บรรยากาศในคาเฟ่ของมหาวิทยาลัยยังคงคึกคัก นักศึกษาทุกคนกำลังสนุกสนานกับการสนทนาและเสียงหัวเราะ ขณะเดียวกัน กรุงโรมยืนอยู่กับเพื่อนสนิทอย่างยูโรและใบม่อนที่มุมหนึ่งของร้าน พวกเขากำลังมองไปที่ปานตะวันที่นั่งอยู่คนเดียวและจิบกาแฟอย่างเงียบ ๆ
“เฮ้ย นั่นมันน้องคนนั้นที่มึงสนใจนิ?” ยูโรถามขณะยิ้มให้กับกรุงโรม
“กูเห็นแล้ว มองใกล้ๆแม่งน้องโคตรสวย” กรุงโรมตอบ ก่อนจะทำสายตาที่เต็มไปด้วยความหลงใหล
“เข้าไปทักไหม? น้องเขานั่งคนเดียวพอดีเลย” ใบม่อนถามด้วยเสียงเชียร์
"หรือมึงไม่กล้า?" ยูโร
“ไม่รู้สิ กับคนนี้กูใจสั่นชิบหาย ไม่กล้าจู่โจม กลัวว่าจะทำให้น้องเขาอึดอัด” กรุงโรมตอบเสียงต่ำ หัวใจกล้าๆกลัวๆอย่างบอกไม่ถูก
“แค่เข้าไปทักเอง ถามเรื่องเรียนหรือเรื่องทั่วไปก็ได้ ระดับมึงกลัวเป็นด้วยเหรอ” ยูโรแนะนำ
“เออว่ะ มึงไม่เคยลังเลเลยไม่ใช่เหรอ คาสโนว่าอย่างมึงแค่นี้ กลัว?” ใบม่อนเสริม
“ถ้าน้องเขาไม่สนใจล่ะ กูไม่หน้าแหกเลยเหรอ?” กรุงโรมได้แต่มองปานตะวัน ในใจเขายังลังเลไม่กล้าที่จะเข้าไปทัก
“เอาน่า! ลองดู ไม่ลองก็ไม่รู้” ยูโรกระตุ้นอีกครั้ง ยิ่งเห็นกรุงโรมประหม่าเขายิ่งนึกสนุก
"เอาวะ! เป็นไงเป็นกัน"
ในขณะที่กรุงโรมเตรียมตัวที่จะลุกไปทักปานตะวัน โลกันต์เดินเข้ามาในคาเฟ่ สีหน้าของเขาแสดงถึงความไม่พอใจ เมื่อเห็นกรุงโรมจ้องมองไปที่ปานตะวัน
“ทำอะไรกัน?” โลกันต์ถามเสียงเข้ม ขัดจังหวะการสนทนาของพวกเขา
“กำลังพูดถึงน้องปานน่ะ” ยูโรตอบอย่างไม่คิดอะไรมาก “ไอ้โรมกำลังจะเข้าไปทัก”
โลกันต์เลิกคิ้วแล้วจ้องไปที่กรุงโรม “ทักทำไม? ไม่เห็นจะน่าสนใจตรงไหน”
“มึงไม่สน แต่กูสนไง สเปคกู" กรุงโรมตอบเสียงมั่นใจ ก่อนจะหันไปมองปานตะวันอีกครั้ง
“ทักแล้วได้อะไร? เด็กนั่นไม่ใช่คนที่มึงควรไปยุ่งเกี่ยวด้วย” โลกันต์พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไปหาคนที่เหมาะสมกว่านี้เถอะ”
“ทำไมมึงถึงพูดแบบนี้วะ?” ยูโรถามอย่างสงสัย
“นั่นสิ..แค่ทักทายกันก็ไม่เห็นเป็นไร” ใบม่อนเสริมขึ้น
“กูแค่ไม่อยากให้มึงเสียเวลา” โลกันต์ตอบ โดยไม่สนใจคำพูดของยูโร
“เสียเวลาก็ช่างแม่ง มันจะเสียสักแค่ไหนกันเชียว ” กรุงโรมพูดด้วยความมุ่งมั่น “ยังไงวันนี้กูต้องเข้าไปทำความรู้จักกับน้องเขาให้ได้”
ในขณะที่กรุงโรมยืนยันในการที่จะเข้าไปทักทายปานตะวัน โลกันต์กลับขมวดคิ้วและยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ แสดงให้เห็นว่าเขากำลังพยายามจะคุมสถานการณ์ไว้ไม่ให้มีใครเข้าใกล้ปานตะวัน
“ถ้าไปทักแล้วเขาไม่สนใจมึงล่ะ? มีแต่จะอับอาย ” โลกันต์พูดเสียงต่ำ
“ทำไมมึงถึงคิดอย่างนั้นละ มึงรู้จักน้องเขาเหรอ?” ยูโรย้อนถาม
“ดูท่าทางก็รู้แล้วไหมว่าเด็กคนนั้นคนละระดับกับมึง” โลกันต์พูดก่อนจะหันไปมองกรุงโรม
"แล้วไง...ถ้าจะบอกว่าเธอจน กูก็ไม่มีปัญหาอะไรนะ เพราะบ้านกูรวย"
“ถ้าคิดแบบนั้นก็เรื่องของมึง กูเตือนมึงแล้วนะ”
“อย่าห่วงเลยเพื่อน ต่อให้โดนหลอก ขนหน้าแข้งกูก็คงไม่ร่วงเพราะผู้หญิงคนเดียวหรอก” กรุงโรมไม่สนใจคำเตือนของโลกันต์ เขาหมายมั่นที่จะเข้าไปทักปานตะวัน
ในขณะที่โลกันต์มองตามกรุงโรมด้วยความไม่พอใจ กรุงโรมเดินเข้าไปยังโต๊ะของปานตะวัน ด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ
“สวัสดีครับ น้องชื่อปานตะวันใช่ไหม”
“อ่อ...ค่ะ” ปานตะวันตอบเสียงเบา ไม่แน่ใจว่าเขาเข้ามาทักเธอทำไม
“พี่ชื่อกรุงโรมนะครับ หรือเรียกโรมเฉยๆ ก็ได้” เขาแนะนำตัวอย่างเป็นมิตร แต่ในใจของปานตะวันกลับรู้สึกตึงเครียดเมื่อได้ยินชื่อของเขา เธอนึกถึงคำสั่งของโลกันต์ที่ห้ามเธอทำความรู้จักกับคนๆนี้
“มีอะไรหรือเปล่าคะ?” ปานตะวันถาม ด้วยน้ำเสียงที่พยายามแสดงความกล้าหาญ แม้ภายในจะรู้สึกไม่สบายใจ
“พอดีพี่เห็นน้องปานนั่งอยู่คนเดียว เลยเข้ามาทัก” กรุงโรมพูดเสียงสุภาพ
"คะ?" ปานตะวันทำสีหน้าราวกับไม่เข้าใจในเจตนาของเขา
“พูดตรงๆ เลยนะ น้องน่ารัก พี่สนใจน้องเลยอยากทำความรู้จัก”
คำชมที่ออกจากปากของกรุงโรมทำให้ปานตะวันนิ่งไป ไม่คิดว่าเขาจะพูดตรงขนาดนี้ ในขณะเดียวกันเธอรู้สึกถึงสายตาของโลกันต์ที่จ้องมองมาจากมุมหนึ่งของคาเฟ่ สายตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจและอำนาจ เขาเหมือนกำลังคอยจับตามองทุกการเคลื่อนไหวของเธอ
“ขอบคุณค่ะ...” ปานตะวันตอบเสียงแผ่ว รู้สึกอึดอัด “แต่ว่าปาน...”
“ไม่ต้องกลัวพี่นะ พี่แค่อยากรู้จัก น้องเป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ” กรุงโรมพูดต่อ เมื่อเห็นท่าทีที่ลังเลของปานตะวัน ท่าทางแบบนั้นของเธอยิ่งทำให้เขาอยากทำความรู้จักกับเธอให้มากขึ้น
“พี่เห็นน้องมานั่งคนเดียว เลยอยากชวนคุย ไม่รู้ว่านัดกับใครเอาไว้หรือเปล่า?”
“ปานไม่ได้นัดกับใครค่ะ” เธอตอบเสียงเบา แม้จะพยายามปิดบังความวิตก แต่เธอก็รู้ดีว่าโลกันต์กำลังจับตามองเธออยู่
“งั้นดีเลย! พี่อยากชวนไปกินข้าวด้วยกันสักมื้อ เป็นการเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่ดี น้องจะว่ายังไง?”
กรุงโรมพูดด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความมั่นใจเพราะตั้งแต่เกิดและโตไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนกล้าปฏิเสธเขา ด้วยรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลา และฐานะทางบ้านที่ร่ำรวย
ปานตะวันนิ่งไป เมื่อภาพของโลกันต์และคำสั่งที่เขาให้ไว้กลับเข้ามาในหัวของเธออีกครั้ง
“ไม่ดีมั้งคะ ปานคงไม่สะดวก"
“แค่กินข้าวกันเฉยๆ ไม่มีอะไรหรอกครับ” กรุงโรมพยายามทำให้เธอรู้สึกสบายใจ
“พี่แค่คิดว่าน้องน่าสนใจ เลยอยากรู้จักมากขึ้น”
ในขณะเดียวกัน โลกันต์ที่นั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของคาเฟ่เริ่มรู้สึกไม่พอใจมากขึ้น เขาเห็นกรุงโรมเข้ามาคุยกับปานตะวันอย่างสนิทสนม รอยยิ้มของกรุงโรมและท่าทีของปานตะวัน ทำให้เขาไม่พอใจ เห็นอย่างนั้นเขาจึงไม่สามารถนั่งเฉยได้อีกต่อไป
ในขณะที่กรุงโรมพยายามหว่านล้อมให้เธอยอมตกลงไปทานข้าวกับเขา แต่ดูเหมือนเธอจะกลัวเขาอยู่บ้าง เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกเหมือนชีวิตเริ่มมีความท้าทาย ผู้หญิงคนแรกที่แสดงท่าทีลังเลที่จะไปกับเขา แตกต่างจากคนอื่นที่เขาเคยพบเจอ“ยังไงครับ ไปทานข้าวกับพี่สักมื้อได้ไหม?” กรุงโรมถามอีกครั้งด้วยความหวังในใจ“คือ...ปาน...” เธอพูดไม่ออก เมื่อรู้ว่าความสัมพันธ์ของเธอกับโลกันต์อาจทำให้เธอไม่สามารถตอบตกลงได้ และเขาก็เป็นคนแปลกหน้าที่พึ่งจะเข้ามา คงไม่ดีที่เธอจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวในช่วงเวลาที่กำลังลังเล ปานตะวันสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปเมื่อเขาคนที่เธอกำลังกลัวเดินเข้ามาใกล้“เกิดอะไรขึ้น?” โลกันต์ถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจเมื่อเห็นกรุงโรมอยู่ใกล้ปานตะวันกรุงโรมหันไปมองโลกันต์ทันที “ไอ้กันต์ มึงมาก็ดีแล้ว กูกำลังจะ......”“มีอะไรให้คุยมากมายขนาดนั้น?” โลกันต์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบ แต่ในตาของเขาเต็มไปด้วยความอึดอัด ไม่รอให้กรุงโรมพูดจบเขา เขาหันไปมองปานตะวัน"คุณย่าโทรมาบอกให้เธอรีบกลับบ้าน"“แต่ปานยังไม่เสร็จ...”“กลับบ้าน!” โลกันต์พูดเสียงแข็ง เขาจับมือเธอไว้และดึงให้ลุกขึ้น“..ค่ะ” ปานตะวันต
ปานตะวันเดินกลับบ้านด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เธอรู้ดีว่าชีวิตของเธอไม่มีสิทธิ์เลือกอะไรมากนัก แต่คำพูดของโลกันต์วันนี้กลับยิ่งย้ำเตือนถึงสถานะของเธอในสายตาของเขา เธอพยายามกลั้นน้ำตาไว้ให้ได้ แต่เมื่อถึงบ้าน เธอก็ไม่สามารถห้ามความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามาได้"เธอไม่ใช่คนหรือไงปานตะวัน ต่ำต้อยจนไม่สามารถยืนอยู่บนดินเหมือนพวกเขาได้เลยหรือ อึกๆ"เธอทรุดตัวลงนั่งที่หน้าประตู สายตาเหม่อลอยไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาว หากเธอมีทางเลือก เธออยากจะไปให้ไกลจากที่นี่ แต่เธอกลับถูกพันธนาการไว้ด้วยคำว่า "บุญคุณ" และความรักในอีกด้านหนึ่ง โลกันต์กลับมาถึงบ้านด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว เขาทิ้งตัวลงบนโซฟา พลางขบคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ แม้เขาจะบอกตัวเองว่าทุกอย่างที่เขาทำไปนั้นถูกต้อง แต่ลึกๆ ในใจกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดพลาดเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดความคิดของเขา เขาหยิบมันขึ้นมาดู ชื่อของ "กรุงโรม" ปรากฏอยู่บนหน้าจอ โลกันต์ถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะกดรับสาย"มึงมีอะไร?" โลกันต์พูดเสียงเรียบ"กูมีอะไรจะถามมึง" เสียงของกรุงโรมเต็มไปด้วยความจริงจัง "มึงคิดยังไงกับปานตะวันกันแน่วะ?"คำถามนั้นทำให้โลกันต์
หนึ่งสัปดาห์ต่อมาตั้งแต่คืนนั้น โลกันต์ก็ไม่เคยพูดหรือส่งข้อความหาปานตะวันอีกเลย เขาแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่ลึกๆ ในใจของเขากลับรู้สึกไม่สงบเลยสักนิดโลกันต์เดินผ่านสวนที่จัดไว้อย่างเรียบหรู แสงแดดยามเย็นสาดส่องผ่านต้นไม้สูงใหญ่ ทอดเงาลงบนทางเดินหินที่สะอาดสะอ้าน เขาก้าวเท้าหนักแน่นไปตามทาง ด้วยความคิดที่ยุ่งเหยิงในหัวในจังหวะนั้นเอง เขาเห็นร่างของปานตะวันเดินมาในทิศทางตรงกันข้าม เธอสวมชุดเรียบง่าย มือถือถาดอาหารเอาไว้แน่น ใบหน้าของเธอดูอ่อนล้า แต่ก็ยังมีความเข้มแข็งที่พยายามปกปิดความเจ็บปวดเมื่อสายตาของทั้งคู่สบกัน โลกันต์กลับไม่ได้หยุดหรือแสดงท่าทีใดๆ เขาเพียงแค่ก้าวต่อไปอย่างเฉยชา ราวกับเธอเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ไม่มีความสำคัญปานตะวันหยุดเดินชั่วขณะ เธอมองเขาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยคำถามและความเจ็บปวดในใจ แต่เขาก็ไม่แม้แต่จะหันกลับมามองเธออีกครั้งความเย็นชาของโลกันต์ยังคงเหมือนเดิม เหมือนกำแพงหนาที่เขาสร้างขึ้นเพื่อปิดกั้นทุกอย่างจากเธอ และเธอก็รู้ดีว่ามันจะเป็นแบบนั้นตลอดไปหัวใจของปานตะวันเหมือนถูกบีบรัด เธอสูดลมหายใจลึก พยายามสะกดกลั้นความรู้สึกในใจ ก่อนจะตัดสินใจ
ที่ลานคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยข่าวลือเรื่องการหมั้นหมายระหว่างโลกันต์และใบม่อนแพร่กระจายไปทั่ว เพื่อนๆ ในกลุ่มต่างพากันแซวเมื่อทั้งสองเดินเข้ามาพร้อมกัน กรุงโรมและยูโร เพื่อนสนิทของโลกันต์ ไม่พลาดโอกาสแหย่“อ้าว! ท่านว่าที่เจ้าบ่าวมาแล้ว!” กรุงโรมพูดเสียงดัง พร้อมยกมือทำท่าคารวะ “โลกันต์ กฤษณะโยธิน ผู้ชายที่กำลังจะขายตัวเพื่อธุรกิจ!”"ขายตัวพ่อง!มึงดิ!"เสียงหัวเราะจากกลุ่มเพื่อนดังขึ้น ยูโรเสริมทันที “ใบม่อนนะ ใบม่อน! ทำไมมึงไม่บอกพวกกูว่ามึงจะกินคนใกล้ตัวขนาดนี้"ใบม่อนที่ยืนอยู่ข้างโลกันต์ ยิ้มเขินอย่างมีความสุข ใบหน้าของเธอแดงระเรื่อจากคำแซวของเพื่อนๆ“พวกมึงก็แซวเกินไป” เธอตอบเสียงอ่อน ขณะเหลือบมองโลกันต์ที่ยืนนิ่งข้างๆ แต่แทนที่โลกันต์จะเล่นตามน้ำ เขากลับตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา“มันเป็นเรื่องของสองตระกูล หมั้นกันเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ”คำพูดนั้นทำให้บรรยากาศรอบตัวเงียบลงในทันที รอยยิ้มบนใบหน้าของใบม่อนค่อยๆ จางหายไป เธอหน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด“โลกันต์...” ใบม่อนพยายามพูดอะไรบางอย่าง แต่เขากลับไม่ได้สนใจเธอ“กูมีงานต้องไปทำก่อนเข้าเรียนบ่าย พวกมึงเล่นกันไปเถอะ” โลกันต์พูดตั
@ห้องพยาบาลของคณะปานตะวันค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา สายตาพร่ามัวเล็กน้อยก่อนจะมองเห็นภาพรอบตัวอย่างชัดเจน เธอพบว่าเธอกำลังนอนอยู่ในห้องพยาบาล มีโลกันต์ กรุงโรม และใบม่อนยืนอยู่ด้วย ใบม่อนยืนกอดอกด้วยสีหน้าไม่พอใจ ขณะที่กรุงโรมมีท่าทีเหมือนอยากพูดอะไรแต่ก็เกรงใจโลกันต์ ส่วนโลกันต์ยืนอยู่ข้างเตียง จ้องมองปานตะวันด้วยสายตาเย็นชา"ปาน...เป็นอะไรไปคะ?" ปานตะวันพูดเสียงแผ่วโลกันต์ขยับเข้ามาใกล้ มองเธอด้วยสายตาดุๆ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาและประชดประชัน"ก็เป็นลมน่ะสิ จะอะไรอีก เธอมันโง่ที่ไปทำตามคำสั่งของคนอื่นง่ายๆ รู้ว่าแดดมันร้อนก็ยังจะทำ รู้ว่าหนักก็ยังจะยอม คนอื่นพูดอะไรมาก็เชื่อไปหมด ใครใช้ให้เธอเชื่องขนาดนั้นฮะ? หรือเธอเกิดมาเพื่อเชื่องแบบหมาอยู่แล้ว?" โลกันต์พูดด้วยน้ำเสียงดุดันในใจโมโหไม่น้อยคำพูดของโลกันต์เหมือนกรีดหัวใจปานตะวัน เธอมองเขาด้วยความเจ็บปวด แต่ก็พยายามพูดอย่างใจเย็น"ปานแค่ไม่อยากให้ใครมาว่า...หาว่าปานไม่รู้จักสถานะของตัวเอง และไม่อยากให้เสียถึงคุณกันต์ " ปานตะวันตอบด้วยเสียงอ่อน"ไม่อยากให้ใครว่า? แล้วคิดว่าใครเขาสนใจเธอนักหนา? คนที่โดนสั่งให้ทำอะไรโง่ๆ แล้วทำตามนี่แ
หลายสัปดาห์ต่อมา ความสัมพันธ์ระหว่างโลกันต์และปานตะวันยังคงดำเนินไปในเงามืด ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทุกคืนเขายังคงเข้าหาเธอในความเงียบงัน ราวกับว่านี่คือเรื่องปกติธรรมดาที่ควรจะเป็น แต่ในขณะเดียวกัน โลกันต์กลับแสดงท่าทีเป็นเจ้าข้าวเจ้าของมากขึ้นเรื่อยๆเขาสั่งห้ามใบม่อนไม่ให้เข้าใกล้หรือยุ่งกับปานตะวัน “เธอเป็นคนของฉัน” โลกันต์พูดกับใบม่อนด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แฝงไปด้วยความเย็นชา “อย่าลืมว่าสถานะของเธอคือว่าที่คู่หมั้นฉัน ไม่ใช่คนที่จะมีสิทธิ์มายุ่งกับเรื่องส่วนตัวของฉัน”ในตอนนั้นใบม่อนเม้มปากแน่น น้ำเสียงของโลกันต์ไม่ได้ดังหรือโกรธเกรี้ยว แต่มันกลับกรีดลึกลงไปในความรู้สึกของเธออย่างเจ็บปวด เธอพยายามแสดงสีหน้าเรียบนิ่ง แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความไม่พอใจและความน้อยเนื้อต่ำใจในด้านของปานตะวัน เธอเริ่มรู้สึกอึดอัดกับความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียกนี้ โลกันต์ทำเหมือนเธอเป็นของเขา แต่กลับไม่เคยแสดงออกถึงความรู้สึกที่แท้จริง ทุกครั้งที่เขาเข้าหาเธอ มันเหมือนเป็นเพียงความต้องการที่เกิดขึ้นในชั่วขณะ ไม่ใช่ความรักหรือความใส่ใจใดๆในบางวัน เธอแอบเห็นเขาเดินอยู่กับใบม่อนในมหาวิทยาลัย ท่ามกลางเพื่อน
สองสัปดาห์ต่อมา ตั้งแต่วันนั้น โลกันต์กับปานตะวันก็ไม่ได้พูดคุยกันอีกเลย ความสัมพันธ์ที่เคยคลุมเครือกลายเป็นความเย็นชาและความห่างเหิน ปานตะวันพยายามหลบหน้าเขาทุกครั้งที่มีโอกาส ส่วนโลกันต์ก็ทำเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น เขาใช้ชีวิตของตัวเองตามปกติราวกับปานตะวันเป็นเพียงแค่เงาในบ้าน@โรงอาหารในมหาวิทยาลัยในช่วงเที่ยงที่มหาวิทยาลัย โรงอาหารคึกคักไปด้วยเสียงพูดคุยของนักศึกษา ปานตะวันกำลังนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งกับเพื่อนๆ พยายามไม่สนใจสิ่งรอบข้างมากนัก เธอก้มหน้าทานข้าวเงียบๆ จนกระทั่งสายตาของเธอเหลือบไปเห็นโลกันต์ที่เดินเข้ามาพร้อมกับกรุงโรมและยูโรหัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว โลกันต์ดูสง่างามในชุดนักศึกษา แม้จะดูเรียบง่าย แต่บุคลิกที่นิ่งขรึมและแฝงความเย็นชาในตัวเขาก็เพียงพอที่จะดึงดูดความสนใจของทุกคนในโรงอาหารพวกเขาบังเอิญเดินสวนกันตอนที่ปานตะวันกำลังลุกขึ้นไปซื้อน้ำ โลกันต์มองผ่านเธอไปเหมือนว่าเธอไม่มีตัวตน แม้แต่จะหันมาสบตาก็ไม่มี เขาเดินผ่านไปโดยไม่พูดอะไร กรุงโรมขมวดคิ้วเล็กน้อย หันไปถามโลกันต์“อยู่บ้านเดียวกันแท้ๆ ทำไมทำเหมือนไม่รู้จักกันวะ?”โลกันต์ยักไหล่เล็กน้อยก่อนตอบด
ณ บ้านกฤษณะโยธินบรรยากาศในห้องอาหารเย็นวันนั้นดูเงียบผิดปกติ ปานตะวันไม่ได้อยู่ร่วมโต๊ะอาหารด้วยเหมือนทุกครั้ง คุณย่าที่นั่งอยู่หัวโต๊ะเงยหน้าขึ้นมองห้องอาหารรอบๆ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล"น้อย ปานไปไหน ทำไมไม่ลงมากินข้าว?""กลับมาตั้งแต่บ่ายแล้วค่ะ แต่ดูเหมือนจะไม่สบาย เห็นบ่นปวดหัวแล้วก็ขอตัวขึ้นไปพัก" แม่น้อยตอบด้วยท่าทางเรียบร้อยคำตอบนั้นทำให้โลกันต์ที่นั่งฟังอยู่ขยับตัวเล็กน้อย แม้สีหน้าจะยังคงเรียบเฉย แต่หัวใจกลับรู้สึกกระตุกอย่างไม่รู้ตัว ภาพสายตาของปานตะวันที่มองเขาในโรงอาหารยังคงวนเวียนอยู่ในความคิด มันเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและผิดหวังอย่างเห็นได้ชัดเขาพยายามไม่แสดงอะไรออกมา หยิบส้อมขึ้นมาแล้วตักอาหารเข้าปากอย่างใจเย็น แต่ในหัวกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่เขาไม่อาจอธิบายได้เช้าวันต่อมาในห้องอาหาร ทุกคนลงมาทานข้าวพร้อมกัน โลกันต์นั่งอยู่ในที่ประจำของเขา ปานตะวันที่ยังดูอิดโรยเล็กน้อยด้วยเมื่อคืนร้องไห้อย่างหนัก เธอเดินเข้ามาพร้อมกับถาดอาหาร ปานตะวันตักข้าวใส่จานให้คุณย่าและโลกันต์อย่างเงียบๆ ทุกการกระทำยังคงเรียบร้อยเหมือนเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือท่าที
@สามปีต่อมาหลังจากหยุดพักการเรียนเพื่อจัดการกับชีวิตและหัวใจของตัวเอง โลกันต์กลับมาเรียนต่อและคว้าปริญญาวิศวกรรมไฟฟ้าสำเร็จด้วยความมุ่งมั่น ไม่เพียงแค่นั้น เขายังเริ่มต้นธุรกิจด้านวิศวกรรมไฟฟ้า ที่ครอบคลุมการออกแบบและติดตั้งระบบพลังงานให้กับอาคารขนาดใหญ่และโรงงานอุตสาหกรรม“ไม่อยากเชื่อเลยว่าคนอย่างมึงจะมีวันนี้” กรุงโรมพูดขณะนั่งดื่มกาแฟด้วยกันที่บ้านพักริมทะเลของโลกันต์“เออ กูก็ไม่คิดเหมือนกัน แต่ถ้าไม่มีปานตะวันและลูก กูคงไม่ได้มายืนตรงนี้” โลกันต์ตอบพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน เขามองไปที่ปานตะวันซึ่งกำลังเล่นกับลูกชายวัยสองขวบและลูกสาววัยขวบเศษในสวนหน้าบ้าน“กูต้องขอบคุณพวกมึงด้วยนะ ทั้งกรุงโรม ทั้งยูโร ถ้าไม่มีพวกมึง กูคงไม่กล้ากลับมาแก้ไขชีวิตตัวเอง” โลกันต์พูดพลางตบไหล่เพื่อนรักทั้งสอง"ว่าแต่มึงเถอะช่วงนี้เป็นไง ราบรื่นดีไหม เห็นว่าตามจีบผู้หญิงอยู่นานแต่ก็ยังไม่ติดสักที ทำไมวะ" โลกันต์ถามกรุงโรมที่เป็นเพื่อนสนิท คนที่พร้อมลุยและยืนข้างโลกันต์เสมอมา ตอนนี้กลายเป็นเจ้าของธุรกิจด้านวิศวกรรมโยธาที่ประสบความสำเร็จ เขาดูแลโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ทั่วประเทศ แต่สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือควา
หลายเดือนหลังจากที่ชีวิตของโลกันต์และปานตะวันกลับเข้าสู่ความสงบ ปานตะวันได้เป็นแม่ที่สมบูรณ์แบบ และโลกันต์ก็กลายเป็นสามีที่แสนอบอุ่น แม้จะมีความขัดแย้งเล็กน้อยในบางครั้ง แต่พวกเขาก็เรียนรู้และเติบโตไปด้วยกัน ครั้งนี้พวกเขาตัดสินใจพาลูกทั้งสองคนกลับไปกราบคุณย่าที่บ้านกฤษณะโยธิน เพื่อขอโทษและขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างบ้านหลังใหญ่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำ โลกันต์นำรถมาจอดที่หน้าบ้าน และปานตะวันอุ้มลูกสาวและลูกชายออกจากรถ เด็กน้อยทั้งสองยังคงดูน่ารักและไร้เดียงสา“เข้าไปกราบคุณย่ากันเถอะ” โลกันต์พูดเสียงเบา เขาจับมือปานตะวันไว้แน่น พร้อมกับยิ้มให้ลูกทั้งสองปานตะวันยิ้มตอบ ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ที่เงียบสงบ รู้สึกเหมือนเวลากลับไปข้างหลัง กลิ่นหอมของต้นไม้และดอกไม้รอบบ้านทำให้เธอคิดถึงอดีตที่เคยหลบหนีไปในวันนั้นคุณย่าของโลกันต์ยืนรออยู่ที่ประตูบ้าน เธอสวมเสื้อผ้าไหมอย่างดี ดูสง่างาม แต่สายตาของเธอยังคงเต็มไปด้วยความอบอุ่น แม้เวลาจะผ่านไปนานนัยปี แต่ท่าทางที่ยืนอยู่ยังคงเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน“คุณย่า” โลกันต์เรียกเสียงเบา ก่อนจะก้มลงกราบที่เท้าของคุณย่าอย่างเคารพ“หลานกลับมาแล้ว” คุณ
บรรยากาศในบ้านอย่างเงียบสงบ แต่ภายในห้องนั่งเล่นกลับเต็มไปด้วยความวุ่นวาย โลกันต์กำลังวุ่นอยู่กับการจัดเก้าอี้ โซฟา และหมอนหลายใบตามคำสั่งของปานตะวัน ซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาโดยมีท้องที่เริ่มโตจนใกล้คลอด“คุณกันต์ หมอนตรงนั้นวางไม่ถูกค่ะ ขยับไปอีกนิด!”“ตรงไหนครับ?” โลกันต์หันไปถามพร้อมกับเหงื่อตก“ซ้ายค่ะ! ไม่สิ...ขวาอีกนิด!” ปานตะวันบอกอย่างละเอียด จนโลกันต์ต้องถอนหายใจ“คุณก็พูดให้ชัดหน่อยสิครับ ผมหมุนไปหมุนมาเหมือนหมากลิ้งหลายรอบแล้วนะ”“อ๋อ ถ้าหมา ยังไม่เหมือนค่ะ เพราะหมาน่าจะคล่องกว่านี้!”คำพูดนั้นทำเอาโลกันต์กลอกตา แต่ก็ไม่ได้เถียงอะไรต่อ เขาจัดหมอนตามที่เธอบอกจนกระทั่งเธอพยักหน้าพอใจ“ดีค่ะ คราวนี้ช่วยหยิบผลไม้มาให้ปานด้วยนะคะ อยากได้แอปเปิลกับองุ่น”“ครับ คุณผู้หญิง นั่งรออสักครู่นะครับ” โลกันต์ตอบเสียงเหนื่อย แต่ในแววตากลับมีความอ่อนโยน เขายิ้มออกมาอย่างคนที่มีความสุข เอ็นดูเมียรักที่กำลังแกล้งเขาในขณะที่โลกันต์กำลังเดินเข้าครัว เสียงเห่าของเจ้าด่างกับเจ้าดำ สุนัขที่เลี้ยงไว้เฝ้าบ้าน ก็ดังขึ้น ปานตะวันหันไปมองทันที เจ้าดื้อสองตัวกำลังวิ่งเล่นไล่กัดกันรอบโซฟา“ด่าง,ดำ หยุดวิ่งเดี
@ บรรยากาศวันหยุดโลกันต์เดินลงมาจากห้องนอนด้วยอาการงัวเงียหลังจากนอนดึกเมื่อคืน เขายืดเส้นยืดสายเล็กน้อยก่อนจะมองไปที่ห้องครัว กลิ่นหอมของอาหารเช้าลอยมาตามลม ทำให้เขารู้ทันทีว่าปานตะวันกำลังทำอะไรสักอย่าง“วันนี้อารมณ์ดีจัง” โลกันต์พึมพำกับตัวเอง พร้อมกับเดินตรงไปหาเธอ ปานตะวันเมียสุดที่รักของเขาปานตะวันยืนหันหลังอยู่ เธอสวมผ้ากันเปื้อนลายดอกไม้ที่เขาเพิ่งซื้อให้เมื่อเดือนก่อน“เช้านี้มีอะไรให้ผมกินบ้างครับคุณแม่บ้าน?” โลกันต์ถามเสียงหยอกปานตะวันหันมายิ้มให้เล็กน้อย แต่ไม่ตอบคำถาม เธอเพียงแค่ชี้ไปที่โต๊ะอาหารซึ่งมีจานอาหารเช้าจัดเรียงไว้อย่างสวยงาม“วันนี้ของคุณพิเศษหน่อยนะคะ ปานตั้งใจทำให้คุณเองกับมือเลย” ปานตะวันพูดน้ำเสียงร่าเริงผิดปกติ โลกันต์เลิกคิ้วเล็กน้อย รู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้คิดมาก“ขอบคุณครับที่รัก”เขานั่งลงแล้วหยิบส้อมขึ้นมาเตรียมกิน ทันทีที่เขาตักไข่คนเข้าปาก โลกันต์ต้องหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ความเผ็ดร้อนพุ่งขึ้นมาจากลิ้นจนทำให้เขาตาเบิกกว้าง“แค่กๆ!” โลกันต์สำลักน้ำตาแทบไหล “นี่มันอะไรกัน! มันเผ็ดมากเลยนะปาน”ปานตะวันหัวเราะคิกคักก่อนจะยื่นแก้วน้ำให้เขา “ปานแค่ใ
@ยามเย็นที่หมู่บ้านชายฝั่งทะเลแสงอาทิตย์สีส้มอ่อนกำลังลาลับขอบฟ้า ลำแสงบางเบาสาดกระทบผืนทะเลที่กว้างไกลจนกลายเป็นสีทองระยิบระยับ เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งดังเป็นจังหวะอ่อนโยน ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบของหมู่บ้านชายฝั่งเล็กๆ โลกันต์ กรุงโรม และยูโร เดินทางกลับมายังหมู่บ้านชายฝั่งทะเลพร้อมกับกรุงโรมและยูโร สองเพื่อนรักที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตลอดทาง ตลอดการเดินทางเสียงล้อเล่นของสองคนนั้นช่วยทำให้บรรยากาศไม่เงียบเหงาๆระหว่างที่รถจอดตรงถนนลูกรังใกล้กับบ้านไม้เก่าของปานตะวัน โลกันต์นั่งนิ่งอยู่ที่เบาะคนขับ ดวงตาจ้องมองไปที่บ้านตรงหน้า สภาพบ้านที่ล้อมรอบด้วยต้นมะพร้าวและสวนเล็กๆ ดูเรียบง่ายและอบอุ่นในสายตาของเขา แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้น หัวใจเต้นรัวราวกับจะหลุดออกมาจากร่าง“ในที่สุดมึงก็ได้กลับมาเจอเมียแล้วนะโลกันต์” กรุงโรมพูดพลางหัวเราะเบาๆ“จำได้ไหมว่าเมื่อก่อนมึงปากเก่งขนาดไหน? เก่งจนเขาหนีไป เก่งจนทำให้มึงนั่งหอนเป็นหมาไม่ทีบ้าน”ยูโรเสริมทันที “เออ ตอนนั้นนะ หัวสูงเป็นหมาไม่ติดดิน แถมยังทำตัวเป็นเจ้านายเขาตลอด หาเรื่องเขาสารพัด...แล้วดูตอนนี้ดิ หมาวัดยังดูดีกว่ามึงอีก”โลกัน
@หลายสัปดาห์ต่อมาโลกันต์ไม่เคยคิดว่าการให้ “เวลา” กับปานตะวันจะกลายเป็นบทเรียนสำคัญในชีวิตของเขา เขาเรียนรู้ที่จะปล่อยวางและใช้ช่วงเวลานั้นเพื่อปรับปรุงตัวเอง แม้จะไม่ได้พบปานตะวันบ่อยนักในช่วงเดือนที่ผ่านมา แต่เขาก็ไม่เคยหยุดพยายามที่จะส่งผ่านความตั้งใจดีไปให้เธอปานตะวันใช้เวลานั้นทบทวนสิ่งต่างๆ อย่างหนัก เธอพยายามแยกแยะความรู้สึกของตัวเองว่าเป็นความรัก ความโกรธ หรือแค่ความกลัวที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งคืนหนึ่ง ปานตะวันนั่งอยู่ริมชายหาดลำพัง เธอทอดสายตามองดวงดาวที่สะท้อนบนผืนน้ำ ในใจมีคำถามมากมายที่ยังไม่ได้คำตอบ เสียงฝีเท้าดังแผ่วเบา เธอไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่าเป็นใคร“เธออยากอยู่คนเดียวหรือเปล่า?” โลกันต์ถามอย่างสุภาพ เขายืนนิ่งไม่กล้าเข้าไปใกล้“นั่งสิ” เธอตอบเรียบๆ โดยไม่หันมามองโลกันต์นั่งลงข้างๆ เธอ แต่เว้นระยะห่างเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เธออึดอัด“วันนี้ทะเลดูสงบดีนะ” โลกันต์พูดเพื่อทำลายความเงียบ“ใช่...” ปานตะวันตอบสั้นๆทั้งคู่เงียบไปอีกพักใหญ่ โลกันต์หันไปมองใบหน้าของปานตะวันที่ดูนิ่งสงบ เขาอยากถามหลายอย่าง แต่ก็เลือกที่จะรอให้เธอเป็นฝ่ายเริ่มก่อน“ฉันไม่รู้ว่าฉันควรทำยังไง”
หลายเดือนผ่านไป ปานตะวันที่ดูเหมือนจะต่อต้านเขาน้อยลง นั่นเป็นสัญญาณที่ดี ที่แสดงให้เห็นว่าเธอเริ่มที่จะใจอ่อนลงแล้ว โลกันต์ตัดสินใจบางอย่างที่ทำให้เขานั่งไม่ติดตั้งแต่เช้ามืด เขาตื่นขึ้นมาพร้อมแผนการที่คิดไว้ตลอดทั้งคืน ก่อนจะเดินตรงไปยังบ้านของปานตะวันที่อยู่ปลายหมู่บ้าน“ฉันต้องทำสำเร็จ ครั้งนี้ต้องทำให้ได้...” โลกันต์พึมพำกับตัวเองขณะเดินเมื่อไปถึงหน้าบ้านของปานตะวัน เขาเคาะประตูเบาๆ เพื่อไม่ให้ดูรีบร้อนเกินไป แต่ไม่มีใครตอบ เขาเลยลองอีกครั้ง“ปาน...” โลกันต์เรียกชื่อเธอเสียงเบาไม่นานนัก ปานตะวันก็เปิดประตูออกมา เธอสวมเสื้อยืดตัวใหญ่กับกางเกงขาสั้นของคนท้อง สายตาของเธอดูไม่แปลกใจที่เห็นเขา“มีธุระอะไรคะ?” เธอถามเสียงเรียบ“ฉันแค่...” โลกันต์สูดลมหายใจลึก พยายามควบคุมอารมณ์ “ฉันอยากคุยกับเธอจริงๆ อยากบอกดับเธอเป็นครั้งสุดท้าย ขอเวลาหน่อยได้ไหมปาน”“ครั้งสุดท้าย?” ปานตะวันเลิกคิ้ว“ใช่...” โลกันต์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ถ้าเธอฟังสิ่งที่ฉันพูดวันนี้ แล้วคิดว่าฉันไม่ควรอยู่ที่นี่อีก ฉันจะกลับกรุงเทพฯ และจะไม่รบกวนเธออีก จะไม่มาให้เห็นหน้าอีกต่อไป”ปานตะวันนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะกอดอกแ
โลกันต์ยังคงใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านชาวประมงแห่งนั้น เขาเรียนรู้วิถีชีวิตที่ไม่เคยคุ้นเคยมาก่อน ตั้งแต่การตื่นแต่เช้ามืดไปช่วยชาวประมงลากอวน การปีนขึ้นต้นมะพร้าวเพื่อเก็บลูกสดๆ ไปจนถึงการแบกถังน้ำจากบ่อน้ำมาใช้ในบ้านพักที่เขาเช่าอยู่ ทุกวันผ่านไปอย่างลำบาก แต่โลกันต์ไม่ปริปากบ่นเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะเขามีเป้าหมายเดียวในใจ คือการทำให้ปานตะวันเห็นว่าเขาจริงจังกับการเปลี่ยนแปลงตัวเอง@เช้าวันหนึ่งโลกันต์ยืนอยู่หน้าบ้านไม้ยกพื้นของปานตะวัน เขารวบรวมความกล้าก่อนจะตะโกนเรียกเธอด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจน“ปาน! ปานตะวัน! อยู่ไหม?”ปานตะวันกำลังจัดดอกไม้ในห้องครัว เสียงของโลกันต์ทำให้มือเธอชะงักไปครู่หนึ่ง เธอถอนหายใจหนักแล้วเดินออกไปที่หน้าต่างมองลงมาเห็นเขายืนอยู่พร้อมกับถุงของฝากใบใหญ่ในมือ“คุณมาทำอะไรที่นี่?” ปานตะวันถามเสียงเรียบ ดวงตาเย็นชาของเธอมองเขาราวกับคนแปลกหน้า“ฉันเอาของมาฝาก เป็นปลาทูที่ฉันช่วยชาวบ้านจับมาได้สดๆ กับมือ” โลกันต์ตอบพร้อมยื่นถุงของฝากขึ้น“ฉันไม่ได้ขอ” เธอตอบกลับทันที “แล้วก็ไม่จำเป็นต้องเอาอะไรมาให้”“ฉันไม่ได้ต้องการอะไรตอบแทน ฉันแค่อยากให้เธอรู้ว่าฉัน...เปลี่ยนไปแ
โลกันต์ตื่นขึ้นมาในเช้าตรู่เหมือนทุกวันในช่วงเดือนที่ผ่านมา เขาตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่ที่หมู่บ้านเล็กๆ ริมทะเลทางภาคใต้ของประเทศไทย เขาได้เช่าบ้านไม้หลังเล็กๆ ใกล้ชายหาด และตั้งใจทำงานทุกอย่างที่ชาวบ้านทำ แม้ร่างกายจะอ่อนล้าเพียงใด แต่ความหวังเพียงเล็กน้อยที่ปานตะวันอาจยอมให้อภัย ก็เป็นพลังที่ผลักดันให้เขาก้าวเดินต่อไปในเช้าวันนี้โลกันต์ได้รับคำชวนจากลุงประจวบ ชาวประมงผู้มีประสบการณ์ยาวนานในหมู่บ้าน ให้ไปช่วยลากอวนจับปลาในทะเล ช่วงนี้เป็นฤดูที่ปลาชุม โลกันต์รู้ดีว่างานนี้ไม่ใช่งานง่าย เพราะเขาต้องออกเรือไปในทะเลลึกพร้อมทีมชาวประมง และต้องใช้แรงกายอย่างมหาศาลในการลากอวนที่หนักอึ้งกลับขึ้นมาบนเรือ แต่เขาไม่ลังเลที่จะตอบรับ"ลุงครับ ผมพร้อมแล้วครับ" โลกันต์พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ขณะที่เขายืนรออยู่ที่ท่าเรือในยามฟ้าสาง ลุงประจวบมองชายหนุ่มที่ครั้งหนึ่งเคยดูเหมือนคนเมืองที่ไม่ยอมลำบาก แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นคนที่ทำงานหนักเหมือนชาวบ้าน"ถ้าพร้อมก็ขึ้นเรือเลยพ่อหนุ่ม งานนี้เหนื่อยแน่ แต่ถ้าได้ปลามาเยอะก็คุ้ม" ลุงประจวบตอบพร้อมหัวเราะเบาๆเมื่อเรือแล่นออกไปกลางทะเล โลกันต์ได้เรียนรู้วิธีการใช้ชี