ทั้งคู่นิ่งเงียบไปชั่วขณะ ชิดชนกมองไปที่จุดหนึ่งบนผนังด้านตรงข้าม ส่วนภาดามองเธออย่างเปิดเผย มือของเขาวางอยู่ที่หลังบอบบาง ราวกับกำลังประคองคนบนตักไว้
“เจ็บไหมมากไหม” เสียงทุ้มถามเบา ๆ
คำถามของเขาทำให้ชิดชนกเหลือบมอง และเธอพบว่าดวงตาคมเข้มใสกระจ่าง ไม่มีร่องรอยของความโกรธหรือการเหน็บแนมใด ๆ บนใบหน้า ตอนแรกเธอปฏิเสธที่จะตอบ แต่เธออยู่ใกล้เขาพอที่จะเห็นเมื่อเขายักคิ้ว และรู้ว่าเขาดื้อพอที่จะรอเธอได้เช่นกัน
“ไม่ค่ะ” เธอตอบเสียงเบา ๆ ในอกรู้สึกแปลก ๆ ที่ต้องอยู่ในท่านี้กับชายหนุ่ม
“ฉันขอโทษที่ก้าวก่ายเรื่องของเธอ แต่ฉันไม่อยากปล่อยเธอไปเมื่อเธอแทบไม่ได้กินอะไรเลย และฉันรู้ว่าฉันเป็นสาเหตุโดยตรงของเรื่องนั้นอย่างน้อยสองครั้ง ฉันขอโทษ คำพูดของฉันไม่เหมาะสมจริง ๆ โปรดยกโทษให้ฉัน”
คำขอโทษของเขาฟังดูจริงใจ และมารยาทที่ดีเป็นพื้นฐานของบ้านที่เธอและชิดจันทร์เติบโตมา มันจะเป็นการไม่สุภาพหากเธอไม่ยอมรับคำขอโทษของเขา
“ฉันยกโทษให้คุณ” เธอกระซิบ มองลงไปที่มือของเธอที่วางอยู่บนตัก
“ขอบใจ เธอใจดีมากกว่าที่ฉันสมควรได้รับ”
อีกครั้งที่ชิดชนกไม่พบร่องรอยของการเยาะเย้ยหรือความไม่จริงใจในน้ำเสียง แม้ว่าเธอจะพยายามหามันก็ตาม แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เธอพบว่าเสียงต่ำและแหบห้าวของเขาฟังดูน่าพอใจกว่าที่เธอต้องการ
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“ฉันจะพยายามทำตัวให้เป็นสุภาพบุรุษกว่านี้ แต่ว่าเธอจะช่วยฉันทานอาหารกลางวันที่เหลือหน่อยได้ไหม ฉันจะรู้สึกขอบคุณมากที่เธอนั่งทานเป็นเพื่อนฉัน”
คำพูดที่ดูถูกตัวเองของเขาทำให้เธอยิ้มเล็กน้อย
ภาดารู้สึกประหลาดใจกับความจริงใจของตัวเอง เขาอยากทานอาหารกลางวันกับเธอจริง ๆ ในทันทีนั้น เขาอยากมาก แม้ว่าจะรู้ว่าเธอมีสิทธิ์เต็มที่ที่จะเดินออกจากห้องอาหารและขึ้นไปที่ห้องนอนของเธอตามที่ตั้งใจไว้
แต่เธอไม่ได้ปฏิเสธทันที และเขาก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี เขาโน้มตัวลงไปใกล้หูเธอและกระซิบ
“ฉันจะปล่อยเธอลงจากตักและให้เธอนั่งที่เก้าอี้ของตัวเองก็ได้ ถ้าเธอต้องการ แม้ว่าฉันจะยินดีให้เธอนั่งที่นี่ต่อ ฉันอยากมีโอกาสป้อนอาหารเธอด้วยมือตัวเอง เพื่อให้แน่ใจว่าเธอทานอาหารในปริมาณที่เพียงพอและได้รับสารอาหารที่เหมาะสม”
สิ่งที่เขาพูดกับเธอฟังดูเกือบจะไม่เหมาะสม—เพราะวิธีที่เขาพูด แม้ว่าชิดชนกจะรู้สึกว่าเขาไม่ได้ตั้งใจให้มันฟังดูแบบนั้น และเธอก็รู้ว่าเธอควรจะจากไป ตามที่เธอตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก
แต่เธอกลับรู้สึกสนใจเขา ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจและขัดกับความต้องการของเธอ
ก่อนที่จะได้ตอบอะไร ช้อนที่มีมันฝรั่งบดพูน ๆ ก็ถูกยื่นออกมาตรงหน้า
“อ้าปาก”
เธอทำตาม ยอมอ้าปากแต่โดยดี ต้องเป็นเพราะเสียงทุ้มนุ่มนั้นแน่ ๆ ที่สะกดจิตเธอเอาไว้ แล้วเขาก็ส่งช้อนเข้าปากอย่างนุ่มนวล
“ฉันจะอยู่ทานอาหารกลางวันต่อก็ได้ค่ะ แต่ฉันคิดว่าฉันควรจะกลับไปนั่งที่เก้าอี้ของตัวเอง” เธออ้อมแอ้มตอบ
ชายหนุ่มเอาผ้าเช็ดปากมาเช็ดริมฝีปากเธอก่อนจะปล่อยเธอไปด้วยความไม่เต็มใจ
“น่าเสียดาย แต่ขอบใจมากที่ยอมทานข้าวเป็นเพื่อนฉัน”
ภาดาทำตามคำพูดได้เป็นอย่างดี ไม่มีการพูดจาไม่เหมาะสมอีก เขาเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการเติบโตในที่ที่ป่าเถื่อนทุรกันดารให้เธอฟัง และเธอก็ได้รู้สึกถึงชีวิตในวัยเด็กของเขาจริง ๆ
ชีวิตที่ยากลำบาก ต้องใช้สติปัญญาเพื่อความอยู่รอด ถูกสอนโดยพ่อให้พึ่งพาตัวเอง ซึ่งเป็นทางเดียวที่จะรอดได้ และครอบครัวก็ค่อย ๆ สร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาจากกิจการโคนม แล้วค่อย ๆ ขยายไปยังการทำไร่องุ่น มี ซึ่งตอนนั้นเขาก็อยู่ในวัยรุ่นแล้ว ไม่แปลกใจที่เขาจะเป็นคนที่หยาบกระด้างเล็กน้อย
บ่อยครั้งที่เขาทำให้เธอหัวเราะด้วยการเล่าเรื่องที่ตัวเองเป็นตัวตลก ซึ่งทำให้เธอเห็นเขาดีขึ้นกว่าเดิม จากที่เคยคิดว่าเขาเป็นคนหลงตัวเองและชอบบงการ เธอรู้สึกว่าเธอเริ่มเข้าใจตัวตนที่แท้จริงของเขามากขึ้น และก่อนที่เธอจะรู้ตัว นาฬิกาในห้องนั่งเล่นก็ตีสองครั้ง
“เราคุยกันนานขนาดนั้นเลยเหรอคะ” เธอถามด้วยความประหลาดใจ
ภาดายกมือขึ้นมาวางทับมือหญิงสาวที่อยู่บนโต๊ะ
“พร้อมจะหัดขี่ม้าหรือยัง”
“พ่อเลี้ยง คือฉัน...”
“เรียกฉันว่าภาดาเถอะ เพราะฉันอยากเรียกชื่อเล่นของเธอมากกว่า ‘ชิดชนก’ ที่เป็นทางการเกินไป ได้ไหมครับ ‘แก้ว’”
“ค่ะ” ชิดชนกพยักหน้าอย่างาเอียงอาย “แต่ว่าเรื่องขี่ม้า...”
“เธอจะชอบมัน เชื่อฉันสิ” เขาบีบมือเธอเบา ๆ
ใบหน้าหวานยังดูสงสัยอยู่เล็กน้อย เธอกัดริมฝีปากด้วยความลังเล
“เอ่อ...”
“เธอกลัวม้าหรือเปล่า”
“ไม่ค่ะ ฉันคิดว่ามันเป็นสัตว์ที่สวยมาก ฉันแค่ไม่มีประสบการณ์ แล้วมันก็ตัวใหญ่มาก”
ภาดาหรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อได้ข้อสรุป “ถ้าอย่างนั้น การอยู่กับฉันนี่แหละที่ทำให้เธอลังเล”
แก้มนวลเปลี่ยนเป็นสีแดง นั่นก็บอกทุกอย่างแล้ว
“คือ...ฉัน...”
“ฉันรับรองได้ว่าฉันจะตั้งใจสอน แก้ว ฉันจริงจังกับความรับผิดชอบของตัวเองมาก และฉันคิดว่าการขี่ม้าเป็นทักษะที่ทุกคนโดยเฉพาะคนที่อยู่ในไร่ควรรู้”
ชิดชนกกัดริมฝีปาก ไม่แน่ใจว่าจะพูดอะไรดี
“ออกไปที่คอกม้ากับฉันสักครั้ง ฉันจะเลือกม้าที่เหมาะสมกับเธอให้ ฉันสัญญาว่าจะใจเย็น แต่ถ้าสุดท้ายเธอไม่ชอบ ฉันจะให้น้องชายฉันสอนเธอแทน”
“ก็ได้ค่ะ”
มุมปากหยักยกยิ้มพอใจ ภาดารู้ว่าเขาสามารถทำให้เธอสนุกกับการขี่ม้าได้ ถ้าเธอยอมเชื่อใจ
เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง “ไปเปลี่ยนเป็นชุดที่ทะมัดทะแมงหน่อย ฉันจะรอ”
ชิดชนกลุกขึ้นและก้าวไปหนึ่งก้าว แล้วมองกลับมาที่ชายหนุ่มราวกับกำลังจะเปลี่ยนใจ
แต่เขาไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น
“รีบไปสิ อย่าให้ฉันรอนานนะ เด็กน้อย”
เพียงแค่เห็นเขาขยิบตาอย่างขี้เล่น ชิดชนกก็ทำตามอย่างว่าง่าย
เธอไม่ทันได้เห็นหรือได้ยินเสียงเขาเข้ามาเลย จนกระทั่งถูกแขนใหญ่ ๆ กอดรัดเอาไว้แน่น แขนของเธอถูกกดทับไว้ข้างลำตัวอย่างไม่มีทางขยับ ปืนในมือถูกกระชากออกไปอย่างง่ายดาย เธอแทบไม่ได้ยินเสียงกระสุนที่ถูกปลดออกและหล่นลงบนฝ่ามือของเขาเลย และก่อนที่เธอจะรู้ตัว เขาก็เก็บปืนเข้าโฮลสเตอร์เรียบร้อยแล้ว ด้วยท่าทางคล่องแคล่วเท้าที่สวมรองเท้าบูทถูกยกไปวางบนเก้าอี้ แล้วดึงคนตัวเล็กลงนอนคว่ำบนบนตักอย่างรวดเร็วไม่ทันแม้กระทั่งจะได้ตั้วตัว“ว้าย!”ชิดชนกร้องเสียงหลง รู้สึกอับอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี เมื่อท้องของเธอไปกระแทกกับต้นขาแข็ง ๆ แต่ในตอนนั้น เธอยังไม่รู้เลยว่าโชคชะตาที่น่าอับอายกว่านี้กำลังรอเธออยู่กระโปรงของเธอถูกดันขึ้นสูงจนเห็นชายผ้าที่เริ่มขาดรุ่ยของชุดที่เธอชอบที่สุด เธอคิดว่าเขาคงหยุดแค่นี้ นี่มันก็แย่พอแล้วและไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่เขาจะเห็นเธอในชุดชั้นใน แต่เขาคงไม่ทำอะไรมากไปกว่านี้หรอกมั้ง…เขาเป็นสุภาพบุรุษไม่ใช่หรือ อย่างน้อยเขาก็ทำตัวเป็นแบบนั้น...หญิงสาวพยายามจะดิ้นรนต่อสู้อย่างเงียบ ๆ เพื่อไม่ให้ใครได้ยินเสียงและเข้ามาพบพวกเขาในสภาพที่ไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นคนใช้หรือสมาชิกในครอบค
“ไม่เคย ฉันไม่เคยเห็นมันมาก่อนด้วยซ้ำ นั่นแหละที่ทำให้ฉันสนใจมัน”ชิดชนกรู้ดีว่าเธอควรจะควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้ได้ หรืออย่างน้อยก็ควบคุมน้ำเสียงให้เหมาะสม แต่การที่ฝ่ามือของชายหนุ่มฟาดลงบนก้นเธออีกครั้งก็เป็นเครื่องเตือนใจที่เธอคงไม่สามารถลืมมันได้“ถ้าอย่างนั้น เธอยิ่งไม่ควรจะไปยุ่งกับมันเลย ปืนของฉันไกนุ่มมาก และเธอกำลังเล็งมันไปที่เท้าของตัวเอง เธออยากจะเดินกะเผลกไปมาหน้าห้องเรียนของเธอหรือไง ถ้าเธอได้งานสอนสักที”ความดูถูกและความไม่ชอบที่เขามีต่อเธอแทบจะทำให้เธอร้องไห้อีกครั้ง แต่เธอก็ตั้งสติและพยายามไม่ให้เขามองเห็นว่าเธอเสียใจเพราะสิ่งที่เขาพูด มันแย่พอแล้วที่เขาทำให้เธอต้องร้องไห้ตอนที่เขาตีเธอ แต่ตอนนั้นเธอทำอะไรไม่ได้ เพราะมันเจ็บจริง ๆเธอไม่รู้ว่าเธอทำอะไรผิดถึงทำให้เขาไม่พอใจ เธอมาอยู่ใต้ชายคาเขาได้ไม่ถึงวัน และนอกจากตอนนี้ เธอเจอเขาแค่ที่โต๊ะอาหารเย็น ซึ่งเขาพูดกับเธอไม่เกินสองคำ คำแรกคือ ‘สวัสดี’ และอีกคำคือ ‘ราตรีสวัสดิ์’ เมื่อเขาลุกจากโต๊ะทันทีหลังอาหารและหายเข้าไปในห้องที่พวกเขากำลังอยู่ตอนนี้เมื่อเธอตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น เขาก็หายไปแล้ว ภีรพล น้องชายของเขา หรื
หัวใจของเขาแทบจะหยุดเต้นในขณะที่เดินข้ามห้องไปหาเธอ แต่เขารู้ว่าเธอไม่ได้ยินเสียงเขา ซึ่งเป็นผลจากการที่เขาเคยเป็นนักล่าและผู้วางกับดักที่เก่งมาตั้งแต่เด็ก ในใจได้แต่ภวนาว่าเขาจะไปถึงตัวเธอได้ก่อนที่เธอจะทำอะไรโง่ ๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ไม่ว่าจะกับตัวเธอเอง กับเขา หรือกับคนที่อาจโดนกระสุนพลาดภาดายอมรับว่าเขาไม่ควรตีเธอ แต่เขายอมแพ้ต่อสัญชาตญาณดิบ ๆ ที่ต้องการให้เธอตระหนักถึงความร้ายแรงของสิ่งที่เธอกำลังทำภีรพลน้องชายของเขาอาจจะเพียงแค่ตะโกนด่า แต่ภีรพลเป็นสุภาพบุรุษมากกว่าเขาเสมอ ภีรพลเกิดมาในช่วงที่ครอบครัวเริ่มมีเงินทอง และในฐานะลูกคนเล็ก เขาได้รับการอบรมและเลี้ยงดูอย่างประคบประหงมมากกว่าภาดาที่เป็นลูกคนโตคิ้วดกดำสองข้างขมวดเข้าหากัน ขณะที่เขากำลังลงมือตีเธอ เขาไม่ได้สังเกตสภาพเสื้อผ้าของเธอมากนัก แต่เมื่อนึกย้อนกลับไป เขาก็ตระหนักได้ว่าเสื้อผ้าทุกชิ้นที่เธอสวมใส่อยู่ไม่เพียงแต่ล้าสมัย แต่ยังเก่าจนแทบไม่เหมาะสมที่จะสวมใส่ โดยเฉพาะกางเกงชั้นในของเธอทว่าทันใดนั้น เขาก็ตกใจเล็กน้อยเมื่อตระหนักว่าผู้หญิงตัวเล็กแบบเธอเป็นสิ่งที่ดึงดูดเขาอย่างมาก แต่ความจริงนี้
จากนั้นเป็นต้นมาชิดชนกพยายามอย่างที่สุดที่จะเลี่ยงภาดาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะดูเหมือนเขาจะอยู่บ้านตลอดเวลา เธอก็เช่นกันเธอส่งอีเมลแนะนำตัวเองไปยังโรงเรียนต่าง ๆ ทั้งที่อยู่ใกล้และไกลแม้แต่โรงเรียนที่ไม่ได้ประกาศรับสมัครครู เธอก็ส่งไปเผื่อไว้ เธอรู้สึกอึดอัดกับการอยู่ที่นี่มากจนขยายขอบเขตการหางานไปยังจังหวัดอื่นด้วยพ่อแม่ของเธอเสียหมดแล้ว ดังนั้นเธอจึงเหลือน้องสาวคนเดียวที่เป็นครอบครัวของเธอ ชิดจันทร์แต่งงานกับภีรพล เห็นว่าเธออยู่กรุงเทพฯ คนเดียว จึงชักชวนเธอให้มาอยู่ที่ไร่ด้วยกัน ชิดชนกตอบตกลงเพราะอยากอยู่ใกล้กับน้องสาวถ้าหากว่ามีแค่ชิดจันทร์กับภีรพลอยู่ในบ้าน เธอคงรู้สึกยินดีและสบายใจที่จะใช้เวลาหางานที่เหมาะสมซึ่งจะทำให้เธออยู่ใกล้ ๆ ครอบครัวได้แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน เธอถึงจุดที่อยากจะออกจากบ้านหลังนี้ให้เร็วที่สุด แต่เธอไม่มีเงินพอที่จะกลับไป และก็ไม่มีอะไรให้กลับไปอยู่แล้วเช่นกัน เธอจึงยอมรับว่าต้องรับงานใด ๆ ก็ตามที่เข้ามาเพื่อให้พ้นจากชายคาของพ่อเลี้ยงภาดาให้ได้ ดังนั้นเธอจึงพยายามต่อไป โดยไม่ยอมท้อแท้แม้ว่าจะยังไม่ได้รับคำตอบใด ๆหลังจากเหตุกา
ชิดชนกไม่รู้ตัวว่าหิวจนกระทั่งได้กลิ่นอาหารที่ถูกนำมาเสิร์ฟ สเต็กจากไร่ที่ย่างได้ที่พอดี ปรุงด้วยกระเทียมและเครื่องเทศ ขนมปังร้อน ๆ ที่เพิ่งทำสด ๆ เมื่อเช้านี้ หอมใหญ่ทอด มันฝรั่งบด รวมทั้งชาเย็นและกาแฟเธอไม่คิดว่าเธอจะเคยชินกับปริมาณอาหารที่ครอบครัวนี้บริโภคในหนึ่งมื้อ และเกือบสองในสามของอาหารนั้นถูกบริโภคโดยเจ้าบ้านแต่แล้วเธอก็คิดว่าเขาต้องใช้พลังงานทั้งหมดนั้นไปกับการทำงานในไร่ แน่นอนว่าเพราะดูเหมือนจะไม่มีไขมันส่วนเกินบนตัวเขาเลย มีแต่มัดกล้ามแข็ง ๆ ไปทุกสัดส่วนก่อนที่เธอจะเอื้อมไปหยิบจานสเต็กที่อยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มก็คว้าจานของเธอไปและจัดอาหารให้ โดยเลือกเนื้อชิ้นเล็กกับเครื่องเคียงอื่น ๆ ในปริมาณที่เหมาะสม แล้วส่งจานกลับมาให้เธอ“ฉันอยากให้เธอกินให้หมด เธอกับน้องสาวกินเหมือนนก มาอยู่กลางไร่กลางป่าแบบนี้ ต้องสะสมพลังงานสำรองไว้บ้างเผื่อเหตุการณ์ไม่คาดคิด”แม้ว่าเธอจะรู้ว่าเขาลดปริมาณอาหารลงจากที่เขาจะกินเอง แต่ก็ยังเป็นปริมาณที่มากเกินไป“ฉันกินทั้งหมดนี้ไม่ไหวแน่ มันจะทำให้ฉันป่วย และนั่นก็จะทำให้จุดประสงค์คุณเสียไป”ภาดาหัวเราะกับคำพูดของหญิงสาว เสียงหัวเราะทุ้มลึกที่ทำให้ชิด
ทั้งคู่นิ่งเงียบไปชั่วขณะ ชิดชนกมองไปที่จุดหนึ่งบนผนังด้านตรงข้าม ส่วนภาดามองเธออย่างเปิดเผย มือของเขาวางอยู่ที่หลังบอบบาง ราวกับกำลังประคองคนบนตักไว้“เจ็บไหมมากไหม” เสียงทุ้มถามเบา ๆคำถามของเขาทำให้ชิดชนกเหลือบมอง และเธอพบว่าดวงตาคมเข้มใสกระจ่าง ไม่มีร่องรอยของความโกรธหรือการเหน็บแนมใด ๆ บนใบหน้า ตอนแรกเธอปฏิเสธที่จะตอบ แต่เธออยู่ใกล้เขาพอที่จะเห็นเมื่อเขายักคิ้ว และรู้ว่าเขาดื้อพอที่จะรอเธอได้เช่นกัน“ไม่ค่ะ” เธอตอบเสียงเบา ๆ ในอกรู้สึกแปลก ๆ ที่ต้องอยู่ในท่านี้กับชายหนุ่ม“ฉันขอโทษที่ก้าวก่ายเรื่องของเธอ แต่ฉันไม่อยากปล่อยเธอไปเมื่อเธอแทบไม่ได้กินอะไรเลย และฉันรู้ว่าฉันเป็นสาเหตุโดยตรงของเรื่องนั้นอย่างน้อยสองครั้ง ฉันขอโทษ คำพูดของฉันไม่เหมาะสมจริง ๆ โปรดยกโทษให้ฉัน”คำขอโทษของเขาฟังดูจริงใจ และมารยาทที่ดีเป็นพื้นฐานของบ้านที่เธอและชิดจันทร์เติบโตมา มันจะเป็นการไม่สุภาพหากเธอไม่ยอมรับคำขอโทษของเขา“ฉันยกโทษให้คุณ” เธอกระซิบ มองลงไปที่มือของเธอที่วางอยู่บนตัก“ขอบใจ เธอใจดีมากกว่าที่ฉันสมควรได้รับ”อีกครั้งที่ชิดชนกไม่พบร่องรอยของการเยาะเย้ยหรือความไม่จริงใจในน้ำเสียง แม้ว่าเธอจะ
ชิดชนกไม่รู้ตัวว่าหิวจนกระทั่งได้กลิ่นอาหารที่ถูกนำมาเสิร์ฟ สเต็กจากไร่ที่ย่างได้ที่พอดี ปรุงด้วยกระเทียมและเครื่องเทศ ขนมปังร้อน ๆ ที่เพิ่งทำสด ๆ เมื่อเช้านี้ หอมใหญ่ทอด มันฝรั่งบด รวมทั้งชาเย็นและกาแฟเธอไม่คิดว่าเธอจะเคยชินกับปริมาณอาหารที่ครอบครัวนี้บริโภคในหนึ่งมื้อ และเกือบสองในสามของอาหารนั้นถูกบริโภคโดยเจ้าบ้านแต่แล้วเธอก็คิดว่าเขาต้องใช้พลังงานทั้งหมดนั้นไปกับการทำงานในไร่ แน่นอนว่าเพราะดูเหมือนจะไม่มีไขมันส่วนเกินบนตัวเขาเลย มีแต่มัดกล้ามแข็ง ๆ ไปทุกสัดส่วนก่อนที่เธอจะเอื้อมไปหยิบจานสเต็กที่อยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มก็คว้าจานของเธอไปและจัดอาหารให้ โดยเลือกเนื้อชิ้นเล็กกับเครื่องเคียงอื่น ๆ ในปริมาณที่เหมาะสม แล้วส่งจานกลับมาให้เธอ“ฉันอยากให้เธอกินให้หมด เธอกับน้องสาวกินเหมือนนก มาอยู่กลางไร่กลางป่าแบบนี้ ต้องสะสมพลังงานสำรองไว้บ้างเผื่อเหตุการณ์ไม่คาดคิด”แม้ว่าเธอจะรู้ว่าเขาลดปริมาณอาหารลงจากที่เขาจะกินเอง แต่ก็ยังเป็นปริมาณที่มากเกินไป“ฉันกินทั้งหมดนี้ไม่ไหวแน่ มันจะทำให้ฉันป่วย และนั่นก็จะทำให้จุดประสงค์คุณเสียไป”ภาดาหัวเราะกับคำพูดของหญิงสาว เสียงหัวเราะทุ้มลึกที่ทำให้ชิด
จากนั้นเป็นต้นมาชิดชนกพยายามอย่างที่สุดที่จะเลี่ยงภาดาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะดูเหมือนเขาจะอยู่บ้านตลอดเวลา เธอก็เช่นกันเธอส่งอีเมลแนะนำตัวเองไปยังโรงเรียนต่าง ๆ ทั้งที่อยู่ใกล้และไกลแม้แต่โรงเรียนที่ไม่ได้ประกาศรับสมัครครู เธอก็ส่งไปเผื่อไว้ เธอรู้สึกอึดอัดกับการอยู่ที่นี่มากจนขยายขอบเขตการหางานไปยังจังหวัดอื่นด้วยพ่อแม่ของเธอเสียหมดแล้ว ดังนั้นเธอจึงเหลือน้องสาวคนเดียวที่เป็นครอบครัวของเธอ ชิดจันทร์แต่งงานกับภีรพล เห็นว่าเธออยู่กรุงเทพฯ คนเดียว จึงชักชวนเธอให้มาอยู่ที่ไร่ด้วยกัน ชิดชนกตอบตกลงเพราะอยากอยู่ใกล้กับน้องสาวถ้าหากว่ามีแค่ชิดจันทร์กับภีรพลอยู่ในบ้าน เธอคงรู้สึกยินดีและสบายใจที่จะใช้เวลาหางานที่เหมาะสมซึ่งจะทำให้เธออยู่ใกล้ ๆ ครอบครัวได้แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน เธอถึงจุดที่อยากจะออกจากบ้านหลังนี้ให้เร็วที่สุด แต่เธอไม่มีเงินพอที่จะกลับไป และก็ไม่มีอะไรให้กลับไปอยู่แล้วเช่นกัน เธอจึงยอมรับว่าต้องรับงานใด ๆ ก็ตามที่เข้ามาเพื่อให้พ้นจากชายคาของพ่อเลี้ยงภาดาให้ได้ ดังนั้นเธอจึงพยายามต่อไป โดยไม่ยอมท้อแท้แม้ว่าจะยังไม่ได้รับคำตอบใด ๆหลังจากเหตุกา
หัวใจของเขาแทบจะหยุดเต้นในขณะที่เดินข้ามห้องไปหาเธอ แต่เขารู้ว่าเธอไม่ได้ยินเสียงเขา ซึ่งเป็นผลจากการที่เขาเคยเป็นนักล่าและผู้วางกับดักที่เก่งมาตั้งแต่เด็ก ในใจได้แต่ภวนาว่าเขาจะไปถึงตัวเธอได้ก่อนที่เธอจะทำอะไรโง่ ๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ไม่ว่าจะกับตัวเธอเอง กับเขา หรือกับคนที่อาจโดนกระสุนพลาดภาดายอมรับว่าเขาไม่ควรตีเธอ แต่เขายอมแพ้ต่อสัญชาตญาณดิบ ๆ ที่ต้องการให้เธอตระหนักถึงความร้ายแรงของสิ่งที่เธอกำลังทำภีรพลน้องชายของเขาอาจจะเพียงแค่ตะโกนด่า แต่ภีรพลเป็นสุภาพบุรุษมากกว่าเขาเสมอ ภีรพลเกิดมาในช่วงที่ครอบครัวเริ่มมีเงินทอง และในฐานะลูกคนเล็ก เขาได้รับการอบรมและเลี้ยงดูอย่างประคบประหงมมากกว่าภาดาที่เป็นลูกคนโตคิ้วดกดำสองข้างขมวดเข้าหากัน ขณะที่เขากำลังลงมือตีเธอ เขาไม่ได้สังเกตสภาพเสื้อผ้าของเธอมากนัก แต่เมื่อนึกย้อนกลับไป เขาก็ตระหนักได้ว่าเสื้อผ้าทุกชิ้นที่เธอสวมใส่อยู่ไม่เพียงแต่ล้าสมัย แต่ยังเก่าจนแทบไม่เหมาะสมที่จะสวมใส่ โดยเฉพาะกางเกงชั้นในของเธอทว่าทันใดนั้น เขาก็ตกใจเล็กน้อยเมื่อตระหนักว่าผู้หญิงตัวเล็กแบบเธอเป็นสิ่งที่ดึงดูดเขาอย่างมาก แต่ความจริงนี้
“ไม่เคย ฉันไม่เคยเห็นมันมาก่อนด้วยซ้ำ นั่นแหละที่ทำให้ฉันสนใจมัน”ชิดชนกรู้ดีว่าเธอควรจะควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้ได้ หรืออย่างน้อยก็ควบคุมน้ำเสียงให้เหมาะสม แต่การที่ฝ่ามือของชายหนุ่มฟาดลงบนก้นเธออีกครั้งก็เป็นเครื่องเตือนใจที่เธอคงไม่สามารถลืมมันได้“ถ้าอย่างนั้น เธอยิ่งไม่ควรจะไปยุ่งกับมันเลย ปืนของฉันไกนุ่มมาก และเธอกำลังเล็งมันไปที่เท้าของตัวเอง เธออยากจะเดินกะเผลกไปมาหน้าห้องเรียนของเธอหรือไง ถ้าเธอได้งานสอนสักที”ความดูถูกและความไม่ชอบที่เขามีต่อเธอแทบจะทำให้เธอร้องไห้อีกครั้ง แต่เธอก็ตั้งสติและพยายามไม่ให้เขามองเห็นว่าเธอเสียใจเพราะสิ่งที่เขาพูด มันแย่พอแล้วที่เขาทำให้เธอต้องร้องไห้ตอนที่เขาตีเธอ แต่ตอนนั้นเธอทำอะไรไม่ได้ เพราะมันเจ็บจริง ๆเธอไม่รู้ว่าเธอทำอะไรผิดถึงทำให้เขาไม่พอใจ เธอมาอยู่ใต้ชายคาเขาได้ไม่ถึงวัน และนอกจากตอนนี้ เธอเจอเขาแค่ที่โต๊ะอาหารเย็น ซึ่งเขาพูดกับเธอไม่เกินสองคำ คำแรกคือ ‘สวัสดี’ และอีกคำคือ ‘ราตรีสวัสดิ์’ เมื่อเขาลุกจากโต๊ะทันทีหลังอาหารและหายเข้าไปในห้องที่พวกเขากำลังอยู่ตอนนี้เมื่อเธอตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น เขาก็หายไปแล้ว ภีรพล น้องชายของเขา หรื
เธอไม่ทันได้เห็นหรือได้ยินเสียงเขาเข้ามาเลย จนกระทั่งถูกแขนใหญ่ ๆ กอดรัดเอาไว้แน่น แขนของเธอถูกกดทับไว้ข้างลำตัวอย่างไม่มีทางขยับ ปืนในมือถูกกระชากออกไปอย่างง่ายดาย เธอแทบไม่ได้ยินเสียงกระสุนที่ถูกปลดออกและหล่นลงบนฝ่ามือของเขาเลย และก่อนที่เธอจะรู้ตัว เขาก็เก็บปืนเข้าโฮลสเตอร์เรียบร้อยแล้ว ด้วยท่าทางคล่องแคล่วเท้าที่สวมรองเท้าบูทถูกยกไปวางบนเก้าอี้ แล้วดึงคนตัวเล็กลงนอนคว่ำบนบนตักอย่างรวดเร็วไม่ทันแม้กระทั่งจะได้ตั้วตัว“ว้าย!”ชิดชนกร้องเสียงหลง รู้สึกอับอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี เมื่อท้องของเธอไปกระแทกกับต้นขาแข็ง ๆ แต่ในตอนนั้น เธอยังไม่รู้เลยว่าโชคชะตาที่น่าอับอายกว่านี้กำลังรอเธออยู่กระโปรงของเธอถูกดันขึ้นสูงจนเห็นชายผ้าที่เริ่มขาดรุ่ยของชุดที่เธอชอบที่สุด เธอคิดว่าเขาคงหยุดแค่นี้ นี่มันก็แย่พอแล้วและไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่เขาจะเห็นเธอในชุดชั้นใน แต่เขาคงไม่ทำอะไรมากไปกว่านี้หรอกมั้ง…เขาเป็นสุภาพบุรุษไม่ใช่หรือ อย่างน้อยเขาก็ทำตัวเป็นแบบนั้น...หญิงสาวพยายามจะดิ้นรนต่อสู้อย่างเงียบ ๆ เพื่อไม่ให้ใครได้ยินเสียงและเข้ามาพบพวกเขาในสภาพที่ไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นคนใช้หรือสมาชิกในครอบค