Chapter 2
สวัสดีค่ะฉันชื่อม่านหมอก หมอกเหมือนชื่อ ความรักที่มืดมนหม่นหมอง มีรักกับเขาทั้งทีกลับไม่เคยสดใสเลย ได้แต่เก็บความรู้สึกเอาไว้เปิดเผยไม่ได้ และรักเขาข้างเดียวอีกต่างหาก
เฮ้อ! ฉันเป็นคนอีสานเข้ามาหาเรียนที่กรุงเทพฯ ฐานะทางบ้านยากจน พ่อแม่เป็นชาวนา กว่าฉันเรียนจบนาผืนน้อยและวัวที่พ่อเคยมี ก็ขายส่งควายอย่างฉันเรียนเกือบหมด ฉันมีน้องสาว1คนแก่นแก้วแสนซน อายุ8ปี
พอฉันเรียนจบ ภาระทุกอย่างก็ตกมาที่ฉัน ฉันต้องส่งเงินกลับบ้านทุกเดือน หลังจากหักค่าห้องค่ากิน เงินทั้งหมดที่เหลือฉันส่งกลับบ้านหมด
ฉันไม่เคยปริปากบ่น ฉันอยากจะมีเงินส่งกลับบ้านเยอะ ๆ พ่อแม่จะได้สบาย ดีนะที่ฉันเรียนจบ แล้วได้ทำงานกับเพื่อนสนิทที่เรียนมาด้วยกัน และผู้ชายคนนั้นคือปั้นจั่น
ก๊อก! ก๊อก! แกรก!
เสียงเคาะประตูดังถี่ ๆ ตามด้วยเสียงเปิดประตูเข้ามา พี่ปั้นสิบเดินเข้ามาพร้อมกับข้าวของพะรุงพะรัง
“หมอก ไอ้ปั้นจั่นอกแตกตายยังวะ!” พี่ปั้นสิบถามฉัน แล้ววางข้าวของลงบนโต๊ะ
“ไม่ตายก็เหมือนตายแหละพี่ ร้องไห้ฟูมฟายไม่หยุดเลย ไม่รู้มันเอาน้ำตาจากที่ไหนมาผลิตนักหนา”
ฉันบ่นกระปอดกระแปด พร้อมกับทรุดกายลงนั่งลงบนเตียงข้าง ๆ ปั้นจั่นที่กำลังนั่งร้องไห้ฟูมฟายไม่หยุด มันน่าตบหัวทิ่มนัก ปั้นจั่นเจ็บฉันก็เจ็บไม่ต่างจากเขาหรอก
“พ่อคนเก่งปากเก่งจัง สัส พอถึงเวลาร้องไห้ เป็นเผาเต่าเลยนะมึง”
“ฮือ ๆ ที่มึงมาเนี่ยมึงต้องการจะมาซ้ำเติมกูเหรอ? ถ้ามึงต้องการมาแค่นี้ มึงไสหัวมึงกลับไปเลยไอ้ปั้นสิบไอ้เวร! กูเจ็บขนาดนี้มึงยังจะมาซ้ำเติมกูอีก”
“ทำอย่างกับมึงไม่เคยซ้ำเติมกู เมื่อก่อนล่ะปากดีซะเหลือเกิน ไม่จำเป็นต้องมีแฟน โธ่เอ้ย! พอถึงเวลาตัวเองมีแฟนกลับมาร้องไห้จะเป็นจะตาย”
“กูผิดอะไรวะ? กูไม่ดีตรงไหน? ทั้งที่กูทุ่มเทให้เธอหมดทุกอย่าง ทำไมถึงทำกับกูแบบนี้”
“ทุ่มเทเชี่ยอะไร? ขนาดกูเป็นพี่มึง มึงยังไม่เคยพาแฟนมาเจอกู มึงไม่เคยพาแฟนมึงไปบ้านเลยสักครั้ง ไม่พาเธอไปเปิดตัวอะไรสักอย่าง”
“ที่กูไม่พาเธอไปเปิดตัว เพราะกูปิดบังตัวตนไงล่ะ มึงก็รู้ว่าตอนกูเรียนมหาลัย กูก็ไม่ได้เรียนที่เดียวกันกับมึงกับขนมชั้น กูมาใช้ชีวิตอยู่คอนโด กูไปมหาลัยกูก็ทำตัวจน กูอยากจะรู้ว่ามีสักคนกี่คน ที่เป็นเพื่อนกูจริง ๆ รักกูจริง ๆ ไม่ใช่หวังแต่เงินของกู”
“ไอ้ปั้นจั่นเอ้ย” พี่ปั้นสิบส่ายหัวอย่างเอือมระอา
“และหนึ่งในนั้นก็มีม่านหมอกที่ยอมรับกูได้ ตอนนั้นม่านหมอกไม่เคยรู้เลยว่ากูเป็นคนมีฐานะ จนกระทั่งเรียนจบกูชวนเธอมาทำงานที่บริษัทพ่อ ม่านหมอกเองก็เพิ่งจะรู้ว่าฐานะของครอบครัวเราเป็นยังไง?”
ฉันนั่งฟังปั้นจั่นพูดอย่างเงียบ ๆ ปั้นจั่นไม่เคยเปิดเผยตัวตนให้ฉันรู้เลยว่าเขาเป็นคนมีฐานะ ฉันเจอเขาตอนขึ้นรถเมล์ไปมหา'ลัย สุดท้ายก็รับน้องและเรียนที่คณะเดียวกัน
ไม่ใช่ว่าปั้นจั่นไม่เคยมีเพื่อน เขามีเพื่อนเยอะมากในตอนแรก แต่พอปั้นจั่นพูดเรื่องฐานะทางบ้านจน ทุกคนก็ไม่อยากจะยุ่งกับเขา ในตอนนั้นไม่มีใครรู้หรอกว่าปั้นจั่นเป็นลูกเจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่ เพราะพี่ชายของเขาเป็นคนบริหารปั้นจั่นไม่เคยพูดถึงเรื่องครอบครัวให้ใครฟังเลย
“แล้วทำไมมึงถึงเลิกกันกับแฟนมึงวะ?”
“เธอไปกับไอ้เดรโก”
“อ๋อไอ้เดรโก ลูกเจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่ คู่แข่งกับบริษัทเรา ผู้หญิงคนนั้นเขาคงจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดละมั้ง ดีกว่ามาจมปลักกับคนจน ๆ ไง”
“แม่ง! กูอุตส่าห์จะเปิดตัวแบบพระเอกเลย แม่ง! ริสาดันทิ้งกูไปอยู่กับคนอื่น ฮือ ๆ”
“ดีแล้วที่มึงกับเธอเลิกกัน ถ้าผู้หญิงคนนั้นรู้ว่ามึงรวย แล้วต้องการมาปอกลอกทรัพย์สินของเรา มึงคิดว่าแม่น้ำชาจะยอมเหรอ? มึงรู้จักแม่น้ำชาน้อยไปซะแล้ว วีรกรรมสมัยสาว ๆ เยอะนะมึง”
“ฮือ..ฮือ... กูไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ที่ริสาเคยบอกว่ารักกู มันไม่จริง... ริสาโกหก”
“เอาน่า! ไปกินเหล้าให้เมาดีกว่า อย่าไปใส่ใจเลย แค่ผู้หญิงคนเดียวมึงจะอะไรนักหนา มึงจำคำพูดของมึงได้ไหมที่มึงเคยบอกกูว่า แค่ผู้หญิงคนเดียวมึงจะอะไรนักหนาหล่อรวยเพอร์เฟคแบบมึง แค่กระดิกนิ้วก็มีผู้หญิงมาอ้าขาถึงที่ มึงเคยบอกกับกูแบบนี้เพราะฉะนั้นมึงก็ใช้ คำนี้เองแล้วกัน” พี่ปั้นสิบตบบ่าปั้นจั่นเบา ๆ
“เชี่ยความรักแม่งเชี่ย กูผิดอะไรนักหนาวะ ความรักแม่งเฮงซวย ฮือ ๆ” ปั้นจั่นพูดพร้อมกับทุบเตียงแรง ๆ ฉันมองการกระทำของเขา แต่ไม่รู้ จะช่วยยังไง ให้ความเจ็บปวดภายในหัวใจของเขามันเบาบางลง
“หมอกลากมันไปห้องรับแขก วันนี้เราจะฉลองความโสดให้ไอ้ปั้นจั่น กินให้เมาไปเลย”
“ค่ะ” ฉันพยักหน้ารับคำจากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วดึงแขนเพื่อนตัวดีกึ่งลากกึ่งเดินไปนั่งที่ห้องรับแขก พี่ปั้นสิบเดินไปเปิดตู้เย็นแล้วเอาน้ำแข็งออกมาจากนั้นก็จัดแจง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้วยื่นให้ปั้นจั่น
“เอ้ากินซะ จะได้เลิกร้องไห้เสียที โตเป็นควายแล้วยังมาร้องไห้แม่งโคตรทุเรศเลยว่ะ”
“ไอ้พี่เชี่ย” ปั้นจั่นสบถออกมา พร้อมกับใช้มือปาดน้ำตาที่แก้มของตัวเองอย่างลวก ๆ
“แก้วนี้ของหมอก” พี่ปั้นสิบยื่นเครื่องดื่มให้ฉันฉันมองมันนิ่ง ๆ แต่ยังไม่ได้รับมา ก่อนจะเงยหน้ามองพี่ปั้นสิบ
“หมอกไม่กินค่ะ หมอกไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์” ฉันปฏิเสธไป สมัยอยู่บ้านนอก ฉันมันคอเหล้าขาว เมาที่ไรเผยความลับในใจออกมาทุกที ฉันเลยเลิกดื่มแอลกอฮอล์ทุกอย่าง
“เฮ้ยจริงดิ ทำไมถึงไม่กินล่ะ”
“ปกติหมอกก็ไม่กินอยู่แล้วค่ะ” ฉันตอบพี่ปั้นสิบ
“กินเป็นเพื่อนกูหน่อย” ปั้นจั่นพูดกับฉัน
“มึงก็รู้นิ่ว่ากูไม่กิน พี่ปั้นมาแล้ว กูจะกลับห้องกูแล้ว กูเหนียวตัว” ฉันพูดพร้อมกับลุกขึ้นไปหยิบกระเป๋า
“ห้องกูก็มีน้ำอาบ”
“มึง...”
“อยู่เป็นเพื่อนมันหน่อยนะ ถ้าหมอกไม่เคยกิน พี่จะชงให้เบา ๆ แล้วกันจะได้ดื่มเป็นเพื่อนมันหน่อย ตอนนี้มันร้องไห้ฟูมฟาย จะเป็นจะตาย พี่ล่ะทุเรศลูกกะตาจริง ๆ เมื่อก่อนละปากดีจริง ๆ ตอนนี้ร้องไห้ เป็นเผาเต่าเลย” พี่ปั้นสิบบ่นอุบอิบ
“เอ่อ…”
“เชี่ยไม่ว่าใครก็ทิ้งกูไปหมด แฟนกูก็ทิ้ง ตอนนี้เพื่อนกูก็จะมาทิ้งกูอีก กูนี่มันไม่มีใคร รักเลยจริง ๆ ไม่มีใครใส่ใจกูเลย”
“กูก็อยู่กับมึงอยู่นี่ไงไอ้เวร! มึงจะเรียกร้องอะไรนักหนา กินกินเข้าไปเถอะเหล้า จะได้หุบปากสักที”
“มึงไม่รักกูแล้วเหรอวะหมอก? มึงจะทิ้งกูจริง ๆ เหรอ?” ปั้นจั่นตะเบ็งเสียงใส่ฉัน ทำไมฉันจะไม่รักเขาล่ะ ก็เพราะรักนั่นแหละถึงได้ทนเจ็บปวดอยู่แบบนี้ ถ้าฉันรักคนอื่นแทนรักผู้ชายคนนี้ก็ได้ ฉันก็รักไปแล้วแหละ ฉันคงไม่มาทนให้หัวใจของฉันเจ็บปวดอยู่ทุกวันแบบนี้หรอก
“...”
“มึงจะทิ้งกูเหมือนริสาใช่ไหม? ไหนมึงบอกกูว่าจะไม่ทิ้งกันไง? ฮึก! มึงเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของกู มึงจะทิ้งกูเหรอวะ?! มึงจะทิ้งกูได้ลงคอเหรอ?” ปั้นจั่นพอได้กินเหล้าก็เริ่มโวยวายฟูมฟายมากกว่าเดิม เฮ้อ! ฉันกลอกตามองบน ก่อนจะเดินไปนั่งข้าง ๆ ปั้นจั่น
“กูไม่กลับแล้วมึงมีอะไรมึงก็พูดมา จะกินให้มันเมาก็กินไปอยากระบายอะไรก็เต็มที่ มึงคิดเสียว่ากูเป็นกระโถนรองรับอารมณ์ของมึงก็แล้วกัน” ฉันประชดประชันปั้นจั่น พี่ปั้นสิบมองหน้าฉันสลับกับหน้าปั้นจั่นไปมา จากนั้นก็ยิ้มที่มุมปากเบา ๆ
“นี่ของหมอก ส่วนนี้ของมึง” พี่ปั้นสิบยื่นเเก้วเหล้าฉัน คนล่ะแก้ว ฉันรับมาก่อนจะกระดกมันเข้าปากอย่างเครียด ๆ
“แม่ง! ทำไม?! ทำไม?! ทำไมริสาถึงทิ้งกู” ปั้นจั่นจับบ่าฉันเเล้วเขย่าจนหัวสั่นหัวคลอน พร้อมกับตะเบ็งเสียงใส่ฉัน
“กูจะรู้ไหมวะ?! ขนาดมึงยังไม่รู้แล้วกูจะรู้เหรอ!?”
“เชี่ย! ฮือ ๆ”
“หมอกอยู่นานไม่ได้นะคะ พรุ่งนี้หมอกมีงาน” ฉันพูดกับพี่ปั้นสิบ
“ดูมันให้พี่ก่อนแล้วกัน อาการฟูมฟายของมันดีขึ้น หมอกค่อยไปทำก็ได้ พี่อยากฝากหมอกดูแลมัน พี่จ่ายเงินเดือนเพิ่มให้หมอกอีกเท่าหนึ่ง”
“แต่พี่คะ...”
“มันสนิทกับหมอก หนมชั้นติดงานถ่ายละคร พี่ก็ติดงาน จะลากมันกลับไปอยู่บ้าน มันคงไม่ยอมแน่ ๆ ดู ๆ มันให้พี่ก่อนนะ พี่ขอร้อง”
“ค่ะ” ฉันพยักหน้ารับคำ ฉันนั่งกินเป็นเพื่อนปั้นจั่น ตอนนี้เขาเมาหัวทิ่มไปแล้ว แต่ก็ยังไม่หลับนะเมาเป็นหมาเชียว
Rrrrrrrr
สมาร์ทโฟนราคาแพงของพี่ปั้นสิบดังขึ้น
“ว่าไงจ้ะอิน”
(“...”)
“ปั้นมาดูไอ้ปั้นจั่น มันอกหักร้องไห้ฟูมฟายจะเป็นจะตายอยู่เนี่ย”
(“...”)
“หึ! เดี๋ยวปั้นจะถามมันดู มันจะไปบ้านแม่ไหม?”
(“...”)
“ครับ รักอินกับลูกนะครับ” พี่ปั้นสิบเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าแล้วลุกขึ้น
“ฮือ ๆ กูเจ็บวะ!”
“กลับบ้านแม่กัน มีอะไรไปคุยที่บ้าน”
“กูไม่ไป”
“ทำไมวะ?!”
“กูชอบอิสระ”
“อิสระเหี้*นะสิ ตกลงจะไปกับกูไหม? พ่อแม่รออยู่บ้าน”
“กูไม่ไป”
“เออ งั้นกูกลับ ฝากดูมันด้วยแล้วกันนะหมอก”
“พี่คะหมอกต้องกลับห้องนะคะ”
“อืม แต่ดึก ๆ ค่อยกลับได้ไหม? เดี๋ยวตอนเช้าค่อยมาดู เดี๋ยวให้ลุงคมสันเจสันมาเฝ้ามัน”
“ค่ะ พรุ่งนี้หมอกจะมาดูปั้นจั่นแต่เช้า”
“ขอบใจนะ พี่กลับก่อนแล้วกัน”
“ค่ะ” พี่ปั้นสิบมองหน้าปั้นจั่น ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง
“แม่ง แฟนก็ทิ้ง พี่ก็ทิ้ง เพื่อนก็ทิ้ง” ปั้นจั่นบ่น เฮ้อ! อยากจะทิ้งมันจริง ๆ แต่ก็ทำไม่ได้
“กูไม่ได้ทิ้งมึง แต่กูต้องไปพักผ่อน” ฉันพูดในขณะที่ปั้นจั่นนอนเฝ้าขวดเหล้า ตอนนี้ฉันเองก็ชักมึน ดีนะที่ฉันดื่มไม่เยอะ
“หมอก มึงอย่าใจร้ายทิ้งกูไปอีกคนนะ” ปั่นจั่นพูดพร้อมกับหลับตาลง ฉันเขยิบไปนั่งข้าง ๆ ปั้นจั่น ฉันมองใบหน้าหล่อเหลาคมคายของปั้นจั่น ฉันมองริมฝีปากหยักนั้นอย่างเผลอใจ ก่อนจะก้มลงจูบเขาเบา ๆ
แม้ในใจอยากจะตะโกนบอกว่ารักปั้นจั่นมากกว่าเพื่อนมากแค่ไหน ฉันได้แต่เก็บคำว่ารักเอาไว้แล้วกลืนมันลงไป
Chapter 3“กูจะกลับแล้วนะปั้นจั่น” ฉันเขย่าตัวของปั้นจั่น เเต่กลับนิ่งเงียบ ฉันจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาคมคายนั้นอยู่นาน ลมหายใจของปั้นจั่นดังสม่ำเสมอคราบน้ำตา ยังติดอยู่ที่ใบหน้าคมเข้มนั้น ฉันกลอกตามองบนก่อนจะพยุงร่างของปั้นจั่นขึ้นเพื่อไปนอนบนเตียง ฉันจะมาปล่อยนอนตรงนี้ไม่ได้หรอก ถ้าเกิดว่าหนาวเขาจะทำอย่างไรล่ะ เมาหนักขนาดนี้“โอ้ย ตัวมึงนี่ทำไมมันอ่อนปวกเปียกแบบนี้วะ” ฉันพยายามพยุงปั้นจั่นขึ้น แต่เขาก็ล้มไปนอนกับพื้นเหมือนเดิม“...”“มึงแดกช้างหรือไงวะ? ทำไมตัวมึงหนักขนาดนี้” ฉันบ่นพร้อมกับพยายามลากร่างของปั้นจั่นไปในห้องปึก! ปึก! เสียงหัวปั้นจั่นชนกับขอบประตูบ้าง ชนขอบตู้บ้าง เฮ้อ! ก็ตัวปั้นจั่นหนักขนาดนั้น จะให้ฉันทำยังไง?“ฮึก!” ปั้นจั่นสะอื้นในลำคอ“ตัวมึงหนักชะมัดเลยวะ” ฉันลากปั้นจั่นไปที่เตียงจนสำเร็จจากนั้นก็ดึงเขาขึ้นไปบนเตียง แล้วห่มผ้าให้ “ริสา จั่นรักนิสานะ ฮึก!” ปั้นจั่นกอดฉันเอาไว้ หัวใจของฉันเต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง เขารั้งร่างบางของฉัน แล้วฝังจมูกลงบนซอกคออ่อนของฉัน กลิ่นกายของปั้นจั่นหอมอ่อนๆ ผสมกับกลิ่นเหล้า เคล้ากลิ่นบุรุษเพศ ชวนสะยิวใจไม่น้อยปั้นจั่นนิ่งไปอ้อม
Chapter 4“พี่ปั้นสิบให้กูดูแลมึง กูไปไม่ได้หรอกถ้ากูไปแล้วใครจะดูแลมึงล่ะ” “ไม่ต้องมาดูแลกู!” ปั้นจั่นผลักบ่าฉันแรง ๆ เจ็บวะ! เจ็บเชี่ย ๆ ที่เห็นคนที่รักทำแบบนี้“ปั้นจั่น” “คำว่าเพื่อนมันจบลง ตั้งแต่มึงบอกว่ารักกูแล้วแหละ” “มันต้องจบอยู่แล้วเพราะกูคิดกับมึงมากกว่าเพื่อน ให้กูคิดกลับไปเป็นเพื่อนกูทำไม่ได้จริง ๆ”“มึงจะไปไหนก็ไปหมอกต่างคนต่างอยู่ ต่อไปนี้เลิกข้องเกี่ยวกัน” “มึงคิดหรือเปล่า? ก่อนที่มึงจะพูดออกมา” “กูคิดดีแล้ว”“ไหนมึงบอกว่าเราจะไม่ทิ้งกันไงไอ้ปั้นจั่น”“คำพูดนั้นกูเคยพูดกับเพื่อนกู ตอนนี้มึงไม่ใช่แล้ว”“มึงต้องการแบบนั้นใช่ไหมปั้นจั่น? มึงต้องการให้กูออกไปจากชีวิตมึงใช่ไหม? มึงแค่พูดออกมาเลย กูจะได้ไม่ต้องทนกับความรู้สึกเจ็บปวดที่กูต้องมองมึงพลอดรักกับคนอื่น กูจะได้ไม่ต้องมาวุ่นวายกับมึงอีก” ฉันพูดพร้อมกับจ้องหน้าปั้นจั่นด้วยความเจ็บปวด ถ้าเขาพูดออกมาว่า ต้องการให้ฉันออกไปจากชีวิตเขาฉันก็จะไป มันคงไม่มีอะไรเจ็บไปมากกว่านี้แล้วแหละฉันควรจะออกไปจากชีวิตของปั้นจั่นตั้งนานแล้ว เพราะความรักงี่เง่าของฉัน ที่ฉันต้องทนมองดูคนที่ฉันรักรักกับคนอื่น เพราะคำว่าเพื่อนที่เข
Chapter 5ม่านหมอก… TALK...“นี่คีย์การ์ดห้องคอนโดดีดิว ห้องของเธอ” คนที่ชื่อสายฟ้ายื่นคีย์การ์ดให้ฉัน“ขอบคุณค่ะ” ฉันยกมือไว้อย่างนอบน้อม ส่วนคุณพายุเดินเข้ามา แล้วไปหยุดยืนที่หน้าต่าง เขาหยิบบุหรี่ราคาแพงขึ้นมาสูบ แล้วพ่นควันขาวลอยคลุ้ง แค่ได้กลิ่นฉันจะเป็นลม ฉันไม่ชอบกลิ่นบุหรี่ มันเหม็นแค่ได้กลิ่นฉันก็จะตายแล้ว ฉันยกมือขึ้นมาปิดจมูกอย่างอดไม่ได้ สายตาคมเข้มนั้นตวัดมองฉันสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะหันไปมองผ่านอากาศอันเวิ้งว้างนอกกระจกใส“ลูกน้องของผมน่าจะกำลังไปขนของเธอไปที่คอนโดแล้ว ไปดูความเรียบร้อย พรุ่งนี้มาทำงาน” คุณสายฟ้ายิ้มให้ฉัน ฉันยังงง ๆ เขารู้ได้ไงว่าฉันพักที่ไหน ฉันได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ“ขอบคุณค่ะ งั้นฉันกลับก่อนนะคะ” ฉันยกมือไหว้อีกครั้ง“ครับ” ฉันหยิบซองเงินเดือนล่วงหน้าและคีย์การ์ดออกมาด้วย ในใจก็คิดไปเรื่อย ให้ฉันไปอยู่คอนโด คงจะเป็นคอนโดธรรมดาไม่หรูอะไรหรอก แค่พนักงาน เขาคงไม่ให้อยู่เลิศหรูหรอกมั้ง ฉันนั่งรถมาที่ห้องเช่าของตัวเอง ปรากฏว่ามีผู้ชาย5-6คน ขนของฉันมาไว้บนรถเรียบร้อยแล้ว“จะไปพร้อมพวกผมเลยไหมครับ?” ชายเสื้อลายถามฉัน ฉันยังงงกลางดงผู้ชายอยู่เลย
Chapter 6ม่านหมอก… TALK...“หมอก ตรงนี้ผมว่าแก้ก็ดีนะ”“แต่หมอกว่ามันโอเคแล้วนะคะคุณสายฟ้า” ฉันพูดขณะยื่นภาพภาพสินค้าตัวใหม่ที่ฉันออกแบบอีกอันให้คุณสายฟ้าดูบริษัทที่ฉันทำงาน ทำเกี่ยวกับส่งออกสินค้าพวกของเล่นเด็ก ส่งออกไปทั่วโลก“แต่ผมว่ามันแปลก ๆ อยู่ดี”“แปลกยังไงคะ? หมอกว่าโอเคแล้ว เพราะมันปลอดภัยกับเด็กด้วย อุปกรณ์ที่เราจะเอามาผลิตก็มีคุณภาพ ตามสโลแกนของบริษัทเลยค่ะ ปลอดภัย มีคุณภาพ และคุ้มค่า“พายุมาดูให้กูหน่อย” คุณสายฟ้าเอ่ยกับคุณพายุ ฉันหันไปมองเขา เขาเอนกายพิงพนักพิงพร้อมใช้ขาพาดบนโต๊ะทำงานอย่างสบายอารมณ์“มึงว่าไงก็ตามนั้นแหละ” คุณพายุพูดออกมาอย่างไม่ทุกข์ร้อน เฮ้อ! สบายเหลือเกินพ่อคุณ“งั้นหมอกแก้ตรงนี้นิดหน่อยนะ”“ก็ได้ค่ะ”“ครับ” ฉันลุกขึ้นแล้วเดินออกมาจากห้อง ฉันทรุดกายลงบนโต๊ะทำงานแล้วก็ทำงานต่อ“แก้งานเหรอ?” พี่ต่อถามฉันขณะจิบกาแฟไปด้วย“ค่ะ”“สู้ ๆ นะ”“ขอบคุณค่ะ” ฉันยิ้มให้พี่ต่อ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำงานตั้งแต่ที่ฉันมาทำงานที่บริษัทของคุณสายฟ้ากับพายุ ฉันก็เข้ากับทุกคนได้เป็นอย่างดี ทุกคนเป็นมิตรกับฉันมาก มันทำให้ฉันลืมความทุกข์ระหว่างฉันกับปั้นจั่นไปได้
Chapter 7ฉันแต่งตัวในชุดธรรมดา ธรรมดามากกกก ใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ขาสั้น แต่งหน้าอ่อน ๆ รวบผมเป็นหางม้า ฉันหยิบโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง ส่วนกระเป๋าอีกข้างใส่เงิน200 แต่งแบบบ้านสุด ๆ ฉันหยิบคีย์การ์ดแล้วใส่กระเป๋าข้างที่ฉันใส่เงินแล้วเดินออกมา ฉันขี้เกียจสะพายกระเป๋า เพราะต่อให้เอาไปก็ไม่มีของอะไรมากมายที่จะใส่ โทรศัพท์ของฉันก็รุ่นธรรมดาพอใช้ได้ มีตังค์แค่ 200 พกติดตัวไปก็พอแล้วก๊อก! ก๊อก! แกร่ก! เสียงเปิดประตูเข้ามา เป็นแพรว ที่อยู่ในชุดเดรสสีแดงกระโปรงคลุมเข่า ใบหน้าทรงผมจัดหนักจัดเต็มดูสวยมาก ๆ ซึ่งมันต่างกับฉันลิบลับฉันดูธรรมดามากจนไม่รู้จะธรรมดายังไง“แกแต่งชุดอะไรวะ” แพรวขมวดคิ้วเป็นปมเอ่ยถามฉัน“ก็แค่ไปฉลองวันเกิด จะอะไรกันนักหนา แต่งแบบไหน ก็ไปได้หมดแหละ” “ก็ไม่อะไร แต่มันเชย” “ช่างเถอะ ไปกันดีกว่า” “อืม แล้วกระเป๋าแกล่ะ” “ไม่เอา ไปแบบนี้แหละ เอาเงินกับโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงไปก็พอ” “แกนี่ง่ายชะมัด” “อืม ไปเถอะ” “ห้องแกทำไมดีจังวะ ห้องฉันฉันไม่หรูเท่าแกเลย”“ไม่รู้” ฉันพูดพร้อมกับเดินไปที่ลิฟท์ ฉันยืนเงียบคิดอะไรไปเรื่อย พอลิฟท์เปิดออก ฉันก็มายืนรอกับพวกพี่ก้องกับพี
Chapter 8ปั้นจั่น...ผมประคองร่างบาง ที่กำลังเมามายของม่านหมอกขึ้น ทุกคำพูดทุกการกระทำที่เธอทำกับผม ทำไมผมถึงรู้สึกแปลก ๆ ที่ผ่านมาไม่ใช่ว่าผมไม่รู้สึก ผมเป็นเพื่อนกับม่านหมอกมาตั้งหลายปี ผมเสียเพื่อนที่สนิทที่สุดไป จะให้ผมไม่รู้สึกอะไรมันก็คงจะไม่ใช่แต่จะให้ผมทำอย่างไร ในเมื่อผมเป็นฝ่ายไล่เธอไปเองภาพเธอกำลังร้องไห้ชี้หน้าผมแล้ววิ่งออกไปจากห้อง มันเป็นภาพที่อยู่ในหัวของผมอยู่ตลอด ผมทำเกินไปไหม? ที่ตัดสัมพันธ์กับเธอแบบนั้น โดยไม่รักษาน้ำใจของเธอเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ช่างเถอะ ในเมื่อผมคิดกับเธอแค่เพื่อน มันเป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ถึงแม้ว่าความรู้สึกของผม มันจะอดเคว้งคว้างที่ไม่มีเธอไม่ได้ก็ตามชีวิตที่ผ่านมา ผมกลับม่านหมอก จะทำงานกินข้าวดูหนังฟังเพลง ทำแทบทุกอย่างร่วมกัน มันก็ไม่แปลกหรอกถ้าใครคนหนึ่งหายไป เราจะรู้สึกเคว้งคว้างผมพ่นลมหายใจออกมาแรง พร้อมกับจ้องใบหน้าของม่านหมอก เธอพยายามแกะผมมือผมออกจากตัวของเธอ“ปล่อยกู” “กูจะพามึงไปล้างตัวเอง” “ไม่ต้องยุ่ง!” “ไม่ยุ่งไม่ได้! เมาเป็นหมาขนาดนี้ จะ ไปห้องน้ำเองได้ยังไงวะ กูบอกว่าอย่าดื่มเยอะมึงก็ไม่เชื่อกู แล้วดูสภาพมึงตอนนี้สิ ดูได้ท
Chapter 9ผมอุ้มร่างบางของเธอไปวางที่รถ ส่วนพี่สาวของผม ขึ้นรถขับแล่นออกไป ผมรีบปิดประตูรถแล้ววิ่งไปฝั่งคนขับ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะขึ้นรถ ร่างสูงใหญ่ของผม ก็ถูกกระชากเสียก่อน“มึงจะทำอะไร?” คนที่กระชากผมคือไอ้พายุ มันนี่เสร่อทุกเรื่อง มันจ้องหน้าผมด้วยความไม่พอใจ“กูจะพาเธอกลับห้อง” ผมตอบเสียงเรียบนิ่ง แล้วหันหลังให้มันกำลังจะเปิดประตู“ห้องไหน?” ไอ้พายุกระชากคอเสื้อผมแล้วเอ่ยถาม มันทำหน้าตาได้หน้าถีบมาก ๆ “ห้องของม่านหมอก” “มึงรู้เหรอว่าเธออยู่ไหน?” มันย้อนถามผม ผมไม่รู้หรอกว่าเธออยู่ไหน? แต่ผมไม่ไว้ใจพวกมันผมไม่ไว้ใจใคร ยิ่งม่านหมอกเมามายไร้สติแบบนี้ ผมก็ยิ่งห่วงใยเธอ“ไม่! แต่กูจะพาเธอไปบ้านของกูก่อน”“มึงไปเอาไปไว้บ้านมึง กูก็ไม่ไว้ใจเหมือนกันนั่นแหละ เพราะฉะนั้นกูจะไปส่งเธอเองมึงไม่ต้องยุ่ง จำใส่สมองมึงไว้ด้วยว่าเธอไม่ใช่ลูกน้องของมึงแล้วตอนนี้เธอเป็นลูกน้องของกู เป็นคนของกู มึงห้ามยุ่ง” “ทำไมกูจะยุ่งไม่ได้ ในเมื่อเธอเป็นเพื่อนกู” ผมตะเบ็งเสียงใส่มัน ถึงแม้ความเป็นเพื่อนรัก เพื่อนสนิทที่ผมกับม่านหมอกมีต่อกัน มันสิ้นสุดลง แต่ความห่วงใยแบบเพื่อนของผม
Chapter 10“น้ำค้าง” ยิ่งพยายามผลักไสเธอก็ยิ่งบดเบียดร่างกายแน่งน้อยอรชรกับร่างกายของของผม ดอกบัวตูมคู่งามแนบชิดอกแกร่ง เธอดิ้นไปมา จนจมูกของเธอขึ้นมาอยู่ที่ต้นคอของผม ลมหายใจร้อนเป่ารดที่ต้นคอของผมเบาๆ ความรู้สึกของผมจวนเจียนจะคลั่งตาย“ไม่ได้ไอ้จั่น” ผมผลักร่างเธอออกอีกครั้ง ปทุมถันคู่งามอะร้าอร่ามอวดความงามอยู่ตรงหน้า ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ เพื่อไม่ให้ผมทำกับเธอไปมากกว่าเพื่อน“ค้าง ไอ้เฉิดเฉลาอยู่ไหนวะ พ่อเอาไปเลี้ยงไหน?” ม่านหมอกพูดเสียงอ้อแอ้กอดกระชับผมแน่นกว่าเดิม ผมได้แต่ท่องพุทโธธรรมโม สังโฆ ในใจ “นิ่งไว้ลูกพ่อ นิ่งไว้” “อื้อ มาให้พี่หอมหน่อยสิ” เธอถูจมูกที่ซอกคอผมอีกครั้ง ผมรู้สึกสะยิวจนขนลุกเป็นเกลียว เธอจงใจทำแบบนี้ และผมจะไม่ทน ผมใช้มือหยาบของตนจับไปที่ปทุมถันก่อนจะบีบมันเบา ๆ แล้วพลิกกายขึ้นมาคร่อมร่างบาง ผมก้มขบเม้มเนินอกจนเป็นรอยแดง เลื่อนลงงับยอดอก พร้อมกับตวัดลิ้นดูดดุน วันนี้ผมต้องปลดปล่อย ผมจะไม่ทนความปวดร้าวของความเป็นชายแน่ ในเมื่อเธอยั่วผมขนาดนี้“มึงอย่ามาโทษกูแล้วกัน” ร่างกายของผมร้อนผะผ่าว เกิดความปรารถนาจนมิอาจห้ามปรามได้ แก่นกายร้อ
วันเวลาผ่านไปอีก3เดือนค่ะ ฉันกลับมาใช้ชีวิตเป็นครอบครัวกับปั้นจั่นที่กรุงเทพโดยที่พ่อของฉันไม่ขัดข้องประการใดค่ะ ฉันมีความสุขมากๆเลยค่ะ ที่พ่อของฉันไม่เกลียดปั้นจั่นเหมือนแต่ก่อน ปั้นจั่นคงจะทำให้ท่านเห็นว่าเขายังมั่นคงกับฉัน เพราะเขาแสดงออกว่าเขารักฉันกับลูกตอนที่ไปบ้านพ่อแม่ฉันถึงแม้ว่าฉันกับเขาจะเลิกรากันไปถึง 10 ปีปั้นจั่นไม่มีใคร ฉันเองก็ไม่มีเหมือนกัน พ่อก็คงจะใจอ่อนให้เขา และสิ่งที่เขากระทำตลอดหลายปีที่ผ่านมาคือเขาไปหาอันนาอยู่เสมอ เขาไม่เคยรับผู้หญิงคนอื่นเข้ามาแทรกเลยความรักครั้งใหม่สดใสอีกครั้ง ฉันเลือกที่จะอภัยเพราะมันถึงเวลาที่ควรอภัยแล้ว เขาปรับปรุงตัวและไม่มีใคร ถึงมันจะเป็นความผิดที่ไม่น่าให้อภัย แต่ฉันก้าวผ่านและอภัยให้เขาแล้วฉันยังมั่นคง ไม่มีใครลืมรักแรกได้ ฉันไม่เคยลืมและไม่มีใคร ไม่ใช่ว่าตลอดระยะเวลา10ปีฉันเฝ้ารอเขานะคะ ฉันไม่ได้รอเขาหรอก แต่ฉันไม่สามารถรับใครเข้ามาในหัวใจได้ฉันรับน้ำค้างมาอยู่ที่บ้านแล้วนะคะ ถึงแม้ว่าตอนแรกเธอจะไม่อยากมา อิดออดมากเลยค่ะเพราะเธออยากอยู่ใกล้คุณพายุ แต่ในเมื่อฉันกลับมาอยู่กับปั้นจั่นแล้ว ฉันก็ไม่อยากให้น
ม่านหมอกเเสงแดดอุ่นๆแผ่เข้ามากระทบร่าง ฉันซุกหน้ากับอกแกร่งของปั้นจั่น อกที่คุ้นเคยอกนี้มันอุ่นมากเลยค่ะ อุ่นสุด ๆ เลยค่ะหลังจากที่จบศึกสวาทกันฉันก็หมดแรง คนที่นอนอยู่ข้างๆทั้งถึกทั้งทน ฉันถึงกับอ่อนเปลี้ยเพลียแรงฉันเงยหน้าจ้องใบหน้าคมคายของเขา ตอนนี้ปั้นจั่นหลับตาอมยิ้มที่มุมปากน้อยๆ เขาดูมีความสุขมากเลยค่ะ ซึ่งมันไม่ต่างจากฉันตอนนี้ ฉันมีความสุขมากที่ได้กลับมาเป็นครอบครัวเดียวกันกับเขา ถึงแม้ว่าใจของฉันมันจะสับสน แล้วรู้สึกหวาดหวั่นกับสิ่งที่เขาทำ แต่ที่ผ่านมาเขาก็ได้พิสูจน์ให้ฉันได้เห็นว่า เขาเปลี่ยนไปในทางที่ดีจริงๆ“จ้องการแบบนี้มาขี่ม้ากันเลยดีกว่า” เขาพูดพร้อมกับ เปิดเปลือกตาขึ้นต้องมองฉัน ฉันนี่เขินหน้าดำหน้าแดงเลยค่ะ“บ้าน่า” ฉันค้อนใส่เบาๆก่อนจะค่อยๆคลายกอดเขา ฉันหยัดกายลุกขึ้นจากเตียงหมับ!“ว้าย!” ฉันกรีดร้องอย่างตกใจ ปั้นจั่นคว้าตัวของฉันเอาไว้ พร้อมกับฝังจมูกไปตามพวงแก้มของฉัน“กลิ่นตัวหมอกหอมจัง” เขาพูดจมูกก็เริ่มซุกไซร้ตามเนื้อตัวของฉัน ไม่นะ! ไม่ เรื่องบนเตียงตอนนี้ต้องพักก่อน มือของเขาเริ่มลูบไปตามเนื้อตัวของฉัน ยุกยิกเป็นหนวดปลาหมึกเชียวค่ะ“ไปอ
ปั้นจั่นTALKผมจูบหมอกเร่าร้อนราวทะเลเดือด จูบราวกับสูบวิญญาณเธอออกจากร่าง ผมประคองใบหน้าของหมอก จูบเน้นๆแล้วสอดลิ้นเข้าไปในโพรงปากของเธอม่านหมอกขัดขืนในตอนแรกพยายามผลักผมออก แต่ผมไม่ยอมหรอกครับ วันนี้ผมต้องได้เมียคืน พี่ชายพี่สาวพ่อแม่และทุกคนๆช่วยกันวางแผนขนาดนี้ผมต้องตีมึนเอาไว้ผมดันเธอไปชิดกำแพงในขณะที่จูบเธอไปด้วย มือของผมเลื่อนลงต่ำมาบีบเค้นที่อกอวบของเธอ มืออีกข้างก็ถลกกระโปรงแล้วสอดมือเข้าไปในแพนตี้ตัวจิ๋วม่านหมอกสะดุ้งทันทีที่มือผมสัมผัส ผมกดคลำลากตามร่องยาวปริ่มน้ำ ม่านหมอกพยายามต่อต้าน ร่างกายเธอเริ่มบิดไปมาผมกรีดนิ้วจนกระทั่งเจอเม็ดทับทิม“อ้ะ ...ปะ... ปั้นจั่น” ม่านหมอกครางเบาๆ พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าปอดเมื่อปากเป็นอิสระ ผมทนมามากพอแล้ว ผมไม่ได้ปลดปล่อยมา10ปี และวันนี้ผมจะไม่ทน“หมอกจ๋า จั่นอยาก” ผมพูดเสียงกระเส่า รู้สึกต้องการเรื่องอย่างว่า แก่นกายของผมมันปวดหนึบจนแทบจะปริแตก มันผงาดชี้โด่พร้อมกับมีน้ำใสๆ ไหลเยิ้มออกมา“พะ... พอ... ยะ... หยุดสักที”“หยุดทำไม? นี่คือความสุขนะหมอก”“มะ... ไม่เอา พะ... พอ” ม่านหมอกพูดอยู่แค่นั้นวนไปมา ผมไ
“หมอกไปกรุงเทพก่อนนะพ่อ” ฉันเอ่ยกับพ่อสุนทรในขณะที่ท่านกำลังง่วนอยู่กับการสั่งงานลูกน้อง วันนี้ท่านให้คนมาทำถนนทางไปบ้านของฉันกับบ้านที่ปั้นจั่นเคยอาศัยอยู่ และคนงานกำลังฟังอย่างตั้งใจ“อันนารบเร้าให้พาไปหาพ่อมันละสิ”“ใช่ค่ะ” ฉันพูดพร้อมกับมองแผ่นหลังของพ่อ พ่อไม่ชอบปั้นจั่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ท่านอาจจะไม่พอใจที่ฉันจะพาอันนาไปหาเขา“...”“พ่อคะ...” ฉันเม้นปากพร้อมกับเรียกท่าน“ไปเถอะ ผ่านมาหลายปีดีดักแล้ว หมอกมั่นคงกับมัน มันก็มั่นคงกับหมอก พ่อคงไม่ห้ามอะไรแล้ว เพราะที่ผ่านมามันก็พิสูจน์ตัวให้พ่อเห็นแล้ว”“ค่ะ”“รักคุณตาที่สุดเลยค่ะ” อันนาเช้าไปกอดพ่อสุนทร“รักเหมือนกันครับ ไปกับคุณแม่ก็บอกคุณแม่ให้ขับรถดีๆด้วยนะ”“ค่ะ”“ให้ไอ้วัดไปขับรถให้ไหม? ““ไม่เป็นไรค่ะ หมอกขับเองดีกว่า”“อืม รีบไปเถอะ เดี๋ยวพ่อคุยงานกับพวกคนงานก่อน”“ค่ะ”“รีบไปเถอะค่ะแม่”ฉันรีบพาบุตรสาวไปขึ้นรถจากนั้นก็ขับออกไปโดยที่มีสาวใช้คนสนิทตามไปด้วย“ ซื้อของฝากไปฝากคุณย่าด้วยนะแม่”“ได้จ้ะ” ฉันขับรถไปถึงร้านของฝากแล้วพาบุตรสาวไปเลือกของตามต้องการ“เอาไปเยอะๆเลยนะคะคุณแม่”“จ้า”ผ่านไปหลายชั่วโมง
ปั้นจั่นTALK“ปั้นจั่น เดือนนี้จะไปหาหมอกกับลูกใหม่?” แม่ผมเอ่ยถามขณะที่เดินเข้ามาในบริษัทพร้อมกับพี่สาวของผม“ผมอยากไปจะแย่แล้วครับแม่ คราวก่อนเหมือนหมอกจะใจอ่อนกับผมแล้ว ถ้าผมไปพูดหยอดเธอบ่อยๆ อีกไม่นานคงจะใจอ่อน” ผมเอ่ยกับมารดายิ้ม ๆ ก่อนจะก้มหน้าเซ็นเอกสารกองโตที่อยู่ตรงหน้า งานเยอะมาก เยอะสุด ๆ เลยครับ“เดี๋ยวแม่โทรไปชวนหมอกมาเที่ยวดีกว่า หลายปีแล้วนะที่หมอกไม่มากรุงเทพ แม่อยากให้หมอกมาอยู่กรุงเทพมาก ๆ อยากให้หลานมาเรียนที่นี่ด้วย”“หมอกก็คงปฏิเสธเหมือนทุกครั้งแหละครับ เฮ้อ!”“แต่แม่อยากให้หมอกกับแกคืนดีกันสักที”“ผมก็พยายามอยู่ครับ”“แกพยายามไม่มากพอนะสิ แม่อยากให้หมอกมาอยู่ที่นี่แล้ว” แม่ผมทำหน้าเศร้า“แกก็ช่วยทำให้ความฝันของแม่เป็นจริงหน่อยสิวะ” พี่ปั้นสิบเดินเข้ามา วันนี้วันอะไร ทำไมทุกคนถึงพร้อมใจกันมาหาผม“ทำยังไง?” ผมขมวดคิ้วเข้มชนกัน “มึงก็เอาม่านหมอกกับมาเป็นเมียมึงสิวะ ผ่านมาหลายปีแล้ว กูว่าม่านหมอกคงใจอ่อนแล้วแหละ” พี่ปั้นสิบเอ่ย“บ้าน่า หมอกโกรธกูจะทำยังไงล่ะ กูกลัวเธอโกรธ” ผมเอ่ย ผมกลัวหมอกโกรธจริง กลัวมากเพราะหมอกเป็นคนค่อนข้างใจแข็ง ถ้าได้โกรธผมเอง เธอคง
Chapter 60ฉันมองปั้นจั่นที่ร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด ฉันรู้ว่าเขาเจ็บแต่ฉันต้องทำแบบนี้ ฉันต้องให้เขาออกไปจากชีวิตฉันตามที่เขาสัญญาเอาไว้ ฉันดูใจร้ายมากไหมคะ? ฉันต้องทำแบบนี้ ฉันต้องทำ มันต้องจบได้แล้ว “หมอก ฮึก” ปั้นจั่นร้องไห้สะอึกสะอื้นหัวใจของฉันเจ็บหนึบ ไม่มีวันไหนที่ฉันไม่รักเขา มันคือความรักที่มั่นคงมาก ฉันไม่สามารถเอาใครมาแทนเขาได้ และฉันไม่สามารถกลับไปหาเขาได้เหมือนกัน“กลับไปทำหน้าที่ลูกเถอะ กูจะบอกเขาว่ามึงเป็นพ่อ กูสัญญาจะดูแลเขาให้ดี”“ฮึก ๆ ฮื่อ ๆ” ฉันค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งบนเตียง ปั้นจั่นมองหน้าฉันด้วยสายตาเจ็บปวด เขาต้องเจ็บอยู่แล้ว การจากลามันเป็นอะไรที่เจ็บปวดมาก เขาจูบที่หน้าผากลูกของฉันอย่างแผ่วเบา ก่อนจะส่งลูกให้แม่ของฉัน เขามองหน้าฉันแล้วเดินมาหาฉันหมับ!เขาสวมกอดฉันแล้วร้องไห้ออกมา ฉันร้องไห้ไม่ต่างกัน มันเจ็บนะคะที่ยังรักแต่ต้องจากกัน ฉันกอดตอบเขาอ้อมกอดนี้มันเคยเป็นเป็นของฉัน แต่มันเป็นเพียงอดีตแล้ว มันเจ็บนะคะที่ต้องจากทั้งที่ยังรัก แต่วันเวลาผ่านไปทุกความเจ็บปวดมันจะผ่านพ้นไป “ขอให้มึงโชคดี ไปทำหน้าที่ของมึงซะเถอะ” ฉันพูดเสียงส
Chapter 59ม่านหมอกTALKใครจะว่าฉันใจดำฉันก็ไม่สนหรอกค่ะ ฉันมีสิทธิ์ที่จะทำแบบนี้ ฉันมีสิทธิ์ที่จะรักตัวเอง การที่ไม่พาตัวเองไปเจ็บปวดมันดีที่สุดแล้ว ผู้หญิงอย่างเราถ้ามีรักดีก็จะมีแค่รักเดียวแต่ถ้ามันไม่ดีเราก็ขอเลือกรักตัวเองและก้าวไปข้างหน้าดีกว่าฉันจะไม่อยู่เพื่อคบกับใครคนไหนอีก แต่ฉันจะอยู่เพื่อลูก ฉันจะอยู่เพื่อเป็นแม่ที่ดีให้กับเขา ส่วนพ่อของลูกที่เคยกระทำเรื่องเลวทรามฉันจะปล่อยให้มันผ่านไปถ้าเขาอยากมาหาลูกฉันก็จะให้เขามา ฉันจะไม่กีดกันเขาแต่ขออย่างเดียวให้เขาเลิกพยายามที่จะเอาฉันกลับไปเป็นครอบครัวเดิมกับเขา เพราะมันไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ทุกสิ่งทุกอย่างมันจบไปแล้วและมันไม่สามารถ กลับไปเป็นได้อีกฉันรักเขามากนะคะ แต่ฉันต้องเลือกแบบนี้ฉันไม่สามารถอยู่กับคนที่เคยหักหลังฉันได้ และผู้หญิงอย่างเรา ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องจมปลักดักดาน เราไม่จำเป็นต้องมีชีวิตคู่หรอกค่ะถ้าชีวิตคู่มันเฮงซวย เราใช้ชีวิตเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว เลี้ยงดูลูกของเราให้มีความสุข และนั่นมันจะเป็นความสุขที่สุดของผู้หญิงอย่างเราฉันปฏิญาณกับตัวเองเอาไว้แล้วว่า ภายภาคหน้าต่อให้มีคนเข้ามาในชีวิตฉันอีก ฉันก็จะไม่แต่งงานก
Chapter 58ผมจ้องหน้าม่านหมอกน้ำตาคลอ เธอยื่นข้อเสนอแบบนี้มาผมควรทำอย่างไร ผมควรออกไปจากชีวิตของเธอตามที่เธอขอร้อง หรือผมควรยื้อเวลาออกไปให้นานกว่าเดิม“มะ... หมอก”“ถ้าทำไม่ได้ก็ไสหัวไป!” ม่านหมอกเอ่ยเสียงกร้าวจ้องมองผมด้วยแววตากระด้าง“หมอกอย่าต่อรองกับจั่นแบบนี้เลยนะ ให้จั่นไปกับหมอกด้วยนะ ฮึก” ผมพูดเสียงสั่นเครือ รู้สึกปวดหัวใจมากเลยครับ ผมอยากไปกับหมอกแต่ผมไม่อยากจากหมอกกับลูกไป ผมอยากดูแลอยากทำหน้าที่ผัวหน้าที่พ่อ ผมอยากชดใช้และแก้ตัวในสิ่งที่ผมทำผิดพลาด แต่เหมือนผู้หญิงตรงน่าจะไม่ให้โอกาสผมเลย“มึงอยากดูลูกมึง ทำไมมึงไม่ไปดูกับริสาผู้หญิงคนนั้นก็ท้องลูกของมึงเหมือนกัน ลูกของมึงไม่ได้มีแค่กับกูหรอก ลูกของมึงยังมีอยู่กับริสามึงไปดูแลซะเลิกมายุ่งวุ่นวายกับกูเสียที” เธอพูดเสียงสั่นพร้อมกับผินหน้าไปมองอย่างอื่น ผมรู้ว่าเธอเจ็บปวดและไม่สามารถเชื่อใจผมได้ ผมทำผิดจริง แต่ผมอยากได้โอกาสและผมจะไม่มีวันทำมันอีก“ที่ผ่านมาจั่นโง่เอง จั่นคิดว่าริสาท้องลูกของจั่นเพราะเธอเอาหลักฐานมายืนยัน แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้วเธอไม่ได้ท้องลูกของจั่น”“มึงรักมันมากไม่ใช่เหรอ? มึงก็ไปเลี้ยงดูมันสิ”“ห
Chapter 57ปั้นจั่นผมมองไปที่หน้าต่างอย่างเสียดาย ม่านหมอกปิดหน้าต่าง ไม่สนใจที่จะปรายตาผมเลยแม้แต่น้อย“เฮ้อ” ผมก้มหน้าก้มตาทำงานครับหลังจากม่านหมอกไม่สนใจ ในเมื่อผมต้องการที่จะง้อเธอผมก็ต้องทำงานให้ดีไม่อย่างนั้นตาสุนทรก็คงจะด่าผมเปิงครับ“เอาไม้ไผ่ไปผ่าให้หน่อย” คนงานอีกคนสั่งผม ผมรีบทำครับ แต่ติดปัญหาตรงที่ผมทำไม่เป็น“มันทำยังไงครับ?”“โอ้ยยยย พวกคนกรุงเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อจริง ๆ มาดูวิธีสิ จะได้ทำเป็น เขาจ้างมาทุกคนมาทำงาน นายจะมากินแรงคนอื่นไม่ได้หรอกนะจะบอกให้” ชายรูปร่างกำยำผิวพรรณหยาบกระด้างเลยพร้อมกับทำท่าทางไม่พอใจ เขาหยิบมีดขึ้นมา พร้อมกับทาไม้ไผ่ดังโป๊ะเลยครับ“ผ่ายาวเลยใช่ไหม?”“เออ รีบทำ จะมาทำเล่นๆแบบนี้ไม่ได้นะ มันเสียเวลาคนอื่น”“ครับ” ผมผ่าไม้ไผ่ตามที่เขาบอก และแน่นอนมันทำให้มือผมถูกคมของไม้ไผ่บาดมือจนเลือดสาดเลยครับ“ตายแล้วเลือดออก” ป้ามณีพูดเสียงดัง “ติดพาสเตอร์ก่อนเร็ว” ชายคนงานอีกคนรีบเอาพาสเตอร์มาเเปะแผลให้ผม อย่างน้อยทุกคนยังมีน้ำใจครับ“ทำอะไรก็ต้องระวังนะจะมาทำเล่นๆไม่ได้เดี๋ยวมือขาดไม่รู้ตัว การทำงานทุกอย่างมันต้องมีสติและระมัดระวัง” ผู้ชายฟันเหยินๆพูดกั