นับจากวันนั้นจนวันนี้ก็ผ่านมาห้าวันแล้ว ยิ่งคิดนันทภัคก็ยิ่งฉุนกับคนที่เพื่อนบอกว่างานดี หล่อนยกมือเท้าเอวทั้งที่ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ สายตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจหลังเพื่อนสนิทบอกว่าไม่ได้ติดต่อกับพ่อหนุ่มคนนั้นเลยตั้งแต่วันที่เขาไปส่งถึงคอนโด รวมถึงบุณยากรที่เป็นตัวตั้งตัวตีเค้นสมองหาความคิดดี ๆ ทั้งปิ่นปักษาที่บากหน้าไปฝากเพื่อนกลับบ้านกับผู้ชาย โสรยาเองก็ได้แต่ส่ายหน้าให้กับความ ‘ไม่เป็นงาน’ ของเพื่อนที่ทำเหมือนก๋ากั่นไม่มีความกลัวในจิตใจ แต่พอเอาเข้าจริงกลับหงอเหมือนลูกหมา
“สุดท้ายแล้วมึงจะเป็นแค่ผักกาดดองใช่ไหม” นันทภัคอดออกปากไม่ด่าไม่ได้แล้ว
“ก็บอกเขาแล้วว่าสะดวกให้เลี้ยงข้าววันไหนก็ให้โทร.มา”
“แล้ว”
“เขายังไม่ติดต่อมาเลยไง ก็แปลว่าไม่สะดวกหรือเปล่า”
“ไม่ ๆ” บุณยากรรีบเบรก “อันนี้มันปลายเหตุ มันผิดตั้งแต่อ้อยเข้าปากมึงแต่มึงเลือกที่จะคายแล้ว”
“ขอค้าน” วรัสยายกมือประท้วงราวกับกำลังคุยเรื่องสำคัญกันอยู่ ดูท่าทางจริงจัง “ที่พวกมึงเห็นกับที่เกิดขึ้นจริงมันต่างกันมาก ตอนขึ้นรถไปด้วยมึงก็คิดไปต่าง ๆ นานาได้แหละ แต่สถานการณ์จริงคือพี่เขาก็เงียบ ๆ ไม่ค่อยได้คุยอะไรกันมาก ส่วนมากก็เป็นกูที่พูดไปเรื่อย แล้วพอมาถึงคอนโดเขาก็แลกเบอร์ไว้ติดต่อ ไม่ได้มีท่าทีว่าจะกินกูแต่อย่างใด มึงเข้าใจสถานการณ์ไหมว่ามันไม่ได้เอื้อต่อการไปต่ออะ กูก็ไม่ค่อยอยากด้วย แบบนี้อะดีแล้ว นี่ลองวันนั้นได้ไปแล้วอยู่ ๆ เขาหายดิ ไม่คลั่งตายหรอ ไหนจะเรื่องมิว นี่มาเรื่องใหม่อีก”
ปิ่นปักษายอมอ่อนลงให้เพื่อนเมื่อได้รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น “เออ ๆ แล้วแต่มึงจะตัดสินใจเลย แต่อดีตก็อดีต ตอนนี้ทำไมไม่โทร.ไปหาเขาบ้างล่ะ”
“ก็เห็นเขาว่าไปทำงาน น่าจะยุ่ง ไม่อยากกวน”
“เอาโทรศัพท์มา” จะว่าขอก็ไม่ใช่ จะว่าบังคับก็ไม่เชิง แต่ท่าทีของโสรยาที่ยื่นมือมาตรงหน้าก็เต็มไปด้วยความกดดัน วรัสยาตั้งท่าจะปฏิเสธทว่าเพื่อนดันพูดเสียงแข็ง “มึงจะเอาไหมผัวใหม่น่ะ ไม่เอากูเอานะ”
“เอ้า นังนี่”
“เร็ว ๆ” แล้วโทรศัพท์เครื่องบางก็ตกไปอยู่ในมือของคนที่มีท่าทีฉุนเฉียวอย่างง่ายดาย “ก็แค่นี้ จะต้องทำให้มันยากเย็น รหัส” วรัสยายอมเอ่ยปากบอกแต่โดยดี “ชื่ออะไรนะ”
“พี่จัด”
“เออ พี่ไม่จัดน้องจัดแล้วนะ เอาไป”
“มึงอ่า” หญิงสาวที่รับโทรศัพท์มาจากเพื่อนอย่างเลี่ยงไม่ได้เอาแต่เบ้หน้าเหมือนเด็กทารกร้องกินนม ซ้ำยังส่งเสียงเรียกยานคางอย่างขอความช่วยเหลือ แต่นี่ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไร และทั้งสี่ก็คิดว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่คือการช่วยเพื่อนจึงเมินเฉยต่อคนที่เรียกร้องความเห็นอกเห็นใจ
(สวัสดีครับ) เสียงทุ้มต่ำดังมาจากปลายสาย ลมหายใจของหญิงสาวสะดุดกึก (น้องกาด?)
“คะ”
(เห็นเงียบ นึกว่าไม่ได้ยิน)
“เปล่าค่ะ ได้ยิน แค่...” เธอรู้สึกเหมือนจะไม่มีปัญญาต่อบทสนทนาได้จึงหันไปขอความเห็นจากสี่สาวว่าควรชวนคุยเช่นไรดี เพราะถ้าให้เธอคิดเองคงได้แต่เงียบและมันจะถูกจบลงในไม่ช้านี้อย่างแน่นอน ก็เล่นเจอกันแค่ไม่กี่ชั่วโมงแล้วห่างกันไปตั้งหลายวัน มาคุยกันอีกทีก็ไม่ต่างอะไรกับคนแปลกหน้าเลยด้วยซ้ำ ในตอนนั้นเองที่บุณยากรขยับปากว่า ‘อยู่ไหน’ วรัสยารีบพยักหน้าอย่างเข้าใจ “พี่อยู่ไหนเหรอคะ”
(นครนายกครับ)
เห็นไหม เขาไม่ชวนคุย…เธอขยับปากบอกเพื่อน ๆ
เออ ๆ เขาไม่ชวนมึงก็ชวนสิ...นันทภัคทำแบบเดียวกันกับเธอ
“นึกว่ากลับมาแล้ว จะชวนไปทานข้าวน่ะค่ะ”
(อีกหลายวันเลย ยังไงเดี๋ยวโทร.กลับไปนะครับ)
“อ๋อ ค่ะ”
(อาจจะดึกหน่อย แต่ถ้าเราหลับแล้วไม่ว่ากัน ต้องไปทำงานต่อแล้ว วางนะครับ)
แล้วสายก็ถูกวางโดยชายหนุ่ม วรัสยายังคงจับต้นชนปลายไม่ถูก เธอรู้สึกเสียหน้านิดหน่อยตอนที่อีกฝ่ายทำเหมือนจะไม่คุยต่อทั้ง ๆ ที่เธอเป็นคนรอให้เขาติดต่อมาก่อน แต่ก็ยังกล้าไปโทร. หาเขาก่อน ซ้ำยังมาบอกว่าจะติดต่อกลับมาอีกที หน้าแหกรอบที่เท่าไรไม่อาจนับได้ แต่แล้วประโยคสุดท้ายก็เหมือนมือที่ยื่นมาจับไม่ให้ล้มลงไปกองที่พื้น ทว่าเธอยังตั้งรับไม่ทัน
เมื่อกี้เขาว่าอะไรนะ
“มึง มันต้องอย่างนี้ ผักกาดดองคืนนี้มึงไม่ต้องนอนเลยนะ กาแฟน่ะซัดเข้าไป เดี๋ยวกูเลี้ยง”
“ไผ่ มันแปลได้ว่าเขาก็สนใจกูใช่ไหม”
“อ้าว นี่มึงไม่รู้หรอ” ได้ฟังเช่นนั้นก็เลิกคิ้วใส่คนพูด “ที่กูจับมึงประเคนให้ผู้ชายที่ไม่รู้จักเนี่ย ไม่ใช่แค่เพราะงานดีนะ แต่เพราะพี่เขามองมึงมานานมาก มึงไปทางไหนเขาก็มอง ยิ่งเห็นรถเขาก็ยิ่งน่าประเคน เอาเถอะมึง ผัวใหม่ที่สุภาพ มีวุฒิภาวะ มีงานทำ บ้านรวย ไม่มีที่ติ ไอ้อั๋นไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บเขา”
“เพราะเห็นเขามองไงเลยคิดว่าจะได้จัด ที่ไหนได้ พี่จัดไม่จัดเลย งง”
“ทะลึ่งละปิ่น” เธอยื่นมือไปผลักหัวเพื่อนอย่างนึกหมั่นไส้ “แล้วถ้ากูคบกับเขาจริง ๆ จะหาทางไปคุยกับมิวได้ยังไง มันบล็อกกูหมดเลย มันจะรู้ความเป็นไปของชีวิตกูเหรอ”
“เออน่า คบให้ได้ก่อนเถอะ ตรงนี้มีตั้งห้าหัวจะไม่มีหัวไหนคิดออกเลยหรอ ไอ้ปิ่นมันเก่งออก ให้มันคิด”
“อย่ามาโบ้ยกูคนเดียวนะไผ่ มึงอะตัวดีเลย เอากลับไปคิดเป็นการบ้าน”
บทสนทนาของสาว ๆ ก็ไหลไปตามเรื่องตามราว ใครนึกอะไรได้ก็ยกมาพูด เข็มของนาฬิกาก็หมุนเรื่อย ๆ โดยไม่หยุดพัก จนเวลาล่วงเลยไปถึงสามทุ่มครึ่ง นันทภัคถึงได้ชวนกลับเพราะอิ่มจนรู้สึกแน่นท้องจากทั้งของย่างและขนมหวาน
“ควันติดหัวแน่เลย วันนี้อุตส่าห์สระผม วันหลังจะชวนกินหมูกระทะก็ช่วยบอกตั้งแต่เนิ่น ๆ ด้วยนะคะคุณทราย ทำแบบนี้เดี๋ยวจะไม่มีคนคบนะ”
“ก็กูเพิ่งอยากเมื่อเย็น จะให้เก็บไปชวนปีหน้าหรอ”
“ตบกันตรงนี้เลยไหม ถ่ายคลิปให้” ไม่พูดเปล่าวรัสยายังคว้ามือถือมาทำท่าถ่ายคลิปอย่างที่ปากว่าด้วย
“ยุ่ง / สาระแน”
“อุ๊ย!” เมื่อทั้งสองสวนกลับมาพร้อมกัน คนโดนด่าจึงหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน เป็นเหตุให้สองสาวที่เหลือมีอากัปกริยาเช่นเดียวกัน
ไม่นานจากนั้นสารถีอย่างปิ่นปักษาก็พาทุกคนไปส่งถึงที่หมาย โดยคนที่ถึงที่พักเป็นคนแรกคือวรัสยา ทุกคนให้เหตุผลว่ากลัวเธอจะไม่มีเวลาเตรียมตัวคุยกับผู้ชาย เพื่อน ๆ ของเธอช่างรักเธอเสียเต็มประดา
ห้าทุ่มแล้วนะ... ตายละ นี่เธอรอสายจากเขาอย่างนั้นหรือ แม้จะพยายามปฏิเสธใจง่าย ๆ ของตัวเองแต่พอเข็มยาวชี้เลขสามก็มีสายจากคนที่รอปรากฏขึ้นบนหน้าจอ เธอเหมือนเด็กอายุสิบสี่ที่เพิ่งหัดมีความรัก แต่ความจริงคือตอนอายุสิบสี่ เธอไม่มีความรัก
(นอนหรือยังครับ)
“ยังค่ะ อ่านนิยายอยู่” ว่าขำ ๆ “กิจวัตรประจำวันของหนูเลย”
(ไม่อ่านหนังสือเตรียมสอบก่อนเหรอ)
คนฟังถึงกับกะพริบตาถี่ ๆ อย่างพยายามทำความเข้าใจกับประโยคข้างต้น อาจจะเพราะเสียงทุ้มที่ไม่ค่อยติดเล่นทำให้เธอรู้สึกเหมือนกำลังโดนพ่อดุมากกว่าโดนผู้ชายจีบ แม้เขาจะไม่ด่า แต่ถ้าให้แปลก็คงเป็น นี่เธอเตรียมสอบเนติฯ อยู่ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงเอาแต่อ่านนิยายแทนที่จะอ่านหนังสือเตรียมสอบล่ะ แบบนั้นเลย
วรัสยาหาคำพูดของตัวเองไม่เจอแล้ว
(หมายถึง ก่อนอ่านนิยายได้อ่านหนังสือหรือยังน่ะครับ)
เธอแค่นหัวเราะกลับไป “ก็ นิดหนึ่งค่ะ”
(แล้วนี่พี่กวนเราหรือเปล่า)
“ไม่ค่ะ ว่างแล้ว”
แล้วบทสนทนาก็ดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ ทั้งเธอและเขาต่างก็ผลัดกับเป็นทั้งคนตอบและคนถาม
แม้จะเป็นเวลาแค่สิบนาทีกว่า ๆ แต่ก็เป็นสิบนาทีที่สามารถเติมแต่งรอยยิ้มบนใบหน้าของหนุ่มสาวได้ แม้จะวางสายไปแล้วเธอก็ยังหุบยิ้มไม่ลง ไม่ต่างกันกับจีรกิตติ์ที่ปกติจะมีสีหน้าเรียบเฉย ทว่าบัดนี้กลับนอนอมยิ้มเหมือนคนพี้ยา แต่เขาสาบานให้ฟ้าผ่าตายตอนนี้เลยก็ได้ว่ารอยยิ้มนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสารเสพติด
แต่ถ้าผักกาดโดนจดทะเบียนเป็นสารเสพติดเมื่อไรเขาจะก้าวขาเข้าคุกแต่โดยดี…
ทั้งหมดมันเพราะเด็กคนนั้นโตมากลายเป็นเธอ เธอที่ไม่ว่าจะในวัยเยาว์หรือปัจจุบันก็ยังคงมีอิทธิพลกับเขาเสมอ
✿✿✿✿✿✿✿✿
⊹ ปฐมบท ⊹เสียงจอแจดังไปทั่วบริเวณ ทั้งเสียงพูดคุยของผู้คน เสียงเพลงที่ถูกบรรเลงขึ้นและเสียงรถราที่วิ่งอยู่บนท้องถนน ทว่าแทรกสามเสียงนั้นยังคงมีอีกหนึ่งเสียงเกิดขึ้น...เสียงสะอื้นของหญิงสาวในเสื้อสายเดี่ยวผ้าซาตินที่ด้านหน้าแทบจะปิดไม่มิด ด้านหลังนั้นยิ่งกว่า เป็นเพียงเชือกเส้นเล็ก ๆ ที่กระตุกทีเดียวก็หลุด เข้าคู่กับกางเกงยีนส์ขาสั้น ผมที่ยาวประบ่ายิ่งทำให้แผ่นหลังเนียนสวยน่ามอง เธอเป็นดาวเด่นในคืนนี้ได้ไม่ยากหากไม่ติดที่เอาแต่นั่งร้องไห้เหมือนคนถูกแฟนทิ้งหนุ่ม ๆ จ้องมองมาที่เธอราวกับรอจังหวะที่จะเข้ามาดามใจ แต่เจ้าของเสียงร้องนั้นหาได้สนใจไม่ สายตาทอดมองไปยังหน้าจอสี่เหลี่ยมที่อยู่ในมือ“ทำไมอะ ฆ่าเขาเพื่ออะไร” หญิงสาวตัดพ้อด้วยน้ำเสียงเศร้าระคนโกรธ เพื่อนสาวที่นั่งข้างกายได้แต่ตบไหล่เพื่อให้กำลังใจ “เขาน่ารักมากเลย ให้เป็นแค่พระรองไม่พอ ยังให้เขาตายอีก โอ๊ย ฉันจะมีชีวิตอยู่ต่อยังไง”แม้ว่าในสายตาของบุณยากรหรือใบไผ่จะมองว่าการกระทำของเพื่อนช่างไร้สาระ ทว่าเธอก็ยังคงปลอบ ตั้งใจให้เลิกร้องก่อนจะได้สนุกกับสิ่งที่รออยู่ แต่นานนับสิบนาทีก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น สาวเจ้ายังเอาแต่พร่ำเพ้อถึงการ
⊹ ปฐมบท ⊹รอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าคมไม่สามารถลอดผ่านสายตาของหนุ่มรุ่นพี่ทั้งสามได้บุณยากรหันมามองเพื่อนสนิทที่เดินมาด้วยกันพลางเพ่งพินิจองค์ประกอบของใบหน้าอีกฝ่ายไปในตัว เธอรู้ว่าเพื่อนคนนี้หน้าตาดี แต่ในเวลานี้กลับดูดีกว่าทุก ๆ วัน แม้จะเจอเรื่องราวร้าย ๆ แต่วรัสยากลับสวยวันสวยคืน ส่วนสูงหนึ่งร้อยห้าสิบไม่เกินนี้ น้ำหนักสี่สิบถึงสี่สิบสองเห็นจะได้ ผมสีดำขลับยาวประบ่า ตัดกับผิวสีขาวราวกับน้ำนมนั้นได้อย่างดี ปากเล็ก ๆ มีสีชมพูเหมือนลูกพีช จมูกรั้นนิด ๆ เข้ากับหางตาที่เชิดขึ้น ทำให้ใบหน้าเล็ก ๆ นั้นไม่หวานจนเกินไป แต่ให้ความรู้สึกแสบซ่า นั่นยิ่งน่ามองเข้าไปใหญ่วรัสยาเป็นได้ทั้งคนสวยและคนน่ารัก หล่อนนะเป็นพวกขี้โกง ใครมองก็ไม่รู้จักเบื่อ“ชมไปยังนะว่าวันนี้แต่งตัวดีมาก เปรี้ยวเข็ดฟันเลย” ไม่พูดเปล่า มือยังเอื้อมไปแตะที่เชือกด้านหลัง “อันนี้ระวังโดนกระตุกนะ ไปเต้นในที่คนเยอะ ๆ อะ”“ไม่ไปแล้ว เหนื่อย”หญิงสาวใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำไปพักใหญ่เพราะมีคนต่อคิวอยู่พอสมควร หลังจากล้างไม้ล้างมือเป็นที่เรียบร้อยก็เดินออกมาด้านนอก เห็นว่าบุณยากรยืนรออยู่จึงเดินเข้าไปหา“คนเยอะว่ะ รอนานไหม” แค่ส่าย
ภายในรถมีแต่ความเงียบเท่านั้นที่ทำงาน เขายังไม่เอ่ยถามด้วยซ้ำว่าที่หมายที่จะต้องไปส่งเธอคือที่ไหน ได้แต่ขับไปตามทางของเขา วรัสยาได้แต่กัดริมฝีปากล่างอย่างรู้สึกประหม่า อยากเอ่ยปากพูดกับเขาแต่ก็รู้สึกกระดากอายที่เพื่อนพูดไปก่อนหน้านี้ เธอชอบเขา แถมยังขอติดรถกลับไปด้วย...ช่างหน้าไม่อาย เธอเหลือบมองเขาเป็นระยะ ว่าบาป หน้าตาดีแท้ล่ะพ่อคุณ เธอต้องพยายามอย่างมากที่จะไม่ยิ้ม ไม่อย่างนั้นเขาจะคิดว่า ‘เพื่อนหนูชอบพี่’ เป็นความจริง เธอไม่ได้ชอบ แต่เขาหล่ออันนี้มันปฏิเสธไม่ได้ “อยู่แถวไหน” เสียงของเขาดังขึ้นเรียกสติของเธอให้กลับมาที่เรื่องสำคัญ หลังจากตอบไปแล้วชายหนุ่มก็ทำหน้าครุ่นคิด คิ้วขมวดเข้าหากันเป็นปม นั่นทำให้เธอรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องไปด้วยเพราะดูเหมือนจะกลายเป็นภาระของคนข้าง ๆ เข้าเสียแล้ว “คนละทางกันเลย” “เอ่อ เดี๋ยวหนูกลับเองดีกว่าค่ะ” เธอรีบกล่าวด้วยความเกรงใจ “จริง ๆ เพื่อนแค่หยอกค่ะ พี่อย่าคิดมากเลยนะคะ ขอโทษที่ทำให้ลำบากใจ งั้นเดี๋ยวพี่จอดข้างหน้านี่เลยค่ะ เดี๋ยวนั่งแท็กซี่กลับได้” “รับปากไปแล้ว” “หนูทราบค่ะ แต่มันไม่จำเป็นหรอก แค่พี่ไม่ด่าที่พวกเพื่อน ๆ หนูเล่นไม่รู้เรื่องก
“ทำไมมันถึงมาสายนะ” เสียงเข้มถามย้ำอีกครั้ง“ติดหญิงครับ” ดิฐากรเป็นฝ่ายเอ่ยตอบเจ้านายหลังจากนาฬิกาบอกเวลาเจ็ดโมงสามนาทีแล้วแต่ยังไม่เห็นหัวของจีรกิตติ์ ซึ่งควรจะมารออยู่ที่บ้านตั้งแต่ก่อนเจ็ดโมงเช้าด้วยซ้ำได้ฟังเช่นนั้นปราชญาธิปจึงดุนดันลิ้นอยู่ภายในปากอย่างสะกดอารมณ์ ฝ่ามือหนาตีไปที่หน้าขาตามจังหวะการหายใจ ท่าทีดูสบาย ๆ นั้นไม่น่าเชื่อว่าสามารถกดดันเหล่าลูกน้องทั้งสามชีวิตตรงหน้าได้อย่างมหาศาล อรัณย์กลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคออย่างยากลำบาก ขนาดเขาไม่ใช่คนที่จะโดน ‘เล่น’ ยังรู้สึกเสียวสันหลังวาบอันที่จริงดิฐากรและคนอื่น ๆ ไม่รู้เหตุผลที่แน่ชัดของการมาสาย แต่เขาตั้งใจจะหยิกหลังน้องชายพอเป็นพิธีจึงเอ่ยวาจาออกไปเช่นนั้น แต่อาจจะเพราะไม่ทันฉุกคิดถึงอารมณ์ของผู้เป็นนายที่เปรียบเสมือนพายุจับตัวกันเป็นกลุ่มย่อม ๆ หากน้องเล็กเป็นอะไรขึ้นมาเขาคงรู้สึกผิดไปจนวันตาย“เมื่อคืนไปดื่มกันมานี่”“ครับ”“มันหิ้วสาวกลับห้อง”“ไม่เชิงครับ แต่จะว่าอย่างนั้นก็ได้” เพราะเหตุการณ์เมื่อคืนนั้นไม่ใกล้เคียงกับคำว่าหิ้วสาวกลับห้องเลยสักนิด แต่เป็นสาวขอให้หิ้วไปด้วยต่างหาก แต่เขาคร้านจะอธิบายให้ยืดยาว อีกอย่างนั่
โทรศัพท์มือถือเครื่องบางของเจ้านายหนุ่มแตะลงเบา ๆ ที่ต้นแขนของจีรกิตติ์ เขาหันไปรับมันมาถืออย่างรู้งาน “แวะให้ด้วย เดี๋ยวจะถึงแล้ว”ภาพที่ปรากฏอยู่ในจอสี่เหลี่ยมเป็นร้านกาแฟที่ขายทั้งเครื่องดื่มและอาหารเช้า หนุ่มรุ่นน้องจึงเอ่ยบอกกับรุ่นพี่ที่ทำหน้าที่ขับรถว่าให้จอดที่ไหน ซึ่งก็จวนจะถึงอย่างที่เจ้านายว่า จบธุระจึงส่งมือถือกลับไปให้เจ้าของ จังหวะนั้นเองก็ผ่านซอยที่เขาเพิ่งขับมาส่งใครคนนั้นเมื่อคืนนี้ การห้ามสายตาให้หันไปมองดูเป็นเรื่องยากเกินกำลัง เขาทำไมไม่ได้ จึงหันมองออกไปแม้ว่าจะไม่มีทางได้เห็นแม่ผักกาดหัวเล็ก ๆ นั่น เพราะเจ้าหล่อนเป็นพวกตื่นสายผ่านมาสักพักก็ถึงที่หมาย ร้านขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่แต่มีคนจับจองที่นั่งจนไม่มีที่ว่าง“นายจะรับอะไรครับ” เขาเอ่ยถามและตั้งท่าจะลงไปซื้อให้ฟากปราชญาธิปยกมือมาห้ามในทันที “ไปเอง รออยู่นี่แหละ”ไม่บ่อยนักที่ผู้เป็นนายจะลงจากรถเองโดยที่ไม่วานลูกน้อง สองคนที่ตามมาจอดด้านหลังก็อดแปลกใจไม่ได้ ต่างก็มองตามเข้าไปด้านใน ดีที่เป็นกระจกใจจึงมองเห็นทะลุปรุโปร่ง พวกเขาคิดว่าเจ้านายคงจะไปซื้อกาแฟแต่แทนที่จะตรงไปยังเคาน์เตอร์กลับไปนั่งที่โต๊ะแทน มากกว่านั้นคื
เที่ยงครึ่งแล้ว...ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองก่อนจะจ้องมองไปยังโทรศัพท์ที่ถืออยู่ เมื่อคิดว่าป่านนี้ก็น่าจะตื่นแล้วเลยตั้งใจจะกดโทร.ออก แต่ก็ต้องชะงักเมื่อคิดว่ามันจะเป็นการเผยไต๋มากเกินจำเป็น เธอเป็นฝ่ายเข้าหาเขา เพราะฉะนั้นเธอก็ควรเป็นคนโทรมาก่อน สุดท้ายสายนั้นก็เป็นหมัน ร่างสูงเก็บมือถือไว้ในกระเป๋าก่อนจะเดินไปรวมกับกลุ่มเพื่อนรุ่นพี่ทั้งสามที่นั่งพักผ่อนระหว่างพัก“มึงไม่รู้จริงเหรอ” พอมาถึงก็ได้ยินดิฐากรเอ่ยถามอะไรบางอย่างกับอรัณย์“กูก็รู้พร้อม ๆ มึงแค่นี่แหละ ปกติเห็นลงอ่างอย่างเดียว ใครจะไปรู้ว่าเลี้ยงอีหนูไว้ด้วย”“รอดพ้นสายตาพวกเราไปได้ไง”“เรื่องของนายก็อย่าไปอะไรมาก เดี๋ยวพายุลงหัวนะมึง” ชยางกูรเตือนรุ่นน้อง แม้ว่าเขาเองก็จะสงสัยมากก็ตาม แต่แค่แอบมองเมื่อเช้ายังแทบจะโดนกินเลือดกินเนื้อทางสายตา จึงคิดได้ว่าเรื่องส่วนตัวของนายไม่ใช่เรื่องที่ลูกน้องอย่างเขาต้องรู้ “คุยธุระเสร็จแล้วเหรอ ไม่เห็นจะยกหูคุย”“จับผิดผม?”“อย่าเยอะ กูแค่หันไปเห็นพอดี สำคัญขนาดนั้นเลยดิมึง”จีรกิตติ์ไหวไหล่ “ไม่ได้คุย ดูรีบเกิน”“กับน้องผักกาด” ดิฐากรเอ่ยแทรกขึ้น คนโดนถามจึงพยักหน้าตอบ “ไม่ได้นะครับคุณจัด
นับจากวันนั้นจนวันนี้ก็ผ่านมาห้าวันแล้ว ยิ่งคิดนันทภัคก็ยิ่งฉุนกับคนที่เพื่อนบอกว่างานดี หล่อนยกมือเท้าเอวทั้งที่ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ สายตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจหลังเพื่อนสนิทบอกว่าไม่ได้ติดต่อกับพ่อหนุ่มคนนั้นเลยตั้งแต่วันที่เขาไปส่งถึงคอนโด รวมถึงบุณยากรที่เป็นตัวตั้งตัวตีเค้นสมองหาความคิดดี ๆ ทั้งปิ่นปักษาที่บากหน้าไปฝากเพื่อนกลับบ้านกับผู้ชาย โสรยาเองก็ได้แต่ส่ายหน้าให้กับความ ‘ไม่เป็นงาน’ ของเพื่อนที่ทำเหมือนก๋ากั่นไม่มีความกลัวในจิตใจ แต่พอเอาเข้าจริงกลับหงอเหมือนลูกหมา“สุดท้ายแล้วมึงจะเป็นแค่ผักกาดดองใช่ไหม” นันทภัคอดออกปากไม่ด่าไม่ได้แล้ว“ก็บอกเขาแล้วว่าสะดวกให้เลี้ยงข้าววันไหนก็ให้โทร.มา”“แล้ว”“เขายังไม่ติดต่อมาเลยไง ก็แปลว่าไม่สะดวกหรือเปล่า”“ไม่ ๆ” บุณยากรรีบเบรก “อันนี้มันปลายเหตุ มันผิดตั้งแต่อ้อยเข้าปากมึงแต่มึงเลือกที่จะคายแล้ว”“ขอค้าน” วรัสยายกมือประท้วงราวกับกำลังคุยเรื่องสำคัญกันอยู่ ดูท่าทางจริงจัง “ที่พวกมึงเห็นกับที่เกิดขึ้นจริงมันต่างกันมาก ตอนขึ้นรถไปด้วยมึงก็คิดไปต่าง ๆ นานาได้แหละ แต่สถานการณ์จริงคือพี่เขาก็เงียบ ๆ ไม่ค่อยได้คุยอะไรกันมาก ส่วนมากก็เป็นกูท
เที่ยงครึ่งแล้ว...ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองก่อนจะจ้องมองไปยังโทรศัพท์ที่ถืออยู่ เมื่อคิดว่าป่านนี้ก็น่าจะตื่นแล้วเลยตั้งใจจะกดโทร.ออก แต่ก็ต้องชะงักเมื่อคิดว่ามันจะเป็นการเผยไต๋มากเกินจำเป็น เธอเป็นฝ่ายเข้าหาเขา เพราะฉะนั้นเธอก็ควรเป็นคนโทรมาก่อน สุดท้ายสายนั้นก็เป็นหมัน ร่างสูงเก็บมือถือไว้ในกระเป๋าก่อนจะเดินไปรวมกับกลุ่มเพื่อนรุ่นพี่ทั้งสามที่นั่งพักผ่อนระหว่างพัก“มึงไม่รู้จริงเหรอ” พอมาถึงก็ได้ยินดิฐากรเอ่ยถามอะไรบางอย่างกับอรัณย์“กูก็รู้พร้อม ๆ มึงแค่นี่แหละ ปกติเห็นลงอ่างอย่างเดียว ใครจะไปรู้ว่าเลี้ยงอีหนูไว้ด้วย”“รอดพ้นสายตาพวกเราไปได้ไง”“เรื่องของนายก็อย่าไปอะไรมาก เดี๋ยวพายุลงหัวนะมึง” ชยางกูรเตือนรุ่นน้อง แม้ว่าเขาเองก็จะสงสัยมากก็ตาม แต่แค่แอบมองเมื่อเช้ายังแทบจะโดนกินเลือดกินเนื้อทางสายตา จึงคิดได้ว่าเรื่องส่วนตัวของนายไม่ใช่เรื่องที่ลูกน้องอย่างเขาต้องรู้ “คุยธุระเสร็จแล้วเหรอ ไม่เห็นจะยกหูคุย”“จับผิดผม?”“อย่าเยอะ กูแค่หันไปเห็นพอดี สำคัญขนาดนั้นเลยดิมึง”จีรกิตติ์ไหวไหล่ “ไม่ได้คุย ดูรีบเกิน”“กับน้องผักกาด” ดิฐากรเอ่ยแทรกขึ้น คนโดนถามจึงพยักหน้าตอบ “ไม่ได้นะครับคุณจัด
โทรศัพท์มือถือเครื่องบางของเจ้านายหนุ่มแตะลงเบา ๆ ที่ต้นแขนของจีรกิตติ์ เขาหันไปรับมันมาถืออย่างรู้งาน “แวะให้ด้วย เดี๋ยวจะถึงแล้ว”ภาพที่ปรากฏอยู่ในจอสี่เหลี่ยมเป็นร้านกาแฟที่ขายทั้งเครื่องดื่มและอาหารเช้า หนุ่มรุ่นน้องจึงเอ่ยบอกกับรุ่นพี่ที่ทำหน้าที่ขับรถว่าให้จอดที่ไหน ซึ่งก็จวนจะถึงอย่างที่เจ้านายว่า จบธุระจึงส่งมือถือกลับไปให้เจ้าของ จังหวะนั้นเองก็ผ่านซอยที่เขาเพิ่งขับมาส่งใครคนนั้นเมื่อคืนนี้ การห้ามสายตาให้หันไปมองดูเป็นเรื่องยากเกินกำลัง เขาทำไมไม่ได้ จึงหันมองออกไปแม้ว่าจะไม่มีทางได้เห็นแม่ผักกาดหัวเล็ก ๆ นั่น เพราะเจ้าหล่อนเป็นพวกตื่นสายผ่านมาสักพักก็ถึงที่หมาย ร้านขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่แต่มีคนจับจองที่นั่งจนไม่มีที่ว่าง“นายจะรับอะไรครับ” เขาเอ่ยถามและตั้งท่าจะลงไปซื้อให้ฟากปราชญาธิปยกมือมาห้ามในทันที “ไปเอง รออยู่นี่แหละ”ไม่บ่อยนักที่ผู้เป็นนายจะลงจากรถเองโดยที่ไม่วานลูกน้อง สองคนที่ตามมาจอดด้านหลังก็อดแปลกใจไม่ได้ ต่างก็มองตามเข้าไปด้านใน ดีที่เป็นกระจกใจจึงมองเห็นทะลุปรุโปร่ง พวกเขาคิดว่าเจ้านายคงจะไปซื้อกาแฟแต่แทนที่จะตรงไปยังเคาน์เตอร์กลับไปนั่งที่โต๊ะแทน มากกว่านั้นคื
“ทำไมมันถึงมาสายนะ” เสียงเข้มถามย้ำอีกครั้ง“ติดหญิงครับ” ดิฐากรเป็นฝ่ายเอ่ยตอบเจ้านายหลังจากนาฬิกาบอกเวลาเจ็ดโมงสามนาทีแล้วแต่ยังไม่เห็นหัวของจีรกิตติ์ ซึ่งควรจะมารออยู่ที่บ้านตั้งแต่ก่อนเจ็ดโมงเช้าด้วยซ้ำได้ฟังเช่นนั้นปราชญาธิปจึงดุนดันลิ้นอยู่ภายในปากอย่างสะกดอารมณ์ ฝ่ามือหนาตีไปที่หน้าขาตามจังหวะการหายใจ ท่าทีดูสบาย ๆ นั้นไม่น่าเชื่อว่าสามารถกดดันเหล่าลูกน้องทั้งสามชีวิตตรงหน้าได้อย่างมหาศาล อรัณย์กลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคออย่างยากลำบาก ขนาดเขาไม่ใช่คนที่จะโดน ‘เล่น’ ยังรู้สึกเสียวสันหลังวาบอันที่จริงดิฐากรและคนอื่น ๆ ไม่รู้เหตุผลที่แน่ชัดของการมาสาย แต่เขาตั้งใจจะหยิกหลังน้องชายพอเป็นพิธีจึงเอ่ยวาจาออกไปเช่นนั้น แต่อาจจะเพราะไม่ทันฉุกคิดถึงอารมณ์ของผู้เป็นนายที่เปรียบเสมือนพายุจับตัวกันเป็นกลุ่มย่อม ๆ หากน้องเล็กเป็นอะไรขึ้นมาเขาคงรู้สึกผิดไปจนวันตาย“เมื่อคืนไปดื่มกันมานี่”“ครับ”“มันหิ้วสาวกลับห้อง”“ไม่เชิงครับ แต่จะว่าอย่างนั้นก็ได้” เพราะเหตุการณ์เมื่อคืนนั้นไม่ใกล้เคียงกับคำว่าหิ้วสาวกลับห้องเลยสักนิด แต่เป็นสาวขอให้หิ้วไปด้วยต่างหาก แต่เขาคร้านจะอธิบายให้ยืดยาว อีกอย่างนั่
ภายในรถมีแต่ความเงียบเท่านั้นที่ทำงาน เขายังไม่เอ่ยถามด้วยซ้ำว่าที่หมายที่จะต้องไปส่งเธอคือที่ไหน ได้แต่ขับไปตามทางของเขา วรัสยาได้แต่กัดริมฝีปากล่างอย่างรู้สึกประหม่า อยากเอ่ยปากพูดกับเขาแต่ก็รู้สึกกระดากอายที่เพื่อนพูดไปก่อนหน้านี้ เธอชอบเขา แถมยังขอติดรถกลับไปด้วย...ช่างหน้าไม่อาย เธอเหลือบมองเขาเป็นระยะ ว่าบาป หน้าตาดีแท้ล่ะพ่อคุณ เธอต้องพยายามอย่างมากที่จะไม่ยิ้ม ไม่อย่างนั้นเขาจะคิดว่า ‘เพื่อนหนูชอบพี่’ เป็นความจริง เธอไม่ได้ชอบ แต่เขาหล่ออันนี้มันปฏิเสธไม่ได้ “อยู่แถวไหน” เสียงของเขาดังขึ้นเรียกสติของเธอให้กลับมาที่เรื่องสำคัญ หลังจากตอบไปแล้วชายหนุ่มก็ทำหน้าครุ่นคิด คิ้วขมวดเข้าหากันเป็นปม นั่นทำให้เธอรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องไปด้วยเพราะดูเหมือนจะกลายเป็นภาระของคนข้าง ๆ เข้าเสียแล้ว “คนละทางกันเลย” “เอ่อ เดี๋ยวหนูกลับเองดีกว่าค่ะ” เธอรีบกล่าวด้วยความเกรงใจ “จริง ๆ เพื่อนแค่หยอกค่ะ พี่อย่าคิดมากเลยนะคะ ขอโทษที่ทำให้ลำบากใจ งั้นเดี๋ยวพี่จอดข้างหน้านี่เลยค่ะ เดี๋ยวนั่งแท็กซี่กลับได้” “รับปากไปแล้ว” “หนูทราบค่ะ แต่มันไม่จำเป็นหรอก แค่พี่ไม่ด่าที่พวกเพื่อน ๆ หนูเล่นไม่รู้เรื่องก
⊹ ปฐมบท ⊹รอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าคมไม่สามารถลอดผ่านสายตาของหนุ่มรุ่นพี่ทั้งสามได้บุณยากรหันมามองเพื่อนสนิทที่เดินมาด้วยกันพลางเพ่งพินิจองค์ประกอบของใบหน้าอีกฝ่ายไปในตัว เธอรู้ว่าเพื่อนคนนี้หน้าตาดี แต่ในเวลานี้กลับดูดีกว่าทุก ๆ วัน แม้จะเจอเรื่องราวร้าย ๆ แต่วรัสยากลับสวยวันสวยคืน ส่วนสูงหนึ่งร้อยห้าสิบไม่เกินนี้ น้ำหนักสี่สิบถึงสี่สิบสองเห็นจะได้ ผมสีดำขลับยาวประบ่า ตัดกับผิวสีขาวราวกับน้ำนมนั้นได้อย่างดี ปากเล็ก ๆ มีสีชมพูเหมือนลูกพีช จมูกรั้นนิด ๆ เข้ากับหางตาที่เชิดขึ้น ทำให้ใบหน้าเล็ก ๆ นั้นไม่หวานจนเกินไป แต่ให้ความรู้สึกแสบซ่า นั่นยิ่งน่ามองเข้าไปใหญ่วรัสยาเป็นได้ทั้งคนสวยและคนน่ารัก หล่อนนะเป็นพวกขี้โกง ใครมองก็ไม่รู้จักเบื่อ“ชมไปยังนะว่าวันนี้แต่งตัวดีมาก เปรี้ยวเข็ดฟันเลย” ไม่พูดเปล่า มือยังเอื้อมไปแตะที่เชือกด้านหลัง “อันนี้ระวังโดนกระตุกนะ ไปเต้นในที่คนเยอะ ๆ อะ”“ไม่ไปแล้ว เหนื่อย”หญิงสาวใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำไปพักใหญ่เพราะมีคนต่อคิวอยู่พอสมควร หลังจากล้างไม้ล้างมือเป็นที่เรียบร้อยก็เดินออกมาด้านนอก เห็นว่าบุณยากรยืนรออยู่จึงเดินเข้าไปหา“คนเยอะว่ะ รอนานไหม” แค่ส่าย
⊹ ปฐมบท ⊹เสียงจอแจดังไปทั่วบริเวณ ทั้งเสียงพูดคุยของผู้คน เสียงเพลงที่ถูกบรรเลงขึ้นและเสียงรถราที่วิ่งอยู่บนท้องถนน ทว่าแทรกสามเสียงนั้นยังคงมีอีกหนึ่งเสียงเกิดขึ้น...เสียงสะอื้นของหญิงสาวในเสื้อสายเดี่ยวผ้าซาตินที่ด้านหน้าแทบจะปิดไม่มิด ด้านหลังนั้นยิ่งกว่า เป็นเพียงเชือกเส้นเล็ก ๆ ที่กระตุกทีเดียวก็หลุด เข้าคู่กับกางเกงยีนส์ขาสั้น ผมที่ยาวประบ่ายิ่งทำให้แผ่นหลังเนียนสวยน่ามอง เธอเป็นดาวเด่นในคืนนี้ได้ไม่ยากหากไม่ติดที่เอาแต่นั่งร้องไห้เหมือนคนถูกแฟนทิ้งหนุ่ม ๆ จ้องมองมาที่เธอราวกับรอจังหวะที่จะเข้ามาดามใจ แต่เจ้าของเสียงร้องนั้นหาได้สนใจไม่ สายตาทอดมองไปยังหน้าจอสี่เหลี่ยมที่อยู่ในมือ“ทำไมอะ ฆ่าเขาเพื่ออะไร” หญิงสาวตัดพ้อด้วยน้ำเสียงเศร้าระคนโกรธ เพื่อนสาวที่นั่งข้างกายได้แต่ตบไหล่เพื่อให้กำลังใจ “เขาน่ารักมากเลย ให้เป็นแค่พระรองไม่พอ ยังให้เขาตายอีก โอ๊ย ฉันจะมีชีวิตอยู่ต่อยังไง”แม้ว่าในสายตาของบุณยากรหรือใบไผ่จะมองว่าการกระทำของเพื่อนช่างไร้สาระ ทว่าเธอก็ยังคงปลอบ ตั้งใจให้เลิกร้องก่อนจะได้สนุกกับสิ่งที่รออยู่ แต่นานนับสิบนาทีก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น สาวเจ้ายังเอาแต่พร่ำเพ้อถึงการ