เช้าวันใหม่ในบ้านหลังใหญ่เริ่มต้นด้วยมื้ออาหารเช้าที่จัดขึ้นในห้องรับประทานอาหารหรูหรา โลกันต์นั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชาตามแบบฉบับของเขา ส่วนปานตะวันนั่งอยู่มุมโต๊ะเล็กๆ ใกล้กับบริเวณที่จัดไว้สำหรับพนักงาน ใบหน้าของเธอเรียบเฉย แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความอึดอัด
คุณย่าพิมพ์ประไพ ผู้อาวุโสของบ้าน นั่งอยู่ตรงกลางโต๊ะในชุดสวยสง่า เธอมองโลกันต์พลางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสุขุม
"กันต์ วันนี้พาปานไปมหาวิทยาลัยด้วยนะ ย่าไม่อยากให้เธอขึ้นรถเมล์ มันไม่ปลอดภัย"
เสียงของคุณย่าเรียกความสนใจจากทั้งสองคนทันที โลกันต์เลิกคิ้วก่อนจะยิ้มเย็นๆ
"พาไป?" เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเย้ยหยัน
"ย่าอยากให้รถผมมีรอยขีดข่วนหรือไงครับ?"
ปานตะวันนิ่งเงียบ มือของเธอที่ถือช้อนส้อมสั่นเล็กน้อย แต่เธอพยายามข่มใจไม่ให้แสดงความรู้สึกออกมา
"กันต์!" คุณย่าเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงดุ พลางจ้องเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยอำนาจ
"ย่าไม่ได้ขอ แต่ย่าสั่งให้แกพาปานไปด้วย และดูแลเธอให้ดี"
โลกันต์ถอนหายใจยาว ก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นจิบอย่างไม่ใส่ใจ "ครับ... ถ้าย่าสั่ง ผมก็คงต้องทำ" เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะหันไปมองปานตะวันด้วยสายตาเย็นชา
"แต่ฉันบอกไว้ก่อนเลยนะปานตะวัน" เขาพูดพร้อมกับยิ้มเหยียด "รถฉันราคาแพง อย่าทำอะไรให้สกปรกล่ะ อย่างเธอนั่งรถหรูมันไม่คู่ควร...เธอน่าจะเหมาะกับรถเมล์มากกว่า"
คำพูดนั้นเหมือนมีดกรีดลึกลงไปในหัวใจของปานตะวัน เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาเล็กน้อย แต่ก็ไม่พูดอะไร
"เธอนี่มันตัวปัญหาจริงๆ!" โลกันต์พูดปิดท้าย ก่อนจะลุกขึ้นจากโต๊ะและเดินออกไป
รถสปอร์ตคันหรูจอดนิ่งอยู่หน้าบ้าน โลกันต์นั่งอยู่ในที่นั่งคนขับ ส่วนปานตะวันนั่งอย่างเงียบๆ อยู่ข้างเขาในที่นั่งผู้โดยสาร บรรยากาศในรถเต็มไปด้วยความอึดอัด โลกันต์ขับรถออกไปโดยไม่แม้แต่จะชายตามองเธอ
ระหว่างทางไปมหาวิทยาลัย โลกันต์ไม่ได้พูดอะไร แต่ความเงียบก็หนักอึ้งเหมือนคำพูดที่ไม่ได้เอ่ยออกมา ปานตะวันพยายามนั่งนิ่ง มือทั้งสองข้างของเธอกุมกระเป๋าไว้แน่น ดวงตาหลุบต่ำมองปลายรองเท้าของตัวเอง
เมื่อถึงบริเวณหน้ามหาวิทยาลัย โลกันต์เลี้ยวรถเข้าไปในซอยเล็กๆ ที่ไม่มีคนพลุกพล่าน ก่อนจะจอดรถและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
"ลงไป"
ปานตะวันหันมามองเขาเล็กน้อย ราวกับไม่แน่ใจว่าได้ยินถูกหรือไม่ "คุณกันต์คะ?"
"ฉันบอกให้ลงไป!" โลกันต์พูดซ้ำ พร้อมกับจ้องเธอด้วยสายตาคมกริบ "ฉันไม่อยากให้ใครในมหาวิทยาลัยรู้ว่าเธออยู่บ้านเดียวกับฉัน มันน่าอาย"
หัวใจของปานตะวันบีบรัดด้วยความเจ็บปวด แต่เธอพยายามกลั้นน้ำตาไว้ เธอเปิดประตูรถอย่างเชื่องช้า ก่อนจะก้าวลงไปพร้อมกระเป๋าหนังสือ
"แล้วจำไว้..." โลกันต์พูดเสริม น้ำเสียงของเขายิ่งกดดันหัวใจของเธอ
"อย่าทำให้ใครรู้ว่าเรามีอะไรเกี่ยวข้องกัน สถานะของเธอคือเด็กรับใช้ที่ย่าฉันเมตตาให้ได้เรียนหนังสือ เธอกับฉันเป็นเจ้านายกับลูกจ้าง ที่ฉันนอนกับเธอฉันจ่ายค่าตัวไม่ได้เอาฟรีๆ เงินที่ฉันให้ถือเป็นค่าปิดปาก เธอไม่ได้มีค่าอะไรมากไปกว่าของเล่นแก้ขัด เข้าใจไหม?"
เธอพยักหน้าเบาๆ น้ำเสียงแหบพร่าของเธอตอบกลับ "ค่ะ"
โลกันต์ไม่สนใจคำตอบของเธอ เขาเพียงแค่ปิดประตูรถและขับออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ปานตะวันยืนอยู่ที่ริมถนนเพียงลำพัง
ในใจของเธอเต็มไปด้วยความอับอายและความเจ็บปวด น้ำตาที่เธอกลั้นไว้ตลอดทางไหลออกมาอย่างช้าๆ
"ฉันจะต้องอดทนไปอีกนานแค่ไหน..." เธอถามตัวเองขณะที่เดินเข้าไปในมหาวิทยาลัย รอยช้ำบนร่างกายที่เขาทิ้งไว้เมื่อคืนเหมือนตอกย้ำว่าเธอไม่มีวันเป็นอะไรได้มากกว่า "สิ่งของ" ในสายตาของเขา...
บรรยากาศในมหาวิทยาลัยช่วงพักกลางวันเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและความคึกคัก นักศึกษาหลายกลุ่มจับจองที่นั่งในโรงอาหาร ทานข้าวและพูดคุยกันด้วยความสนุกสนานปานตะวันนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของโรงอาหาร ใบหน้าของเธอเรียบเฉย ขณะจ้องมองอาหารตรงหน้า แต่แทบไม่แตะมันแม้แต่น้อย ดวงตาของเธอจับจ้องไปยังโต๊ะอีกมุมหนึ่ง ที่โลกันต์นั่งอยู่พร้อมกับเพื่อนๆ ของเขาโลกันต์ดูสง่างามและโดดเด่น แม้ในยามนั่งอยู่ท่ามกลางฝูงชน เขานั่งเอนตัวพิงเก้าอี้อย่างสบายใจ หัวเราะกับคำพูดของเพื่อนสนิท ใบม่อน เพื่อนสาวหน้าสวยที่ดูสนิทกับโลกันต์จนเกินพอดี นั่งอยู่ข้างเขา เธอหัวเราะและเอื้อมมือไปแตะแขนของโลกันต์อย่างสนิทสนมยูโรและกรุงโรม เพื่อนชายอีกสองคนของเขานั่งอยู่ด้วย ทั้งสองคนต่างพูดคุยกันอย่างออกรส พลางหันไปมองรอบๆ โรงอาหาร"เชี้ย!" กรุงโรมพูดขึ้นพร้อมชี้ไปที่มุมหนึ่งของโรงอาหาร "น้องคนนั้น...น่ารักโคตร ไปอยู่ไหนมาวะ ทำไมกูไม่เคยเห็น"สายตาของกรุงโรมจ้องตรงไปที่ปานตะวัน หญิงสาวหน้าหวานที่นั่งอยู่คนเดียวยูโรหันไปมองตาม ก่อนจะผิวปากเบาๆ "เออว่ะ โคตรน่ารัก แต่ดูเหมือนจะเงียบๆ ไม่ใช่แนวสาวเปรี้ยวของมึงนะโรม"โลกันต์เหลือบตามองไปยัง
บรรยากาศยามเย็นในมหาวิทยาลัยเต็มไปด้วยความคึกคัก นักศึกษาบางคนกำลังเดินกลับบ้าน บางคนกำลังพูดคุยกับเพื่อน ๆ หลังเลิกเรียน แต่ในมุมหนึ่งของลานจอดรถ โลกันต์นั่งอยู่ในรถสุดหรูของเขา สายตาจับจ้องไปยังหน้าจอโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งมือถือเครื่องนี้ไม่ใช่เครื่องหลักของเขา แต่มันเป็นเครื่องที่เขาใช้ติดต่อกับปานตะวันโดยเฉพาะ เพราะเขาไม่ต้องการให้ใครรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอโลกันต์ :💬 “ลงมาที่ลานจอดรถหลังคณะ”ข้อความถูกส่งออกไปอย่างรวดเร็ว เขารู้ดีว่าเธอจะทำตามคำสั่งโดยไม่มีข้อโต้แย้งไม่นานนัก ร่างเล็กของปานตะวันก็ปรากฏขึ้น เธอเดินมาพร้อมกับพี่รหัส ชื่อ สงคราม"ให้พี่ไปส่งไหมปาน กลับบ้านคนเดียวอันตรายนะ""ไม่เป็นไรค่ะ ปานกลับเองได้ ขอบคุณนะคะพี่คราม""งั้นคืนนี้พี่โทรหานะ จะคุยเรื่องค่ายกิจกรรม""ค่ะ แล้วเจอกันนะคะ"โลกันต์เห็นเธอเดินมากับผู้ชายหน้าตาดี ทันทีที่เธอเข้ามาในรถ เขาหาเรื่องทะเลาะทันที“ทำไมช้านัก?” โลกันต์เอ่ยทันที น้ำเสียงของเขาเย็นชาและแฝงความไม่พอใจ“ปานขอโทษค่ะ...มีงานกลุ่มที่ต้องส่งในวันมะรืน เลยประชุมกันหลังเลิกเรียนนิดหน่อย” เธอพูดเบา ๆ ไม่กล้าสบตาเขา“หึ งาน
บรรยากาศในคาเฟ่ของมหาวิทยาลัยยังคงคึกคัก นักศึกษาทุกคนกำลังสนุกสนานกับการสนทนาและเสียงหัวเราะ ขณะเดียวกัน กรุงโรมยืนอยู่กับเพื่อนสนิทอย่างยูโรและใบม่อนที่มุมหนึ่งของร้าน พวกเขากำลังมองไปที่ปานตะวันที่นั่งอยู่คนเดียวและจิบกาแฟอย่างเงียบ ๆ“เฮ้ย นั่นมันน้องคนนั้นที่มึงสนใจนิ?” ยูโรถามขณะยิ้มให้กับกรุงโรม“กูเห็นแล้ว มองใกล้ๆแม่งน้องโคตรสวย” กรุงโรมตอบ ก่อนจะทำสายตาที่เต็มไปด้วยความหลงใหล“เข้าไปทักไหม? น้องเขานั่งคนเดียวพอดีเลย” ใบม่อนถามด้วยเสียงเชียร์"หรือมึงไม่กล้า?" ยูโร“ไม่รู้สิ กับคนนี้กูใจสั่นชิบหาย ไม่กล้าจู่โจม กลัวว่าจะทำให้น้องเขาอึดอัด” กรุงโรมตอบเสียงต่ำ หัวใจกล้าๆกลัวๆอย่างบอกไม่ถูก“แค่เข้าไปทักเอง ถามเรื่องเรียนหรือเรื่องทั่วไปก็ได้ ระดับมึงกลัวเป็นด้วยเหรอ” ยูโรแนะนำ“เออว่ะ มึงไม่เคยลังเลเลยไม่ใช่เหรอ คาสโนว่าอย่างมึงแค่นี้ กลัว?” ใบม่อนเสริม “ถ้าน้องเขาไม่สนใจล่ะ กูไม่หน้าแหกเลยเหรอ?” กรุงโรมได้แต่มองปานตะวัน ในใจเขายังลังเลไม่กล้าที่จะเข้าไปทัก“เอาน่า! ลองดู ไม่ลองก็ไม่รู้” ยูโรกระตุ้นอีกครั้ง ยิ่งเห็นกรุงโรมประหม่าเขายิ่งนึกสนุก "เอาวะ! เป็นไงเป็นกัน"ในขณะที่ก
ในขณะที่กรุงโรมพยายามหว่านล้อมให้เธอยอมตกลงไปทานข้าวกับเขา แต่ดูเหมือนเธอจะกลัวเขาอยู่บ้าง เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกเหมือนชีวิตเริ่มมีความท้าทาย ผู้หญิงคนแรกที่แสดงท่าทีลังเลที่จะไปกับเขา แตกต่างจากคนอื่นที่เขาเคยพบเจอ“ยังไงครับ ไปทานข้าวกับพี่สักมื้อได้ไหม?” กรุงโรมถามอีกครั้งด้วยความหวังในใจ“คือ...ปาน...” เธอพูดไม่ออก เมื่อรู้ว่าความสัมพันธ์ของเธอกับโลกันต์อาจทำให้เธอไม่สามารถตอบตกลงได้ และเขาก็เป็นคนแปลกหน้าที่พึ่งจะเข้ามา คงไม่ดีที่เธอจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวในช่วงเวลาที่กำลังลังเล ปานตะวันสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปเมื่อเขาคนที่เธอกำลังกลัวเดินเข้ามาใกล้“เกิดอะไรขึ้น?” โลกันต์ถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจเมื่อเห็นกรุงโรมอยู่ใกล้ปานตะวันกรุงโรมหันไปมองโลกันต์ทันที “ไอ้กันต์ มึงมาก็ดีแล้ว กูกำลังจะ......”“มีอะไรให้คุยมากมายขนาดนั้น?” โลกันต์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบ แต่ในตาของเขาเต็มไปด้วยความอึดอัด ไม่รอให้กรุงโรมพูดจบเขา เขาหันไปมองปานตะวัน"คุณย่าโทรมาบอกให้เธอรีบกลับบ้าน"“แต่ปานยังไม่เสร็จ...”“กลับบ้าน!” โลกันต์พูดเสียงแข็ง เขาจับมือเธอไว้และดึงให้ลุกขึ้น“..ค่ะ” ปานตะวันต
ปานตะวันเดินกลับบ้านด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เธอรู้ดีว่าชีวิตของเธอไม่มีสิทธิ์เลือกอะไรมากนัก แต่คำพูดของโลกันต์วันนี้กลับยิ่งย้ำเตือนถึงสถานะของเธอในสายตาของเขา เธอพยายามกลั้นน้ำตาไว้ให้ได้ แต่เมื่อถึงบ้าน เธอก็ไม่สามารถห้ามความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามาได้"เธอไม่ใช่คนหรือไงปานตะวัน ต่ำต้อยจนไม่สามารถยืนอยู่บนดินเหมือนพวกเขาได้เลยหรือ อึกๆ"เธอทรุดตัวลงนั่งที่หน้าประตู สายตาเหม่อลอยไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาว หากเธอมีทางเลือก เธออยากจะไปให้ไกลจากที่นี่ แต่เธอกลับถูกพันธนาการไว้ด้วยคำว่า "บุญคุณ" และความรักในอีกด้านหนึ่ง โลกันต์กลับมาถึงบ้านด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว เขาทิ้งตัวลงบนโซฟา พลางขบคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ แม้เขาจะบอกตัวเองว่าทุกอย่างที่เขาทำไปนั้นถูกต้อง แต่ลึกๆ ในใจกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดพลาดเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดความคิดของเขา เขาหยิบมันขึ้นมาดู ชื่อของ "กรุงโรม" ปรากฏอยู่บนหน้าจอ โลกันต์ถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะกดรับสาย"มึงมีอะไร?" โลกันต์พูดเสียงเรียบ"กูมีอะไรจะถามมึง" เสียงของกรุงโรมเต็มไปด้วยความจริงจัง "มึงคิดยังไงกับปานตะวันกันแน่วะ?"คำถามนั้นทำให้โลกันต์
หนึ่งสัปดาห์ต่อมาตั้งแต่คืนนั้น โลกันต์ก็ไม่เคยพูดหรือส่งข้อความหาปานตะวันอีกเลย เขาแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่ลึกๆ ในใจของเขากลับรู้สึกไม่สงบเลยสักนิดโลกันต์เดินผ่านสวนที่จัดไว้อย่างเรียบหรู แสงแดดยามเย็นสาดส่องผ่านต้นไม้สูงใหญ่ ทอดเงาลงบนทางเดินหินที่สะอาดสะอ้าน เขาก้าวเท้าหนักแน่นไปตามทาง ด้วยความคิดที่ยุ่งเหยิงในหัวในจังหวะนั้นเอง เขาเห็นร่างของปานตะวันเดินมาในทิศทางตรงกันข้าม เธอสวมชุดเรียบง่าย มือถือถาดอาหารเอาไว้แน่น ใบหน้าของเธอดูอ่อนล้า แต่ก็ยังมีความเข้มแข็งที่พยายามปกปิดความเจ็บปวดเมื่อสายตาของทั้งคู่สบกัน โลกันต์กลับไม่ได้หยุดหรือแสดงท่าทีใดๆ เขาเพียงแค่ก้าวต่อไปอย่างเฉยชา ราวกับเธอเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ไม่มีความสำคัญปานตะวันหยุดเดินชั่วขณะ เธอมองเขาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยคำถามและความเจ็บปวดในใจ แต่เขาก็ไม่แม้แต่จะหันกลับมามองเธออีกครั้งความเย็นชาของโลกันต์ยังคงเหมือนเดิม เหมือนกำแพงหนาที่เขาสร้างขึ้นเพื่อปิดกั้นทุกอย่างจากเธอ และเธอก็รู้ดีว่ามันจะเป็นแบบนั้นตลอดไปหัวใจของปานตะวันเหมือนถูกบีบรัด เธอสูดลมหายใจลึก พยายามสะกดกลั้นความรู้สึกในใจ ก่อนจะตัดสินใจ
ที่ลานคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยข่าวลือเรื่องการหมั้นหมายระหว่างโลกันต์และใบม่อนแพร่กระจายไปทั่ว เพื่อนๆ ในกลุ่มต่างพากันแซวเมื่อทั้งสองเดินเข้ามาพร้อมกัน กรุงโรมและยูโร เพื่อนสนิทของโลกันต์ ไม่พลาดโอกาสแหย่“อ้าว! ท่านว่าที่เจ้าบ่าวมาแล้ว!” กรุงโรมพูดเสียงดัง พร้อมยกมือทำท่าคารวะ “โลกันต์ กฤษณะโยธิน ผู้ชายที่กำลังจะขายตัวเพื่อธุรกิจ!”"ขายตัวพ่อง!มึงดิ!"เสียงหัวเราะจากกลุ่มเพื่อนดังขึ้น ยูโรเสริมทันที “ใบม่อนนะ ใบม่อน! ทำไมมึงไม่บอกพวกกูว่ามึงจะกินคนใกล้ตัวขนาดนี้"ใบม่อนที่ยืนอยู่ข้างโลกันต์ ยิ้มเขินอย่างมีความสุข ใบหน้าของเธอแดงระเรื่อจากคำแซวของเพื่อนๆ“พวกมึงก็แซวเกินไป” เธอตอบเสียงอ่อน ขณะเหลือบมองโลกันต์ที่ยืนนิ่งข้างๆ แต่แทนที่โลกันต์จะเล่นตามน้ำ เขากลับตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา“มันเป็นเรื่องของสองตระกูล หมั้นกันเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ”คำพูดนั้นทำให้บรรยากาศรอบตัวเงียบลงในทันที รอยยิ้มบนใบหน้าของใบม่อนค่อยๆ จางหายไป เธอหน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด“โลกันต์...” ใบม่อนพยายามพูดอะไรบางอย่าง แต่เขากลับไม่ได้สนใจเธอ“กูมีงานต้องไปทำก่อนเข้าเรียนบ่าย พวกมึงเล่นกันไปเถอะ” โลกันต์พูดตั
@ห้องพยาบาลของคณะปานตะวันค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา สายตาพร่ามัวเล็กน้อยก่อนจะมองเห็นภาพรอบตัวอย่างชัดเจน เธอพบว่าเธอกำลังนอนอยู่ในห้องพยาบาล มีโลกันต์ กรุงโรม และใบม่อนยืนอยู่ด้วย ใบม่อนยืนกอดอกด้วยสีหน้าไม่พอใจ ขณะที่กรุงโรมมีท่าทีเหมือนอยากพูดอะไรแต่ก็เกรงใจโลกันต์ ส่วนโลกันต์ยืนอยู่ข้างเตียง จ้องมองปานตะวันด้วยสายตาเย็นชา"ปาน...เป็นอะไรไปคะ?" ปานตะวันพูดเสียงแผ่วโลกันต์ขยับเข้ามาใกล้ มองเธอด้วยสายตาดุๆ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาและประชดประชัน"ก็เป็นลมน่ะสิ จะอะไรอีก เธอมันโง่ที่ไปทำตามคำสั่งของคนอื่นง่ายๆ รู้ว่าแดดมันร้อนก็ยังจะทำ รู้ว่าหนักก็ยังจะยอม คนอื่นพูดอะไรมาก็เชื่อไปหมด ใครใช้ให้เธอเชื่องขนาดนั้นฮะ? หรือเธอเกิดมาเพื่อเชื่องแบบหมาอยู่แล้ว?" โลกันต์พูดด้วยน้ำเสียงดุดันในใจโมโหไม่น้อยคำพูดของโลกันต์เหมือนกรีดหัวใจปานตะวัน เธอมองเขาด้วยความเจ็บปวด แต่ก็พยายามพูดอย่างใจเย็น"ปานแค่ไม่อยากให้ใครมาว่า...หาว่าปานไม่รู้จักสถานะของตัวเอง และไม่อยากให้เสียถึงคุณกันต์ " ปานตะวันตอบด้วยเสียงอ่อน"ไม่อยากให้ใครว่า? แล้วคิดว่าใครเขาสนใจเธอนักหนา? คนที่โดนสั่งให้ทำอะไรโง่ๆ แล้วทำตามนี่แ
@สามปีต่อมาหลังจากหยุดพักการเรียนเพื่อจัดการกับชีวิตและหัวใจของตัวเอง โลกันต์กลับมาเรียนต่อและคว้าปริญญาวิศวกรรมไฟฟ้าสำเร็จด้วยความมุ่งมั่น ไม่เพียงแค่นั้น เขายังเริ่มต้นธุรกิจด้านวิศวกรรมไฟฟ้า ที่ครอบคลุมการออกแบบและติดตั้งระบบพลังงานให้กับอาคารขนาดใหญ่และโรงงานอุตสาหกรรม“ไม่อยากเชื่อเลยว่าคนอย่างมึงจะมีวันนี้” กรุงโรมพูดขณะนั่งดื่มกาแฟด้วยกันที่บ้านพักริมทะเลของโลกันต์“เออ กูก็ไม่คิดเหมือนกัน แต่ถ้าไม่มีปานตะวันและลูก กูคงไม่ได้มายืนตรงนี้” โลกันต์ตอบพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน เขามองไปที่ปานตะวันซึ่งกำลังเล่นกับลูกชายวัยสองขวบและลูกสาววัยขวบเศษในสวนหน้าบ้าน“กูต้องขอบคุณพวกมึงด้วยนะ ทั้งกรุงโรม ทั้งยูโร ถ้าไม่มีพวกมึง กูคงไม่กล้ากลับมาแก้ไขชีวิตตัวเอง” โลกันต์พูดพลางตบไหล่เพื่อนรักทั้งสอง"ว่าแต่มึงเถอะช่วงนี้เป็นไง ราบรื่นดีไหม เห็นว่าตามจีบผู้หญิงอยู่นานแต่ก็ยังไม่ติดสักที ทำไมวะ" โลกันต์ถามกรุงโรมที่เป็นเพื่อนสนิท คนที่พร้อมลุยและยืนข้างโลกันต์เสมอมา ตอนนี้กลายเป็นเจ้าของธุรกิจด้านวิศวกรรมโยธาที่ประสบความสำเร็จ เขาดูแลโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ทั่วประเทศ แต่สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือควา
หลายเดือนหลังจากที่ชีวิตของโลกันต์และปานตะวันกลับเข้าสู่ความสงบ ปานตะวันได้เป็นแม่ที่สมบูรณ์แบบ และโลกันต์ก็กลายเป็นสามีที่แสนอบอุ่น แม้จะมีความขัดแย้งเล็กน้อยในบางครั้ง แต่พวกเขาก็เรียนรู้และเติบโตไปด้วยกัน ครั้งนี้พวกเขาตัดสินใจพาลูกทั้งสองคนกลับไปกราบคุณย่าที่บ้านกฤษณะโยธิน เพื่อขอโทษและขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างบ้านหลังใหญ่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำ โลกันต์นำรถมาจอดที่หน้าบ้าน และปานตะวันอุ้มลูกสาวและลูกชายออกจากรถ เด็กน้อยทั้งสองยังคงดูน่ารักและไร้เดียงสา“เข้าไปกราบคุณย่ากันเถอะ” โลกันต์พูดเสียงเบา เขาจับมือปานตะวันไว้แน่น พร้อมกับยิ้มให้ลูกทั้งสองปานตะวันยิ้มตอบ ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ที่เงียบสงบ รู้สึกเหมือนเวลากลับไปข้างหลัง กลิ่นหอมของต้นไม้และดอกไม้รอบบ้านทำให้เธอคิดถึงอดีตที่เคยหลบหนีไปในวันนั้นคุณย่าของโลกันต์ยืนรออยู่ที่ประตูบ้าน เธอสวมเสื้อผ้าไหมอย่างดี ดูสง่างาม แต่สายตาของเธอยังคงเต็มไปด้วยความอบอุ่น แม้เวลาจะผ่านไปนานนัยปี แต่ท่าทางที่ยืนอยู่ยังคงเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน“คุณย่า” โลกันต์เรียกเสียงเบา ก่อนจะก้มลงกราบที่เท้าของคุณย่าอย่างเคารพ“หลานกลับมาแล้ว” คุณ
บรรยากาศในบ้านอย่างเงียบสงบ แต่ภายในห้องนั่งเล่นกลับเต็มไปด้วยความวุ่นวาย โลกันต์กำลังวุ่นอยู่กับการจัดเก้าอี้ โซฟา และหมอนหลายใบตามคำสั่งของปานตะวัน ซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาโดยมีท้องที่เริ่มโตจนใกล้คลอด“คุณกันต์ หมอนตรงนั้นวางไม่ถูกค่ะ ขยับไปอีกนิด!”“ตรงไหนครับ?” โลกันต์หันไปถามพร้อมกับเหงื่อตก“ซ้ายค่ะ! ไม่สิ...ขวาอีกนิด!” ปานตะวันบอกอย่างละเอียด จนโลกันต์ต้องถอนหายใจ“คุณก็พูดให้ชัดหน่อยสิครับ ผมหมุนไปหมุนมาเหมือนหมากลิ้งหลายรอบแล้วนะ”“อ๋อ ถ้าหมา ยังไม่เหมือนค่ะ เพราะหมาน่าจะคล่องกว่านี้!”คำพูดนั้นทำเอาโลกันต์กลอกตา แต่ก็ไม่ได้เถียงอะไรต่อ เขาจัดหมอนตามที่เธอบอกจนกระทั่งเธอพยักหน้าพอใจ“ดีค่ะ คราวนี้ช่วยหยิบผลไม้มาให้ปานด้วยนะคะ อยากได้แอปเปิลกับองุ่น”“ครับ คุณผู้หญิง นั่งรออสักครู่นะครับ” โลกันต์ตอบเสียงเหนื่อย แต่ในแววตากลับมีความอ่อนโยน เขายิ้มออกมาอย่างคนที่มีความสุข เอ็นดูเมียรักที่กำลังแกล้งเขาในขณะที่โลกันต์กำลังเดินเข้าครัว เสียงเห่าของเจ้าด่างกับเจ้าดำ สุนัขที่เลี้ยงไว้เฝ้าบ้าน ก็ดังขึ้น ปานตะวันหันไปมองทันที เจ้าดื้อสองตัวกำลังวิ่งเล่นไล่กัดกันรอบโซฟา“ด่าง,ดำ หยุดวิ่งเดี
@ บรรยากาศวันหยุดโลกันต์เดินลงมาจากห้องนอนด้วยอาการงัวเงียหลังจากนอนดึกเมื่อคืน เขายืดเส้นยืดสายเล็กน้อยก่อนจะมองไปที่ห้องครัว กลิ่นหอมของอาหารเช้าลอยมาตามลม ทำให้เขารู้ทันทีว่าปานตะวันกำลังทำอะไรสักอย่าง“วันนี้อารมณ์ดีจัง” โลกันต์พึมพำกับตัวเอง พร้อมกับเดินตรงไปหาเธอ ปานตะวันเมียสุดที่รักของเขาปานตะวันยืนหันหลังอยู่ เธอสวมผ้ากันเปื้อนลายดอกไม้ที่เขาเพิ่งซื้อให้เมื่อเดือนก่อน“เช้านี้มีอะไรให้ผมกินบ้างครับคุณแม่บ้าน?” โลกันต์ถามเสียงหยอกปานตะวันหันมายิ้มให้เล็กน้อย แต่ไม่ตอบคำถาม เธอเพียงแค่ชี้ไปที่โต๊ะอาหารซึ่งมีจานอาหารเช้าจัดเรียงไว้อย่างสวยงาม“วันนี้ของคุณพิเศษหน่อยนะคะ ปานตั้งใจทำให้คุณเองกับมือเลย” ปานตะวันพูดน้ำเสียงร่าเริงผิดปกติ โลกันต์เลิกคิ้วเล็กน้อย รู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้คิดมาก“ขอบคุณครับที่รัก”เขานั่งลงแล้วหยิบส้อมขึ้นมาเตรียมกิน ทันทีที่เขาตักไข่คนเข้าปาก โลกันต์ต้องหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ความเผ็ดร้อนพุ่งขึ้นมาจากลิ้นจนทำให้เขาตาเบิกกว้าง“แค่กๆ!” โลกันต์สำลักน้ำตาแทบไหล “นี่มันอะไรกัน! มันเผ็ดมากเลยนะปาน”ปานตะวันหัวเราะคิกคักก่อนจะยื่นแก้วน้ำให้เขา “ปานแค่ใ
@ยามเย็นที่หมู่บ้านชายฝั่งทะเลแสงอาทิตย์สีส้มอ่อนกำลังลาลับขอบฟ้า ลำแสงบางเบาสาดกระทบผืนทะเลที่กว้างไกลจนกลายเป็นสีทองระยิบระยับ เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งดังเป็นจังหวะอ่อนโยน ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบของหมู่บ้านชายฝั่งเล็กๆ โลกันต์ กรุงโรม และยูโร เดินทางกลับมายังหมู่บ้านชายฝั่งทะเลพร้อมกับกรุงโรมและยูโร สองเพื่อนรักที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตลอดทาง ตลอดการเดินทางเสียงล้อเล่นของสองคนนั้นช่วยทำให้บรรยากาศไม่เงียบเหงาๆระหว่างที่รถจอดตรงถนนลูกรังใกล้กับบ้านไม้เก่าของปานตะวัน โลกันต์นั่งนิ่งอยู่ที่เบาะคนขับ ดวงตาจ้องมองไปที่บ้านตรงหน้า สภาพบ้านที่ล้อมรอบด้วยต้นมะพร้าวและสวนเล็กๆ ดูเรียบง่ายและอบอุ่นในสายตาของเขา แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้น หัวใจเต้นรัวราวกับจะหลุดออกมาจากร่าง“ในที่สุดมึงก็ได้กลับมาเจอเมียแล้วนะโลกันต์” กรุงโรมพูดพลางหัวเราะเบาๆ“จำได้ไหมว่าเมื่อก่อนมึงปากเก่งขนาดไหน? เก่งจนเขาหนีไป เก่งจนทำให้มึงนั่งหอนเป็นหมาไม่ทีบ้าน”ยูโรเสริมทันที “เออ ตอนนั้นนะ หัวสูงเป็นหมาไม่ติดดิน แถมยังทำตัวเป็นเจ้านายเขาตลอด หาเรื่องเขาสารพัด...แล้วดูตอนนี้ดิ หมาวัดยังดูดีกว่ามึงอีก”โลกัน
@หลายสัปดาห์ต่อมาโลกันต์ไม่เคยคิดว่าการให้ “เวลา” กับปานตะวันจะกลายเป็นบทเรียนสำคัญในชีวิตของเขา เขาเรียนรู้ที่จะปล่อยวางและใช้ช่วงเวลานั้นเพื่อปรับปรุงตัวเอง แม้จะไม่ได้พบปานตะวันบ่อยนักในช่วงเดือนที่ผ่านมา แต่เขาก็ไม่เคยหยุดพยายามที่จะส่งผ่านความตั้งใจดีไปให้เธอปานตะวันใช้เวลานั้นทบทวนสิ่งต่างๆ อย่างหนัก เธอพยายามแยกแยะความรู้สึกของตัวเองว่าเป็นความรัก ความโกรธ หรือแค่ความกลัวที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งคืนหนึ่ง ปานตะวันนั่งอยู่ริมชายหาดลำพัง เธอทอดสายตามองดวงดาวที่สะท้อนบนผืนน้ำ ในใจมีคำถามมากมายที่ยังไม่ได้คำตอบ เสียงฝีเท้าดังแผ่วเบา เธอไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่าเป็นใคร“เธออยากอยู่คนเดียวหรือเปล่า?” โลกันต์ถามอย่างสุภาพ เขายืนนิ่งไม่กล้าเข้าไปใกล้“นั่งสิ” เธอตอบเรียบๆ โดยไม่หันมามองโลกันต์นั่งลงข้างๆ เธอ แต่เว้นระยะห่างเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เธออึดอัด“วันนี้ทะเลดูสงบดีนะ” โลกันต์พูดเพื่อทำลายความเงียบ“ใช่...” ปานตะวันตอบสั้นๆทั้งคู่เงียบไปอีกพักใหญ่ โลกันต์หันไปมองใบหน้าของปานตะวันที่ดูนิ่งสงบ เขาอยากถามหลายอย่าง แต่ก็เลือกที่จะรอให้เธอเป็นฝ่ายเริ่มก่อน“ฉันไม่รู้ว่าฉันควรทำยังไง”
หลายเดือนผ่านไป ปานตะวันที่ดูเหมือนจะต่อต้านเขาน้อยลง นั่นเป็นสัญญาณที่ดี ที่แสดงให้เห็นว่าเธอเริ่มที่จะใจอ่อนลงแล้ว โลกันต์ตัดสินใจบางอย่างที่ทำให้เขานั่งไม่ติดตั้งแต่เช้ามืด เขาตื่นขึ้นมาพร้อมแผนการที่คิดไว้ตลอดทั้งคืน ก่อนจะเดินตรงไปยังบ้านของปานตะวันที่อยู่ปลายหมู่บ้าน“ฉันต้องทำสำเร็จ ครั้งนี้ต้องทำให้ได้...” โลกันต์พึมพำกับตัวเองขณะเดินเมื่อไปถึงหน้าบ้านของปานตะวัน เขาเคาะประตูเบาๆ เพื่อไม่ให้ดูรีบร้อนเกินไป แต่ไม่มีใครตอบ เขาเลยลองอีกครั้ง“ปาน...” โลกันต์เรียกชื่อเธอเสียงเบาไม่นานนัก ปานตะวันก็เปิดประตูออกมา เธอสวมเสื้อยืดตัวใหญ่กับกางเกงขาสั้นของคนท้อง สายตาของเธอดูไม่แปลกใจที่เห็นเขา“มีธุระอะไรคะ?” เธอถามเสียงเรียบ“ฉันแค่...” โลกันต์สูดลมหายใจลึก พยายามควบคุมอารมณ์ “ฉันอยากคุยกับเธอจริงๆ อยากบอกดับเธอเป็นครั้งสุดท้าย ขอเวลาหน่อยได้ไหมปาน”“ครั้งสุดท้าย?” ปานตะวันเลิกคิ้ว“ใช่...” โลกันต์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ถ้าเธอฟังสิ่งที่ฉันพูดวันนี้ แล้วคิดว่าฉันไม่ควรอยู่ที่นี่อีก ฉันจะกลับกรุงเทพฯ และจะไม่รบกวนเธออีก จะไม่มาให้เห็นหน้าอีกต่อไป”ปานตะวันนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะกอดอกแ
โลกันต์ยังคงใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านชาวประมงแห่งนั้น เขาเรียนรู้วิถีชีวิตที่ไม่เคยคุ้นเคยมาก่อน ตั้งแต่การตื่นแต่เช้ามืดไปช่วยชาวประมงลากอวน การปีนขึ้นต้นมะพร้าวเพื่อเก็บลูกสดๆ ไปจนถึงการแบกถังน้ำจากบ่อน้ำมาใช้ในบ้านพักที่เขาเช่าอยู่ ทุกวันผ่านไปอย่างลำบาก แต่โลกันต์ไม่ปริปากบ่นเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะเขามีเป้าหมายเดียวในใจ คือการทำให้ปานตะวันเห็นว่าเขาจริงจังกับการเปลี่ยนแปลงตัวเอง@เช้าวันหนึ่งโลกันต์ยืนอยู่หน้าบ้านไม้ยกพื้นของปานตะวัน เขารวบรวมความกล้าก่อนจะตะโกนเรียกเธอด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจน“ปาน! ปานตะวัน! อยู่ไหม?”ปานตะวันกำลังจัดดอกไม้ในห้องครัว เสียงของโลกันต์ทำให้มือเธอชะงักไปครู่หนึ่ง เธอถอนหายใจหนักแล้วเดินออกไปที่หน้าต่างมองลงมาเห็นเขายืนอยู่พร้อมกับถุงของฝากใบใหญ่ในมือ“คุณมาทำอะไรที่นี่?” ปานตะวันถามเสียงเรียบ ดวงตาเย็นชาของเธอมองเขาราวกับคนแปลกหน้า“ฉันเอาของมาฝาก เป็นปลาทูที่ฉันช่วยชาวบ้านจับมาได้สดๆ กับมือ” โลกันต์ตอบพร้อมยื่นถุงของฝากขึ้น“ฉันไม่ได้ขอ” เธอตอบกลับทันที “แล้วก็ไม่จำเป็นต้องเอาอะไรมาให้”“ฉันไม่ได้ต้องการอะไรตอบแทน ฉันแค่อยากให้เธอรู้ว่าฉัน...เปลี่ยนไปแ
โลกันต์ตื่นขึ้นมาในเช้าตรู่เหมือนทุกวันในช่วงเดือนที่ผ่านมา เขาตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่ที่หมู่บ้านเล็กๆ ริมทะเลทางภาคใต้ของประเทศไทย เขาได้เช่าบ้านไม้หลังเล็กๆ ใกล้ชายหาด และตั้งใจทำงานทุกอย่างที่ชาวบ้านทำ แม้ร่างกายจะอ่อนล้าเพียงใด แต่ความหวังเพียงเล็กน้อยที่ปานตะวันอาจยอมให้อภัย ก็เป็นพลังที่ผลักดันให้เขาก้าวเดินต่อไปในเช้าวันนี้โลกันต์ได้รับคำชวนจากลุงประจวบ ชาวประมงผู้มีประสบการณ์ยาวนานในหมู่บ้าน ให้ไปช่วยลากอวนจับปลาในทะเล ช่วงนี้เป็นฤดูที่ปลาชุม โลกันต์รู้ดีว่างานนี้ไม่ใช่งานง่าย เพราะเขาต้องออกเรือไปในทะเลลึกพร้อมทีมชาวประมง และต้องใช้แรงกายอย่างมหาศาลในการลากอวนที่หนักอึ้งกลับขึ้นมาบนเรือ แต่เขาไม่ลังเลที่จะตอบรับ"ลุงครับ ผมพร้อมแล้วครับ" โลกันต์พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ขณะที่เขายืนรออยู่ที่ท่าเรือในยามฟ้าสาง ลุงประจวบมองชายหนุ่มที่ครั้งหนึ่งเคยดูเหมือนคนเมืองที่ไม่ยอมลำบาก แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นคนที่ทำงานหนักเหมือนชาวบ้าน"ถ้าพร้อมก็ขึ้นเรือเลยพ่อหนุ่ม งานนี้เหนื่อยแน่ แต่ถ้าได้ปลามาเยอะก็คุ้ม" ลุงประจวบตอบพร้อมหัวเราะเบาๆเมื่อเรือแล่นออกไปกลางทะเล โลกันต์ได้เรียนรู้วิธีการใช้ชี