ในขณะที่กรุงโรมพยายามหว่านล้อมให้เธอยอมตกลงไปทานข้าวกับเขา แต่ดูเหมือนเธอจะกลัวเขาอยู่บ้าง เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกเหมือนชีวิตเริ่มมีความท้าทาย ผู้หญิงคนแรกที่แสดงท่าทีลังเลที่จะไปกับเขา แตกต่างจากคนอื่นที่เขาเคยพบเจอ
“ยังไงครับ ไปทานข้าวกับพี่สักมื้อได้ไหม?” กรุงโรมถามอีกครั้งด้วยความหวังในใจ
“คือ...ปาน...” เธอพูดไม่ออก เมื่อรู้ว่าความสัมพันธ์ของเธอกับโลกันต์อาจทำให้เธอไม่สามารถตอบตกลงได้ และเขาก็เป็นคนแปลกหน้าที่พึ่งจะเข้ามา คงไม่ดีที่เธอจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว
ในช่วงเวลาที่กำลังลังเล ปานตะวันสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปเมื่อเขาคนที่เธอกำลังกลัวเดินเข้ามาใกล้
“เกิดอะไรขึ้น?” โลกันต์ถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจเมื่อเห็นกรุงโรมอยู่ใกล้ปานตะวัน
กรุงโรมหันไปมองโลกันต์ทันที “ไอ้กันต์ มึงมาก็ดีแล้ว กูกำลังจะ......”
“มีอะไรให้คุยมากมายขนาดนั้น?” โลกันต์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบ แต่ในตาของเขาเต็มไปด้วยความอึดอัด ไม่รอให้กรุงโรมพูดจบเขา เขาหันไปมองปานตะวัน
"คุณย่าโทรมาบอกให้เธอรีบกลับบ้าน"
“แต่ปานยังไม่เสร็จ...”
“กลับบ้าน!” โลกันต์พูดเสียงแข็ง เขาจับมือเธอไว้และดึงให้ลุกขึ้น
“..ค่ะ” ปานตะวันตอบอย่างไม่เต็มใจ เธอหันไปมองกรุงโรมที่ยืนอยู่ด้วยความรู้สึกสับสน พรางมองไปที่โลกันต์ที่กำลังทำสีหน้าขึงขังไม่พอใจ เขาเคยย้ำกับเธอว่าห้ามบอกใคร หรือทำอะไรให้คนอื่นสงสัยว่าเขากับเธอรู้จักกัน แต่ทำไมตอนนี้กลับเป็นเขาเองที่เปิดเผยมัน
กรุงโรมมองตามปานตะวันที่ถูกโลกันต์ดึงออกไป สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยคำถาม อะไร ยังไง สองคนนั้นรู้จักกัน?
"มึงรู้จักน้องปานใช่ไหม มึงถึงได้กล้าดึงเธอไปแบบนั้น!" กรุงโรมตะโกนตามหลังก่อนที่ฝีเท้าหนาของโลกันต์จะหยุดลง
โลกันต์ยิ้มเยาะ “รู้จักหรือไม่มันสำคัญตรงไหน?"
"ไอ้กันต์ ที่มึงห้ามไอ้โรมไม่ให้เข้าหาน้องปาน ที่แท้เป็นเพราะมึงกับน้องรู้จักกันใช่ไหม" ยูโรแทรกขึ้น
"ถ้ามึงรู้จักน้องเขา แล้วมึงจะห้ามทำไมวะ ก็เห็นกันอยู่ว่าไอ้โรมมันสนใจ" ใบม่อนเอ่ยเสริมขึ้น เธอมองไปที่มือของโลกันต์เขายังคงจับข้อมือเล็กของปานตะวันเอาไว้อย่างลืมตัว
"ถ้าพวกมึงอยากรู้กูจะบอกให้ก็ได้"
"คุณกันต์!" ปานตะวันตกใจไม่น้อยกับคำพูดของเขา
"ปานตะวันเป็นเด็กรับใช้ที่บ้านของกู มึงคิดว่าเธอเหมาะสมกับมึงเหรอไอ้โรม” เขายังคงยืนขวางอยู่ข้างปานตะวัน ไม่ได้สนใจอารมณ์ที่แสดงออกมาจากสีหน้าของเธอเลยแม้แต่น้อย
“เป็นเด็กรับใช้แล้วยังไงวะ" กรุงโรมพูดอย่างจริงจัง ไม่ได้สนใจสถานะของเธอเลยสักนิด
“เด็กรับใช้ไม่มีสิทธิ์ที่จะชอบหรือคุยกับใครเหรอ?"
"มีสิ เธอจะคบหรือคุยกับใครก็ได้ ที่อยู่ในระดับเดียวกัน แต่ไม่ใช่คนอย่างพวกเรา มันแตกต่างกันเกินไป"
ปานตะวันรู้สึกเหมือนมีมีดแทงเข้าไปในหัวใจเมื่อได้ยินคำพูดของโลกันต์ เธอพยายามกลั้นน้ำตาและไม่ให้เสียงสั่น
"ไอ้กันต์ ทำไมมึงถึงมองคนแค่เปลือกนอกแบบนี้วะ" กรุงโรมได้แต่มองไปที่ปานตะวัน รู้สึกสงสารเธออย่างยิ่งที่โลกันต์เปิดเผยสถานะของเธอต่อหน้าทุกคน นักศึกษาระแวกนั้นต่างซุบซิบนินทากันปากต่อปาก
“ไม่เป็นไรค่ะ... ปานเข้าใจดี” เสียงของเธอสั่นไม่น้อย เธอพูดออกมาเบาๆ แต่เต็มไปด้วยความผิดหวัง
โลกันต์มองปานตะวันด้วยความเย็นชา “ถ้าเธอเข้าใจ ก็กลับบ้านกับฉัน กลับไปทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี”
"ค่ะ"
"น้องปาน" กรุงโรมเอ่ยเรียกชื่อเธอ เห็นสีหน้าเธอที่หม่นหมอง ยิ่งรู้สึกสงสารและเห็นใจ
"มึงก็เหมือนกันไอ้โรม ล้มเลิกความคิดที่จะจีบยัยนี่สักที" เขาเปลี่ยนโฟกัสกลับไปที่กรุงโรม โดยที่ไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าของปานตะวัน
กรุงโรมรู้สึกถึงความไม่เป็นธรรม เขาไม่อยากให้ปานตะวันรู้สึกต่ำต้อยแบบนี้
“แต่ปานตะวันก็มีสิทธิ์ที่จะเลือก ถ้าน้องเขาอยากไปทานข้าวกับกู ก็ไม่มีเหตุผลที่มึงจะต้องห้าม”
โลกันต์ขมวดคิ้ว "มีสิทธิ์ที่จะเลือกงั้นเหรอ? ” เสียงของเขาดูเครียดขึ้น
“เธอเป็นคนรับใช้ และที่ที่เธอควรจะอยู่คือบ้านของกู ควรกลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง ไม่ใช่ไปนั่งทานข้าวเป็นลูกคุณหนูอยู่กับมึง"
ปานตะวันรู้สึกเหมือนอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกกดดัน โลกันต์กลับทำให้เธอรู้สึกว่าเธอไม่มีค่า ไม่มีแม้แต่ที่ให้เธอยืน
“ปานจะกลับบ้านค่ะ พวกคุณไม่ต้องทะเลาะกันแล้ว” ปานตะวันพูดเสียงแข็งขึ้น แม้จะยังรู้สึกสับสนในใจ เธอจึงหันหลังให้ทั้งสองคน พยายามปัดความรู้สึกที่เจ็บปวดออกไป
“ปาน!” กรุงโรมเรียกเธอ แต่โลกันต์กลับเอ่ยขัดขึ้น
“มึงปล่อยเธอไปเถอะ อย่าทำให้เธอลำบากเพราะมึง”
เมื่อปานตะวันเดินออกไป โลกันต์รู้สึกถึงความสำเร็จที่ทำให้เธอหลีกหนีจากกรุงโรม แต่ในใจเขากลับรู้สึกไม่แน่ใจว่าการพูดแบบนั้นออกไปมันถูกต้องหรือไม่
กรุงโรมยืนอยู่ที่เดิม รู้สึกถึงความโกรธและความผิดหวังที่เกิดขึ้นในใจ
“ทำไมมึงต้องพูดแรงขนาดนั้นด้วยวะ มึงไม่ใช่คนแบบนี้นิไอ้กันต์"
"นั่นดิ สงสารน้องชิบหาย ดูเหมือนจะร้องไห้ด้วย" ยูโร
"แต่กันต์ก็พูดถูกนะ เด็กรับใช้คู่ควรอะไรจะมารู้จักกับลูกเศรษฐีอย่างพวกเรา" ใบม่อนเอ่ยขึ้น ในใจลึกๆเธอเองก็รู้สึกไม่ถูกชะตากับปานตะวัน
"ถ้ามึงทำให้เธอรู้สึกต่ำต้อยแบบนี้อีกครั้ง กูจะไม่เป็นเพื่อนกับมึงแล้วนะไอ้กันต์ ไอ้เชี้ยเอ่ย!”
โลกันต์ไม่ได้ตอบอะไร แค่ยืนมองตามหลังปานตะวันที่เดินจากไป ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของเขา หรือครั้งนี้เขาจะทำเกินไปจริงๆ เป็นคนบอกเองแท้ๆว่าให้ปิดบัง แต่กลับเป็นตัวเขาเองที่เปิดเผยเรื่องราวทุกอย่าง
ปานตะวันเดินกลับบ้านด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เธอรู้ดีว่าชีวิตของเธอไม่มีสิทธิ์เลือกอะไรมากนัก แต่คำพูดของโลกันต์วันนี้กลับยิ่งย้ำเตือนถึงสถานะของเธอในสายตาของเขา เธอพยายามกลั้นน้ำตาไว้ให้ได้ แต่เมื่อถึงบ้าน เธอก็ไม่สามารถห้ามความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามาได้"เธอไม่ใช่คนหรือไงปานตะวัน ต่ำต้อยจนไม่สามารถยืนอยู่บนดินเหมือนพวกเขาได้เลยหรือ อึกๆ"เธอทรุดตัวลงนั่งที่หน้าประตู สายตาเหม่อลอยไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาว หากเธอมีทางเลือก เธออยากจะไปให้ไกลจากที่นี่ แต่เธอกลับถูกพันธนาการไว้ด้วยคำว่า "บุญคุณ" และความรักในอีกด้านหนึ่ง โลกันต์กลับมาถึงบ้านด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว เขาทิ้งตัวลงบนโซฟา พลางขบคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ แม้เขาจะบอกตัวเองว่าทุกอย่างที่เขาทำไปนั้นถูกต้อง แต่ลึกๆ ในใจกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดพลาดเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดความคิดของเขา เขาหยิบมันขึ้นมาดู ชื่อของ "กรุงโรม" ปรากฏอยู่บนหน้าจอ โลกันต์ถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะกดรับสาย"มึงมีอะไร?" โลกันต์พูดเสียงเรียบ"กูมีอะไรจะถามมึง" เสียงของกรุงโรมเต็มไปด้วยความจริงจัง "มึงคิดยังไงกับปานตะวันกันแน่วะ?"คำถามนั้นทำให้โลกันต์
หนึ่งสัปดาห์ต่อมาตั้งแต่คืนนั้น โลกันต์ก็ไม่เคยพูดหรือส่งข้อความหาปานตะวันอีกเลย เขาแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่ลึกๆ ในใจของเขากลับรู้สึกไม่สงบเลยสักนิดโลกันต์เดินผ่านสวนที่จัดไว้อย่างเรียบหรู แสงแดดยามเย็นสาดส่องผ่านต้นไม้สูงใหญ่ ทอดเงาลงบนทางเดินหินที่สะอาดสะอ้าน เขาก้าวเท้าหนักแน่นไปตามทาง ด้วยความคิดที่ยุ่งเหยิงในหัวในจังหวะนั้นเอง เขาเห็นร่างของปานตะวันเดินมาในทิศทางตรงกันข้าม เธอสวมชุดเรียบง่าย มือถือถาดอาหารเอาไว้แน่น ใบหน้าของเธอดูอ่อนล้า แต่ก็ยังมีความเข้มแข็งที่พยายามปกปิดความเจ็บปวดเมื่อสายตาของทั้งคู่สบกัน โลกันต์กลับไม่ได้หยุดหรือแสดงท่าทีใดๆ เขาเพียงแค่ก้าวต่อไปอย่างเฉยชา ราวกับเธอเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ไม่มีความสำคัญปานตะวันหยุดเดินชั่วขณะ เธอมองเขาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยคำถามและความเจ็บปวดในใจ แต่เขาก็ไม่แม้แต่จะหันกลับมามองเธออีกครั้งความเย็นชาของโลกันต์ยังคงเหมือนเดิม เหมือนกำแพงหนาที่เขาสร้างขึ้นเพื่อปิดกั้นทุกอย่างจากเธอ และเธอก็รู้ดีว่ามันจะเป็นแบบนั้นตลอดไปหัวใจของปานตะวันเหมือนถูกบีบรัด เธอสูดลมหายใจลึก พยายามสะกดกลั้นความรู้สึกในใจ ก่อนจะตัดสินใจ
ที่ลานคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยข่าวลือเรื่องการหมั้นหมายระหว่างโลกันต์และใบม่อนแพร่กระจายไปทั่ว เพื่อนๆ ในกลุ่มต่างพากันแซวเมื่อทั้งสองเดินเข้ามาพร้อมกัน กรุงโรมและยูโร เพื่อนสนิทของโลกันต์ ไม่พลาดโอกาสแหย่“อ้าว! ท่านว่าที่เจ้าบ่าวมาแล้ว!” กรุงโรมพูดเสียงดัง พร้อมยกมือทำท่าคารวะ “โลกันต์ กฤษณะโยธิน ผู้ชายที่กำลังจะขายตัวเพื่อธุรกิจ!”"ขายตัวพ่อง!มึงดิ!"เสียงหัวเราะจากกลุ่มเพื่อนดังขึ้น ยูโรเสริมทันที “ใบม่อนนะ ใบม่อน! ทำไมมึงไม่บอกพวกกูว่ามึงจะกินคนใกล้ตัวขนาดนี้"ใบม่อนที่ยืนอยู่ข้างโลกันต์ ยิ้มเขินอย่างมีความสุข ใบหน้าของเธอแดงระเรื่อจากคำแซวของเพื่อนๆ“พวกมึงก็แซวเกินไป” เธอตอบเสียงอ่อน ขณะเหลือบมองโลกันต์ที่ยืนนิ่งข้างๆ แต่แทนที่โลกันต์จะเล่นตามน้ำ เขากลับตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา“มันเป็นเรื่องของสองตระกูล หมั้นกันเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ”คำพูดนั้นทำให้บรรยากาศรอบตัวเงียบลงในทันที รอยยิ้มบนใบหน้าของใบม่อนค่อยๆ จางหายไป เธอหน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด“โลกันต์...” ใบม่อนพยายามพูดอะไรบางอย่าง แต่เขากลับไม่ได้สนใจเธอ“กูมีงานต้องไปทำก่อนเข้าเรียนบ่าย พวกมึงเล่นกันไปเถอะ” โลกันต์พูดตั
@ห้องพยาบาลของคณะปานตะวันค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา สายตาพร่ามัวเล็กน้อยก่อนจะมองเห็นภาพรอบตัวอย่างชัดเจน เธอพบว่าเธอกำลังนอนอยู่ในห้องพยาบาล มีโลกันต์ กรุงโรม และใบม่อนยืนอยู่ด้วย ใบม่อนยืนกอดอกด้วยสีหน้าไม่พอใจ ขณะที่กรุงโรมมีท่าทีเหมือนอยากพูดอะไรแต่ก็เกรงใจโลกันต์ ส่วนโลกันต์ยืนอยู่ข้างเตียง จ้องมองปานตะวันด้วยสายตาเย็นชา"ปาน...เป็นอะไรไปคะ?" ปานตะวันพูดเสียงแผ่วโลกันต์ขยับเข้ามาใกล้ มองเธอด้วยสายตาดุๆ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาและประชดประชัน"ก็เป็นลมน่ะสิ จะอะไรอีก เธอมันโง่ที่ไปทำตามคำสั่งของคนอื่นง่ายๆ รู้ว่าแดดมันร้อนก็ยังจะทำ รู้ว่าหนักก็ยังจะยอม คนอื่นพูดอะไรมาก็เชื่อไปหมด ใครใช้ให้เธอเชื่องขนาดนั้นฮะ? หรือเธอเกิดมาเพื่อเชื่องแบบหมาอยู่แล้ว?" โลกันต์พูดด้วยน้ำเสียงดุดันในใจโมโหไม่น้อยคำพูดของโลกันต์เหมือนกรีดหัวใจปานตะวัน เธอมองเขาด้วยความเจ็บปวด แต่ก็พยายามพูดอย่างใจเย็น"ปานแค่ไม่อยากให้ใครมาว่า...หาว่าปานไม่รู้จักสถานะของตัวเอง และไม่อยากให้เสียถึงคุณกันต์ " ปานตะวันตอบด้วยเสียงอ่อน"ไม่อยากให้ใครว่า? แล้วคิดว่าใครเขาสนใจเธอนักหนา? คนที่โดนสั่งให้ทำอะไรโง่ๆ แล้วทำตามนี่แ
หลายสัปดาห์ต่อมา ความสัมพันธ์ระหว่างโลกันต์และปานตะวันยังคงดำเนินไปในเงามืด ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทุกคืนเขายังคงเข้าหาเธอในความเงียบงัน ราวกับว่านี่คือเรื่องปกติธรรมดาที่ควรจะเป็น แต่ในขณะเดียวกัน โลกันต์กลับแสดงท่าทีเป็นเจ้าข้าวเจ้าของมากขึ้นเรื่อยๆเขาสั่งห้ามใบม่อนไม่ให้เข้าใกล้หรือยุ่งกับปานตะวัน “เธอเป็นคนของฉัน” โลกันต์พูดกับใบม่อนด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แฝงไปด้วยความเย็นชา “อย่าลืมว่าสถานะของเธอคือว่าที่คู่หมั้นฉัน ไม่ใช่คนที่จะมีสิทธิ์มายุ่งกับเรื่องส่วนตัวของฉัน”ในตอนนั้นใบม่อนเม้มปากแน่น น้ำเสียงของโลกันต์ไม่ได้ดังหรือโกรธเกรี้ยว แต่มันกลับกรีดลึกลงไปในความรู้สึกของเธออย่างเจ็บปวด เธอพยายามแสดงสีหน้าเรียบนิ่ง แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความไม่พอใจและความน้อยเนื้อต่ำใจในด้านของปานตะวัน เธอเริ่มรู้สึกอึดอัดกับความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียกนี้ โลกันต์ทำเหมือนเธอเป็นของเขา แต่กลับไม่เคยแสดงออกถึงความรู้สึกที่แท้จริง ทุกครั้งที่เขาเข้าหาเธอ มันเหมือนเป็นเพียงความต้องการที่เกิดขึ้นในชั่วขณะ ไม่ใช่ความรักหรือความใส่ใจใดๆในบางวัน เธอแอบเห็นเขาเดินอยู่กับใบม่อนในมหาวิทยาลัย ท่ามกลางเพื่อน
สองสัปดาห์ต่อมา ตั้งแต่วันนั้น โลกันต์กับปานตะวันก็ไม่ได้พูดคุยกันอีกเลย ความสัมพันธ์ที่เคยคลุมเครือกลายเป็นความเย็นชาและความห่างเหิน ปานตะวันพยายามหลบหน้าเขาทุกครั้งที่มีโอกาส ส่วนโลกันต์ก็ทำเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น เขาใช้ชีวิตของตัวเองตามปกติราวกับปานตะวันเป็นเพียงแค่เงาในบ้าน@โรงอาหารในมหาวิทยาลัยในช่วงเที่ยงที่มหาวิทยาลัย โรงอาหารคึกคักไปด้วยเสียงพูดคุยของนักศึกษา ปานตะวันกำลังนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งกับเพื่อนๆ พยายามไม่สนใจสิ่งรอบข้างมากนัก เธอก้มหน้าทานข้าวเงียบๆ จนกระทั่งสายตาของเธอเหลือบไปเห็นโลกันต์ที่เดินเข้ามาพร้อมกับกรุงโรมและยูโรหัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว โลกันต์ดูสง่างามในชุดนักศึกษา แม้จะดูเรียบง่าย แต่บุคลิกที่นิ่งขรึมและแฝงความเย็นชาในตัวเขาก็เพียงพอที่จะดึงดูดความสนใจของทุกคนในโรงอาหารพวกเขาบังเอิญเดินสวนกันตอนที่ปานตะวันกำลังลุกขึ้นไปซื้อน้ำ โลกันต์มองผ่านเธอไปเหมือนว่าเธอไม่มีตัวตน แม้แต่จะหันมาสบตาก็ไม่มี เขาเดินผ่านไปโดยไม่พูดอะไร กรุงโรมขมวดคิ้วเล็กน้อย หันไปถามโลกันต์“อยู่บ้านเดียวกันแท้ๆ ทำไมทำเหมือนไม่รู้จักกันวะ?”โลกันต์ยักไหล่เล็กน้อยก่อนตอบด
ณ บ้านกฤษณะโยธินบรรยากาศในห้องอาหารเย็นวันนั้นดูเงียบผิดปกติ ปานตะวันไม่ได้อยู่ร่วมโต๊ะอาหารด้วยเหมือนทุกครั้ง คุณย่าที่นั่งอยู่หัวโต๊ะเงยหน้าขึ้นมองห้องอาหารรอบๆ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล"น้อย ปานไปไหน ทำไมไม่ลงมากินข้าว?""กลับมาตั้งแต่บ่ายแล้วค่ะ แต่ดูเหมือนจะไม่สบาย เห็นบ่นปวดหัวแล้วก็ขอตัวขึ้นไปพัก" แม่น้อยตอบด้วยท่าทางเรียบร้อยคำตอบนั้นทำให้โลกันต์ที่นั่งฟังอยู่ขยับตัวเล็กน้อย แม้สีหน้าจะยังคงเรียบเฉย แต่หัวใจกลับรู้สึกกระตุกอย่างไม่รู้ตัว ภาพสายตาของปานตะวันที่มองเขาในโรงอาหารยังคงวนเวียนอยู่ในความคิด มันเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและผิดหวังอย่างเห็นได้ชัดเขาพยายามไม่แสดงอะไรออกมา หยิบส้อมขึ้นมาแล้วตักอาหารเข้าปากอย่างใจเย็น แต่ในหัวกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่เขาไม่อาจอธิบายได้เช้าวันต่อมาในห้องอาหาร ทุกคนลงมาทานข้าวพร้อมกัน โลกันต์นั่งอยู่ในที่ประจำของเขา ปานตะวันที่ยังดูอิดโรยเล็กน้อยด้วยเมื่อคืนร้องไห้อย่างหนัก เธอเดินเข้ามาพร้อมกับถาดอาหาร ปานตะวันตักข้าวใส่จานให้คุณย่าและโลกันต์อย่างเงียบๆ ทุกการกระทำยังคงเรียบร้อยเหมือนเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือท่าที
หลายวันผ่านไป ปานตะวันยังคงทำตัวเหมือนไม่มีโลกันต์อยู่ในสายตา เธอไม่พูดกับเขา ไม่มองหน้าเขา แม้แต่ในบ้าน เธอก็ทำเหมือนเขาเป็นเพียงคนที่ไม่มีตัวตนโลกันต์พยายามอดทนกับสถานการณ์นี้ แต่ทุกครั้งที่เธอเมิน เขากลับรู้สึกหงุดหงิดและคับข้องใจมากขึ้นเรื่อยๆ@คืนนั้น…หลังกลับจากมหาวิทยาลัย โลกันต์ตัดสินใจเดินขึ้นไปยังห้องของปานตะวัน เธอยังไม่กลับมา เขาจึงนั่งรอเธอในความมืด เงียบกริบจนได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเองผ่านไปนานกว่าหนึ่งชั่วโมง เสียงฝีเท้าของปานตะวันดังขึ้นหน้าประตู เธอเปิดประตูเข้ามาในห้องและปิดลงเบาๆ ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่ปลายเตียงเธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและโทรหาสงคราม น้ำเสียงของเธออ่อนโยนในแบบที่โลกันต์ไม่เคยได้ยินจากเธอมาก่อน“พี่คราม…ปานถึงบ้านแล้วนะคะ” น้ำเสียงเธอเต็มไปด้วยความอบอุ่น"ขอบคุณมากนะคะ ที่ช่วยปานวันนี้ ""ค่ะ งั้นพรุ่งนี้ปานเลี้ยงกาแฟพี่เป็นการตอบแทนนะคะ""แล้วเจอกันค่ะ"โลกันต์ที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมห้องกำหมัดแน่น ความโกรธพลุ่งพล่านในใจ เขาไม่เคยคิดเลยว่าการถูกเมินจะทำให้เขารู้สึกบ้าได้ขนาดนี้“คุยกับใคร!” โลกันต์กระชากเสียงดังจนปานตะวันสะดุ้งโทรศัพท์ในมือแทบร่วง“คุณกั
@สามปีต่อมาหลังจากหยุดพักการเรียนเพื่อจัดการกับชีวิตและหัวใจของตัวเอง โลกันต์กลับมาเรียนต่อและคว้าปริญญาวิศวกรรมไฟฟ้าสำเร็จด้วยความมุ่งมั่น ไม่เพียงแค่นั้น เขายังเริ่มต้นธุรกิจด้านวิศวกรรมไฟฟ้า ที่ครอบคลุมการออกแบบและติดตั้งระบบพลังงานให้กับอาคารขนาดใหญ่และโรงงานอุตสาหกรรม“ไม่อยากเชื่อเลยว่าคนอย่างมึงจะมีวันนี้” กรุงโรมพูดขณะนั่งดื่มกาแฟด้วยกันที่บ้านพักริมทะเลของโลกันต์“เออ กูก็ไม่คิดเหมือนกัน แต่ถ้าไม่มีปานตะวันและลูก กูคงไม่ได้มายืนตรงนี้” โลกันต์ตอบพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน เขามองไปที่ปานตะวันซึ่งกำลังเล่นกับลูกชายวัยสองขวบและลูกสาววัยขวบเศษในสวนหน้าบ้าน“กูต้องขอบคุณพวกมึงด้วยนะ ทั้งกรุงโรม ทั้งยูโร ถ้าไม่มีพวกมึง กูคงไม่กล้ากลับมาแก้ไขชีวิตตัวเอง” โลกันต์พูดพลางตบไหล่เพื่อนรักทั้งสอง"ว่าแต่มึงเถอะช่วงนี้เป็นไง ราบรื่นดีไหม เห็นว่าตามจีบผู้หญิงอยู่นานแต่ก็ยังไม่ติดสักที ทำไมวะ" โลกันต์ถามกรุงโรมที่เป็นเพื่อนสนิท คนที่พร้อมลุยและยืนข้างโลกันต์เสมอมา ตอนนี้กลายเป็นเจ้าของธุรกิจด้านวิศวกรรมโยธาที่ประสบความสำเร็จ เขาดูแลโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ทั่วประเทศ แต่สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือควา
หลายเดือนหลังจากที่ชีวิตของโลกันต์และปานตะวันกลับเข้าสู่ความสงบ ปานตะวันได้เป็นแม่ที่สมบูรณ์แบบ และโลกันต์ก็กลายเป็นสามีที่แสนอบอุ่น แม้จะมีความขัดแย้งเล็กน้อยในบางครั้ง แต่พวกเขาก็เรียนรู้และเติบโตไปด้วยกัน ครั้งนี้พวกเขาตัดสินใจพาลูกทั้งสองคนกลับไปกราบคุณย่าที่บ้านกฤษณะโยธิน เพื่อขอโทษและขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างบ้านหลังใหญ่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำ โลกันต์นำรถมาจอดที่หน้าบ้าน และปานตะวันอุ้มลูกสาวและลูกชายออกจากรถ เด็กน้อยทั้งสองยังคงดูน่ารักและไร้เดียงสา“เข้าไปกราบคุณย่ากันเถอะ” โลกันต์พูดเสียงเบา เขาจับมือปานตะวันไว้แน่น พร้อมกับยิ้มให้ลูกทั้งสองปานตะวันยิ้มตอบ ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ที่เงียบสงบ รู้สึกเหมือนเวลากลับไปข้างหลัง กลิ่นหอมของต้นไม้และดอกไม้รอบบ้านทำให้เธอคิดถึงอดีตที่เคยหลบหนีไปในวันนั้นคุณย่าของโลกันต์ยืนรออยู่ที่ประตูบ้าน เธอสวมเสื้อผ้าไหมอย่างดี ดูสง่างาม แต่สายตาของเธอยังคงเต็มไปด้วยความอบอุ่น แม้เวลาจะผ่านไปนานนัยปี แต่ท่าทางที่ยืนอยู่ยังคงเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน“คุณย่า” โลกันต์เรียกเสียงเบา ก่อนจะก้มลงกราบที่เท้าของคุณย่าอย่างเคารพ“หลานกลับมาแล้ว” คุณ
บรรยากาศในบ้านอย่างเงียบสงบ แต่ภายในห้องนั่งเล่นกลับเต็มไปด้วยความวุ่นวาย โลกันต์กำลังวุ่นอยู่กับการจัดเก้าอี้ โซฟา และหมอนหลายใบตามคำสั่งของปานตะวัน ซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาโดยมีท้องที่เริ่มโตจนใกล้คลอด“คุณกันต์ หมอนตรงนั้นวางไม่ถูกค่ะ ขยับไปอีกนิด!”“ตรงไหนครับ?” โลกันต์หันไปถามพร้อมกับเหงื่อตก“ซ้ายค่ะ! ไม่สิ...ขวาอีกนิด!” ปานตะวันบอกอย่างละเอียด จนโลกันต์ต้องถอนหายใจ“คุณก็พูดให้ชัดหน่อยสิครับ ผมหมุนไปหมุนมาเหมือนหมากลิ้งหลายรอบแล้วนะ”“อ๋อ ถ้าหมา ยังไม่เหมือนค่ะ เพราะหมาน่าจะคล่องกว่านี้!”คำพูดนั้นทำเอาโลกันต์กลอกตา แต่ก็ไม่ได้เถียงอะไรต่อ เขาจัดหมอนตามที่เธอบอกจนกระทั่งเธอพยักหน้าพอใจ“ดีค่ะ คราวนี้ช่วยหยิบผลไม้มาให้ปานด้วยนะคะ อยากได้แอปเปิลกับองุ่น”“ครับ คุณผู้หญิง นั่งรออสักครู่นะครับ” โลกันต์ตอบเสียงเหนื่อย แต่ในแววตากลับมีความอ่อนโยน เขายิ้มออกมาอย่างคนที่มีความสุข เอ็นดูเมียรักที่กำลังแกล้งเขาในขณะที่โลกันต์กำลังเดินเข้าครัว เสียงเห่าของเจ้าด่างกับเจ้าดำ สุนัขที่เลี้ยงไว้เฝ้าบ้าน ก็ดังขึ้น ปานตะวันหันไปมองทันที เจ้าดื้อสองตัวกำลังวิ่งเล่นไล่กัดกันรอบโซฟา“ด่าง,ดำ หยุดวิ่งเดี
@ บรรยากาศวันหยุดโลกันต์เดินลงมาจากห้องนอนด้วยอาการงัวเงียหลังจากนอนดึกเมื่อคืน เขายืดเส้นยืดสายเล็กน้อยก่อนจะมองไปที่ห้องครัว กลิ่นหอมของอาหารเช้าลอยมาตามลม ทำให้เขารู้ทันทีว่าปานตะวันกำลังทำอะไรสักอย่าง“วันนี้อารมณ์ดีจัง” โลกันต์พึมพำกับตัวเอง พร้อมกับเดินตรงไปหาเธอ ปานตะวันเมียสุดที่รักของเขาปานตะวันยืนหันหลังอยู่ เธอสวมผ้ากันเปื้อนลายดอกไม้ที่เขาเพิ่งซื้อให้เมื่อเดือนก่อน“เช้านี้มีอะไรให้ผมกินบ้างครับคุณแม่บ้าน?” โลกันต์ถามเสียงหยอกปานตะวันหันมายิ้มให้เล็กน้อย แต่ไม่ตอบคำถาม เธอเพียงแค่ชี้ไปที่โต๊ะอาหารซึ่งมีจานอาหารเช้าจัดเรียงไว้อย่างสวยงาม“วันนี้ของคุณพิเศษหน่อยนะคะ ปานตั้งใจทำให้คุณเองกับมือเลย” ปานตะวันพูดน้ำเสียงร่าเริงผิดปกติ โลกันต์เลิกคิ้วเล็กน้อย รู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้คิดมาก“ขอบคุณครับที่รัก”เขานั่งลงแล้วหยิบส้อมขึ้นมาเตรียมกิน ทันทีที่เขาตักไข่คนเข้าปาก โลกันต์ต้องหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ความเผ็ดร้อนพุ่งขึ้นมาจากลิ้นจนทำให้เขาตาเบิกกว้าง“แค่กๆ!” โลกันต์สำลักน้ำตาแทบไหล “นี่มันอะไรกัน! มันเผ็ดมากเลยนะปาน”ปานตะวันหัวเราะคิกคักก่อนจะยื่นแก้วน้ำให้เขา “ปานแค่ใ
@ยามเย็นที่หมู่บ้านชายฝั่งทะเลแสงอาทิตย์สีส้มอ่อนกำลังลาลับขอบฟ้า ลำแสงบางเบาสาดกระทบผืนทะเลที่กว้างไกลจนกลายเป็นสีทองระยิบระยับ เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งดังเป็นจังหวะอ่อนโยน ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบของหมู่บ้านชายฝั่งเล็กๆ โลกันต์ กรุงโรม และยูโร เดินทางกลับมายังหมู่บ้านชายฝั่งทะเลพร้อมกับกรุงโรมและยูโร สองเพื่อนรักที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตลอดทาง ตลอดการเดินทางเสียงล้อเล่นของสองคนนั้นช่วยทำให้บรรยากาศไม่เงียบเหงาๆระหว่างที่รถจอดตรงถนนลูกรังใกล้กับบ้านไม้เก่าของปานตะวัน โลกันต์นั่งนิ่งอยู่ที่เบาะคนขับ ดวงตาจ้องมองไปที่บ้านตรงหน้า สภาพบ้านที่ล้อมรอบด้วยต้นมะพร้าวและสวนเล็กๆ ดูเรียบง่ายและอบอุ่นในสายตาของเขา แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้น หัวใจเต้นรัวราวกับจะหลุดออกมาจากร่าง“ในที่สุดมึงก็ได้กลับมาเจอเมียแล้วนะโลกันต์” กรุงโรมพูดพลางหัวเราะเบาๆ“จำได้ไหมว่าเมื่อก่อนมึงปากเก่งขนาดไหน? เก่งจนเขาหนีไป เก่งจนทำให้มึงนั่งหอนเป็นหมาไม่ทีบ้าน”ยูโรเสริมทันที “เออ ตอนนั้นนะ หัวสูงเป็นหมาไม่ติดดิน แถมยังทำตัวเป็นเจ้านายเขาตลอด หาเรื่องเขาสารพัด...แล้วดูตอนนี้ดิ หมาวัดยังดูดีกว่ามึงอีก”โลกัน
@หลายสัปดาห์ต่อมาโลกันต์ไม่เคยคิดว่าการให้ “เวลา” กับปานตะวันจะกลายเป็นบทเรียนสำคัญในชีวิตของเขา เขาเรียนรู้ที่จะปล่อยวางและใช้ช่วงเวลานั้นเพื่อปรับปรุงตัวเอง แม้จะไม่ได้พบปานตะวันบ่อยนักในช่วงเดือนที่ผ่านมา แต่เขาก็ไม่เคยหยุดพยายามที่จะส่งผ่านความตั้งใจดีไปให้เธอปานตะวันใช้เวลานั้นทบทวนสิ่งต่างๆ อย่างหนัก เธอพยายามแยกแยะความรู้สึกของตัวเองว่าเป็นความรัก ความโกรธ หรือแค่ความกลัวที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งคืนหนึ่ง ปานตะวันนั่งอยู่ริมชายหาดลำพัง เธอทอดสายตามองดวงดาวที่สะท้อนบนผืนน้ำ ในใจมีคำถามมากมายที่ยังไม่ได้คำตอบ เสียงฝีเท้าดังแผ่วเบา เธอไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่าเป็นใคร“เธออยากอยู่คนเดียวหรือเปล่า?” โลกันต์ถามอย่างสุภาพ เขายืนนิ่งไม่กล้าเข้าไปใกล้“นั่งสิ” เธอตอบเรียบๆ โดยไม่หันมามองโลกันต์นั่งลงข้างๆ เธอ แต่เว้นระยะห่างเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เธออึดอัด“วันนี้ทะเลดูสงบดีนะ” โลกันต์พูดเพื่อทำลายความเงียบ“ใช่...” ปานตะวันตอบสั้นๆทั้งคู่เงียบไปอีกพักใหญ่ โลกันต์หันไปมองใบหน้าของปานตะวันที่ดูนิ่งสงบ เขาอยากถามหลายอย่าง แต่ก็เลือกที่จะรอให้เธอเป็นฝ่ายเริ่มก่อน“ฉันไม่รู้ว่าฉันควรทำยังไง”
หลายเดือนผ่านไป ปานตะวันที่ดูเหมือนจะต่อต้านเขาน้อยลง นั่นเป็นสัญญาณที่ดี ที่แสดงให้เห็นว่าเธอเริ่มที่จะใจอ่อนลงแล้ว โลกันต์ตัดสินใจบางอย่างที่ทำให้เขานั่งไม่ติดตั้งแต่เช้ามืด เขาตื่นขึ้นมาพร้อมแผนการที่คิดไว้ตลอดทั้งคืน ก่อนจะเดินตรงไปยังบ้านของปานตะวันที่อยู่ปลายหมู่บ้าน“ฉันต้องทำสำเร็จ ครั้งนี้ต้องทำให้ได้...” โลกันต์พึมพำกับตัวเองขณะเดินเมื่อไปถึงหน้าบ้านของปานตะวัน เขาเคาะประตูเบาๆ เพื่อไม่ให้ดูรีบร้อนเกินไป แต่ไม่มีใครตอบ เขาเลยลองอีกครั้ง“ปาน...” โลกันต์เรียกชื่อเธอเสียงเบาไม่นานนัก ปานตะวันก็เปิดประตูออกมา เธอสวมเสื้อยืดตัวใหญ่กับกางเกงขาสั้นของคนท้อง สายตาของเธอดูไม่แปลกใจที่เห็นเขา“มีธุระอะไรคะ?” เธอถามเสียงเรียบ“ฉันแค่...” โลกันต์สูดลมหายใจลึก พยายามควบคุมอารมณ์ “ฉันอยากคุยกับเธอจริงๆ อยากบอกดับเธอเป็นครั้งสุดท้าย ขอเวลาหน่อยได้ไหมปาน”“ครั้งสุดท้าย?” ปานตะวันเลิกคิ้ว“ใช่...” โลกันต์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ถ้าเธอฟังสิ่งที่ฉันพูดวันนี้ แล้วคิดว่าฉันไม่ควรอยู่ที่นี่อีก ฉันจะกลับกรุงเทพฯ และจะไม่รบกวนเธออีก จะไม่มาให้เห็นหน้าอีกต่อไป”ปานตะวันนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะกอดอกแ
โลกันต์ยังคงใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านชาวประมงแห่งนั้น เขาเรียนรู้วิถีชีวิตที่ไม่เคยคุ้นเคยมาก่อน ตั้งแต่การตื่นแต่เช้ามืดไปช่วยชาวประมงลากอวน การปีนขึ้นต้นมะพร้าวเพื่อเก็บลูกสดๆ ไปจนถึงการแบกถังน้ำจากบ่อน้ำมาใช้ในบ้านพักที่เขาเช่าอยู่ ทุกวันผ่านไปอย่างลำบาก แต่โลกันต์ไม่ปริปากบ่นเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะเขามีเป้าหมายเดียวในใจ คือการทำให้ปานตะวันเห็นว่าเขาจริงจังกับการเปลี่ยนแปลงตัวเอง@เช้าวันหนึ่งโลกันต์ยืนอยู่หน้าบ้านไม้ยกพื้นของปานตะวัน เขารวบรวมความกล้าก่อนจะตะโกนเรียกเธอด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจน“ปาน! ปานตะวัน! อยู่ไหม?”ปานตะวันกำลังจัดดอกไม้ในห้องครัว เสียงของโลกันต์ทำให้มือเธอชะงักไปครู่หนึ่ง เธอถอนหายใจหนักแล้วเดินออกไปที่หน้าต่างมองลงมาเห็นเขายืนอยู่พร้อมกับถุงของฝากใบใหญ่ในมือ“คุณมาทำอะไรที่นี่?” ปานตะวันถามเสียงเรียบ ดวงตาเย็นชาของเธอมองเขาราวกับคนแปลกหน้า“ฉันเอาของมาฝาก เป็นปลาทูที่ฉันช่วยชาวบ้านจับมาได้สดๆ กับมือ” โลกันต์ตอบพร้อมยื่นถุงของฝากขึ้น“ฉันไม่ได้ขอ” เธอตอบกลับทันที “แล้วก็ไม่จำเป็นต้องเอาอะไรมาให้”“ฉันไม่ได้ต้องการอะไรตอบแทน ฉันแค่อยากให้เธอรู้ว่าฉัน...เปลี่ยนไปแ
โลกันต์ตื่นขึ้นมาในเช้าตรู่เหมือนทุกวันในช่วงเดือนที่ผ่านมา เขาตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่ที่หมู่บ้านเล็กๆ ริมทะเลทางภาคใต้ของประเทศไทย เขาได้เช่าบ้านไม้หลังเล็กๆ ใกล้ชายหาด และตั้งใจทำงานทุกอย่างที่ชาวบ้านทำ แม้ร่างกายจะอ่อนล้าเพียงใด แต่ความหวังเพียงเล็กน้อยที่ปานตะวันอาจยอมให้อภัย ก็เป็นพลังที่ผลักดันให้เขาก้าวเดินต่อไปในเช้าวันนี้โลกันต์ได้รับคำชวนจากลุงประจวบ ชาวประมงผู้มีประสบการณ์ยาวนานในหมู่บ้าน ให้ไปช่วยลากอวนจับปลาในทะเล ช่วงนี้เป็นฤดูที่ปลาชุม โลกันต์รู้ดีว่างานนี้ไม่ใช่งานง่าย เพราะเขาต้องออกเรือไปในทะเลลึกพร้อมทีมชาวประมง และต้องใช้แรงกายอย่างมหาศาลในการลากอวนที่หนักอึ้งกลับขึ้นมาบนเรือ แต่เขาไม่ลังเลที่จะตอบรับ"ลุงครับ ผมพร้อมแล้วครับ" โลกันต์พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ขณะที่เขายืนรออยู่ที่ท่าเรือในยามฟ้าสาง ลุงประจวบมองชายหนุ่มที่ครั้งหนึ่งเคยดูเหมือนคนเมืองที่ไม่ยอมลำบาก แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นคนที่ทำงานหนักเหมือนชาวบ้าน"ถ้าพร้อมก็ขึ้นเรือเลยพ่อหนุ่ม งานนี้เหนื่อยแน่ แต่ถ้าได้ปลามาเยอะก็คุ้ม" ลุงประจวบตอบพร้อมหัวเราะเบาๆเมื่อเรือแล่นออกไปกลางทะเล โลกันต์ได้เรียนรู้วิธีการใช้ชี