ฉันเดินมาได้สี่ห้าก้าวก็ต้องหยุดคิดทบทวนว่าจะไปหรือไม่ไปดี ถ้าไปคุณคานส์ก็คงจะคิดว่าฉันเป็นห่วงตัวเองแน่ๆ แต่แบบนั้นมันจะดูใจดำเกินไปหรือเปล่านะ เอาล่ะ! ไปก็ไป หลังจากที่ทบทวนอยู่นานสองนานสุดท้ายฉันก็เลือกจะไปดูคุณคานส์ เมื่อเดินมาถึงที่บ้านแล้วลองจับประตูดูปรากฏว่าไม่ได้ล็อก ไม่ล็อกบ้านแบบนี้ไม่กลัวโขมยหรือไงฉันนึกบ่นในใจแล้วเดินเข้ามาด้านในบ้าน บรรยากาศเงียบสงัดราวไม่มีคนอยู่ แถมยังวังเวง “คุณคานส์” ฉันส่งเสียงเรียกและรอฟังว่าจะมีเสียงตอบกลับมาหรือเปล่า แต่ก็ไร้วี่แววจึงเรียกซ้ำ “คุณคานส์อยู่บ้านหรือเปล่าคะ อย่าเงียบแบบนี้สิ” เรียกครั้งที่สองก็ยังเหมือนเดิม ไร้เสียงตอบกลับมา ฉันเหลือบตามองเห็นประตูห้องสองห้องอยู่ติดกันจึงเดินมาเปิดประตูหนึ่งก่อนว่าใช่ห้องนอนของคุณคานส์หรือเปล่า เมื่อเปิดประตูเข้ามาก็เจอกับห้องที่คล้ายห้องเก็บของ ในตอนแรกฉันไม่ได้สนใจกำลังจะถอยหลังเดินมาเปิดประตูอีกห้อง แต่จู่ๆ มันก็รู้สึกคุ้นตากับพวกถุงผ้าและกล่องรองเท้าที่วางกองอยู่ ฉันกดสวิตช์เปิดไฟให้สว่างเพื่อจะได้มองเห็นชัดๆ และเมื่อได้เห็นเต็มตาฉันก็ต้องอ้าปากค้างตามมาด้วยความโกรธ ข้าวของที่วางกองอยู
“ถ้ายังอยากจะอยู่ใกล้ๆ อลิชก็ให้สถานะได้แค่นี้ค่ะ เราเป็นพ่อและแม่ของลูกเป็นเพื่อนร่วมชีวิต แต่ไม่ใช่สามีภรรยา” อลิชเธอพูดอย่างเด็ดขาดและหนักแน่น ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงใจแข็งมากขนาดนี้ สถานะที่เธอให้มาคือผมสามารถวนเวียนอยู่รอบตัวเธอได้ แต่ไม่มีสิทธิ์ครอบครองหัวใจเธอ คำพูดที่ไร้เยื่อใยมันทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวด มันทำให้ลูกผู้ชายอย่างผมอยากจะร้องไห้ แต่ก็ต้องพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ “…ฉันอิ่มแล้ว” “กินไปแค่นิดเดียวเองนะคะ” “ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่” ใครมันจะไปกินลง เธอพูดมาขนาดนั้น ถึงผมจะหนักแน่นว่าจะง้อให้สำเร็จ แต่ตอนนี้แทบไม่มีหวัง “งั้นก็กินยานะคะ อลิชจะเอาชามไปล้าง” “เธอกินอะไรหรือยัง ?” ตั้งแต่เช้าเธอเอาแต่ดูแลผม ไม่รู้ว่ากินข้าวบ้างหรือยัง “กำลังจะไปกินค่ะ” อลิชลุกขึ้นยืนถือชามออกไปนอกห้อง ส่วนผมก็หยิบยากับน้ำที่เธอเตรียมเอาไว้ให้มากิน หลังจากกินยาและน้ำแล้วผมก็ค่อยๆ นอนลง เหมือนร่างกายหมดเรี่ยวแรงมันไม่ใช่เพราะป่วย แต่เป็นเพราะหัวใจของผมตอนนี้มันกำลังเต้นช้าลงเพราะคำพูดไร้เยื่อใยของอลิช ใจคอจะให้ผมเป็นเพื่อนร่วมชีวิตอย่างนั้นจริงๆ หรือไง แล้วถ้าวันหนึ่งมีผู้ชายเข้ามาในชีวิตของเธอ เ
ฉันไม่ได้สนใจที่คุณคานส์โวยวาย รีบเดินเข้ามาในบ้านแล้วยกมือขึ้นมาทาบที่หน้าอกข้างซ้ายของตัวเอง ตอนนี้หัวใจดวงน้อยมันกำลังเต้นรัวไม่เป็นจังหวะคุณคานส์เองก็เดินตามเข้ามาในบ้านเหมือนกัน เขามองค้อนฉันแล้วเดินแทรกตัวไปที่ห้อง ทำเหมือนรู้ว่าห้องไหนคือห้องนอนของฉัน ไม่ใช่ทำเหมือนรู้สิ เขารู้จริงๆ “ออกไปนะ มีมารยาทหน่อยสิคะ” ฉันยืนเท้าเอวมองคุณคานส์ที่นั่งลงบนเตียงอย่างถือวิสาสะ “นี่ห้องเธอ ?”“ก็ใช่น่ะสิ ลุกขึ้นจากเตียงเดี๋ยวนี้เลยนะคะ”“เดี๋ยวฉันนอนพื้น เธอนอนบนเตียงก็ได้” เขาได้ฟังที่ฉันพูดหรือเปล่า ฉันคงใจดีมากเกินไปสินะ“บางทีอลิชก็คิดว่าจะโทรไปบอกพ่อนะคะว่าคุณคานส์ตามมายุ่งวุ่นวาย พ่อจะได้มาจัดการ” ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ไม่ใช่แค่ขู่แต่ฉันจะทำจริงๆ พรึบ! ยังไม่ทันจะได้กดโทรออกโทรศัพท์ในมือของฉันก็ถูกแย่งไป แถมคุณคานส์ยังทำหน้าทะเล้นใส่อีกต่างหากฉันจ้องคุณคานส์เขม็งจากนั้นก็เดินออกมาจากห้อง ไม่อยากพูดคุยหรือต่อปากต่อคำกับเขาแล้ว แต่ถึงฉันไม่อยากคุยคุณคานส์ก็ตามตอแยไม่เลิก เขาจะรู้บ้างไหมว่าตัวเองน่ารำคาญมากขนาดไหน “หยุดตอแยสักทีได้ไหมคะมันน่ารำคาญ” ฉันหยุดเดินแล้วหันไปต่อว่าคุณคานส์
#เช้าวันต่อมาจมูกของฉันมันได้กลิ่นหอมของอาหารจึงทำให้ลืมตาขึ้นมาเพราะความหิว จะว่าละเมอเดินออกจากห้องมาที่ครัวก็ไม่ผิด เพราะขณะที่เดินอยู่ดวงตาของฉันยังสะลึมสะลืออยู่เลย แต่เมื่อเข้ามาในครัวแล้วเห็นแผ่นหลังกว้างที่คุ้นตาฉันก็ต้องรีบถอยหลังออกจากครัวช้าๆ ยังรู้สึกอายเรื่องเมื่อคืนที่ไปทำผ้าหลุดต่อหน้าเขา ยิ่งคิดก็ยิ่งอาย เคล้ง! ในขณะที่ถอยหลังอยู่ฉันดันซุ่มซ่ามไปชนกับจานที่วางอยู่เข้า ทำให้มันตกกระแทกพื้นแล้วเกิดเสียงดัง คุณคานส์ที่กำลังยืนทำอาหารอยู่รีบหันมามองทันที พอเขาเห็นว่าเป็นฉันก็คลี่ยิ้มออกมา “หิวแล้วหรอ ไปนั่งรอก่อนสิฉันทำอาหารใกล้เสร็จแล้วเดี๋ยวยกไปให้” “ใครบอกจะกินของที่คุณคานส์ทำไม่ทราบ!” ฉันพูดไปอย่างไม่สนใจ ทั้งที่มันหิวมากๆ แต่จะไม่ยอมกินของที่เขาทำเด็ดขาด เพราะจะทำกินเอง “ถ้าเธอไม่กินอาหารที่ฉันทำแล้วเธอจะกินอะไร ?” คุณคานส์เลิกคิ้วถาม “ก็ทำกินเองไงคะ ไม่เห็นจะยาก” “แต่ของในตู้เย็นหมดแล้วนะ” ฉันไม่เชื่อคำที่คุณคานส์ว่าจึงเดินมาเปิดดูตู้เย็นถึงได้รู้ว่าของหมดตู้จริงๆ ฉันก็ลืมไปซื้อมาใส่ตู้ไว้ ข่วงนี้ยุ่งๆ (ยุ่งกับคุณคานส์นั่นแหละ) “กินของที่ฉันทำก่อน เดี๋ยวตอน
“หยุดพูดอะไรบ้าๆ แล้วก็ไปซักผ้าต่อเถอะค่ะ ฟังแล้วมันจะอ้วก” “อย่าแอบไปยิ้มคนเดียวก็แล้วกัน” คุณคานส์กระตุกยิ้มมุมปากให้ ฉันจึงรีบหันหน้าหนีเขาก่อนจะยิ้มออกมาอย่างเผลอตัว พอรู้ตัวเองว่าเผลอยิ้มก็รีบเดินกลับมาในบ้าน ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์มาจอดฉันจึงเดินไปดูที่หน้าบ้านว่าใครมาก็ได้เห็นว่าโอมกำลังจอดรถอยู่ “กึดเติงหาผมกะครับถึงมายืนรอหน้าบ้านจะอี้” โอมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ มโนจิตคิดไปเองใหญ่โต “พี่ได้ยินเสียงรถก็เลยออกมาดู ไม่ใช่คิดถึงจ้ะ” ฉันตอบดับฝันทำให้โอมหุบยิ้มแทบไม่ทัน“จุ๊ว่ากึดเติงผมสักหน้อยหื้อใจชื่นบ่ได้กะครับ” โอมทำหน้าบึ้งใส่ฉัน “มาทำไม ไม่เรียนหรอวันนี้” “วันนี้วันเสาร์ผมแวะหาหาปี้กลัวปี้จะเหงาเห็นว่าปี้บ่มีเพื่อน”“อื้อดีเลย จะฝากไปซื้อของที่ตลาดสักหน่อย” “เอาอะหยังครับจดมาผมจะไปซื้อหื้อ”“อื้อๆ เดี๋ยวพี่จดให้” “แล้วปี้อลิซบ่ไปขายเสื้อผ้ากะครับบะเดี่ยวนี้”“ไม่ได้ไปเลย ช่วงนี้ยุ่งๆ น่ะ” “ใครกับใครอยู่” เสียงคุณคานส์ดังมาจากด้านหลัง เพียงไม่ถึงห้าวินาทีให้หลังจากคำถาม เขาก็มายืนอยู่ข้างๆ กับฉันแล้ว “น้องค่ะ” ฉันบอกคุณคานส์ เขาพยักหน้ารับรู้ ดูจากสีหน้าของเขาไม่ได้ตกใจ
ฉันเดินออกมาจากห้องเห็นว่าพ่อกำลังเดินเข้ามาในบ้านจึงรีบเดินไปหาพยายามไม่แสดงพิรุธอะไรออกมา “จะมาไม่เห็นบอกก่อนเลยคะ” ฉันถามพ่อ“พ่อแวะมาทำธุระแถวนี้พอดีก็เลยมาหาลูกสักหน่อย” “นั่งก่อนค่ะเดี๋ยวอลิชไปเอาน้ำมาให้” “ไม่ต้องๆ ท้องโตขนาดนี้แล้วคงเดินลำบากเดี๋ยวพ่อไปหยิบมากินเอง” “ค่ะ” ฉันนั่งลงจากนั้นพ่อก็เดินหายเข้าไปในครัว ใจมันเต้นรัวๆ กลัวว่าคุณคานส์จะออกมาเจอพ่อ กลัวว่าพ่อจะเจอคุณคานส์ “ไอ้โอมมันเอารถไปชนกับใครมา ถามอะไรก็ไม่ตอบรีบขับรถไปเลย” “อะ เอ่อ คือว่า…ชะ ชนพุ่มไม้ที่บ้านค่ะ”“ไปทำอิท่าไหนถึงชนได้” “หลงบิดคันเร่งน่ะพ่อ จอดไว้ใกล้ๆ พุ่มไม้ด้วย” ใจมันเต้นรัวตุบๆ ไม่เป็นจังหวะจริงๆ ตอนนี้ “ละ แล้วนี่พ่อจะกลับตอนไหนคะ” “พ่อเพิ่งมาถึงจะไล่แล้วหรือไง” “ปะ เปล่าค่ะ คืออลิชกลัวจะค่ำมืดซะก่อน พ่อมาคนเดียวด้วย” ฉันค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ ตัวสั่นไปหมดแล้วตอนนี้ “แล้วนี่ไอ้นั่นมันได้โทรมาวุ่นวายหรือเปล่า หรือมันหายหัวไปเลย” ไอ้นั่นที่พ่อว่าก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคุณคานส์ “ก็มีโทรมาบ้างค่ะ” “ว่าแล้วเชียว มันคงตามไม่เลิกแน่ๆ”ปัก! พอบอกไปแบบนั้นพ่อก็ตบมือลงที่โต๊ะทันที ทำเ
เมื่อเดินมาที่หน้าห้อง ไม่รอช้าพ่อรีบเอื้อมมือไปจับลูกบิดทันดี แต่ประตูมันล็อกมาจากด้านในทำให้เปิดเข้าไปไม่ได้ “ทำไมห้องถึงล็อก ?” “คือว่า….อลิชเผลอล็อกไว้ตอนออกมาจากห้องน่ะค่ะ” “ไม่ใช่ว่าแอบซ่อนใครไว้ใช่ไหม” “มะ ไม่ใช่…” ฉันก้มหน้าลง แบบนี้พ่อต้องจับพิรุธได้แน่ๆ ยิ่งโกหกไม่เก่งด้วย พอถูกจี้ถามแบบนี้มันก็ยิ่งทำให้ไปไม่เป็น “ทำไมพ่อจะดูไม่ออกว่าลูกสาวตัวเองกำลังโกหก” เฮือก! ฉันว่าแล้วไงพ่อต้องจับได้แน่ๆ ปังๆ เสียงเพราะทุบประตูห้องดังลั่น พร้อมกับเรียกให้คนด้านในมาเปิดประตู “เปิดสิวะ ถ้าไม่เปิดฉันจะไม่ให้แกเจอหน้าลูกสาวฉันอีกแน่!!”“พ่อใจเย็นๆ….”“พ่อจะใจเย็นกว่านี้ถ้าลูกไม่โกหก” “อลิชไม่ได้โกหกนะคะ…..”แกร็ก! เมื่อสิ้นสุดคำพูดของฉันประตูห้องก็ถูกเปิดออก คุณคานส์ยืนนิ่งมองมาที่พ่อกับฉัน ทั้งที่เมื่อกี้ฉันเป็นคนพูดกับพ่อเองแท้ๆ ว่าไม่ได้โกหก คุณคานส์เปิดประตูห้องออกมาได้จังหวะจริงๆ พ่อไม่ได้โวยวายอะไร ไม่ได้ควักเอาปืนมายิงคุณคานส์อย่างที่ฉันคิด เพียงแต่ยืนนิ่งๆ มองเขา “ผม….” “ครั้งนี้แกจะมาหลอกอะไรลูกสาวฉันอีก ที่ผ่านมาแกยังไม่พอใจอีกหรือไง พวกฉันมันโง่ขนาดนั้นเลยใช่ไหม ฉัน
คุณคานส์มองหน้าฉันแล้วขมวดคิ้วเข้มครู่ใหญ่จากนั้นก็ค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมา “แต่งกับฉัน ? เธอหมายถึงเราจะแต่งงานกัน” ฉันพยักหน้าตอบ คุณคานส์ก็ถามต่อ “แบบว่าเธอ ให้อภัยฉันแล้ว ?”คุณคานส์กระโดดลงจากเตียง เขาตะโกนออกมาเสียงดัง “เมียให้อภัยแล้วโว้ย!!!!” พอตะโกนเสร็จก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดๆ แล้วเอามาแนบไว้ที่หูเหมือนกำลังโทรหาใครสักคน “พ่อครับอลิชให้อภัยผมแล้วนะครับ พ่อได้ยินไหมเธอให้อภัยผมแล้ว” คุณคานส์พูดคำว่าฉันให้อภัยเขาแล้ววนไปมาจนนับครั้งไม่ถ้วน จากนั้นก็กดวางสาย “เอ๊ะ หรือจะยังไม่ให้อภัยดีคะ” ฉันแกล้งถาม คุณคานส์คว้าตัวฉันมาสวมกอดแน่น “พูดแล้วอย่ากลับคำ รู้ไหมว่าฉันดีใจมากขนาดไหน”คุณคานส์ถามด้วยน้ำเสียงที่คลายว่าเขากำลังจะร้องไห้“ร้องไห้หรอคะ” “เปล่าฉันไม่ได้ร้อง” คุณคานส์รีบปฏิเสธ แต่ฉันไม่เชื่อจึงดันกอดออก “ไหนดูสิว่าไม่ได้ร้องจริงๆ หรือเปล่า”พอผละกอดออกแล้วคุณคานส์ก็ก้มหน้าลง เขาไม่อยากให้ฉันเห็น “บอกแล้วไงว่าไม่ได้ร้อง”“ไม่ร้องก็เงยหน้าขึ้นมาสิคะ ถ้าไม่เงยหน้าขึ้นอลิชจะโกรธนะ” สิ้นสุดคำสั่งของฉันคุณคานส์ก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา ดวงตาคู่นั้นแดงกล่ำ “ไหนบอกว่าไม่ อื้อ~” ยังไม่