ที่ลานคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัย
ข่าวลือเรื่องการหมั้นหมายระหว่างโลกันต์และใบม่อนแพร่กระจายไปทั่ว เพื่อนๆ ในกลุ่มต่างพากันแซวเมื่อทั้งสองเดินเข้ามาพร้อมกัน กรุงโรมและยูโร เพื่อนสนิทของโลกันต์ ไม่พลาดโอกาสแหย่
“อ้าว! ท่านว่าที่เจ้าบ่าวมาแล้ว!” กรุงโรมพูดเสียงดัง พร้อมยกมือทำท่าคารวะ “โลกันต์ กฤษณะโยธิน ผู้ชายที่กำลังจะขายตัวเพื่อธุรกิจ!”
"ขายตัวพ่อง!มึงดิ!"
เสียงหัวเราะจากกลุ่มเพื่อนดังขึ้น ยูโรเสริมทันที “ใบม่อนนะ ใบม่อน! ทำไมมึงไม่บอกพวกกูว่ามึงจะกินคนใกล้ตัวขนาดนี้"
ใบม่อนที่ยืนอยู่ข้างโลกันต์ ยิ้มเขินอย่างมีความสุข ใบหน้าของเธอแดงระเรื่อจากคำแซวของเพื่อนๆ
“พวกมึงก็แซวเกินไป” เธอตอบเสียงอ่อน ขณะเหลือบมองโลกันต์ที่ยืนนิ่งข้างๆ แต่แทนที่โลกันต์จะเล่นตามน้ำ เขากลับตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“มันเป็นเรื่องของสองตระกูล หมั้นกันเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ”
คำพูดนั้นทำให้บรรยากาศรอบตัวเงียบลงในทันที รอยยิ้มบนใบหน้าของใบม่อนค่อยๆ จางหายไป เธอหน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด
“โลกันต์...” ใบม่อนพยายามพูดอะไรบางอย่าง แต่เขากลับไม่ได้สนใจเธอ
“กูมีงานต้องไปทำก่อนเข้าเรียนบ่าย พวกมึงเล่นกันไปเถอะ” โลกันต์พูดตัดบท แล้วเดินออกไปทันที ปล่อยให้ใบม่อนยืนอยู่กับเพื่อนๆ ที่ยังคงมองตามเขาด้วยความงุนงง
ใบม่อนยิ้มจางๆ พยายามเก็บความรู้สึกผิดหวังเอาไว้ เธอรู้ดีว่าโลกันต์ไม่ได้ยินดีกับการหมั้นครั้งนี้ แต่คำพูดของเขาต่อหน้าเพื่อนๆ ทำให้เธออายจนแทบอยากหายตัวไป
กรุงโรมกระแอมเบาๆ เพื่อทำลายความเงียบ “เอ่อ... เดี๋ยวกูตามไอ้กันต์ไปนะ กูอยู่กลุ่มเดียวกันกับมัน ถ้าไม่ช่วย เดี๋ยวมันไล่กูออกจากกลุ่ม”
ยูโรหันมาพูดกับใบม่อน “ไม่ต้องคิดมากหรอก ใบม่อน ไอ้กันต์มันก็เป็นแบบนี้แหละ ปากเสียแต่ใจดี”
แต่คำปลอบใจนั้นดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไร ใบม่อนพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะก้มหน้าลง เธอรู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับโลกันต์ ไม่ได้เป็นอย่างที่เธอหวัง... และอาจไม่มีวันเป็นแบบนั้นได้เลย
@บ่ายของวัน ณ ลานกิจกรรมของมหาวิทยาลัย
ปานตะวันเดินผ่านกลุ่มนักศึกษาที่กำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่ในขณะที่เธอกำลังจะเดินไปจากตรงนั้น สายตาของใบม่อนก็จ้องมาที่เธออย่างไม่เป็นมิตร ใบม่อนยิ้มอย่างแสนจะเจ้าเล่ห์ก่อนจะเรียกชื่อปานตะวันเสียงดัง
“ปานตะวัน!” เสียงแหลม ทำให้ทุกคนหันมามองทันที
ปานตะวันหยุดเดินและหันกลับไปมอง ใบม่อนเดินเข้ามาหาเธอด้วยท่าทางที่ไม่แยแส นัยน์ตาเต็มไปด้วยการเยาะเย้ย และการถากถาง
“จะไปไหนล่ะ?” ใบม่อนถามพร้อมกับยิ้มเย้ยหยัน “คุณหนูจากบ้านกฤษณะโยธิน คิดว่าตัวเองเป็นใครกันนะ คุณหนูเหรอ?”
ปานตะวันรู้สึกถึงความเย็นชาจากน้ำเสียงของใบม่อน แต่เธอเลือกที่จะไม่ตอบโต้และยังคงยืนเงียบ ใบม่อนที่เห็นปานตะวันไม่ตอบโต้เธอมองไปที่กลุ่มนักศึกษาที่กำลังทำกิจกรรมอยู่ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นกว่าปกติ
“เธอเป็นแค่คนรับใช้ที่บ้านของโลกันต์ไม่ใช่เหรอ? เขาสั่งอะไร เธอก็ต้องทำตามเขาทุกอย่าง ยิ่งกว่าทาสรับใช้ ก็แบบนี้แหละเนาะ คนไม่มีบ้าน ไม่มีครอบครัวเป็นของตัวเอง ก็ต้องอาศัยใบบุญของคนอื่น”
ปานตะวันกัดฟันแน่น แต่พยายามเก็บความรู้สึกไว้ไม่ให้แสดงออกไป
“ยังไงแล้วในอนาคตฉันก็ต้องเป็นเมียของโลกันต์ เธอเองก็จะต้องทำตามคำสั่งของฉันในฐานะเจ้านาย”
คำพูดของใบม่อนเจาะลึกเข้าไปในหัวใจของปานตะวันเหมือนกับมีดที่กรีดลึกลงไป เธอไม่อาจห้ามน้ำตาที่จะรินไหล แต่ยังพยายามข่มมันไว้ไม่ให้ไหลออกมา
นักศึกษาหลายสิบคนมองเหตุการณ์นี้อย่างสนุกสนานบางคนยังแอบหัวเราะ ซุบซิบนินทากันอย่างสนุกปาก ไม่มีใครกล้าเข้าไปขัดคำพูดของใบม่อน ปานตะวันได้แต่ก้มหน้าลงเพื่อซ่อนน้ำตาที่ใกล้จะไหลออกมา
"คุณทำแบบนี้ทำไม...?"
“แล้วเธอจะทำไม? ในเมื่อฉันเป็นคนที่โลกันต์เลือก... ส่วนเธอก็แค่คนที่ไม่มีค่าอะไร อย่าคิดนะว่าฉันไม่รู้ว่าเธอแอบอ่อยคู่หมั้นของฉัน!”
คำพูดของใบม่อนเหมือนจะกระทบใจปานตะวันอย่างรุนแรง แม้จะพยายามยิ้ม แต่ใบหน้าของเธอก็แทบไม่สามารถซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้ได้
"ในฐานะที่ฉันก็ถือว่าเป็นเจ้านายของเธอ งั้นฉันจะให้เธอทำงานที่เธอถนัดก็แล้วกัน"
"งานอะไร?"
"ยกอุปกรณ์พวกนี้ไปไว้ที่โรงยิม เธอต้องทำให้เสร็จภายในหนึ่งชั่วโมง"
"แต่มันไม่ใช่หน้าที่ฉัน"
"เธอเป็นคนใช้ไม่ใช่เหรอ กล้าขัดคำสั่งของเจ้านาย?"
"คุณไม่ใช่เจ้านายฉัน"
"งั้นฉันจะบอกโลกันต์ คงจะรู้นะว่าระหว่างฉันที่เป็นคู่หมั้นกับเธอที่เป็นคนใช้ เขาจะเลือกใคร"
ปานจะวันนิ่งไปเพราะรู้ว่ายังไงเธอก็ไม่สามารถเทียบกับใบม่อนได้ จำใจที่จะทำตามคำสั่งของว่าที่เมียโลกันต์ ใบม่อนที่เห็นเธอไม่กล้าโต้เถียงจึงเริ่มกลั่นแกล้งปานตะวันอย่างไร้ความเมตตา โดยสั่งให้เธอทำงานที่ต้องใช้แรงอย่างหนัก และต้องตากแดดเป็นเวลานาน หวังจะทำให้ปานตะวันอับอายและรู้สึกด้อยค่าต่อหน้าคนอื่น เธอออกคำสั่งให้ปานตะวันยกอุปกรณ์ต่างๆในห้องชมรมไปเก็บที่โรงยิมซึ้งระยะทางไกลกว่าห้าร้อยเมตร เธอจะต้องขนไปเก็บอยู่หลายรอบในขณะที่อากาศร้อนจัด
ในขณะที่ปานตะวันทำตามคำสั่งของใบม่อนอย่างไม่เต็มใจ สภาพร่างกายเริ่มทรุดโทรมจากความร้อนและความอ่อนเพลีย เธอรู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะหมดแรง แต่ก็ยังคงทำต่อไปเพราะไม่สามารถขัดคำสั่งใบม่อนได้
จนกระทั่งเวลาผ่านไปนานเกือบจะครบชั่วโมง ร่างกายของปานตะวันเริ่มอ่อนแอลงจากการทำงานหนักและตากแดด ต่อมาความเหนื่อยล้าก็ทำให้เธอล้มลงกลางลานของคณะ
"ตุบ!!!
"ปานตะวัน!"
"น้องปาน!!"
โลกันต์และกรุงโรมเดินผ่านมาพอดี เห็นปานตะวันล้มลงกับพื้น เขารีบวิ่งไปหาเธอทันที
“ปานตะวัน!” โลกันต์ตะโกนเรียก พร้อมกับเขย่าตัวเธอเบาๆ”
เห็นปานตะวันที่ไม่ได้สติ เหงื่อท่วมตัว ใบหน้าแดงจัดจากการตากแดดเป็นเวลานาน เขารู้สึกถึงความโกรธที่เริ่มก่อตัวในใจ สายตาของเขาจ้องไปที่ใบม่อนที่ยืนอยู่ข้างๆ ท่าทางเย็นชาและไม่แสดงความห่วงใยใดๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้น ใบม่อนยืนอยู่เงียบๆ แต่เมื่อเห็นท่าทางของโลกันต์ก็เริ่มมีความรู้สึกไม่ดีเหมือนกัน
"มึงทำอะไรปานตะวัน!"
"กูก็แค่ให้เธอยกของไปเก็บ แค่นี้ทำเป็นอ่อนแอ ตอแหลล่ะสิไม่ว่า"
"ไอ้ม่อน มึงมีสิทธิ์อะไรมาใช้คนของกู!"
เขาพูดกับใบม่อนอย่างเด็ดขาด สายตาของเขายังคงจับจ้องไปที่เธออย่างโกรธเคือง ใบม่อนยืนตัวแข็งทื่อ เพราะเธอไม่เคยเห็นโลกันต์โกรธขนาดนี้มาก่อน รู้สึกเหมือนเขากำลังแสดงให้เห็นว่าปานตะวันเป็นคนของเขาและไม่มีใครสามารถทำร้ายเธอได้ นอกจากตัวเขาเอง
@ห้องพยาบาลของคณะปานตะวันค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา สายตาพร่ามัวเล็กน้อยก่อนจะมองเห็นภาพรอบตัวอย่างชัดเจน เธอพบว่าเธอกำลังนอนอยู่ในห้องพยาบาล มีโลกันต์ กรุงโรม และใบม่อนยืนอยู่ด้วย ใบม่อนยืนกอดอกด้วยสีหน้าไม่พอใจ ขณะที่กรุงโรมมีท่าทีเหมือนอยากพูดอะไรแต่ก็เกรงใจโลกันต์ ส่วนโลกันต์ยืนอยู่ข้างเตียง จ้องมองปานตะวันด้วยสายตาเย็นชา"ปาน...เป็นอะไรไปคะ?" ปานตะวันพูดเสียงแผ่วโลกันต์ขยับเข้ามาใกล้ มองเธอด้วยสายตาดุๆ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาและประชดประชัน"ก็เป็นลมน่ะสิ จะอะไรอีก เธอมันโง่ที่ไปทำตามคำสั่งของคนอื่นง่ายๆ รู้ว่าแดดมันร้อนก็ยังจะทำ รู้ว่าหนักก็ยังจะยอม คนอื่นพูดอะไรมาก็เชื่อไปหมด ใครใช้ให้เธอเชื่องขนาดนั้นฮะ? หรือเธอเกิดมาเพื่อเชื่องแบบหมาอยู่แล้ว?" โลกันต์พูดด้วยน้ำเสียงดุดันในใจโมโหไม่น้อยคำพูดของโลกันต์เหมือนกรีดหัวใจปานตะวัน เธอมองเขาด้วยความเจ็บปวด แต่ก็พยายามพูดอย่างใจเย็น"ปานแค่ไม่อยากให้ใครมาว่า...หาว่าปานไม่รู้จักสถานะของตัวเอง และไม่อยากให้เสียถึงคุณกันต์ " ปานตะวันตอบด้วยเสียงอ่อน"ไม่อยากให้ใครว่า? แล้วคิดว่าใครเขาสนใจเธอนักหนา? คนที่โดนสั่งให้ทำอะไรโง่ๆ แล้วทำตามนี่แ
หลายสัปดาห์ต่อมา ความสัมพันธ์ระหว่างโลกันต์และปานตะวันยังคงดำเนินไปในเงามืด ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทุกคืนเขายังคงเข้าหาเธอในความเงียบงัน ราวกับว่านี่คือเรื่องปกติธรรมดาที่ควรจะเป็น แต่ในขณะเดียวกัน โลกันต์กลับแสดงท่าทีเป็นเจ้าข้าวเจ้าของมากขึ้นเรื่อยๆเขาสั่งห้ามใบม่อนไม่ให้เข้าใกล้หรือยุ่งกับปานตะวัน “เธอเป็นคนของฉัน” โลกันต์พูดกับใบม่อนด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แฝงไปด้วยความเย็นชา “อย่าลืมว่าสถานะของเธอคือว่าที่คู่หมั้นฉัน ไม่ใช่คนที่จะมีสิทธิ์มายุ่งกับเรื่องส่วนตัวของฉัน”ในตอนนั้นใบม่อนเม้มปากแน่น น้ำเสียงของโลกันต์ไม่ได้ดังหรือโกรธเกรี้ยว แต่มันกลับกรีดลึกลงไปในความรู้สึกของเธออย่างเจ็บปวด เธอพยายามแสดงสีหน้าเรียบนิ่ง แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความไม่พอใจและความน้อยเนื้อต่ำใจในด้านของปานตะวัน เธอเริ่มรู้สึกอึดอัดกับความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียกนี้ โลกันต์ทำเหมือนเธอเป็นของเขา แต่กลับไม่เคยแสดงออกถึงความรู้สึกที่แท้จริง ทุกครั้งที่เขาเข้าหาเธอ มันเหมือนเป็นเพียงความต้องการที่เกิดขึ้นในชั่วขณะ ไม่ใช่ความรักหรือความใส่ใจใดๆในบางวัน เธอแอบเห็นเขาเดินอยู่กับใบม่อนในมหาวิทยาลัย ท่ามกลางเพื่อน
สองสัปดาห์ต่อมา ตั้งแต่วันนั้น โลกันต์กับปานตะวันก็ไม่ได้พูดคุยกันอีกเลย ความสัมพันธ์ที่เคยคลุมเครือกลายเป็นความเย็นชาและความห่างเหิน ปานตะวันพยายามหลบหน้าเขาทุกครั้งที่มีโอกาส ส่วนโลกันต์ก็ทำเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น เขาใช้ชีวิตของตัวเองตามปกติราวกับปานตะวันเป็นเพียงแค่เงาในบ้าน@โรงอาหารในมหาวิทยาลัยในช่วงเที่ยงที่มหาวิทยาลัย โรงอาหารคึกคักไปด้วยเสียงพูดคุยของนักศึกษา ปานตะวันกำลังนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งกับเพื่อนๆ พยายามไม่สนใจสิ่งรอบข้างมากนัก เธอก้มหน้าทานข้าวเงียบๆ จนกระทั่งสายตาของเธอเหลือบไปเห็นโลกันต์ที่เดินเข้ามาพร้อมกับกรุงโรมและยูโรหัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว โลกันต์ดูสง่างามในชุดนักศึกษา แม้จะดูเรียบง่าย แต่บุคลิกที่นิ่งขรึมและแฝงความเย็นชาในตัวเขาก็เพียงพอที่จะดึงดูดความสนใจของทุกคนในโรงอาหารพวกเขาบังเอิญเดินสวนกันตอนที่ปานตะวันกำลังลุกขึ้นไปซื้อน้ำ โลกันต์มองผ่านเธอไปเหมือนว่าเธอไม่มีตัวตน แม้แต่จะหันมาสบตาก็ไม่มี เขาเดินผ่านไปโดยไม่พูดอะไร กรุงโรมขมวดคิ้วเล็กน้อย หันไปถามโลกันต์“อยู่บ้านเดียวกันแท้ๆ ทำไมทำเหมือนไม่รู้จักกันวะ?”โลกันต์ยักไหล่เล็กน้อยก่อนตอบด
ณ บ้านกฤษณะโยธินบรรยากาศในห้องอาหารเย็นวันนั้นดูเงียบผิดปกติ ปานตะวันไม่ได้อยู่ร่วมโต๊ะอาหารด้วยเหมือนทุกครั้ง คุณย่าที่นั่งอยู่หัวโต๊ะเงยหน้าขึ้นมองห้องอาหารรอบๆ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล"น้อย ปานไปไหน ทำไมไม่ลงมากินข้าว?""กลับมาตั้งแต่บ่ายแล้วค่ะ แต่ดูเหมือนจะไม่สบาย เห็นบ่นปวดหัวแล้วก็ขอตัวขึ้นไปพัก" แม่น้อยตอบด้วยท่าทางเรียบร้อยคำตอบนั้นทำให้โลกันต์ที่นั่งฟังอยู่ขยับตัวเล็กน้อย แม้สีหน้าจะยังคงเรียบเฉย แต่หัวใจกลับรู้สึกกระตุกอย่างไม่รู้ตัว ภาพสายตาของปานตะวันที่มองเขาในโรงอาหารยังคงวนเวียนอยู่ในความคิด มันเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและผิดหวังอย่างเห็นได้ชัดเขาพยายามไม่แสดงอะไรออกมา หยิบส้อมขึ้นมาแล้วตักอาหารเข้าปากอย่างใจเย็น แต่ในหัวกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่เขาไม่อาจอธิบายได้เช้าวันต่อมาในห้องอาหาร ทุกคนลงมาทานข้าวพร้อมกัน โลกันต์นั่งอยู่ในที่ประจำของเขา ปานตะวันที่ยังดูอิดโรยเล็กน้อยด้วยเมื่อคืนร้องไห้อย่างหนัก เธอเดินเข้ามาพร้อมกับถาดอาหาร ปานตะวันตักข้าวใส่จานให้คุณย่าและโลกันต์อย่างเงียบๆ ทุกการกระทำยังคงเรียบร้อยเหมือนเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือท่าที
หลายวันผ่านไป ปานตะวันยังคงทำตัวเหมือนไม่มีโลกันต์อยู่ในสายตา เธอไม่พูดกับเขา ไม่มองหน้าเขา แม้แต่ในบ้าน เธอก็ทำเหมือนเขาเป็นเพียงคนที่ไม่มีตัวตนโลกันต์พยายามอดทนกับสถานการณ์นี้ แต่ทุกครั้งที่เธอเมิน เขากลับรู้สึกหงุดหงิดและคับข้องใจมากขึ้นเรื่อยๆ@คืนนั้น…หลังกลับจากมหาวิทยาลัย โลกันต์ตัดสินใจเดินขึ้นไปยังห้องของปานตะวัน เธอยังไม่กลับมา เขาจึงนั่งรอเธอในความมืด เงียบกริบจนได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเองผ่านไปนานกว่าหนึ่งชั่วโมง เสียงฝีเท้าของปานตะวันดังขึ้นหน้าประตู เธอเปิดประตูเข้ามาในห้องและปิดลงเบาๆ ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่ปลายเตียงเธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและโทรหาสงคราม น้ำเสียงของเธออ่อนโยนในแบบที่โลกันต์ไม่เคยได้ยินจากเธอมาก่อน“พี่คราม…ปานถึงบ้านแล้วนะคะ” น้ำเสียงเธอเต็มไปด้วยความอบอุ่น"ขอบคุณมากนะคะ ที่ช่วยปานวันนี้ ""ค่ะ งั้นพรุ่งนี้ปานเลี้ยงกาแฟพี่เป็นการตอบแทนนะคะ""แล้วเจอกันค่ะ"โลกันต์ที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมห้องกำหมัดแน่น ความโกรธพลุ่งพล่านในใจ เขาไม่เคยคิดเลยว่าการถูกเมินจะทำให้เขารู้สึกบ้าได้ขนาดนี้“คุยกับใคร!” โลกันต์กระชากเสียงดังจนปานตะวันสะดุ้งโทรศัพท์ในมือแทบร่วง“คุณกั
หลังคืนที่เขาทำเรื่องร้ายแรงกับปานตะวัน โลกันต์พยายามทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับคำพูดของเธอ แต่ลึกลงไปในใจกลับเต็มไปด้วยความสับสนและความโกรธตัวเองคำพูดของปานตะวันที่ว่าเธอ "เกลียดผู้ชายแบบเขามากที่สุด" ยังคงดังก้องในหัว“ดูถูก เหยียดหยาม และเห็นผู้หญิงเป็นแค่ที่ระบาย…”แม้เขาจะไม่แสดงออก แต่ในใจกลับมีความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้เหมือนกำลังถูกตอกย้ำด้วยความจริงบางอย่างที่เขาไม่อยากยอมรับโลกันต์ไม่กลับบ้านหลายวัน เขาบอกคุณย่าว่าจะย้ายไปอยู่คอนโดเพราะต้องการความเป็นส่วนตัว เขาใช้เวลาในผับเกือบทุกคืน ควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า หวังจะลืมความรู้สึกบางอย่างที่รบกวนจิตใจในผับที่เสียงดนตรีดังตลอดทั้งคืน โลกันต์นั่งอยู่ที่บาร์ หน้าตาหมองคล้ำ ตาลึกจากการอดหลับอดนอนหลายวัน ดื่มเหล้าในแก้วอย่างไม่หยุด เขามองแก้วเหล้าเหมือนมันจะช่วยลบล้างความรู้สึกบางอย่างในใจให้หายไป แต่ทุกครั้งที่แก้วของเขาเต็ม มือของเขาก็ยกมันขึ้นมาแล้วก็เทลงไปจนหมด ขณะที่เพื่อนสนิทอย่างกรุงโรมและยูโรนั่งอยู่ข้างๆ กับใบม่อนที่อยู่ใกล้เคียง ต่างคนต่างสังเกตเห็นท่าทีที่ผิดปกติของเขากรุงโรมหันไปมองแล้วพูดออกมาอย่างกังวล "เอ้าๆ แดกเป็นน้
โลกันต์ที่เมามายอย่างหนักเดินกลับมาที่บ้านในเวลาเกือบตีสอง เสียงรองเท้าหนังดังสะท้อนในความเงียบสงัดของคฤหาสน์ใหญ่ เขาตรงไปยังห้องของปานตะวันโดยไม่ลังเล ไม่มีความพยายามจะหลบซ่อนหรือเกรงใจใครเหมือนก่อน เขาเดินตรงไปด้วยแรงขับดันจากความรู้สึกที่อัดแน่นในอกเสียงเคาะประตูดังสนั่นไปทั่วทั้งชั้นสองของบ้าน"ก๊อกๆๆ"ก๊อกๆๆๆ“ปาน! เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”เขาตะโกนอย่างบ้าคลั่ง เสียงทุ้มที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราดทำให้คนใช้หลายคนที่นอนอยู่ชั้นล่างสะดุ้งตื่นและรีบขึ้นมาดูสถานการณ์“คุณโลกันต์...”คนใช้คนหนึ่งพูดด้วยเสียงสั่น แต่ยังไม่ทันได้พูดต่อ โลกันต์ก็หันมามองด้วยสายตาที่เย็นชาจนเธอต้องก้มหน้าหลบ“มองอะไร! กลับเข้าห้องของตัวเองไป! อย่าสอดรู้สอดเห็นให้มันมาก!”เขาตวาดใส่เสียงดังลั่น คนใช้ทำได้แค่รีบก้มหน้าและถอยหลังกลับไปตามคำสั่งด้วยความหวาดกลัว ในใจก็เต็มไปด้วยความกังวล แต่ก็ไม่กล้าขัดขืนปานตะวันที่ได้ยินเสียงเคาะประตูอย่างรุนแรงและเสียงของโลกันต์ เธอเดินไปเปิดประตูช้าๆ ใบหน้าเธอเต็มไปด้วยร่องรอยคราบน้ำตาที่พยายามเช็ดออกไม่หมด ดวงตาบวมแดงเหมือนคนที่ร้องไห้มาทั้งคืน“มีอะไรคะ?”เธอถามเสียงเ
@บ้านกฤษณะโยธินเช้าวันรุ่งขึ้น บรรยากาศในครัวของบ้านใหญ่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของอาหารเช้า แต่สิ่งที่ดูจะเข้มข้นยิ่งกว่าคือบทสนทนาของบรรดาคนใช้ที่กำลังจัดเตรียมอาหาร“เมื่อคืนได้ยินเสียงคุณโลกันต์เคาะประตูห้องคุณปานไหม?” สาวใช้คนหนึ่งกระซิบถามเพื่อนด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น“ได้ยินสิ! เล่นเคาะซะดังลั่นตอนตีสอง ใครจะนอนหลับ” อีกคนรีบตอบพร้อมทำตาโต“แกว่าเขาทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า?”“ไม่รู้สิ แต่ดูเหมือนคุณปานจะร้องไห้อยู่ในห้องนะ น่าสงสารจริงๆ”“ฉันว่าคุณโลกันต์นี่แปลก บอกว่าจะหมั้นกับคุณใบม่อน แต่ดันไปเคาะห้องคุณปานตอนกลางดึก ถ้าคุณย่ารู้เข้าจะว่าไง?”“เออจริง! ยิ่งคุณย่าเข้มงวดเรื่องพวกนี้อยู่ด้วย”เสียงสนทนาของบรรดาคนใช้ค่อยๆ เบาลงเมื่อคุณย่าเดินเข้ามาในครัว ทุกคนรีบก้มหน้าทำงานเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่คุณย่าไม่ได้หลุดพ้นจากคำซุบซิบที่แว่วมา@ที่ห้องอาหารขณะรับประทานอาหารเช้าร่วมกัน คุณย่าเหลือบมองโลกันต์อย่างจับสังเกต ก่อนจะเอ่ยถามเสียงนิ่ง“โลกันต์”“ครับคุณย่า” เขาเงยหน้าขึ้นจากจานอาหาร“เมื่อคืนไปเคาะห้องแม่ปานทำไม?”โลกันต์เลิกคิ้วขึ้นนิดๆ ก่อนจะยิ้มมุมปากอย่างไม่สะทกสะท้าน“อ๋อ...ไม
@สามปีต่อมาหลังจากหยุดพักการเรียนเพื่อจัดการกับชีวิตและหัวใจของตัวเอง โลกันต์กลับมาเรียนต่อและคว้าปริญญาวิศวกรรมไฟฟ้าสำเร็จด้วยความมุ่งมั่น ไม่เพียงแค่นั้น เขายังเริ่มต้นธุรกิจด้านวิศวกรรมไฟฟ้า ที่ครอบคลุมการออกแบบและติดตั้งระบบพลังงานให้กับอาคารขนาดใหญ่และโรงงานอุตสาหกรรม“ไม่อยากเชื่อเลยว่าคนอย่างมึงจะมีวันนี้” กรุงโรมพูดขณะนั่งดื่มกาแฟด้วยกันที่บ้านพักริมทะเลของโลกันต์“เออ กูก็ไม่คิดเหมือนกัน แต่ถ้าไม่มีปานตะวันและลูก กูคงไม่ได้มายืนตรงนี้” โลกันต์ตอบพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน เขามองไปที่ปานตะวันซึ่งกำลังเล่นกับลูกชายวัยสองขวบและลูกสาววัยขวบเศษในสวนหน้าบ้าน“กูต้องขอบคุณพวกมึงด้วยนะ ทั้งกรุงโรม ทั้งยูโร ถ้าไม่มีพวกมึง กูคงไม่กล้ากลับมาแก้ไขชีวิตตัวเอง” โลกันต์พูดพลางตบไหล่เพื่อนรักทั้งสอง"ว่าแต่มึงเถอะช่วงนี้เป็นไง ราบรื่นดีไหม เห็นว่าตามจีบผู้หญิงอยู่นานแต่ก็ยังไม่ติดสักที ทำไมวะ" โลกันต์ถามกรุงโรมที่เป็นเพื่อนสนิท คนที่พร้อมลุยและยืนข้างโลกันต์เสมอมา ตอนนี้กลายเป็นเจ้าของธุรกิจด้านวิศวกรรมโยธาที่ประสบความสำเร็จ เขาดูแลโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ทั่วประเทศ แต่สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือควา
หลายเดือนหลังจากที่ชีวิตของโลกันต์และปานตะวันกลับเข้าสู่ความสงบ ปานตะวันได้เป็นแม่ที่สมบูรณ์แบบ และโลกันต์ก็กลายเป็นสามีที่แสนอบอุ่น แม้จะมีความขัดแย้งเล็กน้อยในบางครั้ง แต่พวกเขาก็เรียนรู้และเติบโตไปด้วยกัน ครั้งนี้พวกเขาตัดสินใจพาลูกทั้งสองคนกลับไปกราบคุณย่าที่บ้านกฤษณะโยธิน เพื่อขอโทษและขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างบ้านหลังใหญ่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำ โลกันต์นำรถมาจอดที่หน้าบ้าน และปานตะวันอุ้มลูกสาวและลูกชายออกจากรถ เด็กน้อยทั้งสองยังคงดูน่ารักและไร้เดียงสา“เข้าไปกราบคุณย่ากันเถอะ” โลกันต์พูดเสียงเบา เขาจับมือปานตะวันไว้แน่น พร้อมกับยิ้มให้ลูกทั้งสองปานตะวันยิ้มตอบ ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ที่เงียบสงบ รู้สึกเหมือนเวลากลับไปข้างหลัง กลิ่นหอมของต้นไม้และดอกไม้รอบบ้านทำให้เธอคิดถึงอดีตที่เคยหลบหนีไปในวันนั้นคุณย่าของโลกันต์ยืนรออยู่ที่ประตูบ้าน เธอสวมเสื้อผ้าไหมอย่างดี ดูสง่างาม แต่สายตาของเธอยังคงเต็มไปด้วยความอบอุ่น แม้เวลาจะผ่านไปนานนัยปี แต่ท่าทางที่ยืนอยู่ยังคงเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน“คุณย่า” โลกันต์เรียกเสียงเบา ก่อนจะก้มลงกราบที่เท้าของคุณย่าอย่างเคารพ“หลานกลับมาแล้ว” คุณ
บรรยากาศในบ้านอย่างเงียบสงบ แต่ภายในห้องนั่งเล่นกลับเต็มไปด้วยความวุ่นวาย โลกันต์กำลังวุ่นอยู่กับการจัดเก้าอี้ โซฟา และหมอนหลายใบตามคำสั่งของปานตะวัน ซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาโดยมีท้องที่เริ่มโตจนใกล้คลอด“คุณกันต์ หมอนตรงนั้นวางไม่ถูกค่ะ ขยับไปอีกนิด!”“ตรงไหนครับ?” โลกันต์หันไปถามพร้อมกับเหงื่อตก“ซ้ายค่ะ! ไม่สิ...ขวาอีกนิด!” ปานตะวันบอกอย่างละเอียด จนโลกันต์ต้องถอนหายใจ“คุณก็พูดให้ชัดหน่อยสิครับ ผมหมุนไปหมุนมาเหมือนหมากลิ้งหลายรอบแล้วนะ”“อ๋อ ถ้าหมา ยังไม่เหมือนค่ะ เพราะหมาน่าจะคล่องกว่านี้!”คำพูดนั้นทำเอาโลกันต์กลอกตา แต่ก็ไม่ได้เถียงอะไรต่อ เขาจัดหมอนตามที่เธอบอกจนกระทั่งเธอพยักหน้าพอใจ“ดีค่ะ คราวนี้ช่วยหยิบผลไม้มาให้ปานด้วยนะคะ อยากได้แอปเปิลกับองุ่น”“ครับ คุณผู้หญิง นั่งรออสักครู่นะครับ” โลกันต์ตอบเสียงเหนื่อย แต่ในแววตากลับมีความอ่อนโยน เขายิ้มออกมาอย่างคนที่มีความสุข เอ็นดูเมียรักที่กำลังแกล้งเขาในขณะที่โลกันต์กำลังเดินเข้าครัว เสียงเห่าของเจ้าด่างกับเจ้าดำ สุนัขที่เลี้ยงไว้เฝ้าบ้าน ก็ดังขึ้น ปานตะวันหันไปมองทันที เจ้าดื้อสองตัวกำลังวิ่งเล่นไล่กัดกันรอบโซฟา“ด่าง,ดำ หยุดวิ่งเดี
@ บรรยากาศวันหยุดโลกันต์เดินลงมาจากห้องนอนด้วยอาการงัวเงียหลังจากนอนดึกเมื่อคืน เขายืดเส้นยืดสายเล็กน้อยก่อนจะมองไปที่ห้องครัว กลิ่นหอมของอาหารเช้าลอยมาตามลม ทำให้เขารู้ทันทีว่าปานตะวันกำลังทำอะไรสักอย่าง“วันนี้อารมณ์ดีจัง” โลกันต์พึมพำกับตัวเอง พร้อมกับเดินตรงไปหาเธอ ปานตะวันเมียสุดที่รักของเขาปานตะวันยืนหันหลังอยู่ เธอสวมผ้ากันเปื้อนลายดอกไม้ที่เขาเพิ่งซื้อให้เมื่อเดือนก่อน“เช้านี้มีอะไรให้ผมกินบ้างครับคุณแม่บ้าน?” โลกันต์ถามเสียงหยอกปานตะวันหันมายิ้มให้เล็กน้อย แต่ไม่ตอบคำถาม เธอเพียงแค่ชี้ไปที่โต๊ะอาหารซึ่งมีจานอาหารเช้าจัดเรียงไว้อย่างสวยงาม“วันนี้ของคุณพิเศษหน่อยนะคะ ปานตั้งใจทำให้คุณเองกับมือเลย” ปานตะวันพูดน้ำเสียงร่าเริงผิดปกติ โลกันต์เลิกคิ้วเล็กน้อย รู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้คิดมาก“ขอบคุณครับที่รัก”เขานั่งลงแล้วหยิบส้อมขึ้นมาเตรียมกิน ทันทีที่เขาตักไข่คนเข้าปาก โลกันต์ต้องหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ความเผ็ดร้อนพุ่งขึ้นมาจากลิ้นจนทำให้เขาตาเบิกกว้าง“แค่กๆ!” โลกันต์สำลักน้ำตาแทบไหล “นี่มันอะไรกัน! มันเผ็ดมากเลยนะปาน”ปานตะวันหัวเราะคิกคักก่อนจะยื่นแก้วน้ำให้เขา “ปานแค่ใ
@ยามเย็นที่หมู่บ้านชายฝั่งทะเลแสงอาทิตย์สีส้มอ่อนกำลังลาลับขอบฟ้า ลำแสงบางเบาสาดกระทบผืนทะเลที่กว้างไกลจนกลายเป็นสีทองระยิบระยับ เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งดังเป็นจังหวะอ่อนโยน ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบของหมู่บ้านชายฝั่งเล็กๆ โลกันต์ กรุงโรม และยูโร เดินทางกลับมายังหมู่บ้านชายฝั่งทะเลพร้อมกับกรุงโรมและยูโร สองเพื่อนรักที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตลอดทาง ตลอดการเดินทางเสียงล้อเล่นของสองคนนั้นช่วยทำให้บรรยากาศไม่เงียบเหงาๆระหว่างที่รถจอดตรงถนนลูกรังใกล้กับบ้านไม้เก่าของปานตะวัน โลกันต์นั่งนิ่งอยู่ที่เบาะคนขับ ดวงตาจ้องมองไปที่บ้านตรงหน้า สภาพบ้านที่ล้อมรอบด้วยต้นมะพร้าวและสวนเล็กๆ ดูเรียบง่ายและอบอุ่นในสายตาของเขา แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้น หัวใจเต้นรัวราวกับจะหลุดออกมาจากร่าง“ในที่สุดมึงก็ได้กลับมาเจอเมียแล้วนะโลกันต์” กรุงโรมพูดพลางหัวเราะเบาๆ“จำได้ไหมว่าเมื่อก่อนมึงปากเก่งขนาดไหน? เก่งจนเขาหนีไป เก่งจนทำให้มึงนั่งหอนเป็นหมาไม่ทีบ้าน”ยูโรเสริมทันที “เออ ตอนนั้นนะ หัวสูงเป็นหมาไม่ติดดิน แถมยังทำตัวเป็นเจ้านายเขาตลอด หาเรื่องเขาสารพัด...แล้วดูตอนนี้ดิ หมาวัดยังดูดีกว่ามึงอีก”โลกัน
@หลายสัปดาห์ต่อมาโลกันต์ไม่เคยคิดว่าการให้ “เวลา” กับปานตะวันจะกลายเป็นบทเรียนสำคัญในชีวิตของเขา เขาเรียนรู้ที่จะปล่อยวางและใช้ช่วงเวลานั้นเพื่อปรับปรุงตัวเอง แม้จะไม่ได้พบปานตะวันบ่อยนักในช่วงเดือนที่ผ่านมา แต่เขาก็ไม่เคยหยุดพยายามที่จะส่งผ่านความตั้งใจดีไปให้เธอปานตะวันใช้เวลานั้นทบทวนสิ่งต่างๆ อย่างหนัก เธอพยายามแยกแยะความรู้สึกของตัวเองว่าเป็นความรัก ความโกรธ หรือแค่ความกลัวที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งคืนหนึ่ง ปานตะวันนั่งอยู่ริมชายหาดลำพัง เธอทอดสายตามองดวงดาวที่สะท้อนบนผืนน้ำ ในใจมีคำถามมากมายที่ยังไม่ได้คำตอบ เสียงฝีเท้าดังแผ่วเบา เธอไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่าเป็นใคร“เธออยากอยู่คนเดียวหรือเปล่า?” โลกันต์ถามอย่างสุภาพ เขายืนนิ่งไม่กล้าเข้าไปใกล้“นั่งสิ” เธอตอบเรียบๆ โดยไม่หันมามองโลกันต์นั่งลงข้างๆ เธอ แต่เว้นระยะห่างเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เธออึดอัด“วันนี้ทะเลดูสงบดีนะ” โลกันต์พูดเพื่อทำลายความเงียบ“ใช่...” ปานตะวันตอบสั้นๆทั้งคู่เงียบไปอีกพักใหญ่ โลกันต์หันไปมองใบหน้าของปานตะวันที่ดูนิ่งสงบ เขาอยากถามหลายอย่าง แต่ก็เลือกที่จะรอให้เธอเป็นฝ่ายเริ่มก่อน“ฉันไม่รู้ว่าฉันควรทำยังไง”
หลายเดือนผ่านไป ปานตะวันที่ดูเหมือนจะต่อต้านเขาน้อยลง นั่นเป็นสัญญาณที่ดี ที่แสดงให้เห็นว่าเธอเริ่มที่จะใจอ่อนลงแล้ว โลกันต์ตัดสินใจบางอย่างที่ทำให้เขานั่งไม่ติดตั้งแต่เช้ามืด เขาตื่นขึ้นมาพร้อมแผนการที่คิดไว้ตลอดทั้งคืน ก่อนจะเดินตรงไปยังบ้านของปานตะวันที่อยู่ปลายหมู่บ้าน“ฉันต้องทำสำเร็จ ครั้งนี้ต้องทำให้ได้...” โลกันต์พึมพำกับตัวเองขณะเดินเมื่อไปถึงหน้าบ้านของปานตะวัน เขาเคาะประตูเบาๆ เพื่อไม่ให้ดูรีบร้อนเกินไป แต่ไม่มีใครตอบ เขาเลยลองอีกครั้ง“ปาน...” โลกันต์เรียกชื่อเธอเสียงเบาไม่นานนัก ปานตะวันก็เปิดประตูออกมา เธอสวมเสื้อยืดตัวใหญ่กับกางเกงขาสั้นของคนท้อง สายตาของเธอดูไม่แปลกใจที่เห็นเขา“มีธุระอะไรคะ?” เธอถามเสียงเรียบ“ฉันแค่...” โลกันต์สูดลมหายใจลึก พยายามควบคุมอารมณ์ “ฉันอยากคุยกับเธอจริงๆ อยากบอกดับเธอเป็นครั้งสุดท้าย ขอเวลาหน่อยได้ไหมปาน”“ครั้งสุดท้าย?” ปานตะวันเลิกคิ้ว“ใช่...” โลกันต์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ถ้าเธอฟังสิ่งที่ฉันพูดวันนี้ แล้วคิดว่าฉันไม่ควรอยู่ที่นี่อีก ฉันจะกลับกรุงเทพฯ และจะไม่รบกวนเธออีก จะไม่มาให้เห็นหน้าอีกต่อไป”ปานตะวันนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะกอดอกแ
โลกันต์ยังคงใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านชาวประมงแห่งนั้น เขาเรียนรู้วิถีชีวิตที่ไม่เคยคุ้นเคยมาก่อน ตั้งแต่การตื่นแต่เช้ามืดไปช่วยชาวประมงลากอวน การปีนขึ้นต้นมะพร้าวเพื่อเก็บลูกสดๆ ไปจนถึงการแบกถังน้ำจากบ่อน้ำมาใช้ในบ้านพักที่เขาเช่าอยู่ ทุกวันผ่านไปอย่างลำบาก แต่โลกันต์ไม่ปริปากบ่นเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะเขามีเป้าหมายเดียวในใจ คือการทำให้ปานตะวันเห็นว่าเขาจริงจังกับการเปลี่ยนแปลงตัวเอง@เช้าวันหนึ่งโลกันต์ยืนอยู่หน้าบ้านไม้ยกพื้นของปานตะวัน เขารวบรวมความกล้าก่อนจะตะโกนเรียกเธอด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจน“ปาน! ปานตะวัน! อยู่ไหม?”ปานตะวันกำลังจัดดอกไม้ในห้องครัว เสียงของโลกันต์ทำให้มือเธอชะงักไปครู่หนึ่ง เธอถอนหายใจหนักแล้วเดินออกไปที่หน้าต่างมองลงมาเห็นเขายืนอยู่พร้อมกับถุงของฝากใบใหญ่ในมือ“คุณมาทำอะไรที่นี่?” ปานตะวันถามเสียงเรียบ ดวงตาเย็นชาของเธอมองเขาราวกับคนแปลกหน้า“ฉันเอาของมาฝาก เป็นปลาทูที่ฉันช่วยชาวบ้านจับมาได้สดๆ กับมือ” โลกันต์ตอบพร้อมยื่นถุงของฝากขึ้น“ฉันไม่ได้ขอ” เธอตอบกลับทันที “แล้วก็ไม่จำเป็นต้องเอาอะไรมาให้”“ฉันไม่ได้ต้องการอะไรตอบแทน ฉันแค่อยากให้เธอรู้ว่าฉัน...เปลี่ยนไปแ
โลกันต์ตื่นขึ้นมาในเช้าตรู่เหมือนทุกวันในช่วงเดือนที่ผ่านมา เขาตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่ที่หมู่บ้านเล็กๆ ริมทะเลทางภาคใต้ของประเทศไทย เขาได้เช่าบ้านไม้หลังเล็กๆ ใกล้ชายหาด และตั้งใจทำงานทุกอย่างที่ชาวบ้านทำ แม้ร่างกายจะอ่อนล้าเพียงใด แต่ความหวังเพียงเล็กน้อยที่ปานตะวันอาจยอมให้อภัย ก็เป็นพลังที่ผลักดันให้เขาก้าวเดินต่อไปในเช้าวันนี้โลกันต์ได้รับคำชวนจากลุงประจวบ ชาวประมงผู้มีประสบการณ์ยาวนานในหมู่บ้าน ให้ไปช่วยลากอวนจับปลาในทะเล ช่วงนี้เป็นฤดูที่ปลาชุม โลกันต์รู้ดีว่างานนี้ไม่ใช่งานง่าย เพราะเขาต้องออกเรือไปในทะเลลึกพร้อมทีมชาวประมง และต้องใช้แรงกายอย่างมหาศาลในการลากอวนที่หนักอึ้งกลับขึ้นมาบนเรือ แต่เขาไม่ลังเลที่จะตอบรับ"ลุงครับ ผมพร้อมแล้วครับ" โลกันต์พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ขณะที่เขายืนรออยู่ที่ท่าเรือในยามฟ้าสาง ลุงประจวบมองชายหนุ่มที่ครั้งหนึ่งเคยดูเหมือนคนเมืองที่ไม่ยอมลำบาก แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นคนที่ทำงานหนักเหมือนชาวบ้าน"ถ้าพร้อมก็ขึ้นเรือเลยพ่อหนุ่ม งานนี้เหนื่อยแน่ แต่ถ้าได้ปลามาเยอะก็คุ้ม" ลุงประจวบตอบพร้อมหัวเราะเบาๆเมื่อเรือแล่นออกไปกลางทะเล โลกันต์ได้เรียนรู้วิธีการใช้ชี