“คุณนายค่ะ ให้คนยกจักรเย็บผ้าออกมาให้แล้วค่ะ”
“ขอบใจจ๊ะ”
หลินเหยาซื่อตื่นจากภวังค์ เธอไม่มีเวลามาสนใจผู้ชายที่หายไปคนนั้น หญิงสาวลุกขึ้นยืนแล้วจูงมือเด็กทั้งสองคนไปที่ห้องนั่งเล่น บ้านหลังนี้กว้างขวางดี ด้านหลังที่เคยเป็นสวนดอกไม้ เธอก็จ้างคนมาทำเสียใหม่ มีเล้าไก่เล็กๆ และทำแปลงผัก ป้าฮุ่ยชิวเล่าว่าแต่ก่อนบ้านนี้ก็มีคนรับใช้มากมาย เรื่องคนสวนแทบไม่มีปัญหาเลย แต่หลังจากนายท่านใหญ่เสียชีวิตและคุณผู้ชายหายตัวไป การเงินในบ้านขัดสน จำต้องให้คนรับใช้ทยอยออกกันไป แต่เมื่อต้องการใช้งาน หลินเหยาซื่อจะจ้างเป็นรายวัน ป้าฮุ่ยชิวไปตามคนสวนเก่ามาช่วยทำแปลงผักให้คุณนาย ใช้เวลาแค่สองวันก็ได้ตามที่เหยาซื่อต้องการ
“คุณนายไม่เสียดายหรือเจ้าคะ” ป้าฮุ่ยชิวอดถามไม่ได้
“มีอะไรให้เสียดายกันเล่า” เหยาซื่อหัวเราะเสียงใสขณะจูงมือเด็กฝาแฝดไปดูเล้าไก่ แม่ไก่สามตัวและพ่อไก่หนึ่งตัว อีกไม่นานก็จะเก็บไข่กินได้
“ปล่อยไว้ไม่ได้ใช้ประโยชน์มันน่าเสียดายมากกว่า”
ป้าฮุ่ยชิวเป็นคนเก่าคนแก่ ซ้ำยังไม่รู้หนังสือ ชีวิตเหลือตัวคนเดียว เมื่อหลินเหยาซื่อสั่งให้ทำอะไร นางก็ลงมือทำทันทีแม้จะมีคำถามในใจอยู่บ้างก็ตาม จักรเย็บผ้าที่ถูกเช็ดคราบฝุ่นออกจนสะอาดเหมือนใหม่ คนงานที่จ้างให้มาช่วยยกจักรไม่เพียงแค่เช็ดทำความสะอาดยังหยอดน้ำมันจักรเช็กสภาพให้ด้วย
“คุณนายจะเอามาทำอะไรเจ้าคะ” ป้าฮุ่ยชิวใช้จักรเย็บผ้าไม่เป็น แต่ถนัดเย็บผ้าด้วยมือมากกว่า จำได้ว่านายท่านใหญ่ซื้อให้คุณผู้หญิงที่ตอนนั้นอายุแค่สิบสี่สิบห้า แต่เห็นใช้ไม่กี่ครั้งก็ให้คนมายกไปเก็บในห้องเก็บของ ก็ไม่น่าแปลกนักหรอก คนมีเงินนี่ จะมานั่งเย็บผ้าเองทำไมกัน
“จักรเย็บผ้าก็ต้องเย็บผ้าสิ” หลินเหยาซื่อหัวเราะเสียงแล้วยกมือลูบจักรยี่ห้อซิงเกอร์สีดำไปมา “เสื้อผ้าของจางลี่จางหย่งเก่าแล้ว จะเย็บชุดใหม่ให้แล้วก็เสื้อผ้าของเหยาซื่อ เอ่อ...ของฉัน ไม่มีกางเกงที่เหมาะกับใส่ทำงานเลย จะไปซื้อก็ต้องใช้เงิน ฉันเห็นในบ้านเรายังมีผ้าเก็บไว้หลายพับ เอาออกมาใช้ดีกว่าปล่อยให้มันโดนปลวกแทะเอา”
“คุณนายจะเย็บเสื้อผ้าเอง...”
ป้าฮุ่ยชิวแทบไม่อยากเชื่อ แต่ก็ต้องเชื่อ ได้ยินว่าเงินปันผลอะไรสักอย่างของคุณนายได้ลดลง เงินเหล่านั้นต้องเก็บไว้ซื้อแป้งและข้าวสาร คิดได้ดังนั้นแล้วนางก็อดเห็นใจหลินเหยาซื่อไม่ได้ หากคุณผู้ชายยังอยู่ คุณนายคงไม่ต้องลำบากขนาดนี้
แต่เหยาซื่อไม่ได้คิดแบบเดียวกับฮุ่ยชิว เธอแค่อยากประหยัดเงิน เรื่องเย็บเสื้อผ้าก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร เมื่อครั้งที่อยู่สถานสงเคราะห์เธอก็ตัดเย็บเสื้อผ้าให้ตัวเองและคนอื่นๆอยู่บ่อยๆ เรื่องพวกนี้จึงเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น และหลายวันก่อนหลังจากฟื้นมาและตั้งสติได้ เธอเดินสำรวจบ้านก็พบในห้องเก็บของมีผ้าไหมและผ้าฝ้ายเก็บไว้หลายพับ ในเมื่อเก็บไว้ไม่ได้ใช้อะไร มิสู้เธอเอามาทำประโยชน์ไม่ดีกว่าหรือ
“ป้าฮุ่ยชิวเก็บหนังสือพิมพ์เก่าๆไว้อยู่ใช่ไหม เอามาให้ฉันหน่อยนะ” เธอหันไปสั่งพร้อมรอยยิ้มแล้วมองเด็กสองคนที่ดูจะตื่นเต้นกับจักรเย็บผ้าไม่น้อย เศษผ้าที่เหลือเธอยังทำประโยชน์ได้หลายอย่าง ความคิดหนึ่งแวบขึ้นมาในสมอง หญิงสาวยิ้มกริ่ม คนอย่าง ‘หลินเหยาซื่อ’ ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ หรอกนะ คุณโชคชะตา!
อากาศในเดือนมีนาคมนับว่าเย็นสบายดียิ่ง เหมาะกับการพาเด็กๆออกไปเดินเล่นนอกบ้าน หลินเหยาซื่อจับตัวเด็กแฝดมาแต่งตัวด้วยชุดที่เธอตัดเย็บด้วยตัวเอง ทั้งสามใส่เสื้อผ้าลายเดียวกันเป็นเซ็ตแม่-ลูกฝาแฝดสุดน่ารัก ป้าฮุ่ยชิวถึงกับอุทานออกมา นางรู้อยู่แล้วคุณนายเป็นคนสวยและงามสง่ารวมทั้งลูกชายหญิงฝาแฝด แต่ปกติแต่งกายเรียบง่าย ทว่าวันนี้ใส่เสื้อผ้าแปลกตา สีสันสดใส ราวกับบ้านที่เคยอึมครึมด้วยความเศร้าถูกละลายไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเด็กๆ
“ป้าไม่คิดว่าคุณนายจะตัดเย็บเสื้อผ้าออกมาได้สวยขนาดนี้ใช่ไหม”
หลินเหยาซื่อหัวเราะเสียงใส
“อุ้ย!ป้าไม่ได้...”
“ช่างเถอะ” มือเรียวหยิบหมวกมาสวมให้เด็กทั้งสอง “ฉันเห็นลังเก็บผ้ากับเศษผ้าชิ้นเล็กชิ้นน้อยเลยเอามาต่อกัน ต่อไปต่อมาได้ผ้าผืนใหญ่เลยทำชุดได้ทั้งสามคนแบบนี้ เอาไว้คราวหน้าฉันทำให้ป้าด้วยนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะคุณนาย”
“ได้ยังไง เราผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกัน ป้าไม่ได้เป็นแค่แม่บ้านแต่เป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่ของฉันด้วย”
“คุณนาย”
“วันนี้ไปเที่ยวกัน” เธอรีบพูดขึ้นก่อนที่ป้าฮุ่ยชิวจะน้ำตาร่วง “พาเด็กๆไปเที่ยวสวนสนุกใกล้ๆนี่กันนะ”
“ไปเที่ยว...”
ตั้งแต่คุณผู้ชายหายไป คุณนายไม่เคยไปเที่ยวที่ใดเลย แต่ละวันก็ทุ่มเทกับการดูแลลูกทั้งสองกับติดตามข่าวคราวของคุณผู้ชาย หรือบางทีคุณนายอาจทำใจได้แล้ว
หลินเหยาซื่อไม่รู้ความคิดของป้าฮุ่ยชิว หญิงสาวมองเด็กสองคนแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ เด็กวัยสามขวบอยู่ในวัยอยากรู้อยากเห็นและมีจินตนาการ เริ่มสำรวจสิ่งต่างๆ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และเป็นช่วงที่จะได้ยินคำว่า 'ทำไม' จากปากของเด็กๆ หลังจากที่ทำใจได้แล้วว่าตัวเองจะต้องอยู่ในร่าง ‘หลินเหยาซื่อ’ และรับมอบการดูแลเด็กฝาแฝดทั้งสองในฐานะ ‘แม่’ เธอก็ตั้งใจว่าจะดูแลเด็กทั้งสองให้ดีที่สุด เธอไม่มีประสบการณ์การเป็นแม่คน แต่ช่วงเวลาที่เติบโตมาจากบ้านเด็กกำพร้าทำให้เธอรู้ว่าต้องดูแลเด็กเล็กๆ อย่างไร คนที่ไม่มีใครต้องการอย่างเธอ ทำได้แค่ดูแลคนอื่นๆ ยืนมองแต่ละคนมีคนมารับไปอยู่ในครอบครัวใหม่ แต่เติบโตอย่างโดดเดียวจนเรียนจบมัธยมปลาย เธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้จึงย้ายออกมา แม้จะมีเงินสนับสนุนจากบ้านเด็กกำพร้ามาเป็นค่าเทอม แต่เธอก็ทำงานหาเลี้ยงตัวเองมาตลอด
เรื่องดีอีกเรื่องที่ทำให้หลินเหยาซื่อพอใจกับร่างนี้ก็คือใบหน้าที่งดงามและรูปร่างอรชรทั้งที่คลอดลูกแล้วแต่ยังหุ่นดีอยู่ หากเธอในปี2023 ได้ครอบครอบความงามเช่นนี้ การได้เป็นดาราคงไม่ใช่แค่ความฝัน บางครั้งเธอก็คิดว่าจะไปสมัครเป็นนักแสดงดีหรือไม่ อายุแค่ยี่สิบสองยังไม่แก่เกินไปสำหรับการเข้าวงการบันเทิง แต่เสียดายที่เจ้าของร่างมีลูกแล้ว ในยุคนี้ไม่มีใครเปิดเผยเรื่องส่วนตัว ถ้าแต่งงานมีลูกแล้วความนิยมจะลดลงทันที จำได้ว่าดาราดังหลายคนแม้แต่งงานมีลูกแล้วแต่ต้องปิดบังสุดชีวิต เธอมองหน้าเด็กฝาแฝดแล้วก็ทำใจไม่ได้ เด็กในวัยนี้กำลังสร้างความทรงจำระหว่างแม่ลูก ไม่มีพ่อก็แล้วไปเถอะ อย่าให้มีแม่แล้วเรียกแม่ไม่ได้เลย เธอรู้ดีว่าการเป็นเด็กกำพร้าเจ็บปวดเพียงใด นั้นคือเหตุผลที่ยอมทิ้งความฝันเพื่อเล่นบทบาทที่ยิ่งใหญ่ นั้นก็คือเป็นแม่ของเด็กแฝดทั้งสองคนนี้
“ของป้าฮุ่ยซิวก็มีนะ” หลินเหยาซื่อหยิบหมวกทรงฟักทองส่งให้ “เอาไว้คราวหน้าจะเย็บเสื้อผ้าชุดใหม่ให้นะคะ” “ไม่ต้องลำบากหรอกค่ะ” “ลำบากอะไรกันค่ะ” หญิงสาวหัวเราะร่า “เราเป็นครอบครัวเดียวกันนี่น่า วันนี้ไปเที่ยวกันค่ะ” ป้าฮุ่ยซิวยกไม้ยกมือปฏิเสธแต่ถูกเด็กแฝดชายหญิงวิ่งเข้าไปเกาะขาส่งสายตาอ้อนวอน เด็กสองคนแทบไม่ได้ออกไปไหน นานทีจะมีโอกาสได้ไปเที่ยวเล่นนอกบ้าน หากคุณนายไปคนเดียวก็เกรงว่าจะดูแลเด็กสองคนไม่ไหว นางจึงตัดสินใจพยักหน้ารับ “ป้าปิดบ้านสักประเดี๋ยวนะคะ” “ค่ะ” ที่โรงรถมีรถเก๋งอยู่หนึ่งคัน แต่ฝุ่นจับเขรอะไปหมด เรื่องขับรถ เธอขับเป็นอยู่แล้วเพราะตอนสถานสงเคราะห์ก็ได้หัดขับรถ เวลามีกิจกรรมเธอก็ขับรถตู้พาเด็กๆไปพิพิธภัณฑ์หรือไปสวนสัตว์ เท่าที่เธอพอจะรู้ ‘หลินเหยาซื่อ’ในปี1980 เรียนจบมัธยมปลายและไม่ได้เรียนต่อ ทั้งที่บ้านมีฐานะดี แต่เดาว่าเจ้าของร่างนี้สุขภาพไม่แข็งแรงนัก ป้าฮุ่ยซิวเองยังเคยพูดว่า แค่คลอดลูกแฝดได้อย่างปลอดภัยก็นับว่าเธอยังมีบุญอยู่มากแล้ว คงเพราะแบบนี้ถึงรีบแต่งงานตั้งแต่อายุสิบแปด พ
ตอนนี้นางรู้แค่ว่ามีรายรับแค่เดือนละหนึ่งหมื่นหยวน บ้านหลังนี้มีบริเวณเลยสามารถเพาะปลูกเล็กๆน้อยๆ และเลี้ยงไก่เก็บกินไข่ได้ ประสบการณ์จากอยู่สถานสงเคราะห์ทำให้เธอรู้ว่าจะเอาตัวรอดได้อย่างไร แต่การมีชีวิตน้อยๆ ที่เติบโตอย่างช้าๆ ก็เป็นความท้าทายให้หลินเหยาซื่อต้องลองสู้ดูสักตั้ง วันนี้เธอออกมาข้างนอกเพียงลำพัง อาศัยคำอธิบายของป้าฮุ่ยซิว หลายวันก่อนเอาฟิลม์มาล้างและที่ร้านนัดรับวันนี้ออกมารับภาพเอง ตั้งใจว่าจะเดินสำรวจบริเวณนี้ ถ้าอยู่ในปี2023 เธอมีวุฒิปริญญาตรีก็ยังพาหางานทำได้ไม่ยาก แต่ที่นี่เธอจบแค่มัธยมปลาย แม้อาจสูงกว่าคนทั่วไปแต่ก็ยังนับว่าเป็นอุปสรรคในการหางานทำอยู่ดี เอาเถอะ อย่างน้อยก็ยังมี ‘บ้าน’ อยู่ ไม่ต้องจ่ายค่าเช่า แค่นี้ก็ประหยัดไปได้มากแล้ว หญิงสาวเดินตรงไปที่ร้านอัดรูป เพียงผลักบานประตูก็ได้ยินเสียงกรุ๋งกริ๋ง ในร้านมีลูกค้าสาวอยู่ก่อนแล้ว เจ้าของร้านเห็นลูกค้าก็ยิ้มกว้างออกมาต้อนรับอย่างดี ดีเสียจนหลินเหยาซื่อนึกแปลกใจ “มารับรูปค่ะ” เธอเอ่ยบอกแล้วยื่นบัตรนัดรูปไว้ เจ้าของหยิบซองใส่ภาพพร้อมฟิล์มที่ล้างแล้วส่งให้ เธอดูภาพเพื่อตรว
“กั๋ว-จาง-หย่ง- กั๋ว-จาง-ลี่” หญิงสาวพูดพลางให้เด็กๆ จับดินสอเขียนชื่อตัวเอง นิ้วมือเล็กๆ จับดินสออย่างตั้งใจ หลายวันก่อนซื้ออุปกรณ์สำหรับฝึกเขียนอักษร รวมทั้งหนังสือคัดอักษร เด็กแฝดทั้งสองหัวไวกว่าที่เธอคิดไว้มาก ซ้ำยังสนุกกับการขีดๆ เขียนๆ รวมทั้งวาดรูปจนเลอะเทอะให้ป้าฮุ่ยชิวบ่นอุบอยู่บ้าง แต่ก็ทำให้บ้านเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ“เดี๋ยวฉันเย็บผ้ากันเปื้อนให้เด็กๆใส่แล้วกัน เวลาเด็กๆ ทำเลอะจะได้ไม่เลอะไปถึงเสื้อผ้า”“ก็ดีเจ้าค่ะ”ป้าฮุ่ยชิวหัวเราะเบาๆ นางก็บ่นไปอย่างนั้น แต่บ้านที่มีเสียงหัวเราะแบบนี้สิ ถึงจะเป็นบ้าน นางทำงานที่นี่ตั้งแต่สาวยันแก่ บรรยากาศในบ้านมักจะเงียบนิ่งเสมอ แม้กระทั่งก่อนหน้านี้ก็ตาม วันๆ คุณนายก็เอาแต่ตามหาสามีที่หายไป นางเข้าใจคนมั่นในรักอย่างหลินเหยาซื่อ แต่สามีที่หายไปสามปี หากยังมีชีวิตอยู่ก็ควรกลับมาหาลูกหาเมียสิ แต่นี่หายไปไร่ร่องรอยเหมือนคนไม่ต้องการกลับมาที่นี่อีก แต่หลังจากคุณนายฟื้นขึ้นก็ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เลิกตามหาคุณผู้ชาย และทุ่มเทดูแลคุณหนูคุณชายน้อยทั้งสอง เห็นเช่นนี้แล้วนางก็พลอยดีใจกับคุณหนูทั้งสองที่ได้มารดากลับคืน“หลิ
“กั๋วซีฮัน...” หลินเหยาซื่อพยักหน้ารับ เธอพอนึกออกอยู่บ้างเพราะในสมุดบันทึกของ ‘หลินเหยาซื่อ’ มีเขียนถึงกั๋วซีฮันซึ่งเป็นพี่ชายของกั๋วคังเหริน “ป้าฮุ่ยซิวพาเด็กๆไปกินขนมก่อนนะคะ ฉันจะดูแลคุณ เอ่อ พี่ซีฮันเอง” กั๋วซีฮันมองหญิงสาวที่พูดคุยกับเด็กฝาแฝดที่ลอบมองทางเขาก่อนสะบัดหน้าเดินไปพร้อมกับแม่บ้าน ภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้มซ่อนความชิงชังไว้อย่างมิดชิด เด็กสองคนนั้นหน้าตาคล้าย ‘กั๋วคังเหริน’ เสียเหลือเกิน ใครจะรู้ว่าไอ้ไก่อ่อนอย่างกั๋วคังเหรินจะทิ้งทายาทไว้ให้เป็นเสี้ยนหนามชีวิตอีก “พี่ซีฮัน รับน้ำชานะคะ” เธอเอ่ยถามแต่ตัวเองเดินไปรินน้ำร้อนใส่กาน้ำชาเรียบร้อยแล้ว “ให้พี่ช่วยดีกว่าครับ” กั๋วซีฮันปาดเข้าไปยกถาดน้ำชาด้วยตนเอง “เรานั่งที่เก้าอี้สนามหน้าบ้านดีไหม” “ค่ะ” หยินเหยาซื่อพยักหน้ารับ เธอไม่อยากอยู่กับผู้ชายสองต่อสองในบ้านอยู่พอดี พอเขาเสนอให้ไปนั่งด้านนอกก็โล่งใจไปเปราะหนึ่ง “ต้องขอโทษด้วยนะคะ ช่วงที่ไม่สบายหลับไปหลายวัน ตื่นมาอีกทีก็มึนๆ งงๆ จำใครไม่ค่อยได้” “น้องเหยาซื่อไปหาหมอหรือยัง ให้คุณหมอตรวจร่างกายหน่อยดีไหมครับ”
หลินเหยาซื่อตรวจดูของในกระเป๋าแล้วก้าวออกจากบ้าน เธอสำรวจเส้นทางจนคุ้นชินไม่จำเป็นต้องเรียกแท็กซี่แล้ว การใช้รถโดยสารก็ไม่ได้ลำบากอะไร การแต่งตัวที่โดดเด่นสะดุดตากลายเป็นเป้าสายตาอยู่บ้าง แต่เธอก็เลือกที่จะเชิดใบหน้าขึ้น หญิงสาวมาถึงค๊อฟฟี่ช็อฟก่อนเวลาเล็กน้อย เธอเลือกโต๊ะที่นั่งสบายและมองเห็นประตูทางเข้า สั่งกาแฟร้อนให้ตัวเองแล้วนั่งกวาดตามองไปรอบๆ ก่อนรับงานเป็นตัวประกอบ เธอก็เคยทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านกาแฟขณะคิดอะไรเพลินๆ ร่างของหวังเข่อซิงก็เดินเข้ามา หลินเหยาซื่อลุกขึ้นยืนพร้อมรอยยิ้ม หวังเข่อซิงเดินเข้ามาใกล้แล้วจับไหล่ของหญิงสาวไว้ กวาดสายตามองพร้อมรอยยิ้ม “สวยมากจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าแค่เปลี่ยนลวดลายก็ดูสวยแปลกตาขึ้น” “ขอบคุณค่ะ” “มาๆ นั่งก่อน” หวังเข่อซิงนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามแล้วเรียกพนักงานมาสั่งเครื่องดื่ม “เค้กร้านนี้อร่อยนะคะ ซื้อไปฝากเด็กๆที่บ้านก็ได้นะ” หลินเหยาซื่อใจชื้นขึ้น ดูท่าทางหวังเข่อซิงจะเป็นคนคุยง่ายอยู่เหมือนกัน “วันนี้ฉันเอาแบบร่างเสื้อผ้ามาให้ดูค่ะ เผื่อว่ามาดามจะชอบ” หวังเข่อซิง
หลินเหยาซื่อทำแป้งโดว์ให้เด็กทั้งสองเล่นและสอนปั้นเป็นรูปทรงต่างๆ จางหย่ง จางลี่ ต่างก็ชื่นชอบกันมาก “ไม่คิดว่าแป้งสาลี่จะเอามาทำแป้งปั้นแบบนี้ได้นะคะ” “ใช้ดีกว่าดินน้ำมันอีก” หลินเหยาซื่อหัวเราะคิกคัก นั่งมองเด็กๆ ปั้นแป้งเป็นรูปสัตว์ต่างๆ “ให้เด็กๆ เล่นหน้าบ้านสักยี่สิบนาทีแล้วพาเข้าบ้านนะคะ ฉันจะไปทำงานก่อน” “เจ้าค่ะ คุณผู้หญิง” ป้าฮุ่ยชิวนั่งดูเด็กๆ ปั้นดิน ตอนนี้หลินเหยาซื่อใช้ห้องนั่งเล่นเป็นห้องทำงานตัดเย็บเสื้อผ้าตัวอย่าง จึงไม่อยากให้เด็กๆ เข้าไปรบกวนเวลาทำงาน “ไข่ น้องไก่ไข่แล้วไปเก็บไข่กัน” จางลี่พูดขึ้นเมื่อได้ยินเสียงแม่ไก่ร้องกระต๊ากๆ “เก็บไข่ๆ” จางหย่งพูดขึ้นและทำท่าจะวิ่งไปที่เล้าไก่ใกล้ๆ “ใจเย็นๆค่ะคุณหนูคุณชาย” ป้าฮุ่ยชิวหัวเราะออกมา จางลี่เป็นผู้หญิงแต่นิสัยใจกล้าอยากรู้อยากเห็นเหมือนเด็กผู้ชาย แต่จางหย่งเป็นเด็กชายกลับนิสัยอ่อนโยนว่าง่ายราวเด็กผู้หญิง “เดี๋ยวป้าเก็บเอง คุณๆ รออยู่ตรงนี้ อ้อ เล่นลูกบอลนี้ก็ได้ค่ะ” ป้าฮุ่ยชิวส่งลูกบอลให้จางหย่งแล้วเดินไปทางเล้าไก่ คร
เพียงเดินเข้ามาในบ้าน กั๋วคังเหรินพลันรู้สึกได้สัมผัสความคุ้นเคยที่ห่างหายไปนาน เขาปรายตามองไปยังชั้นผนังห้องด้านหนึ่ง เป็นรูปวาดสเก็ตภาพด้วยดินสอ เป็นรูปครอบครัวสี่คนพ่อแม่และลูกแฝดทั้งสอง ภาพงานแต่งงานยังคงประดับอยู่ที่ผนังห้อง รูปภาพเหล่านั้นไม่มีฝุ่นเกาะเลยสักนิด แสดงว่าถูกทำความสะอาดหรือหยิบดูบ่อยๆ นี่คงเป็นเหตุผลที่เด็กสองคนที่ไม่เคยเห็นตัวจริงของเขา แต่กลับเรียกเขาว่าพ่อได้เต็มปากเต็มคำ“คุณหนู คุณชาย มาทางนี้ก่อนค่ะ”ป้าฮุ่ยชิวพยักหน้าเรียกเด็กทั้งสอง แต่จางหย่งกอดคอชายหนุ่มแน่นไม่ยอมปล่อย จางลี่มองด้วยตาแดงๆ อยากกอดคุณพ่อบ้าง หลินเหยาซื่อเกรงว่าเด็กจะร้องไห้ออกมาเลยส่งลูกให้ป้าฮุ่ยชิว“หย่งหย่ง ลี่ลี่ อยู่กับคุณป้าก่อนนะคะ คุณ...เอ่อ...คุณพ่อไม่ไปไหนหรอกค่ะ เราสัญญากันว่าจะไม่ดื้อและเชื่อฟังแม่ใช่ไหม”เด็กสองคนมองหน้ากันแล้วพยักหน้ารับ จางหย่งยอมปล่อยมือแล้วเดินไปจับมือกับจางลี่ที่ยังมองใบหน้าของผู้ชายที่เหมือนในรูปถ่ายก่อนจะจับมือป้าฮุ่ยชิวไปในครัวเมื่อไม่มีคนอื่นแล้ว หยินเหยาซื่อจึงจ้องมองชายคนหน้าเต็มตา เช่นเดียวกับกั๋วคังเหริน ที่กวาดสายตามองหญิงสาวตรงหน้า ไม่เจอกันเ
แนะนำตัวละครหลินเหยาซื่อ : อายุ 22 ปี อาชีพนักแสดงตัวประกอบ กั๋วคังเหริน : อายุ 28 ปี ประธานกั๋วผู้บริหารบริษัทหลินกรุ๊ฟกั๋วจางหย่ง ( กล้าหาญ ) กั๋วจางลี่ / ( งดงาม) : ลูกแฝดชายหญิงวัย 3 ขวบ ป้าฮุ่ยชิว : ป้าแม่บ้านที่อยู่มานาน 'ตัวประกอบ' คือนักแสดงที่แทบไม่เคยอยู่ในสายตาคนดูคนเราล้วนเป็นตัวประกอบในชีวิตของกันและกันอาจแค่เคยเดินผ่านมาในชีวิตใครสักคนเพื่อให้ฉากในวันนั้นสมบูรณ์แบบและในขณะเดียวกัน คนที่เล่นเป็นตัวประกอบในชีวิตคนอื่น ก็เล่นเป็นนางเอก(พระเอก)ในชีวิตของตัวเอง ทันทีที่ตัดสินใจลืมตา ภาพแรกที่เห็นคือเด็กน้อยสองคนที่หน้าตาคล้ายกันจนเหมือนพิมพ์เดียวกันนั่งจ้องหน้าด้วยแววตาวิตกกังวล มันไม่ใช่แววตาที่เด็กสามขวบควรมี ทำให้เธอตัดสินใจยื่นมือไปคว้าเอาเด็กสองคนมากอดแล้วหอมแก้มฟอดใหญ่ เสียงหัวเราะคิกคักจึงดังขึ้น “แม่ตื่นแล้ว” หญิงสาวบอกกับเด็กน้อยที่ตอนนี้ปีนขึ้นเตียงเธอเรียบร้อยแล้ว “ทำไมลูกๆ ตื่นเช้ากันจัง หรือว่าหิวกันแล้ว” “หม่ำๆ” “ขอโทษนะ แม่ตื่นสายเอง” เธอจุ๊บแก้มนุ่มๆ ของเด็กๆ ไม่กี่นาทีต่อมา แม่บ้านวัยห้าสิบก