ชิดชนกไม่รู้ตัวว่าหิวจนกระทั่งได้กลิ่นอาหารที่ถูกนำมาเสิร์ฟ สเต็กจากไร่ที่ย่างได้ที่พอดี ปรุงด้วยกระเทียมและเครื่องเทศ ขนมปังร้อน ๆ ที่เพิ่งทำสด ๆ เมื่อเช้านี้ หอมใหญ่ทอด มันฝรั่งบด รวมทั้งชาเย็นและกาแฟ
เธอไม่คิดว่าเธอจะเคยชินกับปริมาณอาหารที่ครอบครัวนี้บริโภคในหนึ่งมื้อ และเกือบสองในสามของอาหารนั้นถูกบริโภคโดยเจ้าบ้าน
แต่แล้วเธอก็คิดว่าเขาต้องใช้พลังงานทั้งหมดนั้นไปกับการทำงานในไร่ แน่นอนว่าเพราะดูเหมือนจะไม่มีไขมันส่วนเกินบนตัวเขาเลย มีแต่มัดกล้ามแข็ง ๆ ไปทุกสัดส่วน
ก่อนที่เธอจะเอื้อมไปหยิบจานสเต็กที่อยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มก็คว้าจานของเธอไปและจัดอาหารให้ โดยเลือกเนื้อชิ้นเล็กกับเครื่องเคียงอื่น ๆ ในปริมาณที่เหมาะสม แล้วส่งจานกลับมาให้เธอ
“ฉันอยากให้เธอกินให้หมด เธอกับน้องสาวกินเหมือนนก มาอยู่กลางไร่กลางป่าแบบนี้ ต้องสะสมพลังงานสำรองไว้บ้างเผื่อเหตุการณ์ไม่คาดคิด”
แม้ว่าเธอจะรู้ว่าเขาลดปริมาณอาหารลงจากที่เขาจะกินเอง แต่ก็ยังเป็นปริมาณที่มากเกินไป
“ฉันกินทั้งหมดนี้ไม่ไหวแน่ มันจะทำให้ฉันป่วย และนั่นก็จะทำให้จุดประสงค์คุณเสียไป”
ภาดาหัวเราะกับคำพูดของหญิงสาว เสียงหัวเราะทุ้มลึกที่ทำให้ชิดชนกเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความประหลาดใจ เพราะเธอรู้สึกพอใจกับเสียงนั้นโดยไม่ต้องการ
“ฉันว่าเธอพูดถูก แต่ฉันอยากให้เธอกินมากกว่าแค่สองสามคำแล้วก็วางไว้ ซึ่งเธอชอบทำแบบนั้น”
ชิดชนกไม่อยากคิดว่าเขารู้เรื่องนั้นได้อย่างไร เพราะไม่อยากให้ความสนใจว่าเขาสังเกตเธอใกล้ชิดขนาดไหน
เขากำลังมองเธอด้วยสายตาที่เธอเกลียด ราวกับเขาคิดว่ามีสิทธิ์สั่งให้เธอทำตามคำสั่งของเขา เพียงเพราะเธออาศัยอยู่ใต้ชายคาของเขา
ไม่ใช่ว่าสิ่งที่เขาขอให้เธอทำนั้นแย่ ในความเป็นจริง มันเป็นเรื่องดีที่เขาใส่ใจเธอ แต่…
“ฉันจะพยายามค่ะ” เธอตอบ โดยไม่พยายามปิดบังความไม่เต็มใจในน้ำเสียง
“ขอบใจ” เขาตอบ และเธอไม่พบเสียงเย้ยหยันที่คาดไว้ในน้ำเสียงของเขา “แล้วคู่รักนกน้อยไปไหนกันบ่ายนี้ เธอรู้ไหม?”
“ฉันเห็นพวกเขาตอนกำลังจะออกไป เห็นว่าจะไปขี่ม้าปิกนิกกัน”
ภาดาวางแก้วน้ำที่ถืออยู่ลงด้วยท่าทางตกใจ “แล้วพวกเขาไม่เชิญเธอไปด้วยหรือ?”
“ชวนค่ะ แต่ฉันขี่ม้าไม่เป็น”
ภาดามองหญิงสาวอย่างครุ่นคิดก่อนที่จะเอ่ยปาก “บ่ายนี้ฉันว่าง ฉันยินดีสอนเธอ”
“ในหนึ่งวันก็ได้แล้วเหรอคะ?” เธอถามด้วยความสงสัย
“ไม่ใช่หรอก แต่ฉันสามารถเริ่มต้นสอนเธอได้ อย่างน้อยก็เริ่มก่อน ฉันจะสอนเพิ่มถ้ามีเวลา”
ชิดชนกรู้สึกแก้มร้อนซู่ เป็นเพราะอะไรกัน เขาไม่ได้พูดหรือทำอะไรที่ไม่เหมาะสมนี่
“ขอบคุณค่ะ แต่ว่า...”
“ไม่เป็นไร หลังกินข้าวเสร็จแล้วเราค่อยเริ่มเรียนกัน” ภาดาไม่ปล่อยให้หญิงสาวปฏิเสธ
“แต่ว่าฉันไม่มีชุดที่เหมาะสมจะใส่ และฉัน...”
ชิดชนกได้แต่พูดค้างเพราะมัวตกตะลึงกับสายตาคมเข้มที่กำลังมองสำรวจร่างกายเธอจากหัวจรดเท้าราวกับกำลังวัดขนาด
“ฉันมั่นใจว่าน้องสาวเธอมีชุดให้เธอยืมได้”
“แต่มันจะเป็นการเสียเวลาทั้งของฉันและคุณ”
พ่อเลี้ยงหนุ่มขมวดคิ้ว “ยังไงล่ะ?”
“ก็...คุณอยากให้ฉันออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด และฉันก็ขยายขอบเขตการหางานออกไปมากกว่าเดิม จนอาจจะได้งานในจังหวัดอื่น”
เขาควรจะดีใจกับข้อมูลนั้น แต่กลับทำให้เขารู้สึกเศร้าอย่างน่าประหลาดใจที่เธอกำลังจะจากไป และตื่นตระหนกที่ตัวเองรู้สึกเช่นนั้น รวมทั้งรู้สึกอับอายที่ทำให้เธอรู้สึกไม่เป็นที่ต้อนรับ เขาอยากให้เธอออกไปจากบ้านของเขา แต่ก็อยากสอนเธอขี่ม้าด้วย ด้วยเหตุผลบางอย่างที่เขามิอาจต้านทานได้
“ถึงแม้เธอจะไปอยู่ที่อื่น แต่เธอก็คงกลับมาเยี่ยมน้องสาวของเธอบ้างเป็นครั้งคราวใช่ไหมล่ะ”
ทันใดนั้น อาหารบนจานก็กลายเป็นสิ่งที่ชิดชนกสนใจมาก
“จริง ๆ แล้วฉันไม่คิดแบบนั้น ถ้าจันทร์อยากเจอฉัน เธอต้องมาหาฉันเอง”
ริมฝีปากหยักบิดเบี้ยวเป็นเส้นบาง ๆ กับคำพูดนั้น ไม่ใช่เพราะโกรธเธอ แต่ความโกรธของภาดามุ่งตรงไปที่ตัวเอง
เธอดูเศร้าสร้อยกับความคิดที่จะไม่ได้เจอน้องสาวบ่อยเท่าที่ควร
ถ้าเธอรู้สึกเป็นที่ต้อนรับในบ้านนี้ ในบ้านของเขา เขาควรจะขอโทษเธอที่ทำตัวเป็นใหญ่และตีเธอ แม้ว่ามันจะขัดกับสัญชาตญาณของเขาก็ตาม
แต่แทนที่จะทำเช่นนั้น เขากลับถามคำถามที่รู้ว่าไม่ควรถาม แต่ก็หยุดตัวเองไม่ได้
“ก้นเธอยังเจ็บอยู่ไหม?”
เคร้ง!
ชิดชนกทำส้อมหลุดมือเมื่อได้ยินคำถามนั้น ตาเหลือบไปที่สิ่งที่เธอไม่อยากมอง...ดวงตาสีดำลึกล้ำของชายหนุ่ม
“พ่อเลี้ยงภาดา!”
เจ้าของชื่อยิ้มอย่างไม่รู้สึกผิด และดีใจที่ทำให้เธอตกใจจนลืมความเศร้า แม้ว่าจะรู้ว่าตัวเองกำลังทำให้เธอไม่ชอบเขามากขึ้นก็ตาม แต่ว่า...เขากลับชอบเห็นเธอหน้าแดง
“ฉันจะสอนเธอขี่ม้า แต่เธอต้องทำตัวให้ดี ๆ และระวังไม่ให้โดนตีอีก การขี่ม้าขณะที่ก้นยังเจ็บอยู่นั้นทรมานมาก และฉันก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องง่ายสำหรับคนขี้สงสัยอย่างเธอ”
“พ่อเลี้ยงภาดา!”
ชิดชนกรู้ว่าเธอกำลังพูดซ้ำ แต่ไม่รู้จะพูดอะไรดี!
ไม่มีใครเคยพูดจาไม่เหมาะสมกับเธอขนาดนี้มาก่อน ร่างเล็กลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วหันหลังจะวิ่งขึ้นบันไดกลับขึ้นห้อง
อย่างไรก็ตาม มันไม่ง่ายขนาดนั้น เมื่อคนตัวโตไวกว่า ภาดาคว้าข้อมือเล็กได้อย่างทันท่วงทีเมื่อหญิงสาวเดินได้เพียงสองก้าวจากโต๊ะ เธอถูกดึงกลับมาและนั่งลงบนตักของเขาอย่างนุ่มนวล
“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้!”
ชิดชนกโกรธจัด พยายามดิ้นรนเพื่อหนีลงจากตักแกร่ง ในขณะเดียวกันก็พยายามไม่สัมผัสตัวเขา ซึ่งทำให้สถานการณ์ยากขึ้นไปอีก
ภาดามองหญิงสาว ไม่พูดอะไร แต่จ้องตาเธอโดยตรงก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงที่สงบอย่างน่ากลัว
“เธออยากนั่งบนตักฉันต่อ หรืออยากจะนอนคว่ำอีกครั้ง”
“อย่าทำอย่างนั้นนะ!” เธอพูดด้วยความโกรธ
ชายหนุ่มทำเพียงหัวเราะเย็นในลำคอ
ชิดชนกหลับตาและหายใจลึก ๆ การดิ้นรนไม่ได้ช่วยอะไร และที่แย่กว่านั้น เธอสงสัยว่าเขาชอบมัน แม้ว่าเธอจะไม่มีหลักฐานมายืนยันความสงสัยนั้นก็ตาม
ถ้าเขาไม่อยากปล่อยเธอไป เธอก็จะอยู่ที่นี่จนกว่าเขาจะยอม ซึ่งเขาแทบไม่ต้องใช้แรงเลย เธอไม่มีทางชนะเขาได้ และความคิดที่ว่าเขาอาจจะชอบเห็นเธอพยายามทำให้เธอหยุดนิ่งทันที ดังนั้นเธอจึงนั่งนิ่ง ๆ แม้ว่าจะเกร็งมากบนตักของเขา
ทั้งคู่นิ่งเงียบไปชั่วขณะ ชิดชนกมองไปที่จุดหนึ่งบนผนังด้านตรงข้าม ส่วนภาดามองเธออย่างเปิดเผย มือของเขาวางอยู่ที่หลังบอบบาง ราวกับกำลังประคองคนบนตักไว้“เจ็บไหมมากไหม” เสียงทุ้มถามเบา ๆคำถามของเขาทำให้ชิดชนกเหลือบมอง และเธอพบว่าดวงตาคมเข้มใสกระจ่าง ไม่มีร่องรอยของความโกรธหรือการเหน็บแนมใด ๆ บนใบหน้า ตอนแรกเธอปฏิเสธที่จะตอบ แต่เธออยู่ใกล้เขาพอที่จะเห็นเมื่อเขายักคิ้ว และรู้ว่าเขาดื้อพอที่จะรอเธอได้เช่นกัน“ไม่ค่ะ” เธอตอบเสียงเบา ๆ ในอกรู้สึกแปลก ๆ ที่ต้องอยู่ในท่านี้กับชายหนุ่ม“ฉันขอโทษที่ก้าวก่ายเรื่องของเธอ แต่ฉันไม่อยากปล่อยเธอไปเมื่อเธอแทบไม่ได้กินอะไรเลย และฉันรู้ว่าฉันเป็นสาเหตุโดยตรงของเรื่องนั้นอย่างน้อยสองครั้ง ฉันขอโทษ คำพูดของฉันไม่เหมาะสมจริง ๆ โปรดยกโทษให้ฉัน”คำขอโทษของเขาฟังดูจริงใจ และมารยาทที่ดีเป็นพื้นฐานของบ้านที่เธอและชิดจันทร์เติบโตมา มันจะเป็นการไม่สุภาพหากเธอไม่ยอมรับคำขอโทษของเขา“ฉันยกโทษให้คุณ” เธอกระซิบ มองลงไปที่มือของเธอที่วางอยู่บนตัก“ขอบใจ เธอใจดีมากกว่าที่ฉันสมควรได้รับ”อีกครั้งที่ชิดชนกไม่พบร่องรอยของการเยาะเย้ยหรือความไม่จริงใจในน้ำเสียง แม้ว่าเธอจะ
เธอไม่ทันได้เห็นหรือได้ยินเสียงเขาเข้ามาเลย จนกระทั่งถูกแขนใหญ่ ๆ กอดรัดเอาไว้แน่น แขนของเธอถูกกดทับไว้ข้างลำตัวอย่างไม่มีทางขยับ ปืนในมือถูกกระชากออกไปอย่างง่ายดาย เธอแทบไม่ได้ยินเสียงกระสุนที่ถูกปลดออกและหล่นลงบนฝ่ามือของเขาเลย และก่อนที่เธอจะรู้ตัว เขาก็เก็บปืนเข้าโฮลสเตอร์เรียบร้อยแล้ว ด้วยท่าทางคล่องแคล่วเท้าที่สวมรองเท้าบูทถูกยกไปวางบนเก้าอี้ แล้วดึงคนตัวเล็กลงนอนคว่ำบนบนตักอย่างรวดเร็วไม่ทันแม้กระทั่งจะได้ตั้วตัว“ว้าย!”ชิดชนกร้องเสียงหลง รู้สึกอับอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี เมื่อท้องของเธอไปกระแทกกับต้นขาแข็ง ๆ แต่ในตอนนั้น เธอยังไม่รู้เลยว่าโชคชะตาที่น่าอับอายกว่านี้กำลังรอเธออยู่กระโปรงของเธอถูกดันขึ้นสูงจนเห็นชายผ้าที่เริ่มขาดรุ่ยของชุดที่เธอชอบที่สุด เธอคิดว่าเขาคงหยุดแค่นี้ นี่มันก็แย่พอแล้วและไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่เขาจะเห็นเธอในชุดชั้นใน แต่เขาคงไม่ทำอะไรมากไปกว่านี้หรอกมั้ง…เขาเป็นสุภาพบุรุษไม่ใช่หรือ อย่างน้อยเขาก็ทำตัวเป็นแบบนั้น...หญิงสาวพยายามจะดิ้นรนต่อสู้อย่างเงียบ ๆ เพื่อไม่ให้ใครได้ยินเสียงและเข้ามาพบพวกเขาในสภาพที่ไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นคนใช้หรือสมาชิกในครอบค
“ไม่เคย ฉันไม่เคยเห็นมันมาก่อนด้วยซ้ำ นั่นแหละที่ทำให้ฉันสนใจมัน”ชิดชนกรู้ดีว่าเธอควรจะควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้ได้ หรืออย่างน้อยก็ควบคุมน้ำเสียงให้เหมาะสม แต่การที่ฝ่ามือของชายหนุ่มฟาดลงบนก้นเธออีกครั้งก็เป็นเครื่องเตือนใจที่เธอคงไม่สามารถลืมมันได้“ถ้าอย่างนั้น เธอยิ่งไม่ควรจะไปยุ่งกับมันเลย ปืนของฉันไกนุ่มมาก และเธอกำลังเล็งมันไปที่เท้าของตัวเอง เธออยากจะเดินกะเผลกไปมาหน้าห้องเรียนของเธอหรือไง ถ้าเธอได้งานสอนสักที”ความดูถูกและความไม่ชอบที่เขามีต่อเธอแทบจะทำให้เธอร้องไห้อีกครั้ง แต่เธอก็ตั้งสติและพยายามไม่ให้เขามองเห็นว่าเธอเสียใจเพราะสิ่งที่เขาพูด มันแย่พอแล้วที่เขาทำให้เธอต้องร้องไห้ตอนที่เขาตีเธอ แต่ตอนนั้นเธอทำอะไรไม่ได้ เพราะมันเจ็บจริง ๆเธอไม่รู้ว่าเธอทำอะไรผิดถึงทำให้เขาไม่พอใจ เธอมาอยู่ใต้ชายคาเขาได้ไม่ถึงวัน และนอกจากตอนนี้ เธอเจอเขาแค่ที่โต๊ะอาหารเย็น ซึ่งเขาพูดกับเธอไม่เกินสองคำ คำแรกคือ ‘สวัสดี’ และอีกคำคือ ‘ราตรีสวัสดิ์’ เมื่อเขาลุกจากโต๊ะทันทีหลังอาหารและหายเข้าไปในห้องที่พวกเขากำลังอยู่ตอนนี้เมื่อเธอตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น เขาก็หายไปแล้ว ภีรพล น้องชายของเขา หรื
หัวใจของเขาแทบจะหยุดเต้นในขณะที่เดินข้ามห้องไปหาเธอ แต่เขารู้ว่าเธอไม่ได้ยินเสียงเขา ซึ่งเป็นผลจากการที่เขาเคยเป็นนักล่าและผู้วางกับดักที่เก่งมาตั้งแต่เด็ก ในใจได้แต่ภวนาว่าเขาจะไปถึงตัวเธอได้ก่อนที่เธอจะทำอะไรโง่ ๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ไม่ว่าจะกับตัวเธอเอง กับเขา หรือกับคนที่อาจโดนกระสุนพลาดภาดายอมรับว่าเขาไม่ควรตีเธอ แต่เขายอมแพ้ต่อสัญชาตญาณดิบ ๆ ที่ต้องการให้เธอตระหนักถึงความร้ายแรงของสิ่งที่เธอกำลังทำภีรพลน้องชายของเขาอาจจะเพียงแค่ตะโกนด่า แต่ภีรพลเป็นสุภาพบุรุษมากกว่าเขาเสมอ ภีรพลเกิดมาในช่วงที่ครอบครัวเริ่มมีเงินทอง และในฐานะลูกคนเล็ก เขาได้รับการอบรมและเลี้ยงดูอย่างประคบประหงมมากกว่าภาดาที่เป็นลูกคนโตคิ้วดกดำสองข้างขมวดเข้าหากัน ขณะที่เขากำลังลงมือตีเธอ เขาไม่ได้สังเกตสภาพเสื้อผ้าของเธอมากนัก แต่เมื่อนึกย้อนกลับไป เขาก็ตระหนักได้ว่าเสื้อผ้าทุกชิ้นที่เธอสวมใส่อยู่ไม่เพียงแต่ล้าสมัย แต่ยังเก่าจนแทบไม่เหมาะสมที่จะสวมใส่ โดยเฉพาะกางเกงชั้นในของเธอทว่าทันใดนั้น เขาก็ตกใจเล็กน้อยเมื่อตระหนักว่าผู้หญิงตัวเล็กแบบเธอเป็นสิ่งที่ดึงดูดเขาอย่างมาก แต่ความจริงนี้
จากนั้นเป็นต้นมาชิดชนกพยายามอย่างที่สุดที่จะเลี่ยงภาดาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะดูเหมือนเขาจะอยู่บ้านตลอดเวลา เธอก็เช่นกันเธอส่งอีเมลแนะนำตัวเองไปยังโรงเรียนต่าง ๆ ทั้งที่อยู่ใกล้และไกลแม้แต่โรงเรียนที่ไม่ได้ประกาศรับสมัครครู เธอก็ส่งไปเผื่อไว้ เธอรู้สึกอึดอัดกับการอยู่ที่นี่มากจนขยายขอบเขตการหางานไปยังจังหวัดอื่นด้วยพ่อแม่ของเธอเสียหมดแล้ว ดังนั้นเธอจึงเหลือน้องสาวคนเดียวที่เป็นครอบครัวของเธอ ชิดจันทร์แต่งงานกับภีรพล เห็นว่าเธออยู่กรุงเทพฯ คนเดียว จึงชักชวนเธอให้มาอยู่ที่ไร่ด้วยกัน ชิดชนกตอบตกลงเพราะอยากอยู่ใกล้กับน้องสาวถ้าหากว่ามีแค่ชิดจันทร์กับภีรพลอยู่ในบ้าน เธอคงรู้สึกยินดีและสบายใจที่จะใช้เวลาหางานที่เหมาะสมซึ่งจะทำให้เธออยู่ใกล้ ๆ ครอบครัวได้แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน เธอถึงจุดที่อยากจะออกจากบ้านหลังนี้ให้เร็วที่สุด แต่เธอไม่มีเงินพอที่จะกลับไป และก็ไม่มีอะไรให้กลับไปอยู่แล้วเช่นกัน เธอจึงยอมรับว่าต้องรับงานใด ๆ ก็ตามที่เข้ามาเพื่อให้พ้นจากชายคาของพ่อเลี้ยงภาดาให้ได้ ดังนั้นเธอจึงพยายามต่อไป โดยไม่ยอมท้อแท้แม้ว่าจะยังไม่ได้รับคำตอบใด ๆหลังจากเหตุกา
ทั้งคู่นิ่งเงียบไปชั่วขณะ ชิดชนกมองไปที่จุดหนึ่งบนผนังด้านตรงข้าม ส่วนภาดามองเธออย่างเปิดเผย มือของเขาวางอยู่ที่หลังบอบบาง ราวกับกำลังประคองคนบนตักไว้“เจ็บไหมมากไหม” เสียงทุ้มถามเบา ๆคำถามของเขาทำให้ชิดชนกเหลือบมอง และเธอพบว่าดวงตาคมเข้มใสกระจ่าง ไม่มีร่องรอยของความโกรธหรือการเหน็บแนมใด ๆ บนใบหน้า ตอนแรกเธอปฏิเสธที่จะตอบ แต่เธออยู่ใกล้เขาพอที่จะเห็นเมื่อเขายักคิ้ว และรู้ว่าเขาดื้อพอที่จะรอเธอได้เช่นกัน“ไม่ค่ะ” เธอตอบเสียงเบา ๆ ในอกรู้สึกแปลก ๆ ที่ต้องอยู่ในท่านี้กับชายหนุ่ม“ฉันขอโทษที่ก้าวก่ายเรื่องของเธอ แต่ฉันไม่อยากปล่อยเธอไปเมื่อเธอแทบไม่ได้กินอะไรเลย และฉันรู้ว่าฉันเป็นสาเหตุโดยตรงของเรื่องนั้นอย่างน้อยสองครั้ง ฉันขอโทษ คำพูดของฉันไม่เหมาะสมจริง ๆ โปรดยกโทษให้ฉัน”คำขอโทษของเขาฟังดูจริงใจ และมารยาทที่ดีเป็นพื้นฐานของบ้านที่เธอและชิดจันทร์เติบโตมา มันจะเป็นการไม่สุภาพหากเธอไม่ยอมรับคำขอโทษของเขา“ฉันยกโทษให้คุณ” เธอกระซิบ มองลงไปที่มือของเธอที่วางอยู่บนตัก“ขอบใจ เธอใจดีมากกว่าที่ฉันสมควรได้รับ”อีกครั้งที่ชิดชนกไม่พบร่องรอยของการเยาะเย้ยหรือความไม่จริงใจในน้ำเสียง แม้ว่าเธอจะ
ชิดชนกไม่รู้ตัวว่าหิวจนกระทั่งได้กลิ่นอาหารที่ถูกนำมาเสิร์ฟ สเต็กจากไร่ที่ย่างได้ที่พอดี ปรุงด้วยกระเทียมและเครื่องเทศ ขนมปังร้อน ๆ ที่เพิ่งทำสด ๆ เมื่อเช้านี้ หอมใหญ่ทอด มันฝรั่งบด รวมทั้งชาเย็นและกาแฟเธอไม่คิดว่าเธอจะเคยชินกับปริมาณอาหารที่ครอบครัวนี้บริโภคในหนึ่งมื้อ และเกือบสองในสามของอาหารนั้นถูกบริโภคโดยเจ้าบ้านแต่แล้วเธอก็คิดว่าเขาต้องใช้พลังงานทั้งหมดนั้นไปกับการทำงานในไร่ แน่นอนว่าเพราะดูเหมือนจะไม่มีไขมันส่วนเกินบนตัวเขาเลย มีแต่มัดกล้ามแข็ง ๆ ไปทุกสัดส่วนก่อนที่เธอจะเอื้อมไปหยิบจานสเต็กที่อยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มก็คว้าจานของเธอไปและจัดอาหารให้ โดยเลือกเนื้อชิ้นเล็กกับเครื่องเคียงอื่น ๆ ในปริมาณที่เหมาะสม แล้วส่งจานกลับมาให้เธอ“ฉันอยากให้เธอกินให้หมด เธอกับน้องสาวกินเหมือนนก มาอยู่กลางไร่กลางป่าแบบนี้ ต้องสะสมพลังงานสำรองไว้บ้างเผื่อเหตุการณ์ไม่คาดคิด”แม้ว่าเธอจะรู้ว่าเขาลดปริมาณอาหารลงจากที่เขาจะกินเอง แต่ก็ยังเป็นปริมาณที่มากเกินไป“ฉันกินทั้งหมดนี้ไม่ไหวแน่ มันจะทำให้ฉันป่วย และนั่นก็จะทำให้จุดประสงค์คุณเสียไป”ภาดาหัวเราะกับคำพูดของหญิงสาว เสียงหัวเราะทุ้มลึกที่ทำให้ชิด
จากนั้นเป็นต้นมาชิดชนกพยายามอย่างที่สุดที่จะเลี่ยงภาดาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะดูเหมือนเขาจะอยู่บ้านตลอดเวลา เธอก็เช่นกันเธอส่งอีเมลแนะนำตัวเองไปยังโรงเรียนต่าง ๆ ทั้งที่อยู่ใกล้และไกลแม้แต่โรงเรียนที่ไม่ได้ประกาศรับสมัครครู เธอก็ส่งไปเผื่อไว้ เธอรู้สึกอึดอัดกับการอยู่ที่นี่มากจนขยายขอบเขตการหางานไปยังจังหวัดอื่นด้วยพ่อแม่ของเธอเสียหมดแล้ว ดังนั้นเธอจึงเหลือน้องสาวคนเดียวที่เป็นครอบครัวของเธอ ชิดจันทร์แต่งงานกับภีรพล เห็นว่าเธออยู่กรุงเทพฯ คนเดียว จึงชักชวนเธอให้มาอยู่ที่ไร่ด้วยกัน ชิดชนกตอบตกลงเพราะอยากอยู่ใกล้กับน้องสาวถ้าหากว่ามีแค่ชิดจันทร์กับภีรพลอยู่ในบ้าน เธอคงรู้สึกยินดีและสบายใจที่จะใช้เวลาหางานที่เหมาะสมซึ่งจะทำให้เธออยู่ใกล้ ๆ ครอบครัวได้แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน เธอถึงจุดที่อยากจะออกจากบ้านหลังนี้ให้เร็วที่สุด แต่เธอไม่มีเงินพอที่จะกลับไป และก็ไม่มีอะไรให้กลับไปอยู่แล้วเช่นกัน เธอจึงยอมรับว่าต้องรับงานใด ๆ ก็ตามที่เข้ามาเพื่อให้พ้นจากชายคาของพ่อเลี้ยงภาดาให้ได้ ดังนั้นเธอจึงพยายามต่อไป โดยไม่ยอมท้อแท้แม้ว่าจะยังไม่ได้รับคำตอบใด ๆหลังจากเหตุกา
หัวใจของเขาแทบจะหยุดเต้นในขณะที่เดินข้ามห้องไปหาเธอ แต่เขารู้ว่าเธอไม่ได้ยินเสียงเขา ซึ่งเป็นผลจากการที่เขาเคยเป็นนักล่าและผู้วางกับดักที่เก่งมาตั้งแต่เด็ก ในใจได้แต่ภวนาว่าเขาจะไปถึงตัวเธอได้ก่อนที่เธอจะทำอะไรโง่ ๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ไม่ว่าจะกับตัวเธอเอง กับเขา หรือกับคนที่อาจโดนกระสุนพลาดภาดายอมรับว่าเขาไม่ควรตีเธอ แต่เขายอมแพ้ต่อสัญชาตญาณดิบ ๆ ที่ต้องการให้เธอตระหนักถึงความร้ายแรงของสิ่งที่เธอกำลังทำภีรพลน้องชายของเขาอาจจะเพียงแค่ตะโกนด่า แต่ภีรพลเป็นสุภาพบุรุษมากกว่าเขาเสมอ ภีรพลเกิดมาในช่วงที่ครอบครัวเริ่มมีเงินทอง และในฐานะลูกคนเล็ก เขาได้รับการอบรมและเลี้ยงดูอย่างประคบประหงมมากกว่าภาดาที่เป็นลูกคนโตคิ้วดกดำสองข้างขมวดเข้าหากัน ขณะที่เขากำลังลงมือตีเธอ เขาไม่ได้สังเกตสภาพเสื้อผ้าของเธอมากนัก แต่เมื่อนึกย้อนกลับไป เขาก็ตระหนักได้ว่าเสื้อผ้าทุกชิ้นที่เธอสวมใส่อยู่ไม่เพียงแต่ล้าสมัย แต่ยังเก่าจนแทบไม่เหมาะสมที่จะสวมใส่ โดยเฉพาะกางเกงชั้นในของเธอทว่าทันใดนั้น เขาก็ตกใจเล็กน้อยเมื่อตระหนักว่าผู้หญิงตัวเล็กแบบเธอเป็นสิ่งที่ดึงดูดเขาอย่างมาก แต่ความจริงนี้
“ไม่เคย ฉันไม่เคยเห็นมันมาก่อนด้วยซ้ำ นั่นแหละที่ทำให้ฉันสนใจมัน”ชิดชนกรู้ดีว่าเธอควรจะควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้ได้ หรืออย่างน้อยก็ควบคุมน้ำเสียงให้เหมาะสม แต่การที่ฝ่ามือของชายหนุ่มฟาดลงบนก้นเธออีกครั้งก็เป็นเครื่องเตือนใจที่เธอคงไม่สามารถลืมมันได้“ถ้าอย่างนั้น เธอยิ่งไม่ควรจะไปยุ่งกับมันเลย ปืนของฉันไกนุ่มมาก และเธอกำลังเล็งมันไปที่เท้าของตัวเอง เธออยากจะเดินกะเผลกไปมาหน้าห้องเรียนของเธอหรือไง ถ้าเธอได้งานสอนสักที”ความดูถูกและความไม่ชอบที่เขามีต่อเธอแทบจะทำให้เธอร้องไห้อีกครั้ง แต่เธอก็ตั้งสติและพยายามไม่ให้เขามองเห็นว่าเธอเสียใจเพราะสิ่งที่เขาพูด มันแย่พอแล้วที่เขาทำให้เธอต้องร้องไห้ตอนที่เขาตีเธอ แต่ตอนนั้นเธอทำอะไรไม่ได้ เพราะมันเจ็บจริง ๆเธอไม่รู้ว่าเธอทำอะไรผิดถึงทำให้เขาไม่พอใจ เธอมาอยู่ใต้ชายคาเขาได้ไม่ถึงวัน และนอกจากตอนนี้ เธอเจอเขาแค่ที่โต๊ะอาหารเย็น ซึ่งเขาพูดกับเธอไม่เกินสองคำ คำแรกคือ ‘สวัสดี’ และอีกคำคือ ‘ราตรีสวัสดิ์’ เมื่อเขาลุกจากโต๊ะทันทีหลังอาหารและหายเข้าไปในห้องที่พวกเขากำลังอยู่ตอนนี้เมื่อเธอตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น เขาก็หายไปแล้ว ภีรพล น้องชายของเขา หรื
เธอไม่ทันได้เห็นหรือได้ยินเสียงเขาเข้ามาเลย จนกระทั่งถูกแขนใหญ่ ๆ กอดรัดเอาไว้แน่น แขนของเธอถูกกดทับไว้ข้างลำตัวอย่างไม่มีทางขยับ ปืนในมือถูกกระชากออกไปอย่างง่ายดาย เธอแทบไม่ได้ยินเสียงกระสุนที่ถูกปลดออกและหล่นลงบนฝ่ามือของเขาเลย และก่อนที่เธอจะรู้ตัว เขาก็เก็บปืนเข้าโฮลสเตอร์เรียบร้อยแล้ว ด้วยท่าทางคล่องแคล่วเท้าที่สวมรองเท้าบูทถูกยกไปวางบนเก้าอี้ แล้วดึงคนตัวเล็กลงนอนคว่ำบนบนตักอย่างรวดเร็วไม่ทันแม้กระทั่งจะได้ตั้วตัว“ว้าย!”ชิดชนกร้องเสียงหลง รู้สึกอับอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี เมื่อท้องของเธอไปกระแทกกับต้นขาแข็ง ๆ แต่ในตอนนั้น เธอยังไม่รู้เลยว่าโชคชะตาที่น่าอับอายกว่านี้กำลังรอเธออยู่กระโปรงของเธอถูกดันขึ้นสูงจนเห็นชายผ้าที่เริ่มขาดรุ่ยของชุดที่เธอชอบที่สุด เธอคิดว่าเขาคงหยุดแค่นี้ นี่มันก็แย่พอแล้วและไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่เขาจะเห็นเธอในชุดชั้นใน แต่เขาคงไม่ทำอะไรมากไปกว่านี้หรอกมั้ง…เขาเป็นสุภาพบุรุษไม่ใช่หรือ อย่างน้อยเขาก็ทำตัวเป็นแบบนั้น...หญิงสาวพยายามจะดิ้นรนต่อสู้อย่างเงียบ ๆ เพื่อไม่ให้ใครได้ยินเสียงและเข้ามาพบพวกเขาในสภาพที่ไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นคนใช้หรือสมาชิกในครอบค