ฉันไม่ได้สนใจที่คุณคานส์โวยวาย รีบเดินเข้ามาในบ้านแล้วยกมือขึ้นมาทาบที่หน้าอกข้างซ้ายของตัวเอง ตอนนี้หัวใจดวงน้อยมันกำลังเต้นรัวไม่เป็นจังหวะคุณคานส์เองก็เดินตามเข้ามาในบ้านเหมือนกัน เขามองค้อนฉันแล้วเดินแทรกตัวไปที่ห้อง ทำเหมือนรู้ว่าห้องไหนคือห้องนอนของฉัน ไม่ใช่ทำเหมือนรู้สิ เขารู้จริงๆ “ออกไปนะ มีมารยาทหน่อยสิคะ” ฉันยืนเท้าเอวมองคุณคานส์ที่นั่งลงบนเตียงอย่างถือวิสาสะ “นี่ห้องเธอ ?”“ก็ใช่น่ะสิ ลุกขึ้นจากเตียงเดี๋ยวนี้เลยนะคะ”“เดี๋ยวฉันนอนพื้น เธอนอนบนเตียงก็ได้” เขาได้ฟังที่ฉันพูดหรือเปล่า ฉันคงใจดีมากเกินไปสินะ“บางทีอลิชก็คิดว่าจะโทรไปบอกพ่อนะคะว่าคุณคานส์ตามมายุ่งวุ่นวาย พ่อจะได้มาจัดการ” ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ไม่ใช่แค่ขู่แต่ฉันจะทำจริงๆ พรึบ! ยังไม่ทันจะได้กดโทรออกโทรศัพท์ในมือของฉันก็ถูกแย่งไป แถมคุณคานส์ยังทำหน้าทะเล้นใส่อีกต่างหากฉันจ้องคุณคานส์เขม็งจากนั้นก็เดินออกมาจากห้อง ไม่อยากพูดคุยหรือต่อปากต่อคำกับเขาแล้ว แต่ถึงฉันไม่อยากคุยคุณคานส์ก็ตามตอแยไม่เลิก เขาจะรู้บ้างไหมว่าตัวเองน่ารำคาญมากขนาดไหน “หยุดตอแยสักทีได้ไหมคะมันน่ารำคาญ” ฉันหยุดเดินแล้วหันไปต่อว่าคุณคานส์
#เช้าวันต่อมาจมูกของฉันมันได้กลิ่นหอมของอาหารจึงทำให้ลืมตาขึ้นมาเพราะความหิว จะว่าละเมอเดินออกจากห้องมาที่ครัวก็ไม่ผิด เพราะขณะที่เดินอยู่ดวงตาของฉันยังสะลึมสะลืออยู่เลย แต่เมื่อเข้ามาในครัวแล้วเห็นแผ่นหลังกว้างที่คุ้นตาฉันก็ต้องรีบถอยหลังออกจากครัวช้าๆ ยังรู้สึกอายเรื่องเมื่อคืนที่ไปทำผ้าหลุดต่อหน้าเขา ยิ่งคิดก็ยิ่งอาย เคล้ง! ในขณะที่ถอยหลังอยู่ฉันดันซุ่มซ่ามไปชนกับจานที่วางอยู่เข้า ทำให้มันตกกระแทกพื้นแล้วเกิดเสียงดัง คุณคานส์ที่กำลังยืนทำอาหารอยู่รีบหันมามองทันที พอเขาเห็นว่าเป็นฉันก็คลี่ยิ้มออกมา “หิวแล้วหรอ ไปนั่งรอก่อนสิฉันทำอาหารใกล้เสร็จแล้วเดี๋ยวยกไปให้” “ใครบอกจะกินของที่คุณคานส์ทำไม่ทราบ!” ฉันพูดไปอย่างไม่สนใจ ทั้งที่มันหิวมากๆ แต่จะไม่ยอมกินของที่เขาทำเด็ดขาด เพราะจะทำกินเอง “ถ้าเธอไม่กินอาหารที่ฉันทำแล้วเธอจะกินอะไร ?” คุณคานส์เลิกคิ้วถาม “ก็ทำกินเองไงคะ ไม่เห็นจะยาก” “แต่ของในตู้เย็นหมดแล้วนะ” ฉันไม่เชื่อคำที่คุณคานส์ว่าจึงเดินมาเปิดดูตู้เย็นถึงได้รู้ว่าของหมดตู้จริงๆ ฉันก็ลืมไปซื้อมาใส่ตู้ไว้ ข่วงนี้ยุ่งๆ (ยุ่งกับคุณคานส์นั่นแหละ) “กินของที่ฉันทำก่อน เดี๋ยวตอน
“หยุดพูดอะไรบ้าๆ แล้วก็ไปซักผ้าต่อเถอะค่ะ ฟังแล้วมันจะอ้วก” “อย่าแอบไปยิ้มคนเดียวก็แล้วกัน” คุณคานส์กระตุกยิ้มมุมปากให้ ฉันจึงรีบหันหน้าหนีเขาก่อนจะยิ้มออกมาอย่างเผลอตัว พอรู้ตัวเองว่าเผลอยิ้มก็รีบเดินกลับมาในบ้าน ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์มาจอดฉันจึงเดินไปดูที่หน้าบ้านว่าใครมาก็ได้เห็นว่าโอมกำลังจอดรถอยู่ “กึดเติงหาผมกะครับถึงมายืนรอหน้าบ้านจะอี้” โอมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ มโนจิตคิดไปเองใหญ่โต “พี่ได้ยินเสียงรถก็เลยออกมาดู ไม่ใช่คิดถึงจ้ะ” ฉันตอบดับฝันทำให้โอมหุบยิ้มแทบไม่ทัน“จุ๊ว่ากึดเติงผมสักหน้อยหื้อใจชื่นบ่ได้กะครับ” โอมทำหน้าบึ้งใส่ฉัน “มาทำไม ไม่เรียนหรอวันนี้” “วันนี้วันเสาร์ผมแวะหาหาปี้กลัวปี้จะเหงาเห็นว่าปี้บ่มีเพื่อน”“อื้อดีเลย จะฝากไปซื้อของที่ตลาดสักหน่อย” “เอาอะหยังครับจดมาผมจะไปซื้อหื้อ”“อื้อๆ เดี๋ยวพี่จดให้” “แล้วปี้อลิซบ่ไปขายเสื้อผ้ากะครับบะเดี่ยวนี้”“ไม่ได้ไปเลย ช่วงนี้ยุ่งๆ น่ะ” “ใครกับใครอยู่” เสียงคุณคานส์ดังมาจากด้านหลัง เพียงไม่ถึงห้าวินาทีให้หลังจากคำถาม เขาก็มายืนอยู่ข้างๆ กับฉันแล้ว “น้องค่ะ” ฉันบอกคุณคานส์ เขาพยักหน้ารับรู้ ดูจากสีหน้าของเขาไม่ได้ตกใจ
ฉันเดินออกมาจากห้องเห็นว่าพ่อกำลังเดินเข้ามาในบ้านจึงรีบเดินไปหาพยายามไม่แสดงพิรุธอะไรออกมา “จะมาไม่เห็นบอกก่อนเลยคะ” ฉันถามพ่อ“พ่อแวะมาทำธุระแถวนี้พอดีก็เลยมาหาลูกสักหน่อย” “นั่งก่อนค่ะเดี๋ยวอลิชไปเอาน้ำมาให้” “ไม่ต้องๆ ท้องโตขนาดนี้แล้วคงเดินลำบากเดี๋ยวพ่อไปหยิบมากินเอง” “ค่ะ” ฉันนั่งลงจากนั้นพ่อก็เดินหายเข้าไปในครัว ใจมันเต้นรัวๆ กลัวว่าคุณคานส์จะออกมาเจอพ่อ กลัวว่าพ่อจะเจอคุณคานส์ “ไอ้โอมมันเอารถไปชนกับใครมา ถามอะไรก็ไม่ตอบรีบขับรถไปเลย” “อะ เอ่อ คือว่า…ชะ ชนพุ่มไม้ที่บ้านค่ะ”“ไปทำอิท่าไหนถึงชนได้” “หลงบิดคันเร่งน่ะพ่อ จอดไว้ใกล้ๆ พุ่มไม้ด้วย” ใจมันเต้นรัวตุบๆ ไม่เป็นจังหวะจริงๆ ตอนนี้ “ละ แล้วนี่พ่อจะกลับตอนไหนคะ” “พ่อเพิ่งมาถึงจะไล่แล้วหรือไง” “ปะ เปล่าค่ะ คืออลิชกลัวจะค่ำมืดซะก่อน พ่อมาคนเดียวด้วย” ฉันค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ ตัวสั่นไปหมดแล้วตอนนี้ “แล้วนี่ไอ้นั่นมันได้โทรมาวุ่นวายหรือเปล่า หรือมันหายหัวไปเลย” ไอ้นั่นที่พ่อว่าก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคุณคานส์ “ก็มีโทรมาบ้างค่ะ” “ว่าแล้วเชียว มันคงตามไม่เลิกแน่ๆ”ปัก! พอบอกไปแบบนั้นพ่อก็ตบมือลงที่โต๊ะทันที ทำเ
เมื่อเดินมาที่หน้าห้อง ไม่รอช้าพ่อรีบเอื้อมมือไปจับลูกบิดทันดี แต่ประตูมันล็อกมาจากด้านในทำให้เปิดเข้าไปไม่ได้ “ทำไมห้องถึงล็อก ?” “คือว่า….อลิชเผลอล็อกไว้ตอนออกมาจากห้องน่ะค่ะ” “ไม่ใช่ว่าแอบซ่อนใครไว้ใช่ไหม” “มะ ไม่ใช่…” ฉันก้มหน้าลง แบบนี้พ่อต้องจับพิรุธได้แน่ๆ ยิ่งโกหกไม่เก่งด้วย พอถูกจี้ถามแบบนี้มันก็ยิ่งทำให้ไปไม่เป็น “ทำไมพ่อจะดูไม่ออกว่าลูกสาวตัวเองกำลังโกหก” เฮือก! ฉันว่าแล้วไงพ่อต้องจับได้แน่ๆ ปังๆ เสียงเพราะทุบประตูห้องดังลั่น พร้อมกับเรียกให้คนด้านในมาเปิดประตู “เปิดสิวะ ถ้าไม่เปิดฉันจะไม่ให้แกเจอหน้าลูกสาวฉันอีกแน่!!”“พ่อใจเย็นๆ….”“พ่อจะใจเย็นกว่านี้ถ้าลูกไม่โกหก” “อลิชไม่ได้โกหกนะคะ…..”แกร็ก! เมื่อสิ้นสุดคำพูดของฉันประตูห้องก็ถูกเปิดออก คุณคานส์ยืนนิ่งมองมาที่พ่อกับฉัน ทั้งที่เมื่อกี้ฉันเป็นคนพูดกับพ่อเองแท้ๆ ว่าไม่ได้โกหก คุณคานส์เปิดประตูห้องออกมาได้จังหวะจริงๆ พ่อไม่ได้โวยวายอะไร ไม่ได้ควักเอาปืนมายิงคุณคานส์อย่างที่ฉันคิด เพียงแต่ยืนนิ่งๆ มองเขา “ผม….” “ครั้งนี้แกจะมาหลอกอะไรลูกสาวฉันอีก ที่ผ่านมาแกยังไม่พอใจอีกหรือไง พวกฉันมันโง่ขนาดนั้นเลยใช่ไหม ฉัน
คุณคานส์มองหน้าฉันแล้วขมวดคิ้วเข้มครู่ใหญ่จากนั้นก็ค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมา “แต่งกับฉัน ? เธอหมายถึงเราจะแต่งงานกัน” ฉันพยักหน้าตอบ คุณคานส์ก็ถามต่อ “แบบว่าเธอ ให้อภัยฉันแล้ว ?”คุณคานส์กระโดดลงจากเตียง เขาตะโกนออกมาเสียงดัง “เมียให้อภัยแล้วโว้ย!!!!” พอตะโกนเสร็จก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดๆ แล้วเอามาแนบไว้ที่หูเหมือนกำลังโทรหาใครสักคน “พ่อครับอลิชให้อภัยผมแล้วนะครับ พ่อได้ยินไหมเธอให้อภัยผมแล้ว” คุณคานส์พูดคำว่าฉันให้อภัยเขาแล้ววนไปมาจนนับครั้งไม่ถ้วน จากนั้นก็กดวางสาย “เอ๊ะ หรือจะยังไม่ให้อภัยดีคะ” ฉันแกล้งถาม คุณคานส์คว้าตัวฉันมาสวมกอดแน่น “พูดแล้วอย่ากลับคำ รู้ไหมว่าฉันดีใจมากขนาดไหน”คุณคานส์ถามด้วยน้ำเสียงที่คลายว่าเขากำลังจะร้องไห้“ร้องไห้หรอคะ” “เปล่าฉันไม่ได้ร้อง” คุณคานส์รีบปฏิเสธ แต่ฉันไม่เชื่อจึงดันกอดออก “ไหนดูสิว่าไม่ได้ร้องจริงๆ หรือเปล่า”พอผละกอดออกแล้วคุณคานส์ก็ก้มหน้าลง เขาไม่อยากให้ฉันเห็น “บอกแล้วไงว่าไม่ได้ร้อง”“ไม่ร้องก็เงยหน้าขึ้นมาสิคะ ถ้าไม่เงยหน้าขึ้นอลิชจะโกรธนะ” สิ้นสุดคำสั่งของฉันคุณคานส์ก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา ดวงตาคู่นั้นแดงกล่ำ “ไหนบอกว่าไม่ อื้อ~” ยังไม่
นิ้วใหญ่ค่อยๆ ถูขึ้นลง เพียงสัมผัสแค่นี้ก็ทำให้สะโพกของฉันลอยขึ้นเหนือที่นอนได้ คุณคานส์ค่อยๆ ดันนิ้วสอดใส่เข้ามาภายในร่องแคบช้าๆ ข้างในมันคับแน่นและบีบรัด ทว่ามันไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไร มันรู้สึกเสียวมากกว่าคุณคานส์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วเปิดแฟรช จากนั้นก็เอาวางไว้ จากบรรยากาศภายในห้องที่มืดสนิทตอนนี้มองเห็นอะไรๆ ได้ชัดขึ้น “อ๊ะ ซี๊ด~” ฉันกำผ้าปูที่นอนแน่นพร้อมกับกัดริมฝีปากเพื่อระบายความเสียวซ่าน ในขณะที่นิ้วใหญ่ของคุณคานส์ค่อยๆ ชักเข้าออกภายในช่องแคบช้าๆ “คลอดเมื่อไหร่ฉันจะจับเธอกระแทกแรงๆ คอยดู” คำพูดนี้ที่คุณคานส์บอกราวกับว่าเขาเก็บกดมากๆ “ทะ ทำแบบนั้นอลิชก็เจ็บสิ อ๊า~”“ถ้าถูกกระแทกแรงๆ นอกจากจะไม่เจ็บแล้วเธอจะรู้สึกดีอีกต่างหาก” คุณคานส์บอกอย่างกับรู้ดีกว่าตัวฉัน ฉันเองก็ไม่รู้ว่าการถูกกระทำแรงๆ มันจะเป็นยังไง เพราะไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนั้นมาก่อน จากที่นิ้วใหญ่ชักเข้าออกช้าๆ ตอนนี้เร็วขึ้นๆ เรื่อยๆ ความเสียวซ่านมันทำให้ฉันบิดเร้าตัวเองไปมาจนผ้าปูที่นอนยับยู่ยี่ไปหมด “ขอใช้ลิ้นนะ”“มะ ไม่ต้องค่ะ แค่นิ้วก็พอ อ๊าง~” ฉันร้องครางออกมาเสียงหลงเมื่อคุณคานส์ก้มใบหน้าคมคายลงมาใช้ลิ้น
เช้าวันใหม่ ลืมตาตื่นขึ้นมาก็เห็นว่าคุณคานส์กำลังเอามือลูบคลำแล้วพูดพึมพำคนเดียวตรงท้องของฉันอยู่ “ตื่นนานแล้วหรอคะ” “อืม ตื่นนานจนทำอาหารเช้าเตรียมไว้ให้เมียขี้เซาเสร็จแล้ว” ฉันหยิบโทรศัพท์มาดูเวลาจะได้เถียงถูกว่าตัวเองไม่ได้ตื่นสาย แต่เมื่อเห็นเวลาที่จอโทรศัพท์แล้วก็ต้องตาโตขึ้น เพราะตอนนี้มันสิบโมงเช้าแล้ว ปกติฉันตื่นเช้ากว่านี้ “เมื่อคืนฉันคงกวนเธอมากไปหน่อย คืนนี้จะเบาๆ ลงนะ ^_^” สายตาของคุณคานส์นั้นไม่ธรรมดา เขามักจะแสดงอารมณ์และความต้องการออกมาชัดเจนผ่านแววตาคู่นั้น “ค…คืนนี้อะไร ไม่เอาแล้วค่ะอย่าหมกมุ่นเกินไปสิคะ” ฉันเบี่ยงตัวหนีคุณคานส์เพราะรู้สึกว่าตัวเองกำลำจะไม่ปลอดภัย “อะไรกัน แค่ครั้งเดียวมันพอที่ไหน” “แต่เมื่อคืนคุณคานส์ทำตั้งสามครั้งเลยนะคะ” ฉันเถียงกลับ มีอย่างที่ไหนมาบอกว่าทำครั้งเดียวฉันจำได้ว่าคุณคานส์ทำมากกว่านั้น “คืนนี้ต่อแขนต่อขาให้ลูกไง ^_^” คุณคานส์ขยับตัวขึ้นมากอดรัดฉัน“ไม่ต้องแล้วค่ะ ลูกมีแขนมีขาครบแล้ว” ฉันดันคุณคานส์ออกแล้วลุกขึ้น “เดี๋ยวอลิชไปอาบน้ำก่อนนะคะ” “พอคุยเรื่องนี้ทีไรเธอชอบทำเมินตลอด” คุณคานส์ทำหน้างอตุบป่องอยู่บนเตียง ทำให้ฉันฉีกยิ้