จากนั้นเป็นต้นมาชิดชนกพยายามอย่างที่สุดที่จะเลี่ยงภาดาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะดูเหมือนเขาจะอยู่บ้านตลอดเวลา เธอก็เช่นกัน
เธอส่งอีเมลแนะนำตัวเองไปยังโรงเรียนต่าง ๆ ทั้งที่อยู่ใกล้และไกลแม้แต่โรงเรียนที่ไม่ได้ประกาศรับสมัครครู เธอก็ส่งไปเผื่อไว้ เธอรู้สึกอึดอัดกับการอยู่ที่นี่มากจนขยายขอบเขตการหางานไปยังจังหวัดอื่นด้วย
พ่อแม่ของเธอเสียหมดแล้ว ดังนั้นเธอจึงเหลือน้องสาวคนเดียวที่เป็นครอบครัวของเธอ ชิดจันทร์แต่งงานกับภีรพล เห็นว่าเธออยู่กรุงเทพฯ คนเดียว จึงชักชวนเธอให้มาอยู่ที่ไร่ด้วยกัน ชิดชนกตอบตกลงเพราะอยากอยู่ใกล้กับน้องสาว
ถ้าหากว่ามีแค่ชิดจันทร์กับภีรพลอยู่ในบ้าน เธอคงรู้สึกยินดีและสบายใจที่จะใช้เวลาหางานที่เหมาะสมซึ่งจะทำให้เธออยู่ใกล้ ๆ ครอบครัวได้
แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน เธอถึงจุดที่อยากจะออกจากบ้านหลังนี้ให้เร็วที่สุด แต่เธอไม่มีเงินพอที่จะกลับไป และก็ไม่มีอะไรให้กลับไปอยู่แล้วเช่นกัน เธอจึงยอมรับว่าต้องรับงานใด ๆ ก็ตามที่เข้ามาเพื่อให้พ้นจากชายคาของพ่อเลี้ยงภาดาให้ได้ ดังนั้นเธอจึงพยายามต่อไป โดยไม่ยอมท้อแท้แม้ว่าจะยังไม่ได้รับคำตอบใด ๆ
หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายตอนอาหารเที่ยง ชิดชนกต้องยอมรับว่า ภาดานั้นเป็นคนที่ระมัดระวังตัวมาก ยกเว้นรอยยิ้มเย้ยหยันที่แฝงอยู่ใต้ริมฝีปากของเขาเมื่อใดก็ตามที่เธอเผลอเหลือบมองเขา และน้ำเสียงของเขาที่ใช้พูดกับเธอก็แทบจะถึงขั้นไม่เหมาะสม แต่โชคดีที่ดูเหมือนจะมีเพียงเธอคนเดียวที่สังเกตเห็น ชิดจันทร์และภีรพลต่างจมอยู่กับความรักของพวกเขาจนไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว เธอไม่แน่ใจว่านั่นเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่
วันหนึ่งในช่วงบ่าย เมื่อเธอให้เวลาพักผ่อนกับตัวเองสักสองสามชั่วโมงหลังจากเขียนจดหมายแนะนำตัวและสอบถามเกี่ยวกับงานที่เธอรู้ว่าไม่น่าจะได้ผล เธอพบกับภีรพลและชิดจันทร์ที่กำลังเดินจูงมือกันผ่านโถงทางเดินไปยังประตูหน้า ดูเหมือนพวกเขากำลังจะออกไปข้างนอกในช่วงบ่าย
“เราจะไปขี่ม้าและปิกนิกกัน พี่อยากไปด้วยกันไหมครับ” ภีรพลชักชวน
ชิดชนกยิ้ม “ขอบคุณสำหรับคำชวน แต่ฉันขี่ม้าไม่เป็น”
ทั้งคู่ดูผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าพวกเขาคงจะมีความสุขมากขึ้นถ้าได้อยู่ด้วยกันเพียงสองคน
“ว้า...น่าเสียดายจัง พี่ภีมสอนจันทร์ขี่ม้า ใช้เวลาสักพัก แต่ตอนนี้จันทร์ขี่คล่องแล้ว” ชิดจันทร์ทำหน้าบึ้งอย่างน่ารัก
“ถ้าอย่างนั้นพี่คงต้องรบกวนความใจดีของน้องเขยซะแล้วล่ะ ถ้าจะยินดีสอนพี่ด้วย”
ภีรพลทำท่าโค้งคำนับ “เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ แต่ถ้าพี่ไม่อยากรอ พี่ภาดาก็อยู่แถวนี้วันนี้ และเขาเป็นครูที่เก่งมาก เขาเป็นคนสอนผม พี่ภาดามีความอดทนมากกว่าที่คิดนะครับ แล้วก็รักการขี่ม้า ผมว่าเพราะอย่างนี้เขาถึงสอนได้ดี”
ชิดชนกแทบจะไม่สามารถกลั้นเสียงหัวเราะแห้ง ๆ ได้เมื่อได้ยินสิ่งที่ภีรพลพูดเกี่ยวกับพี่ชายของเขา แม้ว่าจะเป็นปฏิกิริยาแรกของเธอก็ตาม แต่แทนที่จะทำเช่นนั้น เธอยิ้มและพูดว่า
“พี่รอนายได้ไม่เป็นไร ถ้านายไม่ติดอะไรนะ”
ภีรพลยักไหล่ “แล้วแต่พี่เลยครับ ถ้าอย่างนั้นเราจะเริ่มเรียนกันอาทิตย์นี้แล้วกันนะครับ”
“จ้ะ”
ชิดชนกพยักหน้าและส่งพวกเขาไป ทั้งคู่เดินจูงมือไปที่คอกม้า เธอหวังว่าสักวันหนึ่งเธอจะพบคนที่รักเธอแบบที่น้องสาวของเธอเจอมาแล้ว คนที่ความรักของเขาสามารถเห็นได้จากแววตาทุกครั้งที่เขามองเธอ แม้ในยามที่รู้ว่ามีคนกำลังจ้องมองอยู่
แต่ในตอนนี้ เธอแค่อยากจะออกไปจากที่นี่
เธอเดินไปที่ครัวเพื่อบอกแม่ครัวประจำบ้านว่าเธอจะเป็นคนเดียวที่ทานอาหารกลางวันที่บ้าน แต่หญิงชราที่แสนใจดีและเป็นมิตรคนนั้นกลับแก้ไขข้อมูลของเธอ
“อาหารเกือบพร้อมแล้วค่ะคุณชิดชนก แต่คุณไม่ใช่คนเดียวหรอก พ่อเลี้ยงจะอยู่บ้านด้วย เขาบอกป้าเมื่อเช้านี้ค่ะ”
จากเดิมที่คิดจะนั่งกินข้าวคนเดียวให้สบายใจ คราวนี้ชิดชนกสงสัยว่าควรจะแกล้งปวดท้องหรือปวดหัวเพื่อหลีกเลี่ยงเจ้าของบ้านหนุ่มดีไหม
ทันใดนั้นประตูบ้านก็เปิดออก ร่างสูงใหญ่ก็ก้าวเข้ามา ก่อนที่เธอจะมีโอกาสตัดสินใจ
เนื้อตัวของภาดาเปรอะเปื้อนคราบดินตั้งแต่หัวจรดเท้า เสื้อเชิ้ตเข้ารูปขับเน้นมัดกล้ามและช่วงไหล่กว้าง กางเกงยีนที่พอดีตัวอย่างน่าประหลาด และหมวกเก่า ๆ ทั้งหมดนี้เมื่อรวมอยู่บนตัวชายหนุ่ม กลับดูดีอย่างไม่น่าเชื่อ
“ขอฉันไปล้างตัวสักหน่อย แล้วจะมากินมื้อเที่ยงกับเธอ”
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณ…”
ยังไม่ทันจะพูดจบ ร่างสูงใหญ่ก็หายไปแล้ว
ชิดชนกรีบเข้าไปประจบแม่บ้านทันที แต่ไม่ว่าจะอ้อนวอนแค่ไหน นางก็ไม่ยอมขึ้นไปรายงานเจ้าของบ้านหนุ่มว่าเธอจะขอรับถาดอาหารขึ้นไปกินบนห้องเองได้
“ป้ากำลังเตรียมอาหารอยู่ค่ะ คุณชิดชนก ถ้าคุณอยากให้พ่อเลี้ยงรู้เรื่องนั้น ป้าขอโทษด้วย แต่คุณต้องขึ้นไปบอกพ่อเลี้ยงเอง”
ไปบอกเขาด้วยตัวเองเหรอ…เธอไม่อยากเจอหน้าเขา ไม่มีทางที่เธอจะไปที่ห้องนอนของเขาเด็ดขาด!
แต่เธอก็ไม่อยากทานอาหารกลางวันกับเขาเพียงสองคนเช่นกัน
ในที่สุดเธอก็เดินกลับไปมาที่ด้านล่างของบันได และก่อนที่เธอจะรู้ตัว ชายหนุ่มก็ลงมาถึงครึ่งทางแล้ว ดูสะอาดขึ้นมาก และเธอเกลียดที่จะยอมรับว่าเขาดูหล่อเหลาอย่างน่าประทับใจในชุดเสื้อยืดสีขาวสวมทับด้วยเสื้อเชิ้นลายสก็อตสีน้ำเงินเข้ม กับกางเกงยีนตัวใหม่
หญิงสาวยืนนิ่งราวกับถูกสะกด มองชายหนุ่มอย่างโง่เขลา กว่าจะรู้ตัวว่าเสียโอกาสที่จะหลบหนีไปโดยไม่ถูกยิ้มเยาะก็สายเสียแล้ว
เธอเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย เรียกศักดิ์ศรีตัวเองกลับมา ตัดสินในที่จะเผชิญหน้ากับชายหนุ่ม ยอมทานอาหารกับเขาดีกว่าให้เขาคิดว่าเธอเป็นคนขี้ขลาด แม้ว่าบางครั้งเธอจะเป็นเช่นนั้น โดยเฉพาะเมื่ออยู่ใกล้ ๆ เขาก็ตาม
เมื่อไปถึงห้องอาหาร ชิดชนกเดินไปที่นั่งปกติของเธอ แต่ภาดากลับมายืนอยู่หลังที่นั่งปกติของชิดจันทร์และกระแอมเสียงดัง
ชิดชนกที่กำลังจะนั่งลง ถอนหายใจอย่างไม่พอใจและย้ายไปนั่งตรงที่นั่งทางซ้ายของชายหนุ่ม ก่อนที่เขาจะนั่งลงบนเก้าอี้ใหญ่ของตัวเอง
ชิดชนกไม่รู้ตัวว่าหิวจนกระทั่งได้กลิ่นอาหารที่ถูกนำมาเสิร์ฟ สเต็กจากไร่ที่ย่างได้ที่พอดี ปรุงด้วยกระเทียมและเครื่องเทศ ขนมปังร้อน ๆ ที่เพิ่งทำสด ๆ เมื่อเช้านี้ หอมใหญ่ทอด มันฝรั่งบด รวมทั้งชาเย็นและกาแฟเธอไม่คิดว่าเธอจะเคยชินกับปริมาณอาหารที่ครอบครัวนี้บริโภคในหนึ่งมื้อ และเกือบสองในสามของอาหารนั้นถูกบริโภคโดยเจ้าบ้านแต่แล้วเธอก็คิดว่าเขาต้องใช้พลังงานทั้งหมดนั้นไปกับการทำงานในไร่ แน่นอนว่าเพราะดูเหมือนจะไม่มีไขมันส่วนเกินบนตัวเขาเลย มีแต่มัดกล้ามแข็ง ๆ ไปทุกสัดส่วนก่อนที่เธอจะเอื้อมไปหยิบจานสเต็กที่อยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มก็คว้าจานของเธอไปและจัดอาหารให้ โดยเลือกเนื้อชิ้นเล็กกับเครื่องเคียงอื่น ๆ ในปริมาณที่เหมาะสม แล้วส่งจานกลับมาให้เธอ“ฉันอยากให้เธอกินให้หมด เธอกับน้องสาวกินเหมือนนก มาอยู่กลางไร่กลางป่าแบบนี้ ต้องสะสมพลังงานสำรองไว้บ้างเผื่อเหตุการณ์ไม่คาดคิด”แม้ว่าเธอจะรู้ว่าเขาลดปริมาณอาหารลงจากที่เขาจะกินเอง แต่ก็ยังเป็นปริมาณที่มากเกินไป“ฉันกินทั้งหมดนี้ไม่ไหวแน่ มันจะทำให้ฉันป่วย และนั่นก็จะทำให้จุดประสงค์คุณเสียไป”ภาดาหัวเราะกับคำพูดของหญิงสาว เสียงหัวเราะทุ้มลึกที่ทำให้ชิด
ทั้งคู่นิ่งเงียบไปชั่วขณะ ชิดชนกมองไปที่จุดหนึ่งบนผนังด้านตรงข้าม ส่วนภาดามองเธออย่างเปิดเผย มือของเขาวางอยู่ที่หลังบอบบาง ราวกับกำลังประคองคนบนตักไว้“เจ็บไหมมากไหม” เสียงทุ้มถามเบา ๆคำถามของเขาทำให้ชิดชนกเหลือบมอง และเธอพบว่าดวงตาคมเข้มใสกระจ่าง ไม่มีร่องรอยของความโกรธหรือการเหน็บแนมใด ๆ บนใบหน้า ตอนแรกเธอปฏิเสธที่จะตอบ แต่เธออยู่ใกล้เขาพอที่จะเห็นเมื่อเขายักคิ้ว และรู้ว่าเขาดื้อพอที่จะรอเธอได้เช่นกัน“ไม่ค่ะ” เธอตอบเสียงเบา ๆ ในอกรู้สึกแปลก ๆ ที่ต้องอยู่ในท่านี้กับชายหนุ่ม“ฉันขอโทษที่ก้าวก่ายเรื่องของเธอ แต่ฉันไม่อยากปล่อยเธอไปเมื่อเธอแทบไม่ได้กินอะไรเลย และฉันรู้ว่าฉันเป็นสาเหตุโดยตรงของเรื่องนั้นอย่างน้อยสองครั้ง ฉันขอโทษ คำพูดของฉันไม่เหมาะสมจริง ๆ โปรดยกโทษให้ฉัน”คำขอโทษของเขาฟังดูจริงใจ และมารยาทที่ดีเป็นพื้นฐานของบ้านที่เธอและชิดจันทร์เติบโตมา มันจะเป็นการไม่สุภาพหากเธอไม่ยอมรับคำขอโทษของเขา“ฉันยกโทษให้คุณ” เธอกระซิบ มองลงไปที่มือของเธอที่วางอยู่บนตัก“ขอบใจ เธอใจดีมากกว่าที่ฉันสมควรได้รับ”อีกครั้งที่ชิดชนกไม่พบร่องรอยของการเยาะเย้ยหรือความไม่จริงใจในน้ำเสียง แม้ว่าเธอจะ
เธอไม่ทันได้เห็นหรือได้ยินเสียงเขาเข้ามาเลย จนกระทั่งถูกแขนใหญ่ ๆ กอดรัดเอาไว้แน่น แขนของเธอถูกกดทับไว้ข้างลำตัวอย่างไม่มีทางขยับ ปืนในมือถูกกระชากออกไปอย่างง่ายดาย เธอแทบไม่ได้ยินเสียงกระสุนที่ถูกปลดออกและหล่นลงบนฝ่ามือของเขาเลย และก่อนที่เธอจะรู้ตัว เขาก็เก็บปืนเข้าโฮลสเตอร์เรียบร้อยแล้ว ด้วยท่าทางคล่องแคล่วเท้าที่สวมรองเท้าบูทถูกยกไปวางบนเก้าอี้ แล้วดึงคนตัวเล็กลงนอนคว่ำบนบนตักอย่างรวดเร็วไม่ทันแม้กระทั่งจะได้ตั้วตัว“ว้าย!”ชิดชนกร้องเสียงหลง รู้สึกอับอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี เมื่อท้องของเธอไปกระแทกกับต้นขาแข็ง ๆ แต่ในตอนนั้น เธอยังไม่รู้เลยว่าโชคชะตาที่น่าอับอายกว่านี้กำลังรอเธออยู่กระโปรงของเธอถูกดันขึ้นสูงจนเห็นชายผ้าที่เริ่มขาดรุ่ยของชุดที่เธอชอบที่สุด เธอคิดว่าเขาคงหยุดแค่นี้ นี่มันก็แย่พอแล้วและไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่เขาจะเห็นเธอในชุดชั้นใน แต่เขาคงไม่ทำอะไรมากไปกว่านี้หรอกมั้ง…เขาเป็นสุภาพบุรุษไม่ใช่หรือ อย่างน้อยเขาก็ทำตัวเป็นแบบนั้น...หญิงสาวพยายามจะดิ้นรนต่อสู้อย่างเงียบ ๆ เพื่อไม่ให้ใครได้ยินเสียงและเข้ามาพบพวกเขาในสภาพที่ไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นคนใช้หรือสมาชิกในครอบค
“ไม่เคย ฉันไม่เคยเห็นมันมาก่อนด้วยซ้ำ นั่นแหละที่ทำให้ฉันสนใจมัน”ชิดชนกรู้ดีว่าเธอควรจะควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้ได้ หรืออย่างน้อยก็ควบคุมน้ำเสียงให้เหมาะสม แต่การที่ฝ่ามือของชายหนุ่มฟาดลงบนก้นเธออีกครั้งก็เป็นเครื่องเตือนใจที่เธอคงไม่สามารถลืมมันได้“ถ้าอย่างนั้น เธอยิ่งไม่ควรจะไปยุ่งกับมันเลย ปืนของฉันไกนุ่มมาก และเธอกำลังเล็งมันไปที่เท้าของตัวเอง เธออยากจะเดินกะเผลกไปมาหน้าห้องเรียนของเธอหรือไง ถ้าเธอได้งานสอนสักที”ความดูถูกและความไม่ชอบที่เขามีต่อเธอแทบจะทำให้เธอร้องไห้อีกครั้ง แต่เธอก็ตั้งสติและพยายามไม่ให้เขามองเห็นว่าเธอเสียใจเพราะสิ่งที่เขาพูด มันแย่พอแล้วที่เขาทำให้เธอต้องร้องไห้ตอนที่เขาตีเธอ แต่ตอนนั้นเธอทำอะไรไม่ได้ เพราะมันเจ็บจริง ๆเธอไม่รู้ว่าเธอทำอะไรผิดถึงทำให้เขาไม่พอใจ เธอมาอยู่ใต้ชายคาเขาได้ไม่ถึงวัน และนอกจากตอนนี้ เธอเจอเขาแค่ที่โต๊ะอาหารเย็น ซึ่งเขาพูดกับเธอไม่เกินสองคำ คำแรกคือ ‘สวัสดี’ และอีกคำคือ ‘ราตรีสวัสดิ์’ เมื่อเขาลุกจากโต๊ะทันทีหลังอาหารและหายเข้าไปในห้องที่พวกเขากำลังอยู่ตอนนี้เมื่อเธอตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น เขาก็หายไปแล้ว ภีรพล น้องชายของเขา หรื
หัวใจของเขาแทบจะหยุดเต้นในขณะที่เดินข้ามห้องไปหาเธอ แต่เขารู้ว่าเธอไม่ได้ยินเสียงเขา ซึ่งเป็นผลจากการที่เขาเคยเป็นนักล่าและผู้วางกับดักที่เก่งมาตั้งแต่เด็ก ในใจได้แต่ภวนาว่าเขาจะไปถึงตัวเธอได้ก่อนที่เธอจะทำอะไรโง่ ๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ไม่ว่าจะกับตัวเธอเอง กับเขา หรือกับคนที่อาจโดนกระสุนพลาดภาดายอมรับว่าเขาไม่ควรตีเธอ แต่เขายอมแพ้ต่อสัญชาตญาณดิบ ๆ ที่ต้องการให้เธอตระหนักถึงความร้ายแรงของสิ่งที่เธอกำลังทำภีรพลน้องชายของเขาอาจจะเพียงแค่ตะโกนด่า แต่ภีรพลเป็นสุภาพบุรุษมากกว่าเขาเสมอ ภีรพลเกิดมาในช่วงที่ครอบครัวเริ่มมีเงินทอง และในฐานะลูกคนเล็ก เขาได้รับการอบรมและเลี้ยงดูอย่างประคบประหงมมากกว่าภาดาที่เป็นลูกคนโตคิ้วดกดำสองข้างขมวดเข้าหากัน ขณะที่เขากำลังลงมือตีเธอ เขาไม่ได้สังเกตสภาพเสื้อผ้าของเธอมากนัก แต่เมื่อนึกย้อนกลับไป เขาก็ตระหนักได้ว่าเสื้อผ้าทุกชิ้นที่เธอสวมใส่อยู่ไม่เพียงแต่ล้าสมัย แต่ยังเก่าจนแทบไม่เหมาะสมที่จะสวมใส่ โดยเฉพาะกางเกงชั้นในของเธอทว่าทันใดนั้น เขาก็ตกใจเล็กน้อยเมื่อตระหนักว่าผู้หญิงตัวเล็กแบบเธอเป็นสิ่งที่ดึงดูดเขาอย่างมาก แต่ความจริงนี้
ทั้งคู่นิ่งเงียบไปชั่วขณะ ชิดชนกมองไปที่จุดหนึ่งบนผนังด้านตรงข้าม ส่วนภาดามองเธออย่างเปิดเผย มือของเขาวางอยู่ที่หลังบอบบาง ราวกับกำลังประคองคนบนตักไว้“เจ็บไหมมากไหม” เสียงทุ้มถามเบา ๆคำถามของเขาทำให้ชิดชนกเหลือบมอง และเธอพบว่าดวงตาคมเข้มใสกระจ่าง ไม่มีร่องรอยของความโกรธหรือการเหน็บแนมใด ๆ บนใบหน้า ตอนแรกเธอปฏิเสธที่จะตอบ แต่เธออยู่ใกล้เขาพอที่จะเห็นเมื่อเขายักคิ้ว และรู้ว่าเขาดื้อพอที่จะรอเธอได้เช่นกัน“ไม่ค่ะ” เธอตอบเสียงเบา ๆ ในอกรู้สึกแปลก ๆ ที่ต้องอยู่ในท่านี้กับชายหนุ่ม“ฉันขอโทษที่ก้าวก่ายเรื่องของเธอ แต่ฉันไม่อยากปล่อยเธอไปเมื่อเธอแทบไม่ได้กินอะไรเลย และฉันรู้ว่าฉันเป็นสาเหตุโดยตรงของเรื่องนั้นอย่างน้อยสองครั้ง ฉันขอโทษ คำพูดของฉันไม่เหมาะสมจริง ๆ โปรดยกโทษให้ฉัน”คำขอโทษของเขาฟังดูจริงใจ และมารยาทที่ดีเป็นพื้นฐานของบ้านที่เธอและชิดจันทร์เติบโตมา มันจะเป็นการไม่สุภาพหากเธอไม่ยอมรับคำขอโทษของเขา“ฉันยกโทษให้คุณ” เธอกระซิบ มองลงไปที่มือของเธอที่วางอยู่บนตัก“ขอบใจ เธอใจดีมากกว่าที่ฉันสมควรได้รับ”อีกครั้งที่ชิดชนกไม่พบร่องรอยของการเยาะเย้ยหรือความไม่จริงใจในน้ำเสียง แม้ว่าเธอจะ
ชิดชนกไม่รู้ตัวว่าหิวจนกระทั่งได้กลิ่นอาหารที่ถูกนำมาเสิร์ฟ สเต็กจากไร่ที่ย่างได้ที่พอดี ปรุงด้วยกระเทียมและเครื่องเทศ ขนมปังร้อน ๆ ที่เพิ่งทำสด ๆ เมื่อเช้านี้ หอมใหญ่ทอด มันฝรั่งบด รวมทั้งชาเย็นและกาแฟเธอไม่คิดว่าเธอจะเคยชินกับปริมาณอาหารที่ครอบครัวนี้บริโภคในหนึ่งมื้อ และเกือบสองในสามของอาหารนั้นถูกบริโภคโดยเจ้าบ้านแต่แล้วเธอก็คิดว่าเขาต้องใช้พลังงานทั้งหมดนั้นไปกับการทำงานในไร่ แน่นอนว่าเพราะดูเหมือนจะไม่มีไขมันส่วนเกินบนตัวเขาเลย มีแต่มัดกล้ามแข็ง ๆ ไปทุกสัดส่วนก่อนที่เธอจะเอื้อมไปหยิบจานสเต็กที่อยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มก็คว้าจานของเธอไปและจัดอาหารให้ โดยเลือกเนื้อชิ้นเล็กกับเครื่องเคียงอื่น ๆ ในปริมาณที่เหมาะสม แล้วส่งจานกลับมาให้เธอ“ฉันอยากให้เธอกินให้หมด เธอกับน้องสาวกินเหมือนนก มาอยู่กลางไร่กลางป่าแบบนี้ ต้องสะสมพลังงานสำรองไว้บ้างเผื่อเหตุการณ์ไม่คาดคิด”แม้ว่าเธอจะรู้ว่าเขาลดปริมาณอาหารลงจากที่เขาจะกินเอง แต่ก็ยังเป็นปริมาณที่มากเกินไป“ฉันกินทั้งหมดนี้ไม่ไหวแน่ มันจะทำให้ฉันป่วย และนั่นก็จะทำให้จุดประสงค์คุณเสียไป”ภาดาหัวเราะกับคำพูดของหญิงสาว เสียงหัวเราะทุ้มลึกที่ทำให้ชิด
จากนั้นเป็นต้นมาชิดชนกพยายามอย่างที่สุดที่จะเลี่ยงภาดาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะดูเหมือนเขาจะอยู่บ้านตลอดเวลา เธอก็เช่นกันเธอส่งอีเมลแนะนำตัวเองไปยังโรงเรียนต่าง ๆ ทั้งที่อยู่ใกล้และไกลแม้แต่โรงเรียนที่ไม่ได้ประกาศรับสมัครครู เธอก็ส่งไปเผื่อไว้ เธอรู้สึกอึดอัดกับการอยู่ที่นี่มากจนขยายขอบเขตการหางานไปยังจังหวัดอื่นด้วยพ่อแม่ของเธอเสียหมดแล้ว ดังนั้นเธอจึงเหลือน้องสาวคนเดียวที่เป็นครอบครัวของเธอ ชิดจันทร์แต่งงานกับภีรพล เห็นว่าเธออยู่กรุงเทพฯ คนเดียว จึงชักชวนเธอให้มาอยู่ที่ไร่ด้วยกัน ชิดชนกตอบตกลงเพราะอยากอยู่ใกล้กับน้องสาวถ้าหากว่ามีแค่ชิดจันทร์กับภีรพลอยู่ในบ้าน เธอคงรู้สึกยินดีและสบายใจที่จะใช้เวลาหางานที่เหมาะสมซึ่งจะทำให้เธออยู่ใกล้ ๆ ครอบครัวได้แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน เธอถึงจุดที่อยากจะออกจากบ้านหลังนี้ให้เร็วที่สุด แต่เธอไม่มีเงินพอที่จะกลับไป และก็ไม่มีอะไรให้กลับไปอยู่แล้วเช่นกัน เธอจึงยอมรับว่าต้องรับงานใด ๆ ก็ตามที่เข้ามาเพื่อให้พ้นจากชายคาของพ่อเลี้ยงภาดาให้ได้ ดังนั้นเธอจึงพยายามต่อไป โดยไม่ยอมท้อแท้แม้ว่าจะยังไม่ได้รับคำตอบใด ๆหลังจากเหตุกา
หัวใจของเขาแทบจะหยุดเต้นในขณะที่เดินข้ามห้องไปหาเธอ แต่เขารู้ว่าเธอไม่ได้ยินเสียงเขา ซึ่งเป็นผลจากการที่เขาเคยเป็นนักล่าและผู้วางกับดักที่เก่งมาตั้งแต่เด็ก ในใจได้แต่ภวนาว่าเขาจะไปถึงตัวเธอได้ก่อนที่เธอจะทำอะไรโง่ ๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ไม่ว่าจะกับตัวเธอเอง กับเขา หรือกับคนที่อาจโดนกระสุนพลาดภาดายอมรับว่าเขาไม่ควรตีเธอ แต่เขายอมแพ้ต่อสัญชาตญาณดิบ ๆ ที่ต้องการให้เธอตระหนักถึงความร้ายแรงของสิ่งที่เธอกำลังทำภีรพลน้องชายของเขาอาจจะเพียงแค่ตะโกนด่า แต่ภีรพลเป็นสุภาพบุรุษมากกว่าเขาเสมอ ภีรพลเกิดมาในช่วงที่ครอบครัวเริ่มมีเงินทอง และในฐานะลูกคนเล็ก เขาได้รับการอบรมและเลี้ยงดูอย่างประคบประหงมมากกว่าภาดาที่เป็นลูกคนโตคิ้วดกดำสองข้างขมวดเข้าหากัน ขณะที่เขากำลังลงมือตีเธอ เขาไม่ได้สังเกตสภาพเสื้อผ้าของเธอมากนัก แต่เมื่อนึกย้อนกลับไป เขาก็ตระหนักได้ว่าเสื้อผ้าทุกชิ้นที่เธอสวมใส่อยู่ไม่เพียงแต่ล้าสมัย แต่ยังเก่าจนแทบไม่เหมาะสมที่จะสวมใส่ โดยเฉพาะกางเกงชั้นในของเธอทว่าทันใดนั้น เขาก็ตกใจเล็กน้อยเมื่อตระหนักว่าผู้หญิงตัวเล็กแบบเธอเป็นสิ่งที่ดึงดูดเขาอย่างมาก แต่ความจริงนี้
“ไม่เคย ฉันไม่เคยเห็นมันมาก่อนด้วยซ้ำ นั่นแหละที่ทำให้ฉันสนใจมัน”ชิดชนกรู้ดีว่าเธอควรจะควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้ได้ หรืออย่างน้อยก็ควบคุมน้ำเสียงให้เหมาะสม แต่การที่ฝ่ามือของชายหนุ่มฟาดลงบนก้นเธออีกครั้งก็เป็นเครื่องเตือนใจที่เธอคงไม่สามารถลืมมันได้“ถ้าอย่างนั้น เธอยิ่งไม่ควรจะไปยุ่งกับมันเลย ปืนของฉันไกนุ่มมาก และเธอกำลังเล็งมันไปที่เท้าของตัวเอง เธออยากจะเดินกะเผลกไปมาหน้าห้องเรียนของเธอหรือไง ถ้าเธอได้งานสอนสักที”ความดูถูกและความไม่ชอบที่เขามีต่อเธอแทบจะทำให้เธอร้องไห้อีกครั้ง แต่เธอก็ตั้งสติและพยายามไม่ให้เขามองเห็นว่าเธอเสียใจเพราะสิ่งที่เขาพูด มันแย่พอแล้วที่เขาทำให้เธอต้องร้องไห้ตอนที่เขาตีเธอ แต่ตอนนั้นเธอทำอะไรไม่ได้ เพราะมันเจ็บจริง ๆเธอไม่รู้ว่าเธอทำอะไรผิดถึงทำให้เขาไม่พอใจ เธอมาอยู่ใต้ชายคาเขาได้ไม่ถึงวัน และนอกจากตอนนี้ เธอเจอเขาแค่ที่โต๊ะอาหารเย็น ซึ่งเขาพูดกับเธอไม่เกินสองคำ คำแรกคือ ‘สวัสดี’ และอีกคำคือ ‘ราตรีสวัสดิ์’ เมื่อเขาลุกจากโต๊ะทันทีหลังอาหารและหายเข้าไปในห้องที่พวกเขากำลังอยู่ตอนนี้เมื่อเธอตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น เขาก็หายไปแล้ว ภีรพล น้องชายของเขา หรื
เธอไม่ทันได้เห็นหรือได้ยินเสียงเขาเข้ามาเลย จนกระทั่งถูกแขนใหญ่ ๆ กอดรัดเอาไว้แน่น แขนของเธอถูกกดทับไว้ข้างลำตัวอย่างไม่มีทางขยับ ปืนในมือถูกกระชากออกไปอย่างง่ายดาย เธอแทบไม่ได้ยินเสียงกระสุนที่ถูกปลดออกและหล่นลงบนฝ่ามือของเขาเลย และก่อนที่เธอจะรู้ตัว เขาก็เก็บปืนเข้าโฮลสเตอร์เรียบร้อยแล้ว ด้วยท่าทางคล่องแคล่วเท้าที่สวมรองเท้าบูทถูกยกไปวางบนเก้าอี้ แล้วดึงคนตัวเล็กลงนอนคว่ำบนบนตักอย่างรวดเร็วไม่ทันแม้กระทั่งจะได้ตั้วตัว“ว้าย!”ชิดชนกร้องเสียงหลง รู้สึกอับอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี เมื่อท้องของเธอไปกระแทกกับต้นขาแข็ง ๆ แต่ในตอนนั้น เธอยังไม่รู้เลยว่าโชคชะตาที่น่าอับอายกว่านี้กำลังรอเธออยู่กระโปรงของเธอถูกดันขึ้นสูงจนเห็นชายผ้าที่เริ่มขาดรุ่ยของชุดที่เธอชอบที่สุด เธอคิดว่าเขาคงหยุดแค่นี้ นี่มันก็แย่พอแล้วและไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่เขาจะเห็นเธอในชุดชั้นใน แต่เขาคงไม่ทำอะไรมากไปกว่านี้หรอกมั้ง…เขาเป็นสุภาพบุรุษไม่ใช่หรือ อย่างน้อยเขาก็ทำตัวเป็นแบบนั้น...หญิงสาวพยายามจะดิ้นรนต่อสู้อย่างเงียบ ๆ เพื่อไม่ให้ใครได้ยินเสียงและเข้ามาพบพวกเขาในสภาพที่ไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นคนใช้หรือสมาชิกในครอบค