“ที่รักของเค้าน่ารักที่สุดเลย” ฉันยิ้มกว้าง ก่อนจะกอดและหอมแก้มสามีสุดที่รักไปทั้งซ้ายทั้งขวา ก่อนจะปิดท้ายด้วยจูบ“แต่ผมขอเริ่มคืนพรุ่งนี้นะ” พอถอนจูบออก เปรมก็รีบเอ่ย พร้อมด้วยแววตากรุ้มกริ่มเจ้าเล่ห์ “เอ้!...เดี๋ยวสิที่รัก อย่าเพิ่ง…” เสียงคัดค้านใดๆ ของฉันมันขาดหายไป ซึ่งฉันมั่นใจว่าจะถูกแทนที่ด้วยเสียงครางในอีกไม่ช้าเปรมอุ้มฉันขึ้นด้วยท่าทางสบายๆ ด้วยความที่เขาสูงร้อยแปดสิบเซนติเมตร ส่วนฉันนั้นแค่ร้อยหกสิบนิดๆ เปรมจึงดูตัวสูงใหญ่ ส่วนฉันก็ตัวเล็กไปเลยเมื่อยืนคู่กับสามี ไปไหนมาไหนด้วยกันก็มักจะมีคนชอบมอง ส่วนเปรมพอคนมองมากๆ ก็ชอบทะลึ่งด้วยการแกล้งคว้าฉันไปจูบบ้างล่ะ จับก้นฉันบ้างล่ะ“คืนนี้เปลี่ยนบรรยากาศดูไหม”“เปลี่ยนบรรยากาศ ยังไง” ฉันรู้ความหมายที่เปรมสื่อ แค่แกล้งถามทำเป็นไม่รู้บ้างเท่านั้นเอง ถ้ารู้ทันไปเสียทุกอย่าง มันก็ไม่ตื่นเต้นใช่ไหม...แฮ่ “ก็เตียงนอน โซฟา ห้องน้ำ โต๊ะกินข้าว เราใช้มันจนคุ้มแล้ว จะเหลือก็แค่…”“แค่อะไร”“สระว่ายน้ำ”“ไม่เอาหรอก เดี๋ยวมีคนเห็น” พอรู้ว่าเปรมจะชวนฉันไปที่ไหน ฉันถึงกับตาโต เพราะสระว่ายน้ำมันอยู่นอกบ้าน ใครจะไปกล้า “ใครจะมาเห็น นี่มันบ้า
“เค้าทนไม่ไหวแล้วนะ” ฉันทนไม่ไหวแล้วจริงๆ เพราะอารมณ์มันพลุ่งพล่านไปหมดแล้วในตอนนี้ ซึ่งเปรมเองก็คงรู้สึกไม่ต่างไปจากฉันสักเท่าไหร่เขาจัดการถอดกางเกงออก ตามด้วยอันเดอร์แวร์ จากนั้นก็ยืนขึ้นจนเต็มความสูง ซึ่งจุดที่เราอยู่ระดับน้ำไม่ได้ลึกมาก พอเปรมยืนสะโพกของเขาก็อยู่ในระดับเดียวกับขอบสระ ฉันเห็นท่อนเนื้อของสามีที่ตอนนี้ผงาดท้าทายแรงโน้มถ่วงของโลกอย่างเต็มๆ ตาฉันจำได้แม่นว่าในวินาทีครั้งแรกที่เห็นมัน ฉันถึงกับอ้าปากค้าง ทั้งกล้าทั้งกลัวว่าร่างกายของฉันจะรับเจ้าท่อนเนื้อขนาดใหญ่นี้ได้ไหม ร่างกายฉันจะฉีกขาดหรือชำรุดอะไรหรือเปล่า แต่เปรมก็ค่อยๆ รุกล้ำเข้าสู่ตัวฉันอย่างอ่อนโยน สิ่งที่ขาดจึงเป็นเพียงเยื่อบางๆ ของพรหมจรรย์ ส่วนอย่างอื่นยังอยู่ครบ“ใหญ่ขึ้นหรือเปล่านะ” ฉันยิ้มกริ่ม ทั้งๆ ที่ขนาดของเขาก็เท่าเดิม ก่อนที่ฉันจะยื่นมือไปสัมผัส หยอกเย้ามันด้วยจังหวะมือขึ้นและลง นั่นทำให้ผู้ชายตัวโตๆ อย่างเปรมถึงกับสั่นเทาแล้วเป่าลมออกปากหนักๆ“ผมทนไม่ไหวแล้ว อืมม์…” เปรมกัดฟันบอก ก่อนที่เขาจะจับขาทั้งสองข้างของฉันให้แยกห่างออกจากกันมากขึ้น จากนั้นก็แทรกตัวเองเข้าหาฉันแบบครั้งเดียวลึกสุด ทำเอาฉันย
“จุ๊บอยากมาลาพี่เปรม” เธอเดินอ้อมโต๊ะทำงานแล้วมาหยุดอยู่ข้างๆ ผมที่ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้หนังตัวใหญ่ บ่งบอกตำแหน่งที่ค่อนข้างใหญ่โตตามหน้าที่ “อ้อ...ครับ”“เราไปหาที่เงียบๆ คุยกัน ลากันดีไหมคะ” นอกจากจะพูดเชื้อเชิญแล้ว จุ๊บยังวางมือลงบนต้นแขนผม พร้อมกับลูบมันเบาๆ “ขอโทษนะครับ พอดีพี่ไม่ค่อยสะดวก” ผมยิ้มให้เธอแล้วปฏิเสธไป นั่นทำให้เธอสลดลงไปนิดหน่อย แต่ก็ยังคงตื๊อ“ทำไมล่ะคะ หรือว่าพี่เปรมไม่ชอบจุ๊บเหมือนที่จุ๊บชอบพี่” นั่นไง ประโยคที่ผมคิดไว้ในใจก็ดังออกมาจากปากเธอจนได้ สาวน้อยนักศึกษาแอบชอบรุ่นพี่ที่ฝึกงาน หึ… “จุ๊บ! รู้ตัวไหมว่าพูดอะไรออกมา”“รู้สิคะ ทำไมจะไม่รู้ จุ๊บยังรู้ด้วยว่าพี่เปรมเองก็ชอบจุ๊บ แต่ต้องเก็บซ่อนความรู้สึกไว้ เพราะพี่เปรมมีเมียอยู่แล้ว นั่นยิ่งทำให้จุ๊บรักพี่เปรมขึ้นไปอีก จุ๊บยอมเป็นเมียเก็บของพี่ก็ได้นะ” สาวน้อยอธิบายเหตุผลแทนผมยาวเหยียด ซึ่งมันไม่ได้มีเค้าความจริงสักนิด และผมก็คงต้องพูดตัดบทให้เธอเลิกคิดฟุ้งซ่าน “ไร้สาระ เลิกคิดเรื่องพวกนี้เถอะ เอาเวลาไปตั้งใจเรียนดีกว่า อีกปีเดียวก็จบแล้วไม่ใช่เหรอ”“แต่จุ๊บรักพี่เปรมนะคะ จุ๊บยอมเป็นของพี่โดยไม่ร้องขออะไรเลย
“อยากกินข้าว แต่ก็อยากกินที่รักด้วย ทำไงดี” ผมออดอ้อน แต่คนตรงหน้ากลับแยกเขี้ยวขาวๆ ใส่ผม มันไม่ได้น่ากลัวสักนิด ออกจะน่ารักน่าลากไปปล้ำเสียด้วยซ้ำ“อดทนค่ะ เราต้องเอาชนะใจตัวเองให้ได้ ท่องไว้ค่ะ เพื่อลูก...เพื่อลูก”“คอยดูเถอะ ถึงสิ้นเดือนเมื่อไหร่ ผมจะขอคิดดอกให้เข็ด”“แหม…เค้าคงให้ที่รักคิดดอกฝ่ายเดียวหรอกนะคะ เพราะเค้าก็จะคิดดอกเหมือนกัน” เธอยิ้มหวานให้ผม แรกๆ ที่คบกันเหมือนฝันไม่ใช่ผู้หญิงทะลึ่ง ออกจะห้าวใส่ผมเสียด้วยซ้ำ แต่พอรู้จักกันนานขึ้นผมก็รักในตัวตนของเธอ ความทะลึ่งเล็กๆ น้อยๆ ผมมองว่าคือเสน่ห์ของผู้หญิง มันทำให้ผมตื่นเต้นกับชีวิตคู่“อ่า…อยากให้ถึงวันนั้นเร็วๆ จัง”“ทำไมต้องทำเสียง…อ่า แบบนั้นด้วยเนี่ย” เธอล้อเลียนเสียงครางของผมซะเหมือน “ก็มันตื่นเต้น”“ที่รักนี่ก็ตลก ขึ้นไปอาบน้ำค่ะ เดี๋ยวเค้าอุ่นกับข้าวรอ” “ครับผม ชื่นใจจัง” ผมหอมแก้มเธอหนักๆ อยากจะจูบด้วยซ้ำ แต่กลัวจะเลยเถิด จากนั้นก็ขึ้นไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า พอกลับลงมากับข้าวก็วางพร้อมอยู่บนโต๊ะ เราจึงดินเนอร์เล็กๆ ด้วยกัน ฉันกับเปรม พยายามอยู่ห่างๆ กัน เพื่อเลี่ยงแรงดึงดูดที่อาจทำเวลาหนึ่งเดือนที่ต้องห่างกันของ
“ได้ข่าวว่าแกจะไปฮันนีมูนรอบที่สิบที่ปารีสเหรอยะ” คำพูดของเพื่อนสนิท ที่วันนี้ฉันชวนออกมากินข้าวดังขึ้น ฉันยิ้มรับพร้อมกับยักคิ้วให้สองสามครั้ง เพราะนี่คือการฮันนีมูนครั้งที่สิบของฉันจริงๆ แต่จะว่าไปทุกวันของฉันกับสามีก็หวานชื่นเหมือนฮันนีมูนกันอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้วซึ่งก็คงไม่แตกต่างไปจากชีวิตคู่ของปรางทิพย์ ที่แต่งงานแล้วแต่ก็ยังสวีทหวานไม่แพ้คู่รักข้าวใหม่ปลามัน ถึงจะมีสามีมีลูกแล้วแต่ ปรางทิพย์ก็ไม่ลืมที่จะให้เวลาตัวเองได้ออกมาเจอฉัน ได้ออกไปช้อปปิ้งหรือทำกิจกรรมที่อยากทำเหมือนตอนเป็นโสด จะว่าไปเพื่อนฉันก็ได้สามีดีที่เข้าใจ ซึ่งหาได้ยากมากในยุคนี้ โดยสามีของปรางทิพย์จะอาสาดูลูกให้ในวันหยุด“อื้อ…ไปรำลึกความหลังด้วย”“โอ๊ย! ฉันล่ะอิจฉาแกจริงๆ มีไปรำลงรำลึกความหลัง”“นิดนึง”“ขอให้แกได้น้องปารีสติดท้องกลับมาสมใจ” พรจากปรางทิพย์ ฉันรีบพนมมือรับอย่างไม่ลังเล“สาธุ...เพี้ยง!”“ยกมื
“ครับ” เสียงที่ขานรับดังแว่วมาจากสระว่ายน้ำ ฉันวางกับข้าวที่ซื้อมาบนโต๊ะ ก่อนจะเดินไปหาเจ้าของเสียง พอถึงก็เห็นเขากำลังว่ายน้ำอย่างสนุกฉันยืนกอดอกมองสามีที่ดำผุดดำว่ายด้วยท่วงท่าคล่องแคล่ว สวยงามราวกับนักกีฬาว่ายน้ำมืออาชีพ กระทั่งเห็นเปรมค่อยๆ พาตัวเองขึ้นจากน้ำแล้วเดินตรงมาหาฉันและนั่นก็ทำเอาฉันกำเดาแทบจะพุ่ง แม้ว่าจะเคยเห็น เคยสัมผัสร่างกายของเขามาแล้วทุกส่วน แต่พอได้มอง ฉันก็อดคิดอะไรหื่นๆ ไม่ได้เลย“มองอะไร”“มองซิกแพคคนแถวนี้”“ที่รักคิดอะไรอยู่ บอกมานะ” เปรมใช้นิ้วจิ้มหน้าผากฉันเบาๆ“เราบินไปปารีสพรุ่งนี้เลยได้ไหมอ่ะ เค้าไม่ไหวแล้ว” คำพูดของฉันทำเอาสามีหัวเราะก๊ากออกมา ก็ฉันไม่ไหวแล้วจริงๆ นี่นา อยากจะลาก อยากจะปล้ำเขาตอนนี้เลย“ไม่ได้ครับ รออีกหนึ่งอาทิตย์ ไม่งั้นสามอาทิตย์ที่ผ่านมา มันจะเท่ากับศูนย์เลยนะ”“ไม่ต้องเอาคำพูดเค้ามาพูดเลย”
“ไปนั่งรอที่โต๊ะก่อน เดี๋ยวผมเอาไปให้”“ขอบคุณค่ะ” เธอเอ่ยรับพร้อมกับเขย่งปลายเท้าขึ้นมาหอมแก้มผม จากนั้นก็เดินไปนั่งรอที่เก้าอี้โต๊ะกินข้าว ผมจัดการนำเค้กกับสลัดผลไม้ออกมาใส่จานแล้วถือไปวางให้เธอ พร้อมกับนั่งเป็นเพื่อน“กินไหมคะ”“ไม่ครับ”“กินเค้กตอนนี้มีความสุขจังเลย ที่รักยิ้มอะไร” เธอเอ่ยถามผม นั่นเพราะผมนั่งยิ้มมองเธอกินเค้กคำ สลัดผลไม้คำ สีหน้าดูเอร็ดอร่อยจนผมชักจะหิวตาม“ยิ้มที่เห็นที่รักมีความสุข รู้ไหมตะกี้ผมตกใจแทบแย่ที่หาที่รักไม่เจอ”“ขอโทษจ้ะ พอดีเค้าไม่อยากปลุก”“วันหลังถ้าจะลงมาหาอะไรกินอีก ที่รักต้องปลุกผมให้ลงมาเป็นเพื่อนด้วยรู้ไหม เกิดสะดุดตกบันไดขึ้นมาทำไง”“ค่ะๆ เค้าโชคดีจังที่ได้รักและแต่งงานกับที่รัก” อยู่ๆ เธอก็เปลี่ยนโหมดมาเป็นซึ้ง“มาอ้อนอะไรตอนนี้...หืม” ผมยื่นมือไปวางบนศีรษะได
ฉันดี๊ด๊ามากกับการบินไปปารีสครั้งนี้ รู้สึกมีความสุขจนหน้าบานเป็นจานดาวเทียม เวลาหลายชั่วโมงบนเครื่องบินไม่ได้ทำให้ฉันหงุดหงิดสักนิด นั่นเพราะฉันเฝ้ารอการไปถึงปารีสอย่างใจจดใจจ่อก่อนจะหันมามองคนข้างๆ ตาลุกวาว ฉันยิ้มเจ้าเล่ห์ให้เขาพร้อมกับกัดริมฝีปากล่างไปด้วย คงด้วยความมันเขี้ยว เปรมจึงยื่นมือมาบีบจมูกฉันแรงๆ“ยั่วกันเหรอ...หืม” เสียงทุ้มเอ่ยถามฉัน“อื้อ…บิ้วไง”“ไม่ต้องก็ได้มั้งครับ ห่างมาตั้งเดือนนิ” คำพูดของเขาทำให้ฉันยิ้มเขินเล็กๆ“ก็จริง” ฉันเอ่ยรับแบบไม่มีการอ้อมค้อม เปรมส่ายหน้าให้ฉัน ก่อนจะนั่งอ่านหนังสือที่พกติดตัวมาด้วย ส่วนฉันก็นั่งดูหนัง ฟังเพลง กินและนอนตามระเบียบ แม้นี่จะอยู่บนเครื่องบิน แต่สิ่งอำนวยความสะดวกก็แสนจะครบครันเมื่อลงเครื่องที่สนามบินชาร์ลส์ เดอ โกล ซึ่งปารีสตอนนี้อากาศกำลังดีไม่หนาวมาก พอรับกระเป๋าเสร็จ เปรมก็พาฉันไปยังโรงแรมที่พัก ซึ่งครั้งนี้พักที่ใหม่ ห้องสวยมาก วิวก็สวยไม่แพ้กัน
“อะไรของมัน” ผมส่ายหัวทันที คนไม่มีความรักแห้งเหี่ยวมานาน อารมณ์มันขึ้นๆ ลงๆ แบบนี้ล่ะมั้ง เพราะเนติธรโสดสนิทมาก็ตั้งนาน ยังไม่ยอมมีแฟนสักคน เอ๊ะ! หรือมันเป็นเกย์ผมเลิกคิดเรื่องนี้ ก่อนจะมานั่งคิดเรื่องของตัวเอง อย่าว่าแต่คนอื่นเลย ผมเองก็ไม่เชื่อว่าจะแพ้ท้องแทนเมียจนกระทั่งประสบกับตัวเอง ภรรยาผมเธอไม่มีอาการแพ้ท้องสักนิด ผิดกับผมที่เป็นแทบทุกอย่าง บางวันนั่งกินของเปรี้ยวๆ ได้เป็นจานแต่แพ้ท้องแทนแค่นี้ มันยังไม่มากเมื่อเทียบกับสิ่งที่เหมือนฝันต้องเสียสละ การอุ้มท้องมันไม่ใช่เรื่องง่าย ผมเฝ้ามองเธอตั้งแต่วันแรกที่รู้ว่าท้องจนกระทั่งวันนี้ วันที่เธอท้องได้เจ็ดเดือนแล้ว พอวางสายกับนิก ผมก็เดินเข้ามาหาเหมือนฝัน และเข้ามาเห็นจังหวะที่ลูกดิ้นพอดี ซึ่งพักหลังๆ มานี้ทุกครั้งที่ตัวแสบขยับตัว เธอจะนิ่วหน้าเพราะเจ็บ แต่มันคือความเจ็บปวดที่เธอบอกว่ายินดีให้เกิด“เตะท้องแม่เบาๆ ครับลูก แม่เจ็บรู้ไหมครับ” ผมเอ็ดลูกในท้องเบาๆ แต่ดูท่าจะไม่ได้ผล เพราะผมยังเห็นท้องของเธอปูดออกมาเป็นจุดๆ ตอนนี้ลูกของผมคงตีลังกาอยู่ในท้องนั่นเป็นแน่ 
เปรมสั่งลาเต้ร้อนไป ส่วนฉันสั่งคาราเมลปั่น เค้กวันนี้ได้ชิมเค้กมะพร้าวตัวใหม่ที่พี่นกเป็นคนคิดสูตรขึ้น เนื้อเค้กมันนุ่ม ส่วนครีมก็หอมมะพร้าวมากๆ แบบนี้คงต้องสั่งกลับบ้านสักสองสามชิ้นเมื่อได้เวลา ฉันก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ และไฟในร้านก็ดับพรึบตามแผนที่วางไว้ เปรมคงจะงง แต่ตอนนี้ฉันมองไม่เห็นอะไร ก่อนจะถูกจูงออกไปหน้าร้านโดยพี่นก จากนั้นไฟก็สว่างขึ้น“ใช่…ที่รักหรือเปล่า” เปรมถามฉัน แต่ฉันไม่ตอบ ฉันเห็นว่าเขากำลังยิ้ม เพราะตอนนี้ฉันอยู่ในชุดมาสคอตตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลตัวอ้วนกลม“ที่รัก” เขาถามย้ำอีกครั้ง สีหน้าดูลังเลว่าในมาสคอตจะใช่เมียตัวจริงหรือตัวปลอม เห็นแล้วก็ขำดี จากนั้นฉันก็หยิบป้ายที่เตรียมไว้ออกมาชูให้เขาเห็นทีละใบ และเปรมก็อ่านมันด้วย“สุขสันต์วันเกิดค่ะที่รัก”“ขอบคุณที่อยู่ดูแลกันมา” ข้อความจากป้ายใบที่สองเริ่มซึ้ง ตามด้วยใบที่สาม“ขอบคุณสำหรับการเป็นสามีที่ดี”“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ทำให้เค้ามาตลอด” เปรมอ่านข้อความในป้ายทุกคำก็ว่าได้“
ผมเปลี่ยนมาใช้มือสัมผัสหน้าอกเธออีกครั้ง เพราะปากผมมันจะไล้ลงต่ำเพื่อไปสัมผัสยังจุดอื่น ที่จะทำให้เธอเสียวซ่านจนอาจรู้สึกตัวตื่น“อืมม์…” คราวนี้เสียงครางเป็นของผมบ้าง นั่นเพราะผมตื่นตัวจนรู้สึกปวดหนึบไปหมด ขณะที่มองเห็นความอวบอูมของกลีบกุหลาบดอกสวย ปลายนิ้วของผมสัมผัสมันอย่างอ่อนโยนเหมือนทุกครั้ง ผมค่อยๆ ลูบไล้ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นลิ้นและริมฝีปากเพื่อกลืนกินเธอ“อ่ะ…อ่า” เธอครางกระเส่าพร้อมกับบิดเร้าร่างกายไปมา มือทั้งสองข้างขยำผ้าปูที่นอนไว้จนมันยับยู่ยี่ ในขณะที่อารมณ์ของผมตอนนี้มันลุกโชน ไฟปรารถนามันกำลังมอดไหม้ตัวผมเข้าให้เสียแล้วนั่นทำให้ผมจัดการถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกบ้าง พร้อมๆ กับแทรกตัวอยู่ระหว่างขาทั้งสองข้างที่ถูกจับให้แยกออกห่างจากกันของเธอ หยาดน้ำหวานของเธอยังคงพรั่งพรูออกมาบ่งบอกความพร้อม ส่วนผมก็ปวดหนึบจนต้องเป่าลมออกปากหนักๆ ก่อนจะตัดสินใจค่อยๆ แทรกตัวเข้าหาเธอ“อืมม์…อ่ะ” เสียงครางของผมดังขึ้น เพราะภายในตัวของเธอมันทำให้ผมรู้สึกดีเป็นบ้า มันอุ่นแถมยังคับแน่นและตอดรัดแก่นกายของผมอยู่ตล
เย็นนั้นฉันกลับมาบ้านอย่างคนที่อารมณ์ดีเหมือนทุกๆ วัน แต่พอรู้ตัวว่าท้องฉันก็ยิ่งอารมณ์ดีขึ้นผิดหูผิดตา ปกติเย็นวันศุกร์ฉันกับเปรมจะไปดินเนอร์นอกบ้านกัน แต่วันนี้เขามาแปลก บอกอยากกินข้าวที่บ้านซะงั้น ฉันเลยต้องสวมวิญญาณเป็นแม่ครัว ทำมื้อเย็น ซึ่งเปรมก็ออเดอร์มาว่าวันนี้อยากกินสเต็กปลาแซลมอนอีก“หรือเขาจะแพ้ท้องแทนเราจริงๆ ไม่หรอกมั้ง” ฉันคิดเองแล้วก็ตอบเอง เพราะเดาอาการของเปรมไม่ค่อยออก สรุปเขาแพ้ท้องแทนฉันจริงๆ หรือเครียดเรื่องงานกันแน่พอจัดโต๊ะเสร็จ ก็ได้ยินเสียงรถของเปรมแล่นมาจอด ก่อนจะเห็นเขาเดินหน้ามุ่ยเข้าบ้านมาแล้วบ่นให้ฟังว่าอยู่ๆ ก็นึกอยากกินหมูสะเต๊ะร้านโปรด แต่พอขับรถไปซื้อร้านกลับปิดซะงั้น ฉันฟังไปก็แอบส่ายหน้าไปด้วย“ดื่มน้ำเย็นๆ ก่อน อารมณ์จะได้ดีขึ้น”“ครับ…พักนี้ที่รักว่าอารมณ์ผมแปรปรวนไหม” พอดื่มน้ำเย็นที่ฉันส่งให้ไปเกือบหมด เขาก็เอ่ยถามขึ้น“ก็มีบ้าง” ฉันตอบกลางๆ ไว้ก่อน“มีบ้างเหรอ แต่ทำไมเลข
“ผมไปช่วยด้วย จะได้เสร็จเร็วๆ”“ไหวเหรอคะ”“ไหวแล้วครับ” เอ่ยจบเปรมก็สูดยาดมเข้าเต็มปอดสองสามครั้งอย่างกับเรียกพลัง“โอเคๆ แต่ถ้าไม่ไหวต้องรีบบอกเค้านะ”“จ้ะ” คำตอบรับหวานๆ ดังขึ้น ก่อนที่เปรมจะลุกมาช่วยฉันเตรียมมื้อเย็น เราสองคนชอบทำกับข้าว แต่บางครั้งก็อาศัยความสะดวกด้วยการเลือกที่จะซื้อกับข้าวสำเร็จมาทานวันนี้เป็นสเต็กปลาแซลมอนจึงปรุงเร็วหน่อย ส่วนสลัดก็มีผักสด ธัญพืช เบคอนกรอบ (อันท้ายนี่ของโปรดฉันคนเดียว...แฮ่) ที่ทานคู่กับน้ำสลัดเจ้าอร่อยที่ฉันซื้อไว้ติดบ้าน จัดโต๊ะด้วยเทียนแท่งโตสองสามเล่ม แค่นี้ดินเนอร์ก็โรแมนติก หรูหราระดับโรงแรมได้ไม่ยากแต่ขณะที่ฉันกำลังจัดโต๊ะ สายตาก็เหลือบไปเห็นเปรมหยิบเบคอนกรอบมากินหน้าตาเฉย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ เค้าแทบไม่แตะ“อื้อ…อร่อย” คำพูดของเขาทำเอาฉันยิ่งงง ได้แต่คิดว่าเขาคงหิวมากแน่ๆ ถึงได้กินของที่ไม่เคยกินได้อย่างเอร็ดอร่อยปานนั้น ก
“ท้องจริงเหรอคะ หมอไม่ได้ตรวจผิดใช่ไหม” ฉันเอ่ยถามบ้าง เพราะอยากได้ยินชัดๆ อีกสักทีว่าฉันกำลัง ‘ท้อง’“ครับ คุณกำลังตั้งครรภ์” คำยืนยันที่ได้ยินทำเอาฉันยิ้มหน้าบานเป็นจานดาวเทียมไปแล้ว ดัชนีความสุขพุ่งปรี๊ดขึ้นสูงอย่างกับจรวด หน้าของเปรมลอยเข้ามาในความคิดทันที“งี้ก็แสดงว่าแกท้องตั้งแต่ก่อนไปปารีสน่ะสิ โอ๊ย! หลานฉัน ดีแค่ไหนที่ไม่หลุด เพราะพ่อกับแม่ซั่มกันตลอด” ฉันตีเพี้ยะเข้าที่ต้นแขนของยัยปรางแรงๆ ที่อยู่ๆ ก็พูดอะไรแบบนี้ต่อหน้าหมอที่นั่งยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่“ยัยบ้า หมอยังอยู่ตรงนี้ แกจะพูดทำไมยะ อายหมอ”“โทษที ลืมตัว” ปรางทิพย์ส่งยิ้มแห้งๆ ให้ฉัน สีหน้าแบบสำนึกผิด ส่วนฉันก็หันไปเอ่ยขอบคุณหมอ จงใจเปลี่ยนเรื่องมันเสียเลย“ขอบคุณนะคะหมอ”“ยินดีครับ เดี๋ยวหมอจะจัดยาบำรุงครรภ์ให้ไปทานที่บ้าน หลังจากนี้อาจมีอาการแพ้ท้องเกิดขึ้นได้นะครับ แต่อาการแพ้อาจไม่เกิดกับทุกคน”&nbs
เวลาสองอาทิตย์ของฉันที่ปารีสหมดลงไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ฉันบินกลับมาถึงเมืองไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และหลังจากที่ฉันซัดตุ๊กตาไปวันนั้น เธอก็ไม่โผล่หน้ามาให้เห็นอีกเลยอันที่จริงฉันก็สงสารเธอกับลูกอยู่เหมือนกัน แต่ฉันก็ไม่อยากเอาความสงสารที่มีมาเป็นเชื้อเพลิง ที่มันจะหวนกลับมาเผาครอบครัวของฉันเสียเอง ตัดไฟแต่ต้นลมน่าจะดีที่สุด“เป็นไงๆ ทริปฮันนีมูนที่ปารีส ร้อนแรงมั้ยแก” ปรางทิพย์ที่วันนี้ว่างก็เลยแวะมากินข้าวเที่ยงกับฉันเอ่ยถามขึ้น อันที่จริงชีวิตแม่บ้านเต็มตัวแบบนี้ฉันก็แอบอิจฉา แต่ฉันก็รู้ว่ามันไม่ง่ายอย่างที่เห็นแน่“จะเหลือเหรอ”“แล้วแกเช็กยัง ว่าท้องไหม”“ยังไม่ได้เช็กเลย แต่คงยังไม่ท้องหรอก เพราะรอบเดือนฉันเพิ่งมา...รอบเดือน!” พอพูดถึงรอบเดือนฉันก็ตาโตเป็นไข่ห่าน นี่ฉันลืมไปได้ยังไง“อะไร ทำหน้าตกใจทำไม”“แก…รอบเดือนฉันมาครั้งล่าสุดตอนไหนนะ”“ตอนไหนเหรอ ข
“ห้ามทำไม มั่นใจเข้าไว้สิ ไม่งั้นสามสี่วันที่ผ่านมา มันจะเสียเปล่าเอานะ” ยัง…ฉันยังจะไปกล้าท้าทายตุ๊กตาอีก เกิดเธอบ้าจี้ทำตามขึ้นมาจะทำไง“ไม่ต้อง” เธอเอ่ยเสียงตึงๆ อันที่จริงฉันก็ใจเต้นแรงเหมือนกันที่ท้าไปแบบนั้น เกิดเปรมบ้าจี้บอกจะกลับไปคืนดีกับตุ๊กตาเข้า ฉันคงได้ตายแน่ๆ“มีอะไรกันหรือเปล่าครับ” เสียงทุ้มที่ดังขึ้น ทำให้ฉันกับตุ๊กตาหันไปมองเจ้าของเสียงที่ยืนจูงมือมากับสโนว์“เอ่อ…เปรม ตุ๊กตาขอตัวกลับก่อนนะ ขอบคุณและขอโทษที่รบกวนเสียหลายวัน”“ไม่เป็นไร”“ไปจ้ะน้องสโนว์” ตุ๊กตาเข้าไปจูงมือลูกสาวไว้ ก่อนจะเอ่ยบอกให้สวัสดีและบ๊ายบายฉันกับเปรม เด็กไม่ได้ทำอะไรผิด ฉันจึงไม่ได้รู้สึกไม่ดีด้วย แค่ไม่ชอบแม่เด็กเท่านั้นและทันทีที่ตุ๊กตากับสโนว์เดินห่างออกไป เสียงของเปรมก็ดังขึ้นข้างๆ ฉัน“เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นครับที่รัก”“เค้ารบรากับแฟนเก่าที
“ถ้าไม่ไหวก็อย่าฝืนตัวเองเลยนะ ไปพักก่อนดีไหม” ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วมองมายังคนข้างๆ ที่นั่งไขว่ห้างจิบชายามบ่ายราวกับคุณนาย ขณะที่สายตามองไปยังลูกสาวที่กำลังเล่นอยู่กับอดีตคนรักที่สวน“ขอบคุณที่ห่วงนะคะ แต่ฝันไม่เป็นไรจริงๆ หรือต่อให้เป็นฝันก็คงนั่งอยู่ที่นี่ ไม่ไปไหนหรอก”“อุ๊ย! นี่อย่าบอกนะคะว่าฝันหึงตุ๊กตากับเปรม”“ค่ะ ผิดเหรอคะ ที่ฝันจะหึงสามีกับอดีตคนเคยคบ” คำพูดของฉันทำให้ตุ๊กตายิ้มและหัวเราะออกมา ฉันล่ะขนลุกกับเสียงหัวเราะที่เหมือนแม่มดของเธอนัก“ไม่ผิดหรอก”“พูดเรื่องนี้มาก็ดีแล้ว ฝันขอพูดตรงๆ เลยแล้วกัน ทำไมเราต้องเจอกันทุกวันด้วยคะ” ไหนๆ ก็ไหนๆ ฉันก็ถามมันตรงๆ นี่แหละ เผื่อคนบางคนจะสำนึกได้ถึงความเกรงใจที่ควรจะมี“ทำไมจะเจอไม่ได้ล่ะคะ ก็ในเมื่อพี่กับเปรม เราเป็นเพื่อนกัน” เธอหันมาส่งยิ้มให้ฉัน แต่ฉันรู้ว่ารอยยิ้มนี้มันคือรอยยิ้มที่พร้อมจะเปิดศึก เอาสิ…มาวัดกันว่าใครมัน