงเดินเข้ามาในบ้าน กั๋วคังเหรินพลันรู้สึกได้สัมผัสความคุ้นเคยที่ห่างหายไปนาน เขาปรายตามองไปยังชั้นผนังห้องด้านหนึ่ง เป็นรูปวาดสเก็ตภาพด้วยดินสอ เป็นรูปครอบครัวสี่คนพ่อแม่และลูกแฝดทั้งสอง ภาพงานแต่งงานยังคงประดับอยู่ที่ผนังห้อง รูปภาพเหล่านั้นไม่มีฝุ่นเกาะเลยสักนิด แสดงว่าถูกทำความสะอาดหรือหยิบดูบ่อยๆ นี่คงเป็นเหตุผลที่เด็กสองคนที่ไม่เคยเห็นตัวจริงของเขา แต่กลับเรียกเขาว่าพ่อได้เต็มปากเต็มคำ“คุณหนู คุณชาย มาทางนี้ก่อนค่ะ”ป้าฮุ่ยชิวพยักหน้าเรียกเด็กทั้งสอง แต่จางหย่งกอดคอชายหนุ่มแน่นไม่ยอมปล่อย จางลี่มองด้วยตาแดงๆ อยากกอดคุณพ่อบ้าง หลินเหยาซื่อเกรงว่าเด็กจะร้องไห้ออกมาเลยส่งลูกให้ป้าฮุ่ยชิว“หย่งหย่ง ลี่ลี่ อยู่กับคุณป้าก่อนนะคะ คุณ...เอ่อ...คุณพ่อไม่ไปไหนหรอกค่ะ เราสัญญากันว่าจะไม่ดื้อและเชื่อฟังแม่ใช่ไหม”เด็กสองคนมองหน้ากันแล้วพยักหน้ารับ จางหย่งยอมปล่อยมือแล้วเดินไปจับมือกับจางลี่ที่ยังมองใบหน้าของผู้ชายที่เหมือนในรูปถ่ายก่อนจะจับมือป้าฮุ่ยชิวไปในครัวเมื่อไม่มีคนอื่นแล้ว หยินเหยาซื่อจึงจ้องมองชายคนหน้าเต็มตา เช่นเดียวกับกั๋วคังเหริน ที่กวาดสายตามองหญิงสาวตรงหน้า ไม่เจอกันเ
แนะนำตัวละครหลินเหยาซื่อ : อายุ 22 ปี อาชีพนักแสดงตัวประกอบ กั๋วคังเหริน : อายุ 28 ปี ประธานกั๋วผู้บริหารบริษัทหลินกรุ๊ฟกั๋วจางหย่ง ( กล้าหาญ ) กั๋วจางลี่ / ( งดงาม) : ลูกแฝดชายหญิงวัย 3 ขวบ ป้าฮุ่ยชิว : ป้าแม่บ้านที่อยู่มานาน 'ตัวประกอบ' คือนักแสดงที่แทบไม่เคยอยู่ในสายตาคนดูคนเราล้วนเป็นตัวประกอบในชีวิตของกันและกันอาจแค่เคยเดินผ่านมาในชีวิตใครสักคนเพื่อให้ฉากในวันนั้นสมบูรณ์แบบและในขณะเดียวกัน คนที่เล่นเป็นตัวประกอบในชีวิตคนอื่น ก็เล่นเป็นนางเอก(พระเอก)ในชีวิตของตัวเอง ทันทีที่ตัดสินใจลืมตา ภาพแรกที่เห็นคือเด็กน้อยสองคนที่หน้าตาคล้ายกันจนเหมือนพิมพ์เดียวกันนั่งจ้องหน้าด้วยแววตาวิตกกังวล มันไม่ใช่แววตาที่เด็กสามขวบควรมี ทำให้เธอตัดสินใจยื่นมือไปคว้าเอาเด็กสองคนมากอดแล้วหอมแก้มฟอดใหญ่ เสียงหัวเราะคิกคักจึงดังขึ้น “แม่ตื่นแล้ว” หญิงสาวบอกกับเด็กน้อยที่ตอนนี้ปีนขึ้นเตียงเธอเรียบร้อยแล้ว “ทำไมลูกๆ ตื่นเช้ากันจัง หรือว่าหิวกันแล้ว” “หม่ำๆ” “ขอโทษนะ แม่ตื่นสายเอง” เธอจุ๊บแก้มนุ่มๆ ของเด็กๆ ไม่กี่นาทีต่อมา แม่บ้านวัยห้าสิบก
ภายนอกเขาคือสามีที่ใส่ใจภรรยา แต่เรื่องในบ้านไม่มีใครรู้ และยิ่งทุกอย่างกลายเป็นความดำมืดที่ไม่มีใครล่วงรู้ก็คือ วันหนึ่งฮุ่ยชิวรับโทรศัพท์จากตำรวจซึ่งแจ้งว่าพบรถยนต์ของคุณกั๋วคังเหรินตกเขา สภาพรถพังเสียหาย ในที่เกิดเหตุพบศพหญิงสาวที่มาทราบภายหลังว่าเป็นนักร้องไนท์คลับแห่งหนึ่ง แต่ไม่พบร่างของกั๋วคังเหริน ไม่มีใครรู้ความสัมพันธ์ของกั๋วคังเหรินกับผู้หญิงคนนั้น แต่แน่นอนว่าข่าวที่ออกไปไม่ดีนัก ในปีนั้นเองที่หลินเหยาซื่อตั้งครรภ์อ่อนๆ เธอเองก็ไม่รู้ว่ากั๋วคังเหรินรู้หรือไม่ว่าภรรยาสาวตั้งครรภ์ได้สามเดือนแล้ว หญิงสาวเดินเข้าในห้องครัว เด็กชายหญิงหน้าตาละม้ายคล้ายกันหันมามองแล้วสิ่งยิ้มกว้าง เด็กทั้งสองนั่งแกว่งเท้าไปมาบนเก้าอี้เด็ก หลินเหยาซื่อส่งยิ้มกว้าง เดินไปคว้าผ้ากันเปื้อนมาคาดเอวอย่างรวดเร็วและเตรียมลงมือป้อนอาหารเช้าให้เด็กทั้งสอง“คุณผู้หญิงค่ะ ไก่ที่สั่งไว้มาส่งแล้วนะคะ”“ไก่มาแล้วหรือ?” เธอหันไปมองนาฬิกา “มาแต่เช้าเลยรึ? หรือว่าฉันตื่นสาย”ป้าฮุ่ยชิวแอบค้อนเข้าให้ “คุณผู้หญิงไม่น่าให้เงินไปก่อนเลยเจ้าค่ะ คราวหน้าคราวหลังได้ของแล้วค่อยให้เงินนะเจ้าค่ะ”“แค่ไก่ไม่กี่ตัว เขาคง
“คุณนายค่ะ ให้คนยกจักรเย็บผ้าออกมาให้แล้วค่ะ”“ขอบใจจ๊ะ” หลินเหยาซื่อตื่นจากภวังค์ เธอไม่มีเวลามาสนใจผู้ชายที่หายไปคนนั้น หญิงสาวลุกขึ้นยืนแล้วจูงมือเด็กทั้งสองคนไปที่ห้องนั่งเล่น บ้านหลังนี้กว้างขวางดี ด้านหลังที่เคยเป็นสวนดอกไม้ เธอก็จ้างคนมาทำเสียใหม่ มีเล้าไก่เล็กๆ และทำแปลงผัก ป้าฮุ่ยชิวเล่าว่าแต่ก่อนบ้านนี้ก็มีคนรับใช้มากมาย เรื่องคนสวนแทบไม่มีปัญหาเลย แต่หลังจากนายท่านใหญ่เสียชีวิตและคุณผู้ชายหายตัวไป การเงินในบ้านขัดสน จำต้องให้คนรับใช้ทยอยออกกันไป แต่เมื่อต้องการใช้งาน หลินเหยาซื่อจะจ้างเป็นรายวัน ป้าฮุ่ยชิวไปตามคนสวนเก่ามาช่วยทำแปลงผักให้คุณนาย ใช้เวลาแค่สองวันก็ได้ตามที่เหยาซื่อต้องการ“คุณนายไม่เสียดายหรือเจ้าคะ” ป้าฮุ่ยชิวอดถามไม่ได้“มีอะไรให้เสียดายกันเล่า” เหยาซื่อหัวเราะเสียงใสขณะจูงมือเด็กฝาแฝดไปดูเล้าไก่ แม่ไก่สามตัวและพ่อไก่หนึ่งตัว อีกไม่นานก็จะเก็บไข่กินได้“ปล่อยไว้ไม่ได้ใช้ประโยชน์มันน่าเสียดายมากกว่า”ป้าฮุ่ยชิวเป็นคนเก่าคนแก่ ซ้ำยังไม่รู้หนังสือ ชีวิตเหลือตัวคนเดียว เมื่อหลินเหยาซื่อสั่งให้ทำอะไร นางก็ลงมือทำทันทีแม้จะมีคำถามในใจอยู่บ้างก็ตาม จักรเย็บผ้า
“ของป้าฮุ่ยซิวก็มีนะ” หลินเหยาซื่อหยิบหมวกทรงฟักทองส่งให้ “เอาไว้คราวหน้าจะเย็บเสื้อผ้าชุดใหม่ให้นะคะ” “ไม่ต้องลำบากหรอกค่ะ” “ลำบากอะไรกันค่ะ” หญิงสาวหัวเราะร่า “เราเป็นครอบครัวเดียวกันนี่น่า วันนี้ไปเที่ยวกันค่ะ” ป้าฮุ่ยซิวยกไม้ยกมือปฏิเสธแต่ถูกเด็กแฝดชายหญิงวิ่งเข้าไปเกาะขาส่งสายตาอ้อนวอน เด็กสองคนแทบไม่ได้ออกไปไหน นานทีจะมีโอกาสได้ไปเที่ยวเล่นนอกบ้าน หากคุณนายไปคนเดียวก็เกรงว่าจะดูแลเด็กสองคนไม่ไหว นางจึงตัดสินใจพยักหน้ารับ “ป้าปิดบ้านสักประเดี๋ยวนะคะ” “ค่ะ” ที่โรงรถมีรถเก๋งอยู่หนึ่งคัน แต่ฝุ่นจับเขรอะไปหมด เรื่องขับรถ เธอขับเป็นอยู่แล้วเพราะตอนสถานสงเคราะห์ก็ได้หัดขับรถ เวลามีกิจกรรมเธอก็ขับรถตู้พาเด็กๆไปพิพิธภัณฑ์หรือไปสวนสัตว์ เท่าที่เธอพอจะรู้ ‘หลินเหยาซื่อ’ในปี1980 เรียนจบมัธยมปลายและไม่ได้เรียนต่อ ทั้งที่บ้านมีฐานะดี แต่เดาว่าเจ้าของร่างนี้สุขภาพไม่แข็งแรงนัก ป้าฮุ่ยซิวเองยังเคยพูดว่า แค่คลอดลูกแฝดได้อย่างปลอดภัยก็นับว่าเธอยังมีบุญอยู่มากแล้ว คงเพราะแบบนี้ถึงรีบแต่งงานตั้งแต่อายุสิบแปด พ
ตอนนี้นางรู้แค่ว่ามีรายรับแค่เดือนละหนึ่งหมื่นหยวน บ้านหลังนี้มีบริเวณเลยสามารถเพาะปลูกเล็กๆน้อยๆ และเลี้ยงไก่เก็บกินไข่ได้ ประสบการณ์จากอยู่สถานสงเคราะห์ทำให้เธอรู้ว่าจะเอาตัวรอดได้อย่างไร แต่การมีชีวิตน้อยๆ ที่เติบโตอย่างช้าๆ ก็เป็นความท้าทายให้หลินเหยาซื่อต้องลองสู้ดูสักตั้ง วันนี้เธอออกมาข้างนอกเพียงลำพัง อาศัยคำอธิบายของป้าฮุ่ยซิว หลายวันก่อนเอาฟิลม์มาล้างและที่ร้านนัดรับวันนี้ออกมารับภาพเอง ตั้งใจว่าจะเดินสำรวจบริเวณนี้ ถ้าอยู่ในปี2023 เธอมีวุฒิปริญญาตรีก็ยังพาหางานทำได้ไม่ยาก แต่ที่นี่เธอจบแค่มัธยมปลาย แม้อาจสูงกว่าคนทั่วไปแต่ก็ยังนับว่าเป็นอุปสรรคในการหางานทำอยู่ดี เอาเถอะ อย่างน้อยก็ยังมี ‘บ้าน’ อยู่ ไม่ต้องจ่ายค่าเช่า แค่นี้ก็ประหยัดไปได้มากแล้ว หญิงสาวเดินตรงไปที่ร้านอัดรูป เพียงผลักบานประตูก็ได้ยินเสียงกรุ๋งกริ๋ง ในร้านมีลูกค้าสาวอยู่ก่อนแล้ว เจ้าของร้านเห็นลูกค้าก็ยิ้มกว้างออกมาต้อนรับอย่างดี ดีเสียจนหลินเหยาซื่อนึกแปลกใจ “มารับรูปค่ะ” เธอเอ่ยบอกแล้วยื่นบัตรนัดรูปไว้ เจ้าของหยิบซองใส่ภาพพร้อมฟิล์มที่ล้างแล้วส่งให้ เธอดูภาพเพื่อตรว
“กั๋ว-จาง-หย่ง- กั๋ว-จาง-ลี่” หญิงสาวพูดพลางให้เด็กๆ จับดินสอเขียนชื่อตัวเอง นิ้วมือเล็กๆ จับดินสออย่างตั้งใจ หลายวันก่อนซื้ออุปกรณ์สำหรับฝึกเขียนอักษร รวมทั้งหนังสือคัดอักษร เด็กแฝดทั้งสองหัวไวกว่าที่เธอคิดไว้มาก ซ้ำยังสนุกกับการขีดๆ เขียนๆ รวมทั้งวาดรูปจนเลอะเทอะให้ป้าฮุ่ยชิวบ่นอุบอยู่บ้าง แต่ก็ทำให้บ้านเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ“เดี๋ยวฉันเย็บผ้ากันเปื้อนให้เด็กๆใส่แล้วกัน เวลาเด็กๆ ทำเลอะจะได้ไม่เลอะไปถึงเสื้อผ้า”“ก็ดีเจ้าค่ะ”ป้าฮุ่ยชิวหัวเราะเบาๆ นางก็บ่นไปอย่างนั้น แต่บ้านที่มีเสียงหัวเราะแบบนี้สิ ถึงจะเป็นบ้าน นางทำงานที่นี่ตั้งแต่สาวยันแก่ บรรยากาศในบ้านมักจะเงียบนิ่งเสมอ แม้กระทั่งก่อนหน้านี้ก็ตาม วันๆ คุณนายก็เอาแต่ตามหาสามีที่หายไป นางเข้าใจคนมั่นในรักอย่างหลินเหยาซื่อ แต่สามีที่หายไปสามปี หากยังมีชีวิตอยู่ก็ควรกลับมาหาลูกหาเมียสิ แต่นี่หายไปไร่ร่องรอยเหมือนคนไม่ต้องการกลับมาที่นี่อีก แต่หลังจากคุณนายฟื้นขึ้นก็ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เลิกตามหาคุณผู้ชาย และทุ่มเทดูแลคุณหนูคุณชายน้อยทั้งสอง เห็นเช่นนี้แล้วนางก็พลอยดีใจกับคุณหนูทั้งสองที่ได้มารดากลับคืน“หลิ