ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูห้องทำงานดังขึ้นก่อนจะปรากฏร่างของชายหญิงคู่หนึ่งเดินเข้ามาภายในห้องทำงาน หญิงสาวใบหน้าใสมองไปยังแผ่นหลังของผู้ชายที่เธอคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี "คุณนิต้า มาแล้วครับนาย"คนยืนชมวิวทิวทัศน์ตรงหน้าหมุนตัวกลับมาเผชิญกับพยานสำคัญของข่าวดังในตอนนี้ นิต้า เพื่อนรักและผู้จัดการคนสนิทของแฟนสาวที่กำลังจะกลายเป็นอดีต "เชิญนั่งก่อนครับคุณนิต้า" "ขอบคุณค่ะ"ทั้งสองหย่อนกายนั่งลงบนเก้าอี้ เลขาคนสำคัญรู้หน้าที่รีบเดินออกไปเพื่อให้ความเป็นส่วนตัวกับเจ้านายและแขก "เข้าเรื่องกับเลยดีกว่านะครับผมมีเวลาไม่มาก ผมอยากจะถามคุณนิต้าว่า ตลอดเวลาที่ผมคบกับรุ้งเธอมีคนอื่นนอกจากผมใช่ไหมครับ"คนถูกถามถึงกับเหงื่อแตกพลั่ก แม้จะทำใจมาบ้างในการตอบคำถามกับเรื่องนี้ แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่คิดจะอ้อมค้อมยิงคำถามพุ่งตรงโดยทันทีมันก็ทำเอาเธอไปไม่เป็นเหมือนกัน จนต้องรวบรวมสมาธิอยู่นานจึงจะเอ่ยตอบความจริงออกไป เพราะไม่อยากให้คนตรงหน้าต้องมาเสียใจและคิดว่าตัวเองเป็นสัตว์อะไรให้ม่านรุ้งหลอกอีกต่อไป "มันไม่ใช่ระยะเวลาที่รุ้งนอกใจตอนคบกับคุณหรอกนะคะ ก่อนหน้านั้นไม่ว่ามีผู้ชายคนไหนเข้ามารุ้งก็พร้อมที
มุมปากถึงกับมีเลือดไหลซึมเมื่อจอฝ่ามือเล็กฟาดหนัก ๆ ลงบนใบหน้า แรงเหวี่ยงอย่างสุดกำลังทำเอาถึงขั้นหน้าชาไปทั้งแถบก่อนจะแปลเปลี่ยนเป็นความเจ็บ ดวงตาคมเข้มตวัดหันไปมองหญิงสาวด้วยความดุดัน เธอนั้นคงจะจำไม่ได้ว่าเขาเคยบอกกับเธอว่ายังไง 'ไม่มีผู้หญิงคนไหนกล้าตบเขา เธอคือผู้หญิงคนแรก' "เลิกดูถูกคนอื่นเขาเสียที คุณมันก็ดีแต่โทษคนอื่นเขา หัดมองตัวเองเสียบ้าง"ดวงตาคมกริบของปิ่นมุกฉายแววเอาเรื่อง เธอผิดเองที่คิดว่าเขาจะกลับตัวกลับใจและคิดได้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่ไม่เลยทุกอย่างมันยังคงเหมือนเดิม ยังคงเป็นผู้ชายโง่เง่าคนหนึ่ง "บอกให้ผมมองดูตัวเอง ทีคุณล่ะปิ่น ต่อหน้าผม ต่อหน้าคุณแม่คุณทำเหมือนกับเป็นภรรยาและลูกสะใภ้ที่ดี แต่พอลับหลังคุณก็แอบไปนัดเจอกับไอ้ภูผากิ๊กเก่าของคุณ หึ อย่านึกว่าผมโง่จนตามมารยาผู้หญิงแบบคุณไม่ทัน"เรื่องนี้มันชักจะไปกันใหญ่ นี่เขาเอาสมองส่วนไหนมาคิดว่าเธอจะสวมเขาให้เหมือนกับม่านรุ้ง สมองของเขายังคงปกติดีอยู่หรือเปล่าตลอดเวลาร่วมเดือนเขาไม่เคยมองเห็นในการกระทำของเธอเลยหรือ "ฉันไม่รู้นะคะว่าสาเหตุอะไรทำให้คุณพูดจาดูถูกฉันได้ถึงขนาดนี้ แต่ฉันขอบอกให้คุณรู้ไว้เลยว่า ฉันกับคุณภ
"หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ อย่ามาทำอะไรบ้า ๆ แบบนี้กับปิ่นนะคะคุณขุนเขา"คนตัวเล็กร้องห้ามเสียงหลงเมื่อถูกฝ่ามือใหญ่ของชายหนุ่มฉีกกระชากชุดสวยของเธอจนขาดวิ่น "เก็บเสียงไว้ร้องครางชื่อของผัวดีกว่านะครับ เมีย"บราเชียร์รวมถึงซับในลายลูกไม้ตัวบางถูกกระชากออกจากร่างไม่ต่างกัน ชุดสวยรวมถึงชุดชั้นในถูกเขวี้ยงลงบนพื้นอย่างไร้ทิศทาง แขนเล็กทั้งสองข้างถูกจับตรึงลงกับบนที่นอน อกอวบอิ่มลอยเด่นยั่วยวนสายตาอยู่ตรงหน้า ขุนเขาถึงกับสายตาพร่ากลืนน้ำลายเหนียวลงคอด้วยความยากลำบาก สายตาเลื่อนลงมองต่ำน้องสาวของปิ่นมุกนั้นมันช่างดูงดงามทำเอาเขาอยากจะสัมผัสมันอย่างโดยเร็ว "ปล่อยปิ่นไปเถอะนะคะคุณขุนเขา ปิ่นยอมหย่ากับคุณก็ได้ขอแค่อย่างเดียว ขอแค่คุณปล่อยปิ่นไปก็เท่านั้น"แววตาสั่นเครือมองใบหน้าฟ้าประทานของคนด้านบน ความกลัวมันทำให้ปิ่นมุกต้องหยิบยกเรื่องหย่าขึ้นมาต่อรองเพื่อหวังว่าเขาจะปล่อยเธอไป แต่เหมือนกับว่าการหยิบยกเรื่องหย่าขึ้นมาต่อรองนั้นมันจะไม่ได้ผล แต่ผลของการพูดนั้นมันไม่ต่างอะไรกับราดน้ำมันลงบนเชื้อไฟ "คิดจะหย่ากับผมแล้วไปมีความสุขกับไอ้ภูผาใช่ไหม ห๊ะ อย่าหวังเลยปิ่นว่าคุณจะได้ไปมีความสุขกับมัน"ดวงตาดุจ
เส้นพรหมจรรย์ขาดสะบั้นเมื่อแก่นกายขนาดใหญ่แทรกผ่าน ความเจ็บปวดนั้นทำเอาน้ำตาสีใสไหลริน เลือดสีแดงสดไหลออกมาจากช่องทางรักเป็นทางยาวหยดลงบนที่นอนสีขาว ความปวดร้าวไปทั่วทั้งตัวมันยากเกินกว่าที่จะรับได้ "ฮึก ขุนเขาคุณมันเลว" "ปิ่น อย่าร้องผมขอโทษ ผมไม่นึกว่าคุณจะยัง"คำพูดสุดท้ายได้ถูกกลืนลงคอไป ไม่นึกเลยว่าผู้หญิงที่มีอายุย่างเข้าใกล้เลขสามจะยังคงรักษาสิ่งมีค่าของตัวเองเอาไว้อยู่ สิ่งที่เขาทำไปมันก่อเกิดความรู้สึกผิดเกาะกินหัวใจแต่กว่าจะคิดได้มันก็สายเกินไป สายเกินไปแล้วจริง ๆ "ฉันไม่ได้ใจง่าย รู้เอาไว้เสียด้วย"ประโยคคำพูดนั้นกระแทกเข้าใส่หน้าคนฟังเข้าอย่างจัง เขายอมรับว่าเห็นแก่ตัว ความเสียใจจากแฟนสาวบวกด้วยกับความโมโหที่เห็นภาพของภรรยาสาวไปกับชายอื่น ความคิดชั่วร้ายเล่นพุ่งเข้าสู่สมองคิดว่าทั้งสองจะมีนิสัยเหมือนกัน แต่เมื่อได้สัมผัสแล้วนั้นมันช่างแตกต่างราวฟ้ากับเหว อีกคนบริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่อีกคนกลับ ทำตัวเหมือนลำยองเข้าทุกวัน "ผมขอโทษนะปิ่น แต่จะให้ผมหยุดเรื่องทุกอย่างเอาไว้เพียงเท่านี้เห็นทีผมคงจะทำไม่ได้" "ถ้าคุณหยุดไม่ได้ก็เชิญทำต่อให้เสร็จเถอะค่ะ คิดเสียว่าปิ่นเป็นเพียงแค่ตุ
"รถคุณเสียใช่ไหมปิ่น วันนี้ไปทำงานกับผมนะ" "อาหารเช้าอร่อย ๆ สำหรับภรรยาคนสวยของผมมาแล้วครับ" "ปิ่น วันนี้ผมซื้อขนมกับผลไม้เจ้าอร่อยมาฝากคุณด้วยนะ" "วันนี้มีแซนด์วิชทูน่าแบบที่คุณชอบด้วยนะปิ่น อย่าลืมทานให้หมดนะ ผมทำมันเองกับมือเลย" "เหนื่อยไหมปิ่นทำงานวันนี้ มาเดี๋ยวผมนวดให้คุณจะได้หายเหนื่อย" "วันนี้อากาศหนาวกว่าทุกวันผมทำนมอุ่น ๆ มาให้ปิ่นได้ดื่มจะได้หลับสบาย" "ปิ่น หายโกรธผมเถอะนะครับคนดี ผมผิดไปแล้ว หายโกรธผมได้แล้วนะครับ" ประโยคเหล่านี้ถูกพูดซ้ำ ๆ จนแทบทุกวัน เพราะหลังจากคืนวันนั้น ปิ่นมุกก็ไม่เอ่ยปากพูดอะไรกับขุนเขาเลย เธอเพิกเฉย ไม่มองหน้า ไม่สบตา เอาแต่หลบหลีกหนีหน้าจนถึงขั้นแยกห้องกันนอน สิ่งที่เธอเคยทำให้มันกลับกลายเป็นว่างเปล่า อาหารมื้อเช้า รวมตลอดจนอาหารว่างมันไม่มีวางอยู่ที่เดิม ชุดสูทที่ใส่ทำงานก็มีพวกแม่บ้านคอยจัดการให้ แปรงสีฟันยังคงอยู่ในแก้วเช่นดังเดิม ชีวิตของเขาไม่ต่างอะไรกับตอนที่ยังไม่มีปิ่นมุกเข้ามาในชีวิต ถึงแม้อยู่ในบ้านหลังเดียวกัน อยู่ห้องติดกันเขาก็เปรียบเสมือนทาสอากาศที่อีกฝ่ายไม่เห็น ถึงเห็นปิ่นมุกก็เลือกที่จะมองผ่าน เวลาอาหารเย็นแม้จะนั่งทานกันอ
ปั้ง "ผมไม่หย่า"ฝ่ามือใหญ่ทุบลงบนโต๊ะทานข้าว สายตาจ้องมองไปยังภรรยาสาวที่กำลังนั่งจิบกาแฟอย่างสบายใจ เมื่อวานหลังจากเธอวางระเบิดลูกใหญ่เอาไว้ทำเอาเขากินไม่ได้นอนไม่หลับกันเลยทีเดียว ตลอดเวลาทั้งคืนเขาเอาแต่นึกถึงคำพูดเธอ ทั้งเรื่องเพื่อนและไหนจะเรื่องการหย่า "นั้นมันเป็นสิทธิ์ของคุณค่ะ ว่าจะหย่าหรือไม่หย่า แต่สำหรับปิ่น ปิ่นต้องการหย่า" "ทำไมห๊ะปิ่น ทำไมคุณถึงต้องการอยากที่จะหย่ากับผมด้วย" "ยังต้องให้ปิ่นสาธยายอีกเหรอคะ ว่าทำไมปิ่นถึงต้องการที่จะหย่ากับคุณ"แก้วกาแฟเคลือบด้วยกระเบื้องเซรามิกวางลงบนจานรองอย่างแผ่วเบาดั่งมาดผู้ดี รอยยิ้มเล็ก ๆ ประดับอยู่ตรงมุมปากหยักเมื่อได้เห็นสามีหัวฟันหัวเวียงดังหนูติดจั่น "เรื่องที่แล้วมาผมขอโทษ ปิ่นอย่าโกรธผมเลยนะครับ"น้ำเสียงออดอ้อน และสายตาอ้อนวอนของขุนเขานั้นมันไม่ทำให้คนมองสงสารหรือเห็นใจเลยสักนิด แต่กลับกันเธออยากจะถวายฝ่ามือหนัก ๆ ฟาดลงบนใบหน้าขาว ของเขาเสียมากกว่า "คุณต้องการให้ปิ่นหาย โกรธคุณใช่ไหมคะ"แววตาเจ้าเล่ห์จ้องมองไปยังใบหน้าฟ้าประทานของคนเป็นสามี มุมปากสวยระบายยิ้มออกมาทำเอาขุนเขาถึงกับใจสั่น "หย่ากับปิ่นสิคะ แล้วปิ่นจะหายโกรธ
ภาพของสองชายหญิงที่ยืนกอดกันกลมด้วยความคิดถึงอยู่หน้าโรงแรมชื่อดัง ถูกบันทึกด้วยกล้องถ่ายรูปรุ่นทันสมัย ภาพของคนทั้งสองเดินเข้าไปนั่งภายในรถก่อนจะขับออกไปก็ถูกบันทึกเก็บไว้โดยเช่นกัน "ที่นี่บรรยากาศยังดีไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ"ดวงตาสีอำพันกวาดมองไปทัศนียภาพเมืองหลวงของประเทศไทย กลิ่นอายความสวยงามมันยังคงเหมือนเดิมทุกครั้งเวลาที่เขามาเยือนประเทศนี้ "แล้วนี่คิดเอาไว้บ้างแล้วหรือยังว่าจะเที่ยวที่ไหนบ้าง" "ยังเลย ไอยังไม่ได้ทันคิดอะไร ไอว่าจะไปเที่ยวที่ไหนดี มาครั้งก่อนก็ยังก็ยังเที่ยวไม่ทั่วเลย ครั้งนี้ไอเลยจะให้ยูช่วยเป็นไกด์พาไอเที่ยว"โนอาห์ ชายหนุ่มนัยน์ตาสีอำพันกล่าวออกมาด้วยความสนุก นัยน์ตาแวววาวประกายดั่งไข่มุก ความสนุกและน้ำเสียงหัวเราะมันอดที่จะทำให้ปิ่นมุกหัวเราะตามเสียไม่ได้ ความเครียดถูกลืมหายไปชั่วขณะเมื่อได้มาพบปะพูดคุยกับเพื่อนสมัยเรียนอยู่ที่ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โนอาห์ ชายหนุ่มนัยน์ตาสีอำพันผู้ที่มีใบหน้าหล่อเหลา มีความอารมณ์ดีและขี้เล่นสร้างความหัวเพราะให้กันเธอได้เสมอ ทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทชนิดที่ว่ารู้ไส้รู้พุง สามารถเล่าเรื่องส่วนตัวให้อีกฝ่ายฟังได้โดยไม่ต้องกลัวว่า
แววตาดุดันคล้ายต้องการสังหารคนจ้องมองรูปหญิงชายกำลังนั่งทานข้าวเช้าด้วยกันภายในร้านอาหารอย่างมีความสุข รอยยิ้มหวานปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคนเป็นภรรยายามเมื่อได้อยู่กับใครอีกคน ต่างจากเขาแม้แต่หน้าเธอก็ยังไม่อยากจะมอง ฝ่ามือใหญ่กำโทรศัพท์เอาไว้แน่น ในใจตอนนี้นั้นมันชั่งร้อนรุ่มดั่งมีไฟสุมอยู่"คอยจับตาดูคุณปิ่นเอาไว้ มีอะไรรีบมารายงานฉันด่วน""ครับนาย"น้ำเสียงเหี้ยมเอ่ยสั่งลูกน้องผ่านสายโทรศัพท์ นัยน์ตาดำสนิทกราดเกรี้ยวทันทีเมื่อรู้ว่าภรรยาของตัวเองไปรับชายคนอื่นที่แอบอ้างว่าเป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่เช้าตรู่ "คุณอย่าพยายามให้ผมต้องใจร้ายกับคุณอีกเลยนะปิ่น"เขาไม่อยากที่จะแสดงความเลวทรามของตัวเองออกมาแสดงให้เธอเห็น เพราะเขาอยากจะให้เธอจดจำในสิ่งดี ๆ เพราะตอนนี้เขาเริ่มรู้ใจของตัวเองแล้วว่าเวลาที่ปิ่นมุกยิ้มมามันทำให้หัวใจของเขาเต้นสั่นแรงขนาดไหน นี่คงเป็นอาการของคนเริ่มจะรักใครสินะ เวลาที่ได้อยู่ใกล้ใจมันก็เริ่มสั่นจนแทบจะเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่ และยิ่งมาเห็นเธออยู่กับใครคนอื่นมันยิ่งทำให้เขาอยากจะกระทืบผู้ชายพวกนั้น ส่วนเรื่องในอดีตระหว่างเขากับม่านรุ้ง ความทรงจำเหล่านั้นเขาจะพยายามลืมมันให้หมด
"พี่จัดการตามที่เห็นสมควรได้เลยครับ" "แกไม่ติดใจอะไรกับผู้หญิงคนนั้นแล้วแน่นะ"ปลายสายถามอย่างต้องการความแน่ใจ "หึ ไม่แล้วล่ะครับ ผู้หญิงแบบนั้นผมคงไม่เหลือแม้แต่ความเป็นเพื่อนร่วมโลกแล้วล่ะครับ"นัยน์ตาอ่อนแสงมองแผ่นหลังขาวนวลของผู้เป็นภรรยา ริมฝีปากหยักหนาขยับพูดกับคนในที่อยู่ในสายด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งไร้ความรู้สึก "แกใจเด็ดมากเลยรู้ไหมขุนเขา ฉันล่ะยอมรับในตัวของแกจริง ๆ " "อะไรที่ทำให้พี่คิดแบบนั้นครับ"ดวงตาคมกริบยังคงทอดมองไปยังร่างอุ้ยอ้ายของภรรยาที่กำลังอุ้มท้องลูกชายวัยเจ็ดเดือนของเขาอยู่ ใบหน้าสวยของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้มหวานเมื่อได้ออกมาเที่ยวพักผ่อนหลังจากนอนอุดอู้อยู่แต่บ้านเพราะด้วยอาการแพ้ท้องมาหลายเดือน สองเท้าเรียวเล็กถูกสวมด้วยรองเท้าแตะสีเดียวเข้ากับชุดคลุมสีขาวเดินก้าวไปตามหาดทายสีขาว ด้านหน้าของเธอนั้นคือท้องทะเลสีครามกับบรรยากาศในช่วงเย็น และอีกไม่กี่นาทีดวงตะวันก็คงจะลาลับขอบฟ้าก่อนจะเปลี่ยนท้องฟ้าให้เป็นแสงจันทราแทน "ไม่รู้สิ แต่ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นก็คงยังมีความรู้สึกดี ๆ หลงเหลือให้กับแฟนเก่าอยู่บ้าง" "ความรู้สึกพวกนั้นมันตายจากผมไปหมดแล้วครับ ตั้งแต่เรื่องที่เ
ความเงียบยังคงปกคลุมภายในห้องรับแขกเมื่อทั้งสองครอบครัวต่างนั่งมองหน้าสบตากันด้วยความหนักใจ เห็นแต่จะมีเพียงขุนเขาคนเดียวที่นั่งกระสับกระส่ายอย่างคนร้อนรุ่มอยู่ในใจ "ทุกคนเงียบกันทำไมครับ ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่มีความคิดที่จะหย่ากับปิ่นเลยสักนิด ทุกคนก็รู้ ปิ่นเองก็รู้ดีว่าผมรักปิ่น"แววตาของเขาฉายแววแน่วแน่ยามเมื่อลอบมองเธอ "ขุนเขา ใจเย็น ๆ แล้วฟังหนูปิ่นพูดก่อนนะลูก" "เมียกำลังจะขอหย่าจะให้ผมใจเย็นได้ยังไงครับแม่"คุณหญิงกิ่งกาญจน์ถึงกับมีสีหน้าหนักใจ ไม่รู้วันนี้ลูกชายของตัวเองไปกินอะไรผิดสำแดงมา ถึงค้านหัวชนฝาไม่ฟังความอะไรเลย "ไอ้ขุน พ่อว่าแกใจเย็น ๆ ตามที่แม่แกบอกก่อนนะ แกเงียบปากให้หนูปิ่นได้พูดอะไรบ้าง แกเอาแต่แหกปากโวยวายแล้วหนูปิ่นจะมีโอกาสพูดได้อย่างไร" "พ่อไม่เป็นผมพ่อไม่เข้าใจหรอกว่าการที่จะต้องถูกเมียทิ้งมันเจ็บปวดขนาดไหน" "เห้อ อาการหนักแล้วลูกกู"เจ้าสัวรังสิมันต์ถึงกับถอนหายใจออกมาพร้อมกับส่ายหน้าอย่างเอือมระอากับการคิดเองเออเองของเจ้าลูกชาย "ขุนเขาลูก นั่งลงก่อนนะคะเด็กดี"คำพูดเปรียบดั่งสายน้ำเย็นเฉียบของคุณหญิงเพียงเพ็ญทำเอาคนเจ้าอารมณ์เริ่มสงบนิ่งลง เธอรู้ดีว่าการ
คำบอกรักในคืนวันนั้นก่อเกิดเป็นความรักอันแสนเปี่ยมล้นในวันนี้ ช่วงเวลาชั่งพัดผ่านไปเร็วเสียจริง ๆ แต่ก็นั่นเถอะความรักของทั้งเขาและเธอก็ยังคงมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง ความกังวลหายไปจากใจเมื่อความรู้สึกของทั้งสองฝ่ายถูกเปิดเผยกันออกมาอย่างหมดเปลือก ความรู้สึกของทั้งคู่ที่คิดตรงต่อกันนั้นมันทำให้ทั้งสองเปิดใจศึกษาเรียนรู้การใช้ชีวิตคู่มากยิ่งขึ้น ดวงตากลมโตมองแท่งสีขาวที่อยู่ในมือ ไออุ่นไร้รูปร่างที่ไม่อาจจะบรรยายได้เอ่อล้นขึ้นมาเติมหัวใจทีละเล็ก ขีดสีแดงสองขีดนั้นมันทำให้คนที่กำลังจะได้เป็นแม่ถึงกับน้ำตาเอ่อคลอ ฝ่ามือเรียวเล็กอันสั่นเทาค่อย ๆ ยกขึ้นมาวางนาบบนหน้าท้องแบบราบซึ่งตอนนี้กำลังมีเจ้าก้อนความรักของเธออยู่ในนั้น หลังจากความเลวร้ายผ่านพ้นไป ชีวิตเธอก็เปรียบเหมือนเจ้าหญิงในนิยายที่มีเจ้าชายคอยดูแลเป็นอย่างดี ใครเล่าจะคิดว่าผู้ชายไม่เอาไหนอย่างขุนเขา จะเข้าไปบริหารงานในบริษัทจนทำให้ตอนนี้ตนเองเป็นที่ยอมรับของคณะกรรมการและผู้บริหารคนอื่น ๆ เมื่อเขาสามารถทำให้มูลค่าของกำไรไตรมาสของปีนี้เพิ่มขึ้นได้อีกเท่าตัว นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง สร้างความภูมิใจให้กับเจ้าสัวรังสิมันต์แ
"นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ห้ะ แล้วนี่พี่มาเมืองไทยเมื่อไหร่ทำไมไม่บอกผม"ฝ่ามือหนายกขึ้นมาเท้าสะเอว น้ำเสียงติดเข้มเอ่ยถามลูกพี่ลูกน้องของตัวเองที่ยืนเก๊กหล่อจิบเหล้าอย่างสบายใจ "ก็แค่มาพักผ่อน อีกสองสามวันเดี๋ยวก็กลับ" "อย่ามาโกหก คนที่มีงานกองเป็นภูเขาจนท่วมหัวอย่างพี่น่ะหรือจะมีเวลามาพักผ่อน"ดวงตาคมกริบมองพี่ชายด้วยสายตาจับผิด คนอย่างเซบาสเตียนเจ้าพ่อมาเฟียนะหรือมีเวลาว่างมาพักผ่อนถึงเมืองไทย ใครจะไปเชื่อลง "ตั้งแต่มีเมียรู้สึกว่าแกฉลาดมากขึ้นเลยนะขุนเขา" "นี่พี่คงไม่กำลังหลอกด่าผมอยู่ใช่หรือเปล่า" "ก็แล้วแต่แกจะคิด"เซบาสเตียนยกไหล่ทั้งสองข้าง ฝ่าเท้าใหญ่ก้าวมายังโซฟาสีขาวตรงกลางห้อง ร่างกำยำกระแทกตัวนั่งลงจิบเหล้าในแก้วอย่างสบายใจ ต่างจากน้องชายอีกคนที่ยืนมองเขาหน้าตูม "พี่ใช่ไหมที่เป็นคนส่งข้อความบ้า ๆ นั่นไปหาผม" "ใช่ ฉันเป็นคนส่งไปเอง"คำตอบของเซบาสเตียนทำเอาอารมณ์ของขุนเขาเดือดพล่าน ขายาว ๆ ทั้งสองข้างก้าวมาหยุดยืนอยู่ด้านหน้าด้วยสายตาโกรธเคืองอย่างถึงขีดสุด มือที่ถือปืนถึงกับเกิดอาการสั่นจนทำเขาต้องควบคุมมันเอาไว้ "แล้วตอนนี้เมียผมอยู่ที่ไหน พี่ได้ทำอะไรเธอหรือเปล่า" "แ
"พวกโง่ แค่เมียกูคนเดียวยังไม่มีปัญญาหาเจอ"ใบหน้าสง่างามของขุนเขาเต็มไปด้วยความดุร้าย แววตาเกรี้ยวกราดกวาดมองลูกน้องของตัวเองที่เรียงแถวยืนก้มหน้าไม่กล้าสบสายตา ภายในห้องรับแขกชั่งร้อนระอุดังกับมีเปลวเพลิงสุมอยู่ เหล่าลูกน้องแทบจะก้มหน้าจนติดกับพื้น เมื่อเจ้านายตัวเองมองพวกเขาราวกับจะฉีกออกเป็นชิ้น ๆ "พวกผมขอโทษครับนาย แต่แถวนั้นมืดมากเราไม่สามารถเห็นรถต้องสงสัยหรือว่าสิ่งที่น่าเป็นพิรุธได้เลยครับ" "ดึกแบบนั้นมันจะมีรถกี่คันวิ่งออกจากโรงแรมล่ะไอ้พวกโง่ ไปเลยนะพวกมึงไปตามหาตัวของเมียกูให้เจอ ถ้าพวกมึงไม่เจอก็อย่ากลับมาให้กูเห็นหน้าอีก"สีหน้าดุร้ายราวกับจะกินเลือดกินเนื้อของเราลูกน้อง ทำเอาการ์ดนับสิบต้องรีบวิ่งออกไปจากห้องรับแขก "ไอ้พวกโง่"ร่างหนาใหญ่กระแทกตัวลงนั่งลงบนโซฟาอย่างกลัดกลุ้มใจ เพราะไม่รู้ว่าเมียของเขาหายตัวไปไหน เดินกลับมาที่รถก็เห็นข้าวของมากมายหล่นกระจายอยู่ข้างรถ ไร้วี่แววของคนเป็นภรรยา ในใจมันร้อนรุ่มกลัวว่าอีกคนจะเป็นอะไรหรือจะได้รับอันตราย จนต้องเกณฑ์ลูกน้องออกตามหา แต่มันก็ช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน เพราะมุมจอดรถของเขากล้องวงจรปิดดันมาเสีย แถมลานจอดรถตอนนั้นยังไร้
ย้อนกลับไป ยามรุ่งเช้าของวันเดียวกัน ณ โกดังท่าเรือส่งสินค้า ของ ตระกูล สุริยะศิวา ซ่า น้ำสีขุนถังใหญ่ถูกสาดลงไปบนร่างเย้ายวนของคนหลับใหลอยู่บนพื้น ความเย็นบวกกับกลิ่นเหม็นทำให้คนที่นอนหลับอยู่สะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ กรี๊ด "อ๊าย นี่มันอะไรกับเนี่ย ไอ้พวกบ้าพวกแกเล่นอะไรกัน"เสียงกรีดร้องโวยวายตามเมื่อได้ลืมตาตื่น ร่างเปียกปอนลุกขึ้นนั่งด้วยความยากลำบากเพราะว่ามือทั้งสองข้างถูกจับไขว้หลังมัดติดกันเอาไว้ กรี๊ด "นี่มันอะไรกัน พวกแกมันฉันไว้ทำไม แก้มัดฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ"น้ำเสียงเกรี้ยวกราดตวาดใส่ชายชุดดำร่างใหญ่ ซึ่งเธอจำได้ว่าคนพวกนี้เป็นลูกน้องของเซบาสเตียน "เซบาสเตียน คุณอยู่ที่ไหน ออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ"นี่เขาต้องการเล่นบ้าอะไรกันทั้งที่ตกลงกันไว้แล้วว่าหลังจากได้ตัวของปิ่นมุกก็จะปล่อยเธอไป "จะเสียงดังไปทำไมกัน ไม่เจ็บคอหรือไง" "นี่คุณกำลังเล่นตลกอะไรกับฉันอยู่ แก้มัดฉันเดี๋ยวนี้เลยนะเซบาสเตียน"ดวงตาดุร้ายจ้องมองไปยังชายร่างกำยำที่เดินออกมาจากมุมมืด แววตาดุร้ายแฝงไปด้วยความอำมหิตโหดเหี้ยมมันทำให้คนแหกปากร้องในตอนแรกสะดุ้งด้วยความหวาดกลัว แววตานี้มันเหมือนกับแววตาที่เขาให้มอ
เปลือกตาอันแสนหนักอึ้งค่อย ๆ เปิดขึ้นหลังจากหลับใหลมาร่วมหลายชั่วโมง ความเจ็บตรงบริเวณท้ายทอยทำให้เปลือกตาบางต้องปิดลงอีกครั้งก่อนจะเปิดขึ้น เพดานขาวสะอาดตา คือสิ่งแรกยามเมื่อเปิดเปลือกตาเห็น กลิ่นอายภายในห้องนอนของบุรุษเพศมันทำให้เธอต้องดีดตัวลุกขึ้นนั่ง ภายในห้องนอนตกแต่งด้วยสีขาวสะอาดตาแต่ยังคงแฝงไปด้วยความหรูหราชนิดที่ว่าเธอต้องอ้าปากค้าง ริมฝีปากเรียวเล็กขบเม้มเข้าหาสายตากวาดมองไปทั่วทั้งห้อง ที่นี่มันไม่ใช่ห้องของเธอ และมันก็ไม่ใช่ห้องของขุนเขา แล้วนี่มันเป็นห้องของใครกัน ดวงตากลมโตฉายแววสงสัยอย่างปิดไม่มิด เธอจำได้ว่าหลังจากเสร็จงานเธอกำลังเอาของมาเก็บที่รถของขุนเขา แล้วก็โดนชายชุดดำพร้อมกับร่างของม่านรุ้งเข้ามากระชากแขนแล้วหลังจากนั้นก็ไม่สามารถจำอะไรได้อีกเลยทุกอย่างมันดับมืด รู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่ในห้องนอนของใครก็ไม่รู้ แกร๊ก แอด "ตื่นแล้วเหรอคะคุณผู้หญิง"ผู้หญิงในชุดแม่บ้านเดินเข้ามาในห้องนอนอย่างที่ปิ่นมุกไม่ได้ทันตั้งตัว ความกลัวมันทำให้เธอต้องขยับตัวถอนหนีจนแผ่นหลังแนบชิดติดกับหัวเตียง ดวงตากลมโตมองแม่บ้านสาวด้วยความหวาดระแวง "ไม่ต้องกลัวดิฉันหรอกค่ะ ดิฉันไม่มีวันคิ
สายตาฉ่ำหวานทอดมองไปยังชายหนุ่มรูปหล่อ ริมฝีปากกระตุกยิ้มใบหน้าหวานเชิดขึ้นเพราะคิดว่ายังไง ๆ ชายหนุ่มก็คงยังไม่หมดรักเธอ และเขาก็จะกลับมาหาเธอตามที่เคยได้สัญญาเอาไว้ ถึงจะมีข่าวในทางไม่ดีออกมาขุนเขาก็ต้องรับในตัวตนของเธอได้ ใช้มารยาหลอกล่อนิด ๆ หน่อยคนโง่งมงายก็เชื่อคำพูดหวาน ๆ ง่ายดายเหมือนกับอดีตที่แล้วมา 'แต่เธอคงจะลืมไปแล้วว่า กาลเวลาเปลี่ยนไปก็ทำให้ใจคนเปลี่ยนไปเหมือนกัน' "เราไปจากตรงนี้ดีกว่าครับปิ่น ผมได้กลิ่นไม่ค่อยจะดี"ฝ่ามือหนาเอื้อมไปคว้ามือเรียวเล็กกุมเอาไว้ นัยน์ตาสีดำสนิทสาดแววลุ่มลึกจ้องมองหน้าหญิงสาวอีกคนอย่างไร้ความรู้สึกอีกต่อไป "จะรีบไปไหนละคะขุน ไม่ดีใจหรือยังไงคะที่รุ้งกลับมา"สองเท้าบนส้นสูงขนาดห้านิ้วก้าวขายาวไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า นัยน์ตาทอประกายวาววับราวกับไข่มุกกวาดมองไปทั่วทั้งร่างกายกำยำ ฝ่ามือเรียวเล็กหมายจะเอื้อมไปแตะแขนล่ำซำแต่ก็ถูกฝ่ามือใหญ่ปัดออกไป ใบหน้าหล่อเหลาแสดงท่าทีรังเกียจออกมาอย่างเห็นได้ชัด ทำเอาม่านรุ้งถึงกับหน้าซีกเผือก แขกในงานเริ่มหันมามอง ทำเอาม่านรุ้งต้องรีบปรับเปลี่ยนสีหน้าโดยทันที "ไม่เอาสิคะขุน อย่าทำกับรุ้งแบบนี้สิคะ ไม่น่ารักเ
ห้องบอลรูมขนาดใหญ่ถูกออแกไนซ์ชื่อดังเนรมิตงานเปิดตัวเสื้อผ้าคอลเลคชั่นใหม่ออกมาได้ตามความต้องการของผู้จัดงาน ด้านหน้าของงานจะมีหุ่นจำลองโดยมีชุดเสื้อผ้าหลากหลายรูปสวมทับมันเอาไว้ เสื้อผ้าคอลเลคชั่นใหม่ของปีนี้ตอบโจทย์คุณผู้หญิงทุกช่วงวัย มีทั้งของวัยรุ่นทั่วไป วัยทำงาน และปีนี้เธอต้องการวางแผนพุ่งเป้าไปยังเหล่าคุณหญิงคุณนายที่มีอายุแค่ยังคงรักความสวยงาม ไลฟสไตล์เสื้อผ้าของปีนี้เธอจะมีทั้งแนวสาวหวาน และแนวผู้หญิงชอบแต่งตัวลุ๊คเซ็กซี่ยังคงมีความหรูหราแอบแฝง แขกทุกคนต่างมองชุดเหล่านั้นด้วยความสนใจ เพราะทุกครั้งเจ้าของแบรนด์จะออกแบบชุดออกมาอย่างไม่ซ้ำใคร และครั้งนี้เองก็เช่นกัน ปิ่นมุกถือว่าเป็นผู้นำด้านเสื้อผ้าคนหนึ่งของประเทศไทยในตอนนี้ ซึ่งกว่าเธอจะมายืนอยู่ถึง จุดจุดนี่มันไม่ได้ง่าย ต้องผ่านอะไรมามากมายจนบางครั้งเธอรู้สึกเหนื่อย แต่ด้วยใจรักจึงต้องฝ่าฟันอุปสรรคเหล่านั้นจนได้มามีแบรนด์เสื้อผ้าเป็นของตัวเองดั่งทุกวันนี้ 'หนูปิ่นมุกนี่เก็งจังเลยนะ ออกแบบเสื้อผ้าได้สวยเชียว เห็นทีดิฉันต้องไปสมัครเป็นลูกค้าประจำเสียแล้วสิ' 'นั่นสิคะ ดิฉันเห็นแล้วอยากจะกวาดซื้อไปให้หมดเลยค่ะ สวยทุกชุดเลย