ทิณกรมาถึงก็นั่งพัก ไม่มีทีท่าจะสนใจการตีกอล์ฟครั้งนี้สักเท่าไหร่
“สั่งอาหารและเครื่องดื่มก่อนไหมครับ”
“เชิญคุณก่อนเลยครับ”
“งั้นกาแฟและเค้กอย่างละหนึ่งก็พอ…คุณเดนีสล่ะครับ”
“กาแฟเย็นสักแก้วก็พอแล้วครับ” เมื่อท่านสองคนนั่งลงเริ่มพูดคุยนั่นนี่วินตราก็ปลีกตัวออกไปเพื่อความเป็นส่วนตัวแต่ไม่คิดว่าจะเจอกับ…สองตาเบิกกว้างมือและเท้าเย็นเยียบฝ่ามือชื้นเหงื่อร่างกายทรงตัวแทบไม่ไหวได้แต่แนบลำตัวชิดกับซอกตึกเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายมองเห็น
“เย็นไว้เย็นไว้” วินตราเป่าปากและพูดเตือนตัวเองก่อนจะหายเข้าไปในห้องน้ำข้างในตัวตึกด้านหลัง
“สีหน้าดูไม่สดชื่นเลยนะครับ”
“อ้อ…ขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้คุณต้องมาเห็นผมในสภาพนี้พอดีเมื่อคืนเลี้ยงส่งลูกค้านิดหน่อย”
“นั่นสินะผู้บริหารอย่างคุณคงไม่ค่อยมีเวลาสักเท่าไหร่”
“แล้วคุณทิณกรทำอะไรอยู่เหรอครับ”
“ผมน่ะ…กำลังเรียนรู้งานที่บริษัทของคุณพ่อแต่ดูเหมือนว่าพลังงานไม่ค่อยเหมาะกับผมสักเท่าไหร่”
“ฮ่าๆหัวอกเดียวกับผมเลยนะเนี่ย”
“เอาตรงๆผมไม่ชอบทำธุรกิจแต่ก็ไม่รู้ว่าชอบอะไรเรียกได้ว่ากำลังหาตัวเองอยู่ละมั้ง”
“แล้วคุณอยากทำอะไรล่ะครับ”
“ไม่รู้สิแต่ว่าตอนนี้ก็ไม่ได้ลำบากอะไร” เดนีสเลิกคิ้วแต่ก็พยายามเป็นผู้ฟังที่ดี
“คุณคงรู้วัตถุประสงค์ที่ผู้ใหญ่นัดเราสองคนมาที่นี่” ทิณกรกอดอกเอนหลังกับพนักพิง
“เอาจริงผมยังไม่อยากแต่งงานไม่อยากมีแฟน”
“ตอนนี้เพราะคุณยังไม่เจอคนที่ชอบและไม่มีความรู้สึกร่วมมากกว่า”
“ก็คงจะยังงั้น”
“แล้วคุณเดนีสคิดยังไงกับเรื่องนี้” จะคิดยังไงได้ล่ะถูกต้องตรงประเด็นซะขนาดนี้พวกเขาทั้งสองต่างก็ไม่ถูกใจกันนะสิ
“ก็หวังว่าวันหน้าพวกเราจะยังทำธุรกิจร่วมกันได้อย่างราบรื่น”
“ผมก็คิดว่างั้นไม่จำเป็นต้องแต่งงานเกี่ยวดองอะไรขอแค่ค้าขายด้วยความจริงใจก็เพียงพอ” เดนีสเกาปลายคิ้วพลางถอนหายใจจะว่าจะใช่ก็ได้…แต่ก็ไม่ถูกเสียทีเดียวการผนึกรวมกันสองตระกูลนี่ถือว่าผูกขาดและกินรวบตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำได้เลยทีเดียวธุรกิจไม่มีสงสารคู่แข่งมีแต่ใครสาวได้ก็สาวเอาตลาดไม่มีพี่น้องมีแต่ห้ำหั่นกันฟาดฟันด้วยกลยุทธ์ไม่งั้นตระกูลใหญ่คงจะไม่เฟ้นหาคู่ครองในแวดวงเดียวกันเหมือนอย่างสำนวนที่ว่า ‘เรือล่มในหนองทองจะไปไหน’
“ดูแล้วคุณคงคล้ายผมไม่ชอบการใส่หน้ากากเข้าหากันแบบพวกผู้ใหญ่ที่ชอบทำกัน” ทิณกรหัวเราะร่วน
“ก็คงจะอย่างนั้นผมถูกลากออกงานไปไหนมาไหนตั้งแต่ยังเด็กพี่ใหญ่แต่งงานเหลือเพียงแต่ผม (New Male) บางทีก็ไม่ต่างจากแม่พันธุ์สักเท่าไหร่เอาจริงผมชอบศิลปะชอบความสันโดษตื่นเช้ามาจิบกาแฟวาดภาพแต่งแต้มสีสันให้กับกระดาษขาวตรงหน้าปล่อยใจให้เป็นอิสระแล้วแต่สองมือจะขีดเขียนลงไป”
“บางทีเพราะคุณดูล่องลอยผู้ใหญ่เลยเป็นห่วงกลัวว่าถ้าไม่มีเขาคุณจะอยู่ไม่ได้” ทิณกรส่ายหน้า
“ช่างมันเถอะครับ” อาหารและเครื่องดื่มมาเสิร์ฟพอดีทั้งสองเลยหยุดบทสนทนาไว้เพียงแค่นั้นทิณกรรู้ดีว่าต่อให้เขาพยายามสักเท่าไหร่อีกฝ่ายก็ไม่มีทางจะสานสัมพันธ์กันได้ในทางชู้สาวเพราะผู้ชายตรงหน้าจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวสายตาสอดส่องไปรอบๆอยู่ตลอดเวลาและเขาเองก็ไม่มีอารมณ์ร่วมในการนัดบอร์ดครั้งนี้เลยสักครั้งหากไม่เพราะถูกบังคับทิณกรเองคงไม่มานั่งอยู่ที่นี่ในตอนนี้อย่างแน่นอน
และเขาไม่คิดจะฝากชีวิตกับใครเพียงเพื่อประโยชน์ของสองตระกูลเป็นอันขาดดอกไม้ประดับแจกันอย่างเขาหากวันหนึ่งขาดความสวยสดงดงามไปปลายทางก็ได้แต่นอนเหี่ยวเฉาในก้นถังขยะและการที่เขามาครั้งนี้เพื่อหาพันธมิตรต่างหากอย่างน้อยก็รู้จักมักจี่กันในระดับหนึ่งหากวันหน้าเดือดร้อนอะไรก็ยังพอมีที่พึ่งอยู่บ้าง
เดนีสสอนทิณกรตีกอล์ฟอย่างเป็นกันเองเขาเอ็นดูเด็กหนุ่มตรงหน้าเพราะมีนิสัยคล้ายเดนิมน้องชายของเขาอยู่หลายส่วนเล่นสักพักก็กลับมานั่งพวกเขาเลือกที่จะพูดคุยกันมากกว่าไดรฟ์กอล์ฟ
“หากมีอะไรอยากให้ผมช่วยเหลือ…ผมยินดี” แววตาทิณกรเปล่งประกายตั้งแต่ได้เลขาคนใหม่เดนีสไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองชอบสังเกตสีหน้าแววตาของคู่สนทนามากขึ้นยิ่งนัยน์ตาที่ฉ่ำน้ำของทิณกรตอนนี้เหมือนอีกฝ่ายมีเรื่องทุกข์ใจอยู่จริงๆ
“อย่าว่าผมแส่เรื่องคุณเลยนะเอาอย่างนี้ไหมอย่างน้อยวันนี้ผมก็ได้น้องชายเพิ่มมาหนึ่งคน” เดนีสยื่นมือออกไปข้างหน้าทิณกรเอวก็จับด้วยความยินดีฉีกยิ้มอย่างเต็มใจ
“ขอบคุณครับ”
“อย่าเรียกคุณ-ผมเลยเรียกพี่นีสก็ได้หากมีปัญหาอะไรที่อยากให้ช่วยก็บอกได้ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงอย่างหนีตามผู้ชายละก็นะ” เดนีสพูดติดตลก
“บ้า! ไม่ถึงขนาดนั้นกรไม่ได้มีคนรักอะไรหรอกครับแค่อยากยืนด้วยลำแข้งตัวเองหาอะไรสักอย่างทำโดยไม่ต้องพึ่งกิจการครอบครัวหรือระบบกงสี”
“เห็นเราชอบศิลปะไม่ลองออกแบบลวดลายบนผืนผ้าดูล่ะรู้จักร้าน JeansShore หรือเปล่า” ทิณกรตาโตไม่เหมือนที่เจอกันในลานจอดรถแตกต่างจากตอนนี้ลิบลับดูมีชีวิตชีวาเหมือนพบเจอแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์และแสดงความเป็นตัวของตัวเองออกมาอย่างไม่ขัดเขิน
“รู้จักสิครับคุณโจชัวร์ออกจะดังในหมู่แฟชั่นและดีไซเนอร์”
“อยากทำที่นั่นหรือเปล่า”
“เอ๋…ได้เหรอครับเขาจะรับกรเหรอครับ” สีหน้าแม้จะเจือความวิตกกังวลแต่สายตากลับมีประกายแห่งความหวังเต็มเปี่ยม
“อะ…นี่นามบัตรของคุณ jeans หนึ่งในพาร์ทเนอร์ของ JeasnsShore บอกว่าพี่เดนีสให้มา” เดนีสยื่นนามบัตรพร้อมกับขยิบตาให้ทิณกรรับมาด้วยความดีใจจนออกนอกหน้าการมาดูตัวในครั้งนี้แตกต่างจากที่คิดไว้ในตอนแรกทีแรกเขากะจะทำตัวหัวอ่อนปวกเปียกน่าเบื่อพูดเรื่อยเปื่อยน่ารำคาญเพราะอยากให้อีกฝ่ายเป็นคนเอ่ยปากในการยุติความสัมพันธ์แต่ครั้งนี้กลับตรงข้ามอย่างน้อยทิณกรพระอาทิตย์ดวงน้อยก็ได้ภูเขาลูกใหญ่ไว้พึ่งพิงพี่ใหญ่เองก็ถูกคลุมถุงชนและมักพูดกับเขาเสมอว่า ‘ชีวิตคู่ไม่ใช่ทนๆอยู่กันไปต่างก็รวดร้าวทั้งทั้งสองฝ่าย’ และเขาควรจะมีโอกาสได้เลือกคู่ชีวิตด้วยตัวเองนกปีกหักอย่างทิณกรที่จำใจอยู่แต่ในกรงทองบัดนี้ท้องฟ้ากับทอประกายแห่งความหวังมาให้โดยไม่ทันได้ตั้งตัวจนอดที่จะน้ำตาซึมออกมาไม่ได้“ซึ้งขนาดนั้นเลย?” “ก็…”“ถูกคลุมถุงชนล่ะสิ” ท่าทีที่กอดอกและฟังอย่างตั้งอกตั้งใจของเดนีสดูยังไงก็เหมือนกำลังดุด่าสั่งสอนทิณกรที่เช็ดน้ำหูน้ำตาป้อยๆในความคิดของวินตราเขาส่ายหน้าอย่างระอาเมื่อยืนมองจากมุมหนึ่งของตึก ‘ไม่ต่างจากที่คิดไว้ตั้งแต่แรก’ เดนีสศศิภักดีหัวแข็งขนาดนั้นถ้ายอมถูกคลุมถุงชนพระอาทิตย์คงขึ้นทิศตะวันตก “ฉลาดนี่
สามเดือนผ่านไปเดนีสก็เริ่มชินกับพฤติกรรมของคุณเลขา ก็เป็นเลขามือทองจริง ๆ นั่นแหละเขายอมรับ! แต่แม่งมีสิ่งหนึ่งที่เขาเหมือนจะถูกเหยียดหยามตลอดเวลาคือดวงตาคู่นั้น ใครจะคิดว่าเขาคิดมากก็ช่างเถอะอ้าปากด่าเขาตรงๆอาจจะรู้สึกดีกว่าอย่างเช่นตอนนี้ที่เขาทำงานผิดพลาด“ท่านประธานเซ็นลงไปได้ยังไงทั้งๆที่ไม่ได้อ่านด้วยซ้ำ” “ฉันอ่านมาแล้ว” วินตรายื่นมือมาปิดแฟ้มที่เดนีสกำลังจะจับปากกาเซ็นลงไปวินตรายกแฟ้มสีดำในมือพลิกไปพลิกมาก่อนจะปิดพรึบเอ่ยปากถาม“ท่านประธานเห็นดีเห็นชอบด้วยหรือครับ”“ก็…”“ท่านประธานมีความคิดของตัวเองหรือเปล่าคณะกรรมการบริหารเห็นว่าดีท่านประธานก็ว่าดี?”“ถ้าฉันว่าไม่ดีพวกนั้นก็สับฉันเละอีก”“แล้วท่านประธานไม่สมควรถูกสับตรงไหน”“ฉันเป็นประธานเป็นเจ้าของที่นี่เข้าใจหรือยัง” เดนีสเสียงแข็งนั่นนี่ก็ไม่ดีอันนั้นก็ไม่ได้เลขาก็จี้พ่อก็ด่าบอร์ดบริหารยังรุมกระทืบอีกต่อแม่งเอ๊ย! ใครกันแน่ที่เป็นเจ้านายลูกน้องใครกันแน่ที่เป็นลูกเจ้าของกันแน่ฮะ? เดนีสกำด้ามปากการาคาแพงในมือแน่นจ้องเลขามือทองเขม็ง“ท่านประธานรู้หรือเปล่าว่าคำว่า Boss กับ Leader ต่างกันตรงไหน” เดนีสเอนตัวพิงพนักเก้าอี้อย่าง
“วินตราพูดครับ”“เข้ามา”วินตราลุกจากเก้าอี้พลางถอนหายใจหยิบเอกสารพวกนั้นติดมือมาด้วยแถมยังถ่ายเอกสารเอาไว้อีกหลายชุดวินตราเคาะประตูพอได้ยินเสียงตอบรับเขาก็เข้าไปภายในห้องยืนกุมเป้าอยู่หน้าโต๊ะท่านประธาน“นั่งลง” วินตรานั่งลงก่อนจะโฟกัสกับเอกสารที่ถูกยื่นมาให้ตรงหน้า“ฉันให้ปรียานุชส่งเมลมาให้เมื่อครู่อ่านดูสิใช้ได้หรือยัง” วินตราพยักหน้าก่อนจะรับเอกสารมาไว้ในมือกวาดสายตาอ่านตั้งแต่ตัวอักษรตัวแรกจนถึงบรรทัดสุดท้าย“ดีกว่าฉบับแรกแต่ยังไม่รัดกุมพอ” เดนีสตวัดสายตามองมาที่คุณเลขาอย่างเอาเรื่องเอ่ยถามน้ำเสียงที่แฝงความไม่พอใจเอาไว้“แล้วแบบไหนถึงจะรัดกุม?”“การทำธุรกิจสัญญาต้องคำนึงผลประโยชน์ของบริษัทเป็นหลัก”“ฉันไม่นึกถึงตรงไหน”“งั้นลงนามเลยก็ได้ครับ”“วินตรา!” เดนีสหัวเสียถึงขีดสุดเขาที่พยายามตั้งใจทำงานอย่างดีแต่อีกฝ่ายกลับกวนประสาทเขาเสียอย่างนั้น“ถึงยังไม่รัดกุมแต่ก็พอใช้ได้ครับไม่งั้นก็ให้ฝ่ายกฎหมายเช็กอีกรอบ” เดนีสยกหูโทรศัพท์สั่งการตามที่คุณเลขามือทองว่า“แล้วมันไม่รัดกุมตรงไหน”“ตรงนี้ครับประโยคนี้” วินตราค่อยๆอธิบายอย่างใจเย็นอีกทั้งวัสดุที่นำเข้ามาประเทศต้นทางก็กำลังจะขึ้นภา
เมื่อกลับมาถึงคอนโด วินตราก็หลับลึก เขาขดตัวอยู่กับเตียงกว้าง ร่างกายถูกห่อด้วยผ้านวมเป็นก้อนคล้ายเกราะกำบัง โผล่เพียงใบหน้าออกมาเล็กน้อย เขานอนจนสมองมึนเบลอ สะดุ้งตื่นขึ้นมานาฬิกาข้างหัวเตียงก็บอกว่าเที่ยงคืนกว่าแล้ว วินตราถอนหายใจอย่างแรงก่อนจะลุกไปอาบน้ำ หาอะไรเบา ๆ รองท้อง ในขณะที่รอน้ำเดือดก็ควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสะพาย แล้วก็เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ แม้จะทำงานร่วมกับท่านประธานมา 3 เดือนกว่า ๆ แล้วแต่ไม่เคยมีสักครั้งที่ไอ้หมอนั่นจะโทรมาหรือส่งข้อความมาจิก ๆ เขาอย่างเคียดแค้นแบบนี้มาก่อน“พรุ่งนี้นายเจอดีแน่!” วินตรามุมปากกระตุกตอนแรกเขาก็ยังรู้สึกผิดที่กดดันอีกฝ่ายมากเกินไปที่ไหนได้…ท่านประธานเฮงซวยยังโดนน้อยไปด้วยซ้ำตั้งแต่วินาทีที่อีกฝ่ายคุกคามเขาด้วยสีหน้าและท่าทางแบบนั้นเส้นเขตแดนระหว่างเจ้านายกับลูกน้องที่ต้องให้ความเคารพยำเกรงอีกฝ่ายก็ขาดผึงลงและเป็นสิ่งที่เขาเกลียดมากที่สุดเกลียดอย่างไหนก็มักจะได้อย่างนั้นจริงๆต่อให้ท่านประธานจะคิดทีเล่นทีจริงก็ช่างแต่มันเล่นกับความรู้สึกของคนมากเกินไปและเลขาอย่างเขาก็มักจะดึงดูดคนประเภทนี้อยู่เสมอทั้งๆที่คิดว่าตีหน้านิ่งไม่เล่นหูเล่นต
ตอนพักเที่ยงท่านประธานก็หนีบเลขาส่วนตัวอย่างเขามาทานอาหารที่ภัตตาคารโรงแรมหรู “นายคงไม่แพ้อะไรใช่ไหม”“ไม่ครับ”“ดี” ไอ้สีหน้าและแววตารวมถึงคางที่วางไว้บนมือประสานกันนั้นดูยังไงก็ไม่ได้มาดี“ตอนบ่ายสองมีนัดประชุมที่ห้องบอลลูมโรงแรม XX” “ฉันรู้แล้ว”อาหารที่บริกรมาเสิร์ฟเรียงรายตรงหน้าทำเอาความอยากอาหารของวินตราหายไปหมดเมื่อกี้เขาเปิดเมนูผ่านๆราคาเซตนี้ 8,000 บาทสำหรับสองท่านวินตราหั่นสเต๊กเข้าปากต่อมลิ้นไม่รับรสเท่าไหร่ไม่เหมือนท่านประธานที่สีหน้าดูแตกต่างจากเมื่อเช้าอย่างสิ้นเชิงมีความสุนทรีย์หากใช้สมองในการทำงานมากกว่าจะกลั่นแกล้งเลขาอย่างเขาก็คงจะดี เมื่อถึงเวลาเช็กบิลก็เป็นอย่างที่วินตราคิดเอาไว้แต่แรกเดนีสกอดอกมองเขาด้วยสีหน้าเยาะเย้ยแต่เพราะเตรียมพร้อมรับมือมาอย่างดีเลยหยิบ Black card จากกระเป๋าเสื้อออกมาส่งให้บริกร “ขอใบกำกับภาษีด้วยครับ” พร้อมกับค้อมหัวน้อยๆให้ท่านประธาน“ขอบคุณที่เลี้ยงนะครับ” เป็นรอยยิ้มที่เสียดสีและบาดตาของเดนีสเป็นอย่างมากตอนแรกเขายังมีรอยยิ้มแววตาขี้เล่นประดับเอาไว้อยู่บ้างแต่พอเห็นอีกฝ่ายหยิบบัตรของเขาออกมาแถมยังโบกมือน้อยๆนั่นแล้ว…“มันไปอยู่กับนาย
วินตรามักจะตอกบัตรเข้างานก่อนเวลาจริงสัก 30 นาทีเป็นประจำไม่ใช่ว่าขยันแต่เพราะบ้านไกลและภาระงานที่มากมายในแต่ละวันไม่ใช่เลขาส่วนตัวอย่างวินตราเพียงเท่านั้นที่มาทำงานเช้าปรียานุชเองก็เช่นกันเธอมีครอบครัวมีลูกวัยอนุบาลจึงต้องออกจากบ้านเร็วเพื่อหลีกเลี่ยงรถติดจะได้ไม่กระทบกับงานทั้งสองคนทักทายกันเป็นปกติดังเช่นทุกวัน“สวัสดีครับคุณนุช”“สวัสดีค่ะคุณวินมาเช้าอีกเช่นเคยนะคะ”“คุณนุชก็เช่นกัน” วินตราตอบไปตามมารยาท “นั่นสิคะวันนี้ไม่รู้ท่านประธานมีงานด่วนอะไรหรือเปล่ามาถึงบริษัทตั้งแต่ 8 โมงเช้า” วินตราที่นั่งเคาะแป้นสองตาโฟกัสที่หน้าจอชะงักก่อนจะเลื่อนเก้าอี้มาสอบถาม“ท่านประธานอยู่ในห้องอย่างนั้นเหรอครับ”“ค่ะรปภ. บอกมา” “ขอตัวนะครับ” วินตราพูดเสร็จก็ลุกขึ้นหยิบแฟ้มเอกสารบนโต๊ะของตัวเองติดมือไปด้วยเคาะหน้าห้องเมื่อได้ยินเสียงอนุญาตก็เข้าไปทันทีวินตราเอ่ยทักทายทำความเคารพเหมือนเช่นทุกวัน“อรุณสวัสดิ์ครับ” “สวัสดีครับ” แต่ภาพที่เห็นทำเอาคุณเลขาแปลกใจอยู่ไม่น้อยกับถ้วยขนมหวานหลายถ้วยบนโต๊ะแถมในมือยังมีเอกสารที่เขาเขียนสรุปต่างๆให้ก่อนหน้าแม้จะแปลกใจกับท่าทางวันนี้แต่สายตาของวินตราก็พบกับคว
“แล้วมึงจะมานั่งทำห่าอะไรตรงนี้โน่นตรงโซฟา” “บ่นเหมือนแม่” เดนีนแขวะ“ตกลงมึงมาทำอะไรที่นี่”“นั่นสิ”“ไอ้นีน” เดนีสตวัดสายตามองอย่างเอาเรื่องเดนีนเลยยกมือสองข้างเป็นเชิงยอมแพ้ก่อนจะเดินนวยนาดไปนั่งที่โซฟาแต่ก็ต้องชะงัก“มาเก็บขนมของมึง” “เหอๆนิสัยเสียขนาดนี้คุณวินตราทนทำงานกับคนประเภทนี้ได้ยังไงครับ หากมาทำกับผม…” สองมือก็ก้มเก็บถ้วยขนมหวานแต่ก็ยังลอยหน้าลอยตาพูดใส่หน้าแฝดพี่ที่ทำทีจ้องคอมพ์ฯเหมือนไม่ใส่ใจแต่ความจริง…“ไอ้นีน” สายตาที่ส่งมานั้นไม่มีความล้อเล่นเป็นสายตาที่ตวัดเหมือนกับว่ากำลังจะถูกแย่งของเล่นในมือไปกดเสียงต่ำพร้อมหน้าตึงแบบนี้เหมือนเป็นการถอยหลังเพื่อกระโดดถีบเดนีนเลิกแหย่เอาขนมไปทิ้งแล้วกลับเข้ามานั่งที่โซฟาด้วยท่าทีสบายๆ “ก็นัดวันหยุดยาวที่จะมีในเดือนหน้าห้าวันนั่นแหละรวมเสาร์-อาทิตย์ไม่ทราบว่าท่านประธานว่างหรือเปล่าครับ” เดนีนถามทีเล่นทีจริงวินตราเปิดตารางในไอแพดก่อนจะลงบันทึกไว้ ‘ว่างพอดี’“ลงตารางงานให้ฉันที่สำคัญนายต้องไปด้วย” “แล้วจะนอนที่ไหนล่ะเป็นแบบบังกะโลส่วนตัวซะด้วย” “มึงจองให้ไอ้พัด?” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “เยสบรรยากาศดีเหมาะกับคู่รักข้าว
เดนีสรู้แค่ว่าการอ่านภาษากาย สีหน้า แววตาช่วยให้เขามีชั้นเชิงในการเจรจาต่อรองธุรกิจมากยิ่งขึ้น คุณเลขาเคยแนะนำหนังสือให้เขาอ่านหลายเรื่องในด้านจิตวิทยาการแสดงออกของคน ท่วงท่า การพูด รวมไปถึงการแต่งกายที่อีกฝ่ายสวมมาในการต่อรองเจรจาธุรกิจ เดนีสเริ่มซึมซับและค่อย ๆ ทำความเข้าใจแต่ละบุคคลที่พบเจอทีละเล็กทีละน้อย อีกอย่างเลขามือทองก็มักจะถามเขาหลังจากเจรจาเสร็จทุกครั้งถึงเรื่องที่ว่า“ท่านประธานคิดว่าคุณXXเป็นยังไงบ้างครับ” การโน้มน้าวการคล้อยตามหรือการชักนำให้เห็นพ้องไปในทางเดียวกัน“แล้วท่านประธานให้คะแนนตัวเองในการเจรจาธุรกิจครั้งนี้กี่คะแนนครับ” ข้อบกพร่องข้อเสียรวมไปถึงท่าทีของฝ่ายตรงข้ามเช่นกันที่จะถูกวิเคราะห์และนำมาหารือหากการเจรจาครั้งนี้ไม่สำเร็จวินตราเหมือนเครื่องจักรกลสมองอัจฉริยะมากกว่าจะเป็นเพียงเลขาบางทีเดนีสก็คิดว่าคนเราแม่งจะรู้ทุกเรื่องได้ยังไงวะแต่วินตรามักจะทำให้เขาต้องอึ้งเสมอจนเผลอถามออกไปอยู่หลายครั้ง“นายได้นอนบ้างหรือเปล่าเนี่ย” ถามอะไรตอบได้เหมือนอับดุลแต่บางครั้งคำตอบที่ตรงเหมือนไม้บรรทัดนั้นบางครั้งก็ทำให้ประธานอย่างเขาหัวร้อนเหมือนกัน พอหัวเสียก็จะพาลมาลงกับ
“ถอยไปเลยไป” “ด่าฉันด้วยสายตาอีกแล้ว” วินตรารีบคลุมสาบเสื้อชุดคลุมของตัวเองรัดสายคาดเอวอย่างแน่นมองอีกฝ่ายด้วยสายตาขุ่นเคืองในกระจกเดนีสก็หอมกระหม่อมคุณเขาซ้ำๆอยู่นั่นไม่สนใจสายตาที่อยากจะสับเขาเป็นชิ้นๆของคุณเลขาในกระจกสักนิดวินตราหวานไปทั้งตัวเหมือนช็อกโกแลตที่ข้างนอกแข็งขึ้นเป็นรูปต่างๆได้แต่พอวางอยู่ในอุ้งมือหรือในโพรงปากก็ละลายออกมาหวานละมุนกลิ่นโกโก้ชั้นดีตีขึ้นในโพรงจมูกจนอยากจะอมไว้ในปากทั้งวันไม่อยากให้ใครได้เห็นได้กลิ่นวินตราเป็นของเขาของเขาคนเดียวเท่านั้นสภาพท่านประธานในตอนนี้เหมือนอยากจะอมหัวเขาเหมือนหมาโกลเด้นที่ออดอ้อนออเซาะเจ้าของไม่รู้จักเบื่อนี่นะเหรอ…ข้าวใหม่ปลามันที่หลายคนพูดถึงแต่วินตราก็ยังเป็นวินตราคนเดิมเขาเป็นคนแสดงออกไม่เก่งแต่ก็ไม่ได้รังเกียจสัมผัสของอีกฝ่ายคนในกระจกเป็นคนแรกและคนเดียวที่วินตราค่อยๆแง้มประตูที่ปิดตายเอาไว้ให้รู้จักตัวตนที่แท้จริงความไม่สมประดีของตัวเองแผลใจไหนจะขยะที่ซุกซ่อนไว้ในใจรวมไปถึงในห้องคอนโดของตัวเองผู้ชายคนนี้ได้รับความรักความอบอุ่นจากครอบครัวจนมันแผ่มาถึงคนนอกอย่างเขาได้ง่ายๆวินตราคิดว่าการอยู่คนเดียวก็ไม่ได้แย่เพราะเขากลัวว่า
“รเร็วกว่านี้” เดนีสยันแขนแต่เอวก็เคลื่อนไหวเนิบช้าแต่ออกสุดตอกจนสุดเช่นกันวินตราแหงนหน้าเมื่อส่วนล่างถูกบดขยี้บี้ซ้ำๆจนสุดโคนจนรู้สึกถึงเส้นขนหยาบแข็งๆกระทบแก้มก้น“เรียกที่รักก่อนสิ” เดนีสซุกที่ซอกคอวินตราพร้อมกับขมเม้มเบาๆก่อนจะงับติ่งหูขาวนั้นดูดดึงจนวินตราครางไม่เป็นภาษาจะหนีไปไหนก็ไม่ได้เดนีสยกยิ้มมุมปาก ‘ติ่งหู’ เป็นอีกจุดที่ไวต่อสัมผัสของคุณเลขาคนสวยวินตราเม้มปากแน่นจนเอื้อมมือไปกำผมของไอ้ประธานเฮงซวยที่ทำตัวขบถแม้กระทั่งจังหวะเข้าด้ายเข้าเข็มอย่างนี้“อึก” เดนีสหัวสั่นหัวคลอนไปตามแรงกระชาก“แม่งนี่นายเล่นกระชากหัวผัวตัวเองเลยเหรอฉันก็ปรนเปรออยู่นี่ไงที่รัก…อย่าใจร้อน” แถมยังแลบเลียริมฝีปากอย่างมาดร้ายเขาสะบัดหัวจากการกอบกุมจัดท่าขาสองข้างพาดบ่าวินตราตอนนี้ตัวจะม้วนกลับหลังอยู่แล้ว “เอาล่ะทำใจดีๆฉันจะแทงไปจนถึงแกนโลกเลยล่ะ” “อะไอ้!” เดนีสเหมือนนั่งยองแทงซ้ำๆดั่งปากว่าจุดกระสันถูกแทงซ้ำๆอย่างนั้นวินตรากัดปากตัวเองอย่างแรงความเสียวตีรื้นขึ้นมาอีกระลอก “มะไม่ไหว” วินตราส่ายหน้าสะบัดไปมาจนผมเผ้ายุ่งเหยิงไปหมดจังหวะที่เร็วและแรงขึ้นส่งทั้งตัวเองและวินตราไปถึงฝั่งฝันอย่างรวดเร็
หรือไม่…อาจไม่เคยเดินสวนทางกันด้วยซ้ำไปเมื่อเห็นวินตราไม่ตอบเดนีสเลยพูดต่ออีกอย่างเขาไม่เชื่อคำสัญญาของวินตราสักเท่าไหร่คุณเลขาของเขาน่ะใจร้ายได้เสมอ“สัญญาว่าจะอยู่เคียงข้างกันไปจนกว่าจะแก่เฒ่า”“นายเอาจริง?” วินตราถามด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยเชื่อถืออีกฝ่ายสักเท่าไหร่ตลอดกาลมีจริงๆเหรอแต่ตอนนี้ไม่มีเวลาให้คิดมากนัก “อือฉันเอาจริงและจริงจังถ้านายกล้าทิ้งฉัน…ฉันจะออกตามหานายสุดล่าฟ้าเขียวจะทิ้งทุกสิ่งไปตามหานายไหนๆฉันก็เป็นคุณชายหัวขบถอยู่แล้ว” วินตราดึงแก้มเขาอย่างแรง“ท่านประธานเอาแต่ใจเกินไปแล้ว”“แล้วรักหรือเปล่าล่ะ” วินตราไม่ตอบได้แต่จ้องมองไปยังนัยน์ตานั้นมองภาพใบหน้าตัวเองที่ฉายชัดอยู่ในนัยน์ตาสองคู่นี้“ต้องคิดด้วยเหรอ” เดนีสเย้าแหย่ วินตรายกหัวจุมพิตข้างริมฝีปากนั้นเบาๆก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “ฉันไม่รู้ว่าความรักเป็นยังไงแต่…กับนายมันพิเศษกว่าคนอื่นและสองมือนี้ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดมันทั้งอบอุ่นและปลอดภัยอ้อมอกนี้ก็เช่นกัน” เดนีสมองวินตราอึ้งๆก่อนจะยิ้มโค้งจนตาหยี“นายรักฉันแหละฉันดูออกมาตั้งนานแล้ว” ริมฝีปากประกบกันอีกครั้งครั้งนี้วินตราโอนอ่อนผ่อนตามเปิดเปลือยให้อีกฝ่ายได้ชักนำแ
“ฉันปวดไหล่” “นายจ่ายไหวเหรอฉันคิดค่าบริการแพงนะ”“จะเท่าไหร่กันเชียวอย่าลืมฉันถือแบล็กการ์ด”“ฮ่าๆ” เดนีสหัวเราะออกมาเสียงดังพร้อมจุมพิตที่แผ่นหลังขาวเนียนนั้นหนึ่งทีเบาๆ “แสบจริงๆใครไม่รู้คงคิดว่านายเป็นเมียฉัน” “ฝันไปเถอะ” “ใจร้าย” นิ้วมือลงน้ำหนักนวดโดยผ่อนแรงลากขึ้นลงเดนีสชอบนวดสปาน้ำมันเขาจึงรู้วิธีการนวดมาบ้าง วินตรานอนใบหน้าข้างหนึ่งแนบที่ท่อนแขนจ้องมองเงาในกระจกที่คุณชายหัวขบถตั้งใจนวดแผ่นหลังให้เขาอย่างมุ่งมั่นวินตรายกยิ้มที่มุมปากบางครั้งท่านประธานของเขาก็ซื่อบื้อของแท้…“สบายหรือเปล่า”“อือ” “ฉันจะบอกให้ไม่มีใครกล้าใช้ฉันนอกจากนาย…วินตราเพราะฉะนั้นเป็นแฟนฉันได้แล้ว”“ไม่”“นี่ฉันจริงจังนะ”“ไม่” เดนีสพลิกร่างวินตราให้นอนหงายโดยที่เขาคร่อมทับเค้นเอาคำตอบอย่างเอาเป็นเอาตายหัวคิ้วขมวดจนเป็นปม“ทำไมเป็นแฟนฉันไม่ดีตรงไหน”“ทุกตรง” “หา…อย่างฉันเนี่ยนะไม่ดีฉันดีมากเลยขอบอก” โอ้อวดตัวเองเก่งเป็นที่หนึ่ง“แล้ว” เดนีสก้มหน้าต่ำกระซิบเสียงแหบต่ำข้างหูคุณเลขา“ฉันก็รักนายอย่างสุดหัวใจ” พร้อมจุมพิตไหล่เปลือยเปล่านั้นแผ่วเบา เดนีสพยายามจ้องหน้าคุณเลขาไม่หลุบตามองต่ำไปมากกว่าน
“นี่ลองชิมดูเป็นไวน์ตัวใหม่ของ ONLY U แอลฯเพียง 6% น้องชายฉันคิดค้นและปรับปรุงมาตลอดจนได้ไวน์รสชาตินี้ออกมาดื่มง่ายลองสิ” วินตรารับไวน์มาจิบอย่างว่าง่ายตอนนี้เขาไม่ได้กินยารักษาสภาพจิตใจแล้วพร้อมกับเข้าตรวจร่างกายชุดใหญ่ตามคำสั่งของท่านประธานวินตราเป็น (New Male) ที่สามารถตั้งครรภ์ได้ก็จริงแต่เพราะปัญหาทางใจที่รุมเร้ามาตลอดเขาเลยมีปัญหาเรื่องฮอร์โมนเรียกได้ว่าฮอร์โมนทำงานได้ไม่เต็มที่มดลูกเลยไม่สามารถพัฒนาได้เต็มที่เหมือนคนเป็นหมันแต่ในอนาคตก็ไม่แน่เรื่องราวภายในของคนเรานั้นซับซ้อนวินตราและเดนีสต่างก็นั่งฟังหมออธิบายรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างเดนีสเองก็เข้าตรวจสุขภาพร่างกายประจำปีด้วยเช่นกัน แม้จะมีแอลกอฮอล์ผสมเพียง 6% แต่ดื่มเองไปเกือบขวดวินตราเองก็มึนๆเหมือนกันนานเท่าไหร่แล้วที่เขาทำตัวอยู่ในกรอบไม่ได้ปล่อยตัวปล่อยใจให้แตะต้องของพวกนี้อีกทั้งยังกินยาต่อเนื่องมาหลายปีทำให้ไม่สามารถดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พวกนี้ได้บางครั้งชีวิตคนเราก็ต้องการรสชาติที่หลากหลายการพบเจอผู้คนเดิมๆงานเดิมๆก็ทำให้ชีวิตซ้ำซากจำเจอยู่เหมือนกัน โลกของเขาที่คับแคบก็เริ่มเปิดกว้างขึ้นมาเมื่อได้เจอกับเดนีสเด
“นายโกหก” น้ำเสียงแผ่วเบาจนสัมผัสถึงของเหลวอุ่นๆที่หยดตรงลาดไหล่ของตัวเองเพราะเดนีสรู้จักวินตราเกินไปต่างหากหากเขายอมปล่อยมือตอนนี้อีกฝ่ายคงหลุดลอยไปไกลอาจไกลเสียจนเขาไม่มีทางตามอีกฝ่ายพบวินตรายังคงเป็นวินตราที่เข้มแข็งโดดเดี่ยวจนถึงขั้นใจดำที่จะหันหลังให้เขาอย่างเลือดเย็นแต่ทว่าเดนีสเองไม่สามารถปล่อยวินตราไปได้ แล้วเขาก็เป็นลูกคนรวยหัวกรวยหัวขบถที่อยากได้อะไรต้องได้ยังไงต้องมีคุณเลขามือทองคนนี้คอยกำราบ! สองแขนของวินตรายกโอบกอดกลับไปเช่นกัน ต่างคนต่างร้องไห้เงียบ ๆ ลูบหลังปลอบประโลมกันอยู่อย่างนั้น“ไปกับฉันที่หนึ่งสิ” เดนีสพูดพลางสูดจมูกไปด้วยเขาไม่อายเลยสักนิดที่จะร้องไห้ออดอ้อนต่อหน้าวินตราวินตราไม่ตอบแต่พยักหน้าเป็นอันว่าตกลงเดนีสยกยิ้มมาดร้ายที่มุมปากคิดจะหนีไปจากเขางั้นเหรอ…ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกวินตรา!เดนีนสบถอย่างหัวเสียเมื่อคุณนิติพลรายงานเรื่องประธานตัวจริงที่ยังมีชีวิตอยู่ขอลาต่ออีกหนึ่งสัปดาห์ตอนนี้ที่บริษัทก็ผ่านช่วงวิกฤตมาได้พร้อมกับกำจัดเห็บไรไปได้หลายตัวแถมยังดำเนินการภายใต้แฝดน้องอย่างเดนีนที่แสร้งตีหน้าขรึมเป็นเดนีสแฝดพี่เพราะความเป็นแฝดที่เหมือนกันจนแทบจะโคลนกัน
“ผมว่าจะขอลาออกครับ” ท่านเจ้าสัวเอนพนักพิงเก้าอี้จ้องมองเด็กหนุ่มตรงหน้าที่ก้มหน้าเอ่ยบอกความต้องการ“แล้วเดนีสล่ะ” วินตราเม้มปากแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรออกไป “วินตราฉันเห็นเธอเป็นลูกเป็นหลานคนหนึ่งอดีตก็คืออดีตฉันยอมรับที่ความสามารถของเธอมากกว่าเรื่องอื่นเป็นรอง” “ผมทราบครับ”“วันไหนที่เธอเปลี่ยนใจกลับมาที่นี่ได้เสมอ” “ครับ” วินตรายกมือไหว้ท่านเจ้าสัวอย่างนอบน้อมตั้งแต่เกิดเรื่องเขาก็เก็บตัวอยู่ที่บ้านท่านเจ้าสัวตลอดตอนนี้เหตุการณ์ทุกอย่างคลี่คลายแล้วเขาเองก็ควรจะมีชีวิตของตัวเองสักที ตอนนั้นที่เขาหนีกบดานเอาชีวิตรอดจากสาสินก็นึกถึงท่านเจ้าสัวเป็นคนแรกตอนแรกก็กล้าๆกลัวเพราะหลักฐานที่มีนอกจากจะไม่สามารถรักษาชีวิตตัวเองได้แล้วหลักฐานพวกนี้อาจจะเป็นเถ้าถ่านในกองไฟก็เป็นได้แต่แล้ววินตราก็ไม่ผิดหวังนึกถึงคำถามนั้นที่ท่านเจ้าสัวได้ให้ไว้กับตัวเอง“ฉันรู้ว่าเธอเองก็ลำบากใจแต่วันไหนที่เธอเข้มแข็งและสามารถหยัดยืนเผชิญหน้ากับเรื่องพวกนี้ได้เมื่อไหร่ขอเพียงเธอเอ่ยปากฉันจะช่วยเธออย่างสุดความสามารถ” ตอนนั้นวินตรายังคิดไม่ตกอย่างที่เคยบอกเหตุการณ์เหล่านั้นกัดกินใจเขาจนแทบไม่เป็นผู้เป็นคนวินตราเด็
การออกมาปรากฏตัวและให้สัมภาษณ์สื่อของวินตราในฐานะเหยื่อสร้างแรงกระเพื่อมให้กับสังคมอย่างมหาศาลเด็กทุนที่ลังเลที่เคยตกเป็นเหยื่อไม่กล้าเปิดเผยตัวและผู้คนที่ถูกคุกคามทางเพศไม่ว่าจะเป็นบ้านที่ทำงานสถานศึกษาต่างก็ตบเท้าเข้ามาให้ปากคำอย่างไม่ขาดสาย ต่างก็แชร์เรื่องราวของตัวเองผ่านโลกออนไลน์สร้างความตื่นตัวและตระหนักรู้ในสังคมเป็นอย่างมากอย่าอายจนลืมที่จะเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเองไม่ว่าจะอยู่ในฐานะไหนก็ไม่มีใครควรถูกคุกคามทางเพศ!วินตรายืนอยู่ตรงหน้าช่องบรรจุอัฐของวัดแห่งหนึ่งย่านปริมณฑลก่อนตายจินตะได้พูดว่าอยากจะบวชสักครั้งก่อนตายแต่ก็ไม่สามารถทำได้อย่างใจนึกวินตราจึงตัดสินใจควักเงินเก็บตัวเองก้อนใหญ่ออกมาซื้อสถานที่จัดเก็บอิฐเอาไว้ตามปรารถนาสุดท้ายของจินตะตอนนั้นวินตราเป็นเพียงนักศึกษาปริญญาตรีปีหนึ่งคนหนึ่งไม่รู้เลยว่าในโลกนี้มีการจัดเก็บอัฐิไว้ 4 รูปแบบด้วยกันคือ1.) ช่องจัดเก็บอิฐตามกำแพงวัด2.) จัดเก็บตามเสาไฟของวัด3.) จัดเก็บตามอาคารศาลาหรือกุฏิซึ่งจะเตรียมช่องจัดเก็บอัฐิไว้บนขื่อหรือหน้าประตูตามความเหมาะสมของสถานที่4.) ห้องไว้สำหรับจัดเก็บอัฐิโดยเฉพาะซึ่งสถานที่จะเป็นที่จัดเก
ก้องการุณย์ลั่นไกโดยที่ไม่ต้องคิดเมื่อเจนจัดหันปลายกระบอกปืนมายังผู้บริสุทธิ์ที่ด้านล่างแม้จะเล็งที่ข้อมือข้างที่ถือปืนแต่ไม่คิดมาก่อนเลยว่าเจนจัดจะถนัดยิงปืนทั้งสองข้างอีกฝ่ายตะเกียกตะกายพลิกร่างกายอย่างรวดเร็วจ่อปากกระบอกปืนที่ขมับของตัวเองคนอย่างเจนจัดไม่มีทางจนตรอกหากจะตายก็ต้องตายด้วยน้ำมือตัวเองเท่านั้น…ปัง! แต่ทว่าสวรรค์คงมีตาไม่อยากให้คนชั่วได้ตายง่ายๆแม้ว่าจะเล็งที่ขมับของตัวเองแต่ก็พลาดเฉียดไปเท่านั้นงานนี้เจนจัดได้นอนทรมานติดเตียงยาวนานพอที่จะลิ้มรสความทุกข์และบาปกรรมที่ได้ทำลงไปอย่างเต็มที่แม้อยากจะตายก็ตายไม่ได้อยู่ฟังเสียงผู้คนก่นด่าสาปแช่งและประณามจนกว่าจะตายจากกันไปข้างหนึ่ง ศิราณีเองก็ร่ำไห้ปานจะขาดใจเธอไม่ได้ร้องไห้ให้กับไอ้สามีเฮงซวยนั้นแต่ร้องไห้ให้กับความขี้ขลาดของตัวเองหากเธอกล้ายืนหยัดและเชื่อในคำพูดของลูกชายตั้งแต่เนิ่นๆเรื่องราวคงไม่บานปลายจนมาถึงขั้นนี้ไอ้เจนจัดทำลูกคนอื่นไม่พอยังทำลูกตัวเองด้วยสารเลว! แม้จะไม่ใช่การล่วงละเมิดทางเพศแต่การลูบคลำก็ทำให้ลูกชายและลูกสาวมีแผลใจและรังเกียจพ่อตัวเองหมามันยังไม่คิดอกุศลกับลูกตัวเองศิราณีปิดหน้าร่ำไห้กับพื้นอย่าง