“ได้ข่าวว่าแกจะไปฮันนีมูนรอบที่สิบที่ปารีสเหรอยะ” คำพูดของเพื่อนสนิท ที่วันนี้ฉันชวนออกมากินข้าวดังขึ้น ฉันยิ้มรับพร้อมกับยักคิ้วให้สองสามครั้ง เพราะนี่คือการฮันนีมูนครั้งที่สิบของฉันจริงๆ แต่จะว่าไปทุกวันของฉันกับสามีก็หวานชื่นเหมือนฮันนีมูนกันอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้วซึ่งก็คงไม่แตกต่างไปจากชีวิตคู่ของปรางทิพย์ ที่แต่งงานแล้วแต่ก็ยังสวีทหวานไม่แพ้คู่รักข้าวใหม่ปลามัน ถึงจะมีสามีมีลูกแล้วแต่ ปรางทิพย์ก็ไม่ลืมที่จะให้เวลาตัวเองได้ออกมาเจอฉัน ได้ออกไปช้อปปิ้งหรือทำกิจกรรมที่อยากทำเหมือนตอนเป็นโสด จะว่าไปเพื่อนฉันก็ได้สามีดีที่เข้าใจ ซึ่งหาได้ยากมากในยุคนี้ โดยสามีของปรางทิพย์จะอาสาดูลูกให้ในวันหยุด“อื้อ…ไปรำลึกความหลังด้วย”“โอ๊ย! ฉันล่ะอิจฉาแกจริงๆ มีไปรำลงรำลึกความหลัง”“นิดนึง”“ขอให้แกได้น้องปารีสติดท้องกลับมาสมใจ” พรจากปรางทิพย์ ฉันรีบพนมมือรับอย่างไม่ลังเล“สาธุ...เพี้ยง!”“ยกมื
“ครับ” เสียงที่ขานรับดังแว่วมาจากสระว่ายน้ำ ฉันวางกับข้าวที่ซื้อมาบนโต๊ะ ก่อนจะเดินไปหาเจ้าของเสียง พอถึงก็เห็นเขากำลังว่ายน้ำอย่างสนุกฉันยืนกอดอกมองสามีที่ดำผุดดำว่ายด้วยท่วงท่าคล่องแคล่ว สวยงามราวกับนักกีฬาว่ายน้ำมืออาชีพ กระทั่งเห็นเปรมค่อยๆ พาตัวเองขึ้นจากน้ำแล้วเดินตรงมาหาฉันและนั่นก็ทำเอาฉันกำเดาแทบจะพุ่ง แม้ว่าจะเคยเห็น เคยสัมผัสร่างกายของเขามาแล้วทุกส่วน แต่พอได้มอง ฉันก็อดคิดอะไรหื่นๆ ไม่ได้เลย“มองอะไร”“มองซิกแพคคนแถวนี้”“ที่รักคิดอะไรอยู่ บอกมานะ” เปรมใช้นิ้วจิ้มหน้าผากฉันเบาๆ“เราบินไปปารีสพรุ่งนี้เลยได้ไหมอ่ะ เค้าไม่ไหวแล้ว” คำพูดของฉันทำเอาสามีหัวเราะก๊ากออกมา ก็ฉันไม่ไหวแล้วจริงๆ นี่นา อยากจะลาก อยากจะปล้ำเขาตอนนี้เลย“ไม่ได้ครับ รออีกหนึ่งอาทิตย์ ไม่งั้นสามอาทิตย์ที่ผ่านมา มันจะเท่ากับศูนย์เลยนะ”“ไม่ต้องเอาคำพูดเค้ามาพูดเลย”
“ไปนั่งรอที่โต๊ะก่อน เดี๋ยวผมเอาไปให้”“ขอบคุณค่ะ” เธอเอ่ยรับพร้อมกับเขย่งปลายเท้าขึ้นมาหอมแก้มผม จากนั้นก็เดินไปนั่งรอที่เก้าอี้โต๊ะกินข้าว ผมจัดการนำเค้กกับสลัดผลไม้ออกมาใส่จานแล้วถือไปวางให้เธอ พร้อมกับนั่งเป็นเพื่อน“กินไหมคะ”“ไม่ครับ”“กินเค้กตอนนี้มีความสุขจังเลย ที่รักยิ้มอะไร” เธอเอ่ยถามผม นั่นเพราะผมนั่งยิ้มมองเธอกินเค้กคำ สลัดผลไม้คำ สีหน้าดูเอร็ดอร่อยจนผมชักจะหิวตาม“ยิ้มที่เห็นที่รักมีความสุข รู้ไหมตะกี้ผมตกใจแทบแย่ที่หาที่รักไม่เจอ”“ขอโทษจ้ะ พอดีเค้าไม่อยากปลุก”“วันหลังถ้าจะลงมาหาอะไรกินอีก ที่รักต้องปลุกผมให้ลงมาเป็นเพื่อนด้วยรู้ไหม เกิดสะดุดตกบันไดขึ้นมาทำไง”“ค่ะๆ เค้าโชคดีจังที่ได้รักและแต่งงานกับที่รัก” อยู่ๆ เธอก็เปลี่ยนโหมดมาเป็นซึ้ง“มาอ้อนอะไรตอนนี้...หืม” ผมยื่นมือไปวางบนศีรษะได
ฉันดี๊ด๊ามากกับการบินไปปารีสครั้งนี้ รู้สึกมีความสุขจนหน้าบานเป็นจานดาวเทียม เวลาหลายชั่วโมงบนเครื่องบินไม่ได้ทำให้ฉันหงุดหงิดสักนิด นั่นเพราะฉันเฝ้ารอการไปถึงปารีสอย่างใจจดใจจ่อก่อนจะหันมามองคนข้างๆ ตาลุกวาว ฉันยิ้มเจ้าเล่ห์ให้เขาพร้อมกับกัดริมฝีปากล่างไปด้วย คงด้วยความมันเขี้ยว เปรมจึงยื่นมือมาบีบจมูกฉันแรงๆ“ยั่วกันเหรอ...หืม” เสียงทุ้มเอ่ยถามฉัน“อื้อ…บิ้วไง”“ไม่ต้องก็ได้มั้งครับ ห่างมาตั้งเดือนนิ” คำพูดของเขาทำให้ฉันยิ้มเขินเล็กๆ“ก็จริง” ฉันเอ่ยรับแบบไม่มีการอ้อมค้อม เปรมส่ายหน้าให้ฉัน ก่อนจะนั่งอ่านหนังสือที่พกติดตัวมาด้วย ส่วนฉันก็นั่งดูหนัง ฟังเพลง กินและนอนตามระเบียบ แม้นี่จะอยู่บนเครื่องบิน แต่สิ่งอำนวยความสะดวกก็แสนจะครบครันเมื่อลงเครื่องที่สนามบินชาร์ลส์ เดอ โกล ซึ่งปารีสตอนนี้อากาศกำลังดีไม่หนาวมาก พอรับกระเป๋าเสร็จ เปรมก็พาฉันไปยังโรงแรมที่พัก ซึ่งครั้งนี้พักที่ใหม่ ห้องสวยมาก วิวก็สวยไม่แพ้กัน
“อุ๊ย!...เราพึ่งรู้ว่าเปรมแต่งงานแล้ว” สีหน้าของเธอดูตกใจอยู่ไม่น้อยที่รู้ว่าผมแต่งงานแล้ว ตุ๊กตาคือคนรักคนล่าสุด ก่อนที่ผมจะมาพบรักกับเหมือนฝัน“แต่งได้ปีกว่าๆ แล้ว ที่ตุ๊กตาไม่รู้ก็คงไม่แปลก เพราะเราได้ข่าวว่าหลังจากแต่งงาน ตุ๊กตาก็ย้ายมาอยู่กับสามีที่อังกฤษ” ผมอยากตบปากตัวเองนักที่พูดแบบนี้ออกไป เพราะเท่ากับว่าผมยังคงสนใจชีวิตความเป็นอยู่ของอดีตคนรักคนนี้อยู่ ทั้งๆ ที่เรื่องของเธอ ผมก็บังเอิญรู้จากเพื่อนๆ ทั้งนั้น ไม่ได้เสาะแสวงหาอยากรู้ด้วยตัวเอง“ใช่…เพิ่งรู้ว่าเปรมตามข่าวเราด้วย”“ก็มีบ้าง แล้วนี่ตุ๊กตามาทำอะไรที่ปารีส”“เราหย่ากับอดีตสามีแล้ว ก็เลยย้ายมาอยู่ที่นี่น่ะ” เธอยิ้มให้ผม สีหน้าแววตาดูสลดลงไปนิดหน่อย“อ้อ…เสียใจด้วยนะ”“ไม่เป็นไร ว่าแต่เปรมพักที่ไหน เผื่อเราจะได้นัดเจอกัน”“เอิ่ม...”“ว่าไง อึกๆ อักๆ หรือที่ไม่กล้าบอกเ
เธอหันมามองผมด้วยแววตาที่รู้กันว่าต่างฝ่ายต่างคิดอะไรกันอยู่ และทันทีที่เรากลับถึงโรงแรม ความต้องการที่พยายามกดมันไว้ตลอดหนึ่งเดือนก็ระเบิดตูมออกมา มันทำให้เราพลุ่งพล่านและกระโจนเข้าหาอย่างร้อนแรง เราต่างช่วยกันถอดชุดที่สวมใส่ออก โยนมันทิ้งไปบนพื้นอย่างไม่สนใจผมอุ้มเธอขึ้นมานั่งบนเคาน์เตอร์ริมผนังห้องแล้วแทรกตัวอยู่ระหว่างขาทั้งสองข้างนั่น พร้อมกับโน้มตัวลงมามอบจูบให้เธออย่างร้อนแรง เสียงกระเส่าของเธอมันกระตุ้นให้ผมตื่นตัวจนอยากแทรกเข้าไปอยู่ในร่างกายอุ่นๆ ของเธอเสียตอนนี้“ที่รักขา” เมื่อผมถอนจูบออกเพื่อเปลี่ยนเป้าหมายมาซุกไซ้ใบหน้าลงไปแถวๆ ลำคอแทน เธอก็เอ่ยเรียกผมเสียงแหบพร่า“ครับ” น้ำเสียงของผมมันก็กระเส่าไม่แพ้เธอเลย ผมฝังจูบลงไปบนผิวกายหอมๆ ด้วยความเสน่หาอันล้นปรี่ ภายในตัวผมมันร้อนรุ่มเหมือนภูเขาไฟที่พร้อมจะระเบิดได้ทุกเวลา“อืมม์…” เสียงครางของเธอดังขึ้น พร้อมๆ กับแอ่นหน้าอกให้สูงเพื่อให้ผมได้ดูดดุนอย่างถนัด เม็ดยอดหน้าอกสีชมพูสวยของเธอกำลังแข็งเป็นไตเพราะถูกผมป
“ชอบแบบนี้ไหมคะ”“ชอบสิครับ อืมม์…” ผมพูดได้เต็มๆ ปากว่าชอบ เพราะมีอะไรดีกว่านี้อีกเหรอ ผมปล่อยให้เธอกลืนกินผมจนพอใจ ก่อนที่ผมจะรั้งเธอลุกขึ้นแล้วจับหันหลังให้ลำตัวด้านหน้าเธอแนบไปกับเคาน์เตอร์ที่ผมใช้พิงเมื่อครู่สะโพกสวยลอยเด่นขึ้น ผมส่งมือสำรวจความพร้อมอีกเล็กน้อย จากนั้นก็ขยับสะโพกของผมกับเธอให้มันอยู่ในระดับเดียวกัน ก่อนที่ผมจะค่อยๆ แทรกตัวเองเข้าหาเธอจากด้านหลัง“อ่ะ…อ่า มันแน่นจังเลย” คำพูดของเธอมันช่างตรงกับใจผมตอนนี้นัก ภายในตัวของเหมือนฝันมันคับแน่นและตอดรัดผมจนผมแทบบ้าแต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่หยุดแค่นี้ ผมค่อยๆ ดันตัวเองเข้าหาเธอ เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ผมก็เร่งจังหวะช้าๆ เนิบๆ ก่อนจะถี่กระชั้นจนร่างกายของเธอไหวโยกไปตามแรงส่งของผม“อืมม์…ที่รักจ๋า ผมรู้สึกดีชะมัดเลย”“คะ…เค้าก็เหมือน กะ…กัน อ่า…” น้ำเสียงของเธอฟังดูกระท่อนกระแท่น แต่ผมก็รู้ว่าเธอมีความสุขมากไม่แพ้ผมเป็นแน่ เธอ
ฉันกับเปรมไม่ได้ก้าวออกจากห้องพักเลย กระทั่งค่ำของอีกวัน เราต่างชดเชยระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ไม่ได้มีเซ็กซ์กันอย่างเร่าร้อน ก่อนที่ค่ำนี้เขาจะพาฉันไปดินเนอร์ จากนั้นเราก็เดินเข้าร้านเบเกอรี่เจ้าดังที่ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว ฉันชอบกินขนมและสามีก็รู้ใจฉันเรื่องนี้ด้วยเมื่ออิ่มทั้งของคาวของหวาน เราก็ไปยังจุดแลนด์มาร์คของที่นี่ นั่นคือหอไอเฟลอันเลื่องชื่อ ที่นี่สวยทุกเวลา ยิ่งตอนนี้กลางคืนด้วยแล้วก็ยิ่งสวยและโรแมนติกจนมีคู่รักหลายๆ คู่เลือกใช้หอไอเฟลเป็นฉากหลังในการขอแต่งงาน ซึ่งฉันก็หวังไว้แบบนั้น แต่เปรมกลับขอฉันแต่งงานตอนที่เราทำอาหารด้วยกันในครัวซะนี่ ความโรแมนติกที่มาพร้อมอาการแสบตา แสบแขน เพราะฉันกำลังตำน้ำพริกก็น่าจดจำไปอีกแบบ“ที่รัก”“คะ…อุ๊ย! ที่รักทำอะไร” ฉันอุทานออกมา เมื่อเห็นเขาลงไปนั่งคุกเข่าอยู่“แต่งงานกับผมนะ”“ก็แต่งแล้วนี่ ที่รักลุกขึ้นมาก่อน อายเขา” สีหน้าของฉันมันคงงงได้ที่ ก็อยู่ๆ เขามาขอฉันแต่งงานอะไรตอนนี้
“อะไรของมัน” ผมส่ายหัวทันที คนไม่มีความรักแห้งเหี่ยวมานาน อารมณ์มันขึ้นๆ ลงๆ แบบนี้ล่ะมั้ง เพราะเนติธรโสดสนิทมาก็ตั้งนาน ยังไม่ยอมมีแฟนสักคน เอ๊ะ! หรือมันเป็นเกย์ผมเลิกคิดเรื่องนี้ ก่อนจะมานั่งคิดเรื่องของตัวเอง อย่าว่าแต่คนอื่นเลย ผมเองก็ไม่เชื่อว่าจะแพ้ท้องแทนเมียจนกระทั่งประสบกับตัวเอง ภรรยาผมเธอไม่มีอาการแพ้ท้องสักนิด ผิดกับผมที่เป็นแทบทุกอย่าง บางวันนั่งกินของเปรี้ยวๆ ได้เป็นจานแต่แพ้ท้องแทนแค่นี้ มันยังไม่มากเมื่อเทียบกับสิ่งที่เหมือนฝันต้องเสียสละ การอุ้มท้องมันไม่ใช่เรื่องง่าย ผมเฝ้ามองเธอตั้งแต่วันแรกที่รู้ว่าท้องจนกระทั่งวันนี้ วันที่เธอท้องได้เจ็ดเดือนแล้ว พอวางสายกับนิก ผมก็เดินเข้ามาหาเหมือนฝัน และเข้ามาเห็นจังหวะที่ลูกดิ้นพอดี ซึ่งพักหลังๆ มานี้ทุกครั้งที่ตัวแสบขยับตัว เธอจะนิ่วหน้าเพราะเจ็บ แต่มันคือความเจ็บปวดที่เธอบอกว่ายินดีให้เกิด“เตะท้องแม่เบาๆ ครับลูก แม่เจ็บรู้ไหมครับ” ผมเอ็ดลูกในท้องเบาๆ แต่ดูท่าจะไม่ได้ผล เพราะผมยังเห็นท้องของเธอปูดออกมาเป็นจุดๆ ตอนนี้ลูกของผมคงตีลังกาอยู่ในท้องนั่นเป็นแน่ 
เปรมสั่งลาเต้ร้อนไป ส่วนฉันสั่งคาราเมลปั่น เค้กวันนี้ได้ชิมเค้กมะพร้าวตัวใหม่ที่พี่นกเป็นคนคิดสูตรขึ้น เนื้อเค้กมันนุ่ม ส่วนครีมก็หอมมะพร้าวมากๆ แบบนี้คงต้องสั่งกลับบ้านสักสองสามชิ้นเมื่อได้เวลา ฉันก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ และไฟในร้านก็ดับพรึบตามแผนที่วางไว้ เปรมคงจะงง แต่ตอนนี้ฉันมองไม่เห็นอะไร ก่อนจะถูกจูงออกไปหน้าร้านโดยพี่นก จากนั้นไฟก็สว่างขึ้น“ใช่…ที่รักหรือเปล่า” เปรมถามฉัน แต่ฉันไม่ตอบ ฉันเห็นว่าเขากำลังยิ้ม เพราะตอนนี้ฉันอยู่ในชุดมาสคอตตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลตัวอ้วนกลม“ที่รัก” เขาถามย้ำอีกครั้ง สีหน้าดูลังเลว่าในมาสคอตจะใช่เมียตัวจริงหรือตัวปลอม เห็นแล้วก็ขำดี จากนั้นฉันก็หยิบป้ายที่เตรียมไว้ออกมาชูให้เขาเห็นทีละใบ และเปรมก็อ่านมันด้วย“สุขสันต์วันเกิดค่ะที่รัก”“ขอบคุณที่อยู่ดูแลกันมา” ข้อความจากป้ายใบที่สองเริ่มซึ้ง ตามด้วยใบที่สาม“ขอบคุณสำหรับการเป็นสามีที่ดี”“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ทำให้เค้ามาตลอด” เปรมอ่านข้อความในป้ายทุกคำก็ว่าได้“
ผมเปลี่ยนมาใช้มือสัมผัสหน้าอกเธออีกครั้ง เพราะปากผมมันจะไล้ลงต่ำเพื่อไปสัมผัสยังจุดอื่น ที่จะทำให้เธอเสียวซ่านจนอาจรู้สึกตัวตื่น“อืมม์…” คราวนี้เสียงครางเป็นของผมบ้าง นั่นเพราะผมตื่นตัวจนรู้สึกปวดหนึบไปหมด ขณะที่มองเห็นความอวบอูมของกลีบกุหลาบดอกสวย ปลายนิ้วของผมสัมผัสมันอย่างอ่อนโยนเหมือนทุกครั้ง ผมค่อยๆ ลูบไล้ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นลิ้นและริมฝีปากเพื่อกลืนกินเธอ“อ่ะ…อ่า” เธอครางกระเส่าพร้อมกับบิดเร้าร่างกายไปมา มือทั้งสองข้างขยำผ้าปูที่นอนไว้จนมันยับยู่ยี่ ในขณะที่อารมณ์ของผมตอนนี้มันลุกโชน ไฟปรารถนามันกำลังมอดไหม้ตัวผมเข้าให้เสียแล้วนั่นทำให้ผมจัดการถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกบ้าง พร้อมๆ กับแทรกตัวอยู่ระหว่างขาทั้งสองข้างที่ถูกจับให้แยกออกห่างจากกันของเธอ หยาดน้ำหวานของเธอยังคงพรั่งพรูออกมาบ่งบอกความพร้อม ส่วนผมก็ปวดหนึบจนต้องเป่าลมออกปากหนักๆ ก่อนจะตัดสินใจค่อยๆ แทรกตัวเข้าหาเธอ“อืมม์…อ่ะ” เสียงครางของผมดังขึ้น เพราะภายในตัวของเธอมันทำให้ผมรู้สึกดีเป็นบ้า มันอุ่นแถมยังคับแน่นและตอดรัดแก่นกายของผมอยู่ตล
เย็นนั้นฉันกลับมาบ้านอย่างคนที่อารมณ์ดีเหมือนทุกๆ วัน แต่พอรู้ตัวว่าท้องฉันก็ยิ่งอารมณ์ดีขึ้นผิดหูผิดตา ปกติเย็นวันศุกร์ฉันกับเปรมจะไปดินเนอร์นอกบ้านกัน แต่วันนี้เขามาแปลก บอกอยากกินข้าวที่บ้านซะงั้น ฉันเลยต้องสวมวิญญาณเป็นแม่ครัว ทำมื้อเย็น ซึ่งเปรมก็ออเดอร์มาว่าวันนี้อยากกินสเต็กปลาแซลมอนอีก“หรือเขาจะแพ้ท้องแทนเราจริงๆ ไม่หรอกมั้ง” ฉันคิดเองแล้วก็ตอบเอง เพราะเดาอาการของเปรมไม่ค่อยออก สรุปเขาแพ้ท้องแทนฉันจริงๆ หรือเครียดเรื่องงานกันแน่พอจัดโต๊ะเสร็จ ก็ได้ยินเสียงรถของเปรมแล่นมาจอด ก่อนจะเห็นเขาเดินหน้ามุ่ยเข้าบ้านมาแล้วบ่นให้ฟังว่าอยู่ๆ ก็นึกอยากกินหมูสะเต๊ะร้านโปรด แต่พอขับรถไปซื้อร้านกลับปิดซะงั้น ฉันฟังไปก็แอบส่ายหน้าไปด้วย“ดื่มน้ำเย็นๆ ก่อน อารมณ์จะได้ดีขึ้น”“ครับ…พักนี้ที่รักว่าอารมณ์ผมแปรปรวนไหม” พอดื่มน้ำเย็นที่ฉันส่งให้ไปเกือบหมด เขาก็เอ่ยถามขึ้น“ก็มีบ้าง” ฉันตอบกลางๆ ไว้ก่อน“มีบ้างเหรอ แต่ทำไมเลข
“ผมไปช่วยด้วย จะได้เสร็จเร็วๆ”“ไหวเหรอคะ”“ไหวแล้วครับ” เอ่ยจบเปรมก็สูดยาดมเข้าเต็มปอดสองสามครั้งอย่างกับเรียกพลัง“โอเคๆ แต่ถ้าไม่ไหวต้องรีบบอกเค้านะ”“จ้ะ” คำตอบรับหวานๆ ดังขึ้น ก่อนที่เปรมจะลุกมาช่วยฉันเตรียมมื้อเย็น เราสองคนชอบทำกับข้าว แต่บางครั้งก็อาศัยความสะดวกด้วยการเลือกที่จะซื้อกับข้าวสำเร็จมาทานวันนี้เป็นสเต็กปลาแซลมอนจึงปรุงเร็วหน่อย ส่วนสลัดก็มีผักสด ธัญพืช เบคอนกรอบ (อันท้ายนี่ของโปรดฉันคนเดียว...แฮ่) ที่ทานคู่กับน้ำสลัดเจ้าอร่อยที่ฉันซื้อไว้ติดบ้าน จัดโต๊ะด้วยเทียนแท่งโตสองสามเล่ม แค่นี้ดินเนอร์ก็โรแมนติก หรูหราระดับโรงแรมได้ไม่ยากแต่ขณะที่ฉันกำลังจัดโต๊ะ สายตาก็เหลือบไปเห็นเปรมหยิบเบคอนกรอบมากินหน้าตาเฉย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ เค้าแทบไม่แตะ“อื้อ…อร่อย” คำพูดของเขาทำเอาฉันยิ่งงง ได้แต่คิดว่าเขาคงหิวมากแน่ๆ ถึงได้กินของที่ไม่เคยกินได้อย่างเอร็ดอร่อยปานนั้น ก
“ท้องจริงเหรอคะ หมอไม่ได้ตรวจผิดใช่ไหม” ฉันเอ่ยถามบ้าง เพราะอยากได้ยินชัดๆ อีกสักทีว่าฉันกำลัง ‘ท้อง’“ครับ คุณกำลังตั้งครรภ์” คำยืนยันที่ได้ยินทำเอาฉันยิ้มหน้าบานเป็นจานดาวเทียมไปแล้ว ดัชนีความสุขพุ่งปรี๊ดขึ้นสูงอย่างกับจรวด หน้าของเปรมลอยเข้ามาในความคิดทันที“งี้ก็แสดงว่าแกท้องตั้งแต่ก่อนไปปารีสน่ะสิ โอ๊ย! หลานฉัน ดีแค่ไหนที่ไม่หลุด เพราะพ่อกับแม่ซั่มกันตลอด” ฉันตีเพี้ยะเข้าที่ต้นแขนของยัยปรางแรงๆ ที่อยู่ๆ ก็พูดอะไรแบบนี้ต่อหน้าหมอที่นั่งยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่“ยัยบ้า หมอยังอยู่ตรงนี้ แกจะพูดทำไมยะ อายหมอ”“โทษที ลืมตัว” ปรางทิพย์ส่งยิ้มแห้งๆ ให้ฉัน สีหน้าแบบสำนึกผิด ส่วนฉันก็หันไปเอ่ยขอบคุณหมอ จงใจเปลี่ยนเรื่องมันเสียเลย“ขอบคุณนะคะหมอ”“ยินดีครับ เดี๋ยวหมอจะจัดยาบำรุงครรภ์ให้ไปทานที่บ้าน หลังจากนี้อาจมีอาการแพ้ท้องเกิดขึ้นได้นะครับ แต่อาการแพ้อาจไม่เกิดกับทุกคน”&nbs
เวลาสองอาทิตย์ของฉันที่ปารีสหมดลงไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ฉันบินกลับมาถึงเมืองไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และหลังจากที่ฉันซัดตุ๊กตาไปวันนั้น เธอก็ไม่โผล่หน้ามาให้เห็นอีกเลยอันที่จริงฉันก็สงสารเธอกับลูกอยู่เหมือนกัน แต่ฉันก็ไม่อยากเอาความสงสารที่มีมาเป็นเชื้อเพลิง ที่มันจะหวนกลับมาเผาครอบครัวของฉันเสียเอง ตัดไฟแต่ต้นลมน่าจะดีที่สุด“เป็นไงๆ ทริปฮันนีมูนที่ปารีส ร้อนแรงมั้ยแก” ปรางทิพย์ที่วันนี้ว่างก็เลยแวะมากินข้าวเที่ยงกับฉันเอ่ยถามขึ้น อันที่จริงชีวิตแม่บ้านเต็มตัวแบบนี้ฉันก็แอบอิจฉา แต่ฉันก็รู้ว่ามันไม่ง่ายอย่างที่เห็นแน่“จะเหลือเหรอ”“แล้วแกเช็กยัง ว่าท้องไหม”“ยังไม่ได้เช็กเลย แต่คงยังไม่ท้องหรอก เพราะรอบเดือนฉันเพิ่งมา...รอบเดือน!” พอพูดถึงรอบเดือนฉันก็ตาโตเป็นไข่ห่าน นี่ฉันลืมไปได้ยังไง“อะไร ทำหน้าตกใจทำไม”“แก…รอบเดือนฉันมาครั้งล่าสุดตอนไหนนะ”“ตอนไหนเหรอ ข
“ห้ามทำไม มั่นใจเข้าไว้สิ ไม่งั้นสามสี่วันที่ผ่านมา มันจะเสียเปล่าเอานะ” ยัง…ฉันยังจะไปกล้าท้าทายตุ๊กตาอีก เกิดเธอบ้าจี้ทำตามขึ้นมาจะทำไง“ไม่ต้อง” เธอเอ่ยเสียงตึงๆ อันที่จริงฉันก็ใจเต้นแรงเหมือนกันที่ท้าไปแบบนั้น เกิดเปรมบ้าจี้บอกจะกลับไปคืนดีกับตุ๊กตาเข้า ฉันคงได้ตายแน่ๆ“มีอะไรกันหรือเปล่าครับ” เสียงทุ้มที่ดังขึ้น ทำให้ฉันกับตุ๊กตาหันไปมองเจ้าของเสียงที่ยืนจูงมือมากับสโนว์“เอ่อ…เปรม ตุ๊กตาขอตัวกลับก่อนนะ ขอบคุณและขอโทษที่รบกวนเสียหลายวัน”“ไม่เป็นไร”“ไปจ้ะน้องสโนว์” ตุ๊กตาเข้าไปจูงมือลูกสาวไว้ ก่อนจะเอ่ยบอกให้สวัสดีและบ๊ายบายฉันกับเปรม เด็กไม่ได้ทำอะไรผิด ฉันจึงไม่ได้รู้สึกไม่ดีด้วย แค่ไม่ชอบแม่เด็กเท่านั้นและทันทีที่ตุ๊กตากับสโนว์เดินห่างออกไป เสียงของเปรมก็ดังขึ้นข้างๆ ฉัน“เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นครับที่รัก”“เค้ารบรากับแฟนเก่าที
“ถ้าไม่ไหวก็อย่าฝืนตัวเองเลยนะ ไปพักก่อนดีไหม” ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วมองมายังคนข้างๆ ที่นั่งไขว่ห้างจิบชายามบ่ายราวกับคุณนาย ขณะที่สายตามองไปยังลูกสาวที่กำลังเล่นอยู่กับอดีตคนรักที่สวน“ขอบคุณที่ห่วงนะคะ แต่ฝันไม่เป็นไรจริงๆ หรือต่อให้เป็นฝันก็คงนั่งอยู่ที่นี่ ไม่ไปไหนหรอก”“อุ๊ย! นี่อย่าบอกนะคะว่าฝันหึงตุ๊กตากับเปรม”“ค่ะ ผิดเหรอคะ ที่ฝันจะหึงสามีกับอดีตคนเคยคบ” คำพูดของฉันทำให้ตุ๊กตายิ้มและหัวเราะออกมา ฉันล่ะขนลุกกับเสียงหัวเราะที่เหมือนแม่มดของเธอนัก“ไม่ผิดหรอก”“พูดเรื่องนี้มาก็ดีแล้ว ฝันขอพูดตรงๆ เลยแล้วกัน ทำไมเราต้องเจอกันทุกวันด้วยคะ” ไหนๆ ก็ไหนๆ ฉันก็ถามมันตรงๆ นี่แหละ เผื่อคนบางคนจะสำนึกได้ถึงความเกรงใจที่ควรจะมี“ทำไมจะเจอไม่ได้ล่ะคะ ก็ในเมื่อพี่กับเปรม เราเป็นเพื่อนกัน” เธอหันมาส่งยิ้มให้ฉัน แต่ฉันรู้ว่ารอยยิ้มนี้มันคือรอยยิ้มที่พร้อมจะเปิดศึก เอาสิ…มาวัดกันว่าใครมัน