⊹ ปฐมบท ⊹
รอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าคมไม่สามารถลอดผ่านสายตาของหนุ่มรุ่นพี่ทั้งสามได้
บุณยากรหันมามองเพื่อนสนิทที่เดินมาด้วยกันพลางเพ่งพินิจองค์ประกอบของใบหน้าอีกฝ่ายไปในตัว เธอรู้ว่าเพื่อนคนนี้หน้าตาดี แต่ในเวลานี้กลับดูดีกว่าทุก ๆ วัน แม้จะเจอเรื่องราวร้าย ๆ แต่วรัสยากลับสวยวันสวยคืน ส่วนสูงหนึ่งร้อยห้าสิบไม่เกินนี้ น้ำหนักสี่สิบถึงสี่สิบสองเห็นจะได้ ผมสีดำขลับยาวประบ่า ตัดกับผิวสีขาวราวกับน้ำนมนั้นได้อย่างดี ปากเล็ก ๆ มีสีชมพูเหมือนลูกพีช จมูกรั้นนิด ๆ เข้ากับหางตาที่เชิดขึ้น ทำให้ใบหน้าเล็ก ๆ นั้นไม่หวานจนเกินไป แต่ให้ความรู้สึกแสบซ่า นั่นยิ่งน่ามองเข้าไปใหญ่
วรัสยาเป็นได้ทั้งคนสวยและคนน่ารัก หล่อนนะเป็นพวกขี้โกง ใครมองก็ไม่รู้จักเบื่อ
“ชมไปยังนะว่าวันนี้แต่งตัวดีมาก เปรี้ยวเข็ดฟันเลย” ไม่พูดเปล่า มือยังเอื้อมไปแตะที่เชือกด้านหลัง “อันนี้ระวังโดนกระตุกนะ ไปเต้นในที่คนเยอะ ๆ อะ”
“ไม่ไปแล้ว เหนื่อย”
หญิงสาวใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำไปพักใหญ่เพราะมีคนต่อคิวอยู่พอสมควร หลังจากล้างไม้ล้างมือเป็นที่เรียบร้อยก็เดินออกมาด้านนอก เห็นว่าบุณยากรยืนรออยู่จึงเดินเข้าไปหา
“คนเยอะว่ะ รอนานไหม” แค่ส่ายหน้าเป็นคำตอบ ห้องน้ำร้านเหล้ามันเดาง่ายอยู่แล้วว่าผู้คนจะแออัด “ไปเถอะ คอแห้งไปหมด ขับน้ำออกไปหลายทางแล้วเนี่ย”
คนฟังได้แต่ยื่นมือไปตีไหล่เพื่อนที่ชอบพูดจาไม่อายฟ้าอายดิน “เออมึง” ท่าทีที่ดูจะจริงจังต่างจากเมื่อครู่ของบุณยากรทำให้คนมองได้แต่เลิกคิ้วใส่เป็นเชิงถาม “อยากกลับไปคุยกับมิวปะ”
เธอยอมเรียกคนที่ไม่ค่อยขี้หน้าด้วยชื่อเฉย ๆ เพื่อที่จะสามารถโน้มน้าวจิตใจของอีกฝ่ายได้ วรัสยาไม่ใช่คนที่หน้าตาดื้อดึง แต่มันดื้อไปถึงนิสัย หัวรั้นที่หนึ่ง แต่จะยอมโอนอ่อนได้ทันทีหากเป็นเรื่องของ มัญชุวีร์ หรือก็คือเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดของเจ้าหล่อนนั่นเอง ผู้ที่เป็นดั่งข้อยกเว้นทั้งปวงของวรัสยา ไม่ว่าอะไรเธอก็ให้เพื่อนคนนี้มาเป็นที่หนึ่งเสมอ
บุณยากรไม่อยากเอ่ยถึงแม้กระทั่งชื่อของคนที่หักหลังเพื่อน แต่รู้ดีว่ามีแค่ทางนี้ทางเดียวที่จะดึงเพื่อนให้กลับมาเดินทางปกติได้ และคงเป็นทางเดียวที่จะทำให้อีกฝ่ายตาสว่าง
ฝ่ายวรัสยาเบิกตาโตด้วยหลากหลายความรู้สึก ทั้งตกใจ ดีใจและแปลกใจ
ตกใจที่เพื่อนพูดราวกับสนับสนุนความต้องการของเธอ ดีใจที่อาจจะมีทางทำให้ได้คุยกันอีก แปลกใจที่อีกฝ่ายดูไม่ได้โกรธเกลียดบุคคลที่กำลังกล่าวถึง
ตอนที่รู้ว่าความจริงเป็นอะไร เธอได้แต่ตกใจเพราะไม่คิดว่าสิ่งนี้มันจะเกิดขึ้นกับตัวเอง แต่มากกว่านั้นคือความเสียใจที่เพื่อนสนิทไม่เคยแม้แต่จะเอ่ยปากเพื่ออธิบายหรือพูดคุย เป็นอนุวัฒน์คนเดียวที่พยายามเข้ามาเพื่อพูดคุยกับเธอ แต่มันดูเหมือนการแก้ตัวเสียมากกว่า สิ่งเดียวที่เธอได้รับจากมัญชุวีร์คือคำว่า ‘ขอโทษ’ คำเดียวเท่านั้น ไม่มีการอธิบายนอกเหนือจากนี้ ต่อให้เธอพยายามส่งข้อความไปเท่าไรก็ไม่ได้รับการตอบกลับ โทร.หานับสายไม่ได้ ไม่เคยได้ยินเสียงของเธอ สุดท้ายทุกช่องทางการติดต่อก็ถูกอีกฝ่ายตัดจนขาดสะบั้น
มันไม่ใช่แค่การตัดเพื่อน แต่เหมือนใจเธอแทบขาดตามไปด้วย เพื่อนที่แสนดีคนเดียวของเธอ เพื่อนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวกันมาเกือบสิบปี บัดนี้ไม่ได้ยืนอยู่ข้างกายกันอีกแล้ว
เธอยังคงอ่อนไหวให้กับเพื่อนคนนี้เสมอ เพราะเพียงแค่นึกถึงก็รู้สึกเหมือนน้ำตาจะคลอหน่วยจะไหลรินลงมาอยู่รอมร่อ ก่อนจะหันไปมองคนที่เพิ่งจะยื่นความหวังมาให้
วรัสยาพยักหน้ารัว ๆ “ต้องทำไง”
“มันก็มีวิธีอยู่ ถ้ามึงทำตามกูเชื่อว่าความสัมพันธ์ของมึงกับมันจะดีขึ้นได้” นาทีนี้ต่อให้ใช้เธอไปกินงูกินอึ่งอ่างเธอก็ไม่ปฏิเสธ “กล้าไหมล่ะ”
“พูดมา”
ใคร ๆ ก็รู้ว่ามัญชุวีร์พยายามหลบหน้าวรัสยา ทั้งทั้งสองยังเรียนจบแล้ว ต่างก็แยกย้ายกันไปตามเส้นทางชีวิต หากไม่นัดเจอกันก็แทบจะไม่ได้เห็นหน้าคร่าตา แต่นี่อีกฝ่ายดันพยายามหลบหน้า เป็นไปได้ยากมากที่จะมาพบกัน หากจะพึ่งความบังเอิญก็ใช่ว่าจะเป็นหวังลม ๆ แล้ง ๆ เกินไป มันมีอยู่ครั้งสองครั้งที่ทั้งสองบังเอิญเจอกัน ทว่ามัญชุวีร์ก็เลือกที่จะเมินเฉย เธอสรุปกับตัวเองว่ามัญชุวีร์คงไม่อยากคุยกับตัวเองแล้ว แต่ตัวเธอนั้นยังทำใจให้เพื่อนคนนี้หล่นหายจากชีวิตไม่ได้
“มีคนใหม่”
ความหวังที่เปรียบเหมือนแสงสว่างเมื่อครู่กลับค่อย ๆ มอดลงทีละนิดจนมืดมิดเช่นเดิม เธอมองหน้าเพื่อนก่อนจะเผลอทอดถอนลมหายใจออกมา ไม่จำเป็นต้องมีคำพูดก็พอจะทราบได้ถึงความคิดที่ฉายชัดในดวงตากลมโตนั้น
“ไม่ได้พูดเล่นนะ” บุณยากรยังคงพยายามโน้มน้าวใจให้อีกฝ่ายคล้อยตาม “มันอาจจะมีเหตุผลที่ทำแบบนั้นอย่างที่มึงพูดก็ได้ ถ้าไม่ได้ชอบไอ้อั๋นก่อนที่มันจะคบกับมึง ไอ้อั๋นก็อาจจะเข้าหาจนมันหวั่นไหว มึงพูดเองนี่ ไอ้เวรนั่นมันเป็นคนช่างพูด”
“ทำไมมึงถึง-”
“ไม่สำคัญ เอาเรื่องนี้ก่อน” หล่อนรู้ดีว่าเพื่อนจะพูดอะไร ก็ก่อนหน้านี้เพิ่งจะด่าราวกับจะไม่เผาผี แต่ตอนนี้กลับลำแทบไม่ทัน “มึงคบกับมิวมานาน มันต้องรักและผูกพันกันบ้างแหละวะ แล้วมาเกิดเรื่องแบบนี้มึงไม่คิดหรอว่าที่มันหลบหน้ามึง ไม่คุยกับมึง เป็นเพราะมันอาจจะรู้สึกผิดก็ได้”
วรัสยาเงียบไปเหมือนกำลังคิดตามคำพูดหว่านล้อม บุณยากรไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือไป หมัดที่สองก็ชกไปอีกที
“มึงว่ามันไม่แปลกหรอ โดนเพื่อนจับได้ว่าแอบคบกับแฟนตัวเอง แต่เพื่อนกลับไม่ด่าไม่ว่าสักคำ ถ้ามันเกิดขึ้นกับมึง มึงจะไม่รู้สึกผิดเลยก็กระไรอยู่ ให้โดนเพื่อนด่านิดยังดีกว่า”
“มันรู้สึกผิดกับกูใช่ไหม”
“แน่ล่ะ มึงคบกันมาตั้งนานนี่”
“แล้วกูต้องทำยังไง ไม่ หมายถึงถ้ามีคนใหม่แล้วมันจะเกี่ยวอะไรกับมิวจะคุยกับกู มันไม่เกี่ยวกันเลยนะ”
“ทำไมจะไม่เกี่ยว ก็เพราะมันรู้สึกผิดที่ทำให้มึงเสียใจ ยิ่งมึงพยายามเข้าไปคุยกับมัน มันอาจยิ่งรู้สึกกลัวว่าทำให้มึงโกรธ ไม่แน่มันอาจจะคิดว่ามึงพยายามมาหาทางทวงไอ้อั๋นกลับไปก็ได้ มันถึงไม่กล้าคุยไง”
“แต่หน้ากูตอนเจอมันแต่ละครั้งนี่เหมือนหมาเห็นเจ้าของเลยนะ ไม่มีโกรธไม่มีโมโหอะไรเลยสักนิด ถ้ากูมีหางมันคงกระดิกใส่ไปแล้วอะ”
บุณยากรเกือบจนปัญญา
“กูเป็นคนนอก กูมองอะไรชัดกว่าคนในอยู่แล้ว หรือมึงจะไม่เชื่อกู เอาอย่างนี้นะ ลองคิดว่ากูที่เป็นเพื่อนกับไอ้ทรายมานาน วันหนึ่งกูไปแอบแซ่บกับแฟนมันมาแล้วมันจับได้ แต่มันไม่ด่ากูสักคำ กูคงรู้สึกผิดกว่าโดนมันลากไปประจานกลางสี่แยกลาดพร้าวอะ พอจะเห็นภาพปะ มิวมันก็น่าจะเป็นแบบนี้”
“ก็น่าคิด”
ได้ฟังอย่างนั้นก็ได้แต่พ่นลมหายใจออกราวกับได้ยกอะไรหนัก ๆ ทิ้ง “แล้วที่กูเสนอให้ลองมีคนใหม่เนี่ย เพราะถ้ามึงมีคนใหม่มันก็คงจะคิดว่ามึงมูฟออนจากไอ้อั๋นได้แล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นถึงยังไม่ถูกแก้ไขแต่มันไม่ได้ร้อนเหมือนตอนเกิดเรื่องแรก ๆ มันอาจจะกล้าคุยกับมึง แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่าทั้งหมดทั้งมวลที่พูดมากูก็แค่เดาไปเรื่อย มันอาจจะไม่เป็นอย่างนี้หรือเป็นก็ได้ ไม่มีใครรู้ว่าคำตอบคืออะไรนอกจากคนที่ได้ทำมันอยู่แล้ว มึงไม่ต้องทำตามก็ได้ มันอาจจะไม่ได้ผล ทิ้งไอ้ปิ่นเฝ้าโต๊ะนานแล้ว กลับกันเถอะ”
บุณยากรทำเหมือนไม่หยี่ระกับสิ่งที่ตนเองเพิ่งเค้นสมองอันน้อยนิดชักแม่น้ำทั้งห้าให้อีกฝ่ายคล้อยตามแล้วชวนกลับไปที่โต๊ะ ทั้งยังคอยลอบมองปฏิกิริยาของคนข้างตัวไปตลอดทาง วรัสยาดูจะเก็บข้อเสนอนี้ไปขบคิดเป็นจริงเป็นจัง ทั้ง ๆ ที่เธอก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่พูดไปนั้นมันจะเป็นจริงหรือเปล่า มัญชุวีร์จะกำลังรู้สึกผิดจริง ๆ ไหมก็ไม่อาจล่วงรู้ได้ แต่มันดันเป็นทางออกเดียวที่เพื่อนคนนี้มี
ชายเสื้อของบุณยากรถูกจับไว้เพื่อเป็นสัญญาณให้หยุดเดิน อีกไม่เท่าไรก็ถึงโต๊ะอยู่แล้ว แต่เธอก็เลือกที่จะหันไปมองเจ้าของมือเล็ก ๆ นั่น
“จะได้ผลใช่ไหม”
“ได้” ตอบออกไปอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ “หมายถึง ลองดูกันก่อนนะ ไม่ได้ค่อยหาทางกันใหม่”
วรัสยาพยักรับอย่างว่าง่าย แต่กว่าจะมาถึงความว่าง่ายตรงนี้ก็ผ่านการขบคิดมาดีแล้ว เธอเหนื่อยกับความรัก ยิ่งความรักเป็นต้นเหตุพรากเพื่อนที่รักที่สุดในชีวิตไปด้วยก็ยิ่งขยาด เธอกลัวว่าถ้ามีมันอีกมันอาจจะพรากอะไรสักอย่างไปเหมือนครั้งที่เพิ่งผ่านมา แต่ก็อยากลองทุกวิธีที่จะได้เพื่อนคนเดิมกลับมา
“แต่แฟนหายาก”
“ไหนบอกเอาตีนเขี่ย ๆ ก็เจอ” ย้อนกลับไปจนคนฟังได้แต่ยิ้มแหย “แต่หาได้ เชื่อมือกู”
“แต่มึงยังหาของตัวเองไม่ได้เลย”
ค้อนวงใหญ่ถูกส่งมายังคนพูด ก่อนที่ทั้งสองจะพากันกลับไปยังโต๊ะของตน ทว่าเมื่อไปถึงปิ่นปักษากับบุณยากรก็ได้แต่มองหน้ากันตาปริบ ๆ พูดโดยไม่มีเสียงว่า ไปแล้ว?
“เมื่อกี้นี่เอง”
“อะไรกันหรอ” วรัสยาโพลงขึ้นด้วยความฉงนกับท่าทีของเพื่อน แต่ก็ไม่มีใครตอบ
“ยังทันไหม”
“ทำไม มันจะเอา” ปิ่นปักษาเอ่ยถางพลางเบ้หน้าไปทางบุคคลที่ถูกพาดพิง ฝ่ายบุณยากรพยักหน้ารับรัว ๆ ทำเอาคนถามคลี่ยิ้มออกมา “มูฟออนนะนังผักกาดดอง ต่อไปนี้ไปเป็นผักกาดหัวสวย ๆ ดีกว่า อย่าไปอยู่ในกระป๋อง ไปเร็ว เดี๋ยวไม่ทัน”
จบประโยคปิ่นปักษาก็คว้ากระเป๋าของเธอ บุณยากรคว้าข้อมือเธอก่อนจะตรงไปยังด้านหน้าร้าน
ทั้งหมดที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนั้น วรัสยาไม่เข้าใจสักนิด...
เธอได้แต่ยกมือข้างที่เป็นอิสระขึ้นมาเกาหัวขจัดความงุนงง ไหนจะท่าทีของเพื่อนทั้งสอง แล้วอีกสองคนที่ยังเลื้อยอยู่หน้าเวทีเล่า จะทิ้งกันอย่างนี้ได้อย่างไร สองคนนั้นดื่มอย่างกับน้ำเปล่า ให้กลับเองมีหวังไม่ถึงคอนโด เพราะคนที่จะทำหน้าที่สารถีประจำกลุ่มคือปิ่นปักษาที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ เธออยากถามเพื่อนให้รู้แล้วรู้รอดว่าเกิดอะไรขึ้นทว่าก็ไม่มีจังหวะให้ถาม จนกระทั่งสองเท้าของคนที่นำหน้าหยุดอยู่กับที่ เธอจึงหยุดตาม
“ออกมาทำไม ไม่รอทรายกับแนนก่อนหรือไง แล้วมันจะกลับไงล่ะ เมาด้วยนะนั่น”
“พี่คะ” บุณยากรไม่ตอบคำถามของเธอ ขณะเดียวกันนั้นเสียงของปิ่นปักษาก็ดังขึ้นเรียกสายตาให้หันไปมอง เบื้องหน้าเป็นกลุ่มชายฉกรรจ์จำนวนสี่คน หลังมีเสียงเรียกพวกเขาก็หันกลับมา ดูเหมือนอีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงรถของพวกเขาแล้ว ทั้งสี่ดูงุนงงไม่ต่างจากเธอ มีเพียงหญิงสาวสองคนข้างหน้าเท่านั้นที่ดูจะเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น “พี่เสื้อขาวนั่นแหละค่ะ”
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
เจ้าของชื่อ ‘พี่เสื้อขาว’ ถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูสุภาพ ทว่าติดจะดุอยู่หน่อย ๆ วรัสยาเริ่มลนอยู่หน่อย ๆ เธอสงสัยว่าทำไมเพื่อนถึงเรียกอีกฝ่ายไว้ แต่ไม่ต้องสงสัยนานเพราะเจ้าหล่อนก็เฉลยมันออกมาในทันที
“เพื่อนหนูชอบค่ะ” เธอจะไม่แปลกใจเลยถ้าหลังจากประโยคนั้นจบลงอีกฝ่ายไม่ได้ชี้นิ้วมาทางนี้ “ชื่อผักกาด เห็นหน้าเด็กตัวเล็กแบบนี้แต่ไม่ได้เป็นผู้เยาว์แน่นอนค่ะ อายุยี่สิบสามแล้ว เป็นคนจริงใจ นิสัยดี คบหาได้ไม่เป็นพิษเป็นภัย ถ้าไม่ติดอะไรฝากติดรถไปส่งที่คอนโดหน่อยได้ไหมคะ”
วรัสยาทวนคำพูดเพื่อนอยู่ในใจ เธอเหมือนคนเสียสติชั่วขณะ หาคำพูดของตัวเองไม่เจอจึงได้แต่อ้าปากหวอจนนกแทบจะเข้าไปทำรังได้
เพื่อนหนูที่ว่าชอบพี่ ใคร เธอเหรอ เธอชอบเขา ไปชอบตอนไหนนะ...
แล้วพวกหล่อนกล้าฝากเธอติดรถไปกับผู้ชายถึงสี่คน ตายแน่ สองคนนี้ต้องตายคามือเท่านั้นถึงจะสาสม!
“ส่งได้ครับ” ประโยคนี้ไม่ได้ออกมาจากปากคนเสื้อขาว แต่เป็นหนึ่งในสามคนที่เหลือ “พี่ชื่อดินนะ ส่วนไอ้คนนี้ชื่อจัด มันจะพาน้องผักกาดไปส่งถึงที่โดยไม่ทำอะไรไม่ดีเลย พี่รับประกัน นี่นามบัตรพี่ครับ มีปัญหาหลังจากนี้โทร.มาได้เลย”
“ขอบคุณค่ะพี่ดิน หนูฝากเพื่อนหนูด้วยนะคะพี่จัด” ปิ่นปักษาเอื้อมมือไปรับนามบัตรของชายหนุ่มที่อ้างตัวว่าชื่อดินก่อนจะหันไปยิ้มหวานให้คนเสื้อขาว
“อะไรกันวะไผ่” คนโดนฝากเพิ่งหาเสียงตัวเองเจอ
“คนนี้แหละ” บุณยากรกระซิบข้างใบหูให้ได้ยินแค่สองคน “คนที่จะทำให้มึงได้คุยกับไอ้มิวอีกครั้ง จำไว้นะ ถ้ามีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นให้เกิดไป ไม่ต้องคิดมาก แต่ถ้ามีอะไรที่ไม่ชอบมาพากล โทร.มา พวกกูจะไปหาทันที”
“อาร์มกูไปรถมึงแล้วกัน รถไอ้จัดไม่ว่างแล้ว” ดิฐากรหันไปพูดกับเพื่อนก่อนจะปรายตาไปทางชายหนุ่มอีกคนที่ยืนปั้นหน้านิ่งอยู่ “เฮีย ขึ้นรถ พรุ่งนี้มีงานเช้านะ”
ชยางกูรเดินตามไปน้อง ๆ ทั้งสองไปยังรถของอรัณย์ เมื่อขึ้นมาบนรถก็มองออกไปยังน้องเล็กที่ยืนเต๊ะท่าอยู่ต่อหน้าสาว หากจะปฏิเสธจริง ๆ คิดว่าแค่ใช้สายตาจีรกิตติ์ก็ทำมันได้ง่าย ๆ ไม่ต้องรอให้ดิฐากรพูดอะไรยืดยาว แต่ที่ต้องให้คนอื่นออกหน้ารับเพราะกลัวจะเสียมาดกระมัง
“มันคงชอบจริง ๆ” ชยางกูรเอ่ยขึ้นเมื่อรถเคลื่อนตัวออกไปนอกบริเวณลานจอดรถ
“ทำบุญด้วยอะไรมาวะ สนใจเขาแต่ไม่ต้องเข้าหา เขาก็มาหาถึงที่”
เพราะพรุ่งนี้มีงานเช้า ต้องออกเดินทางไปต่างจังหวัดตั้งแต่เจ็ดโมง พวกเขาจึงไม่สามารถอยู่นานได้กว่านี้ น้องเล็กของกลุ่มก็เต๊ะท่าไม่เลิก เบอร์สาวก็ดันไม่ขอไว้ ไหนเจ้าตัวยังหายไปเข้าห้องน้ำนานสองนาน อรัณย์จึงชวนกลับ ทุกคนจึงคิดว่าต้องมีคนกินแห้วเสียแล้ว แต่จนแล้วจนรอดฝ่ายหญิงก็ออกมาได้ถูกจังหวะ หากช้ากว่านี้อีกนิดต้องมีคนเป็นบ้าเป็นแน่แท้
“ตื่นสายไม่ได้นะไอ้จัด ไม่งั้นล่ะมึง น่าดู” ดิฐากรเอ่ยด้วยรอยยิ้ม มือหนาก็ตบหน้าขาตัวเองตามจังหวะเพลงอย่างสบายอารมณ์
จีรกิตติ์มองดูกลุ่มคนตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบสนิท ไม่แสดงความยินดียินร้ายที่ต้องมีสาวเสื้อซาตินติดรถไปด้วย ทำให้ทั้งสามเดาทางไม่ได้ว่าเขาสะดวกใจจะพาวรัสยาไปด้วยหรือเปล่า เพราะคนตอบตกลงก็ไม่ใช่เขา แต่หากจะปฏิเสธจริง ๆ ปิ่นปักษาก็แค่พาเพื่อนกลับ ก็ในร้านเห็นว่ามองแต่วรัสยา พอออกมาทำไมถึงได้ดูดุเหมือนหมาเช่นนี้
“ฝากด้วยนะคะพี่จัด” ถึงกระนั้นก็ยังทำใจดีสู้เสือ สู้มาขนาดนี้แล้วจะให้ถอยกลับได้อย่างไร
“ครับ” เขาตอบสั้น ๆ ก่อนจะหมุนตัวไปยังรถคันหรูสีดำ บุณยากรเห็นเช่นนั้นก็รีบส่งสัมภาระให้เพื่อนถือทันที ก่อนจะดันหลังให้อีกฝ่ายรีบเดินตามชายหนุ่มไป
ได้ผัวใหม่ไม่พอ ผัวรวยด้วย ต้องอย่างนี้สิเพื่อน
“มึง แน่ใจนะ” วรัสยาเอี้ยวตัวมาย้ำอีกครั้งหลังบุณยากรเอื้อมมือไปหมายจะเปิดประตูรถให้
“ท่องเอาไว้ จะได้ไปคุยกับไอ้มิว”
สุดท้ายรถหรูที่มีวรัสยาเป็นตุ๊กตาหน้ารถก็เคลื่อนตัวออกไป ไฟท้ายหายไปจากสายตาของสองสาวแล้ว รอยยิ้มประดับขึ้นแทน
“ไปหลอกมันอีท่าไหน”
“หลอกอะไร” บุณยากรค้อนให้เพื่อนหนึ่งที “เขาเรียกว่าโน้มน้าวใจต่างหาก เข้าไปข้างในเถอะ เดี๋ยวพวกนั้นเลื้อยเสร็จมันจะงงว่าเพื่อนหายไปไหนหมด”
“มึงเล่าหน่อยสิว่าคุยกับมันยังไง ทำไมมันถึงอยากได้เขา”
“ไม่ใช่แบบนั้น เดี๋ยวกูเล่าทีเดียวจะได้รู้พร้อม ๆ กัน” เมื่อเข้ามาถึงด้านในก็พบว่านักเต้นเท้าไฟทั้งสองท่านได้นั่งรออยู่ที่โต๊ะก่อนแล้ว “อ้าว เต้นกันพอละเหรอ”
“เหนื่อยแล้ว แล้วนี่ไอ้กาดไปไหน ไม่มาด้วยกันอะ” โสรยาถามพร้อมกับยกน้ำอัดลมมาดื่มให้ชุ่มคอ
“ไปกับผู้ชายแล้ว”
พรวด!
น้ำอัดลมที่เพิ่งเข้าปากโสรยาไปหมาด ๆ ถูกพ่นออกมาในทันที
ก่อนที่นันทภัคจะถามออกมาด้วยอารมตกใจ “ใคร แป๊บนะ มันไม่ใช่คนที่จะไปต่อกับคนอื่นเลย เกิดอะไรขึ้น”
“มันจะไม่เป็นผักกาดดองแล้ว มันจะเป็นคุณผักกาด”
✿✿✿✿✿✿✿✿
ภายในรถมีแต่ความเงียบเท่านั้นที่ทำงาน เขายังไม่เอ่ยถามด้วยซ้ำว่าที่หมายที่จะต้องไปส่งเธอคือที่ไหน ได้แต่ขับไปตามทางของเขา วรัสยาได้แต่กัดริมฝีปากล่างอย่างรู้สึกประหม่า อยากเอ่ยปากพูดกับเขาแต่ก็รู้สึกกระดากอายที่เพื่อนพูดไปก่อนหน้านี้ เธอชอบเขา แถมยังขอติดรถกลับไปด้วย...ช่างหน้าไม่อาย เธอเหลือบมองเขาเป็นระยะ ว่าบาป หน้าตาดีแท้ล่ะพ่อคุณ เธอต้องพยายามอย่างมากที่จะไม่ยิ้ม ไม่อย่างนั้นเขาจะคิดว่า ‘เพื่อนหนูชอบพี่’ เป็นความจริง เธอไม่ได้ชอบ แต่เขาหล่ออันนี้มันปฏิเสธไม่ได้ “อยู่แถวไหน” เสียงของเขาดังขึ้นเรียกสติของเธอให้กลับมาที่เรื่องสำคัญ หลังจากตอบไปแล้วชายหนุ่มก็ทำหน้าครุ่นคิด คิ้วขมวดเข้าหากันเป็นปม นั่นทำให้เธอรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องไปด้วยเพราะดูเหมือนจะกลายเป็นภาระของคนข้าง ๆ เข้าเสียแล้ว “คนละทางกันเลย” “เอ่อ เดี๋ยวหนูกลับเองดีกว่าค่ะ” เธอรีบกล่าวด้วยความเกรงใจ “จริง ๆ เพื่อนแค่หยอกค่ะ พี่อย่าคิดมากเลยนะคะ ขอโทษที่ทำให้ลำบากใจ งั้นเดี๋ยวพี่จอดข้างหน้านี่เลยค่ะ เดี๋ยวนั่งแท็กซี่กลับได้” “รับปากไปแล้ว” “หนูทราบค่ะ แต่มันไม่จำเป็นหรอก แค่พี่ไม่ด่าที่พวกเพื่อน ๆ หนูเล่นไม่รู้เรื่องก
“ทำไมมันถึงมาสายนะ” เสียงเข้มถามย้ำอีกครั้ง“ติดหญิงครับ” ดิฐากรเป็นฝ่ายเอ่ยตอบเจ้านายหลังจากนาฬิกาบอกเวลาเจ็ดโมงสามนาทีแล้วแต่ยังไม่เห็นหัวของจีรกิตติ์ ซึ่งควรจะมารออยู่ที่บ้านตั้งแต่ก่อนเจ็ดโมงเช้าด้วยซ้ำได้ฟังเช่นนั้นปราชญาธิปจึงดุนดันลิ้นอยู่ภายในปากอย่างสะกดอารมณ์ ฝ่ามือหนาตีไปที่หน้าขาตามจังหวะการหายใจ ท่าทีดูสบาย ๆ นั้นไม่น่าเชื่อว่าสามารถกดดันเหล่าลูกน้องทั้งสามชีวิตตรงหน้าได้อย่างมหาศาล อรัณย์กลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคออย่างยากลำบาก ขนาดเขาไม่ใช่คนที่จะโดน ‘เล่น’ ยังรู้สึกเสียวสันหลังวาบอันที่จริงดิฐากรและคนอื่น ๆ ไม่รู้เหตุผลที่แน่ชัดของการมาสาย แต่เขาตั้งใจจะหยิกหลังน้องชายพอเป็นพิธีจึงเอ่ยวาจาออกไปเช่นนั้น แต่อาจจะเพราะไม่ทันฉุกคิดถึงอารมณ์ของผู้เป็นนายที่เปรียบเสมือนพายุจับตัวกันเป็นกลุ่มย่อม ๆ หากน้องเล็กเป็นอะไรขึ้นมาเขาคงรู้สึกผิดไปจนวันตาย“เมื่อคืนไปดื่มกันมานี่”“ครับ”“มันหิ้วสาวกลับห้อง”“ไม่เชิงครับ แต่จะว่าอย่างนั้นก็ได้” เพราะเหตุการณ์เมื่อคืนนั้นไม่ใกล้เคียงกับคำว่าหิ้วสาวกลับห้องเลยสักนิด แต่เป็นสาวขอให้หิ้วไปด้วยต่างหาก แต่เขาคร้านจะอธิบายให้ยืดยาว อีกอย่างนั่
โทรศัพท์มือถือเครื่องบางของเจ้านายหนุ่มแตะลงเบา ๆ ที่ต้นแขนของจีรกิตติ์ เขาหันไปรับมันมาถืออย่างรู้งาน “แวะให้ด้วย เดี๋ยวจะถึงแล้ว”ภาพที่ปรากฏอยู่ในจอสี่เหลี่ยมเป็นร้านกาแฟที่ขายทั้งเครื่องดื่มและอาหารเช้า หนุ่มรุ่นน้องจึงเอ่ยบอกกับรุ่นพี่ที่ทำหน้าที่ขับรถว่าให้จอดที่ไหน ซึ่งก็จวนจะถึงอย่างที่เจ้านายว่า จบธุระจึงส่งมือถือกลับไปให้เจ้าของ จังหวะนั้นเองก็ผ่านซอยที่เขาเพิ่งขับมาส่งใครคนนั้นเมื่อคืนนี้ การห้ามสายตาให้หันไปมองดูเป็นเรื่องยากเกินกำลัง เขาทำไมไม่ได้ จึงหันมองออกไปแม้ว่าจะไม่มีทางได้เห็นแม่ผักกาดหัวเล็ก ๆ นั่น เพราะเจ้าหล่อนเป็นพวกตื่นสายผ่านมาสักพักก็ถึงที่หมาย ร้านขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่แต่มีคนจับจองที่นั่งจนไม่มีที่ว่าง“นายจะรับอะไรครับ” เขาเอ่ยถามและตั้งท่าจะลงไปซื้อให้ฟากปราชญาธิปยกมือมาห้ามในทันที “ไปเอง รออยู่นี่แหละ”ไม่บ่อยนักที่ผู้เป็นนายจะลงจากรถเองโดยที่ไม่วานลูกน้อง สองคนที่ตามมาจอดด้านหลังก็อดแปลกใจไม่ได้ ต่างก็มองตามเข้าไปด้านใน ดีที่เป็นกระจกใจจึงมองเห็นทะลุปรุโปร่ง พวกเขาคิดว่าเจ้านายคงจะไปซื้อกาแฟแต่แทนที่จะตรงไปยังเคาน์เตอร์กลับไปนั่งที่โต๊ะแทน มากกว่านั้นคื
เที่ยงครึ่งแล้ว...ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองก่อนจะจ้องมองไปยังโทรศัพท์ที่ถืออยู่ เมื่อคิดว่าป่านนี้ก็น่าจะตื่นแล้วเลยตั้งใจจะกดโทร.ออก แต่ก็ต้องชะงักเมื่อคิดว่ามันจะเป็นการเผยไต๋มากเกินจำเป็น เธอเป็นฝ่ายเข้าหาเขา เพราะฉะนั้นเธอก็ควรเป็นคนโทรมาก่อน สุดท้ายสายนั้นก็เป็นหมัน ร่างสูงเก็บมือถือไว้ในกระเป๋าก่อนจะเดินไปรวมกับกลุ่มเพื่อนรุ่นพี่ทั้งสามที่นั่งพักผ่อนระหว่างพัก“มึงไม่รู้จริงเหรอ” พอมาถึงก็ได้ยินดิฐากรเอ่ยถามอะไรบางอย่างกับอรัณย์“กูก็รู้พร้อม ๆ มึงแค่นี่แหละ ปกติเห็นลงอ่างอย่างเดียว ใครจะไปรู้ว่าเลี้ยงอีหนูไว้ด้วย”“รอดพ้นสายตาพวกเราไปได้ไง”“เรื่องของนายก็อย่าไปอะไรมาก เดี๋ยวพายุลงหัวนะมึง” ชยางกูรเตือนรุ่นน้อง แม้ว่าเขาเองก็จะสงสัยมากก็ตาม แต่แค่แอบมองเมื่อเช้ายังแทบจะโดนกินเลือดกินเนื้อทางสายตา จึงคิดได้ว่าเรื่องส่วนตัวของนายไม่ใช่เรื่องที่ลูกน้องอย่างเขาต้องรู้ “คุยธุระเสร็จแล้วเหรอ ไม่เห็นจะยกหูคุย”“จับผิดผม?”“อย่าเยอะ กูแค่หันไปเห็นพอดี สำคัญขนาดนั้นเลยดิมึง”จีรกิตติ์ไหวไหล่ “ไม่ได้คุย ดูรีบเกิน”“กับน้องผักกาด” ดิฐากรเอ่ยแทรกขึ้น คนโดนถามจึงพยักหน้าตอบ “ไม่ได้นะครับคุณจัด
นับจากวันนั้นจนวันนี้ก็ผ่านมาห้าวันแล้ว ยิ่งคิดนันทภัคก็ยิ่งฉุนกับคนที่เพื่อนบอกว่างานดี หล่อนยกมือเท้าเอวทั้งที่ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ สายตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจหลังเพื่อนสนิทบอกว่าไม่ได้ติดต่อกับพ่อหนุ่มคนนั้นเลยตั้งแต่วันที่เขาไปส่งถึงคอนโด รวมถึงบุณยากรที่เป็นตัวตั้งตัวตีเค้นสมองหาความคิดดี ๆ ทั้งปิ่นปักษาที่บากหน้าไปฝากเพื่อนกลับบ้านกับผู้ชาย โสรยาเองก็ได้แต่ส่ายหน้าให้กับความ ‘ไม่เป็นงาน’ ของเพื่อนที่ทำเหมือนก๋ากั่นไม่มีความกลัวในจิตใจ แต่พอเอาเข้าจริงกลับหงอเหมือนลูกหมา“สุดท้ายแล้วมึงจะเป็นแค่ผักกาดดองใช่ไหม” นันทภัคอดออกปากไม่ด่าไม่ได้แล้ว“ก็บอกเขาแล้วว่าสะดวกให้เลี้ยงข้าววันไหนก็ให้โทร.มา”“แล้ว”“เขายังไม่ติดต่อมาเลยไง ก็แปลว่าไม่สะดวกหรือเปล่า”“ไม่ ๆ” บุณยากรรีบเบรก “อันนี้มันปลายเหตุ มันผิดตั้งแต่อ้อยเข้าปากมึงแต่มึงเลือกที่จะคายแล้ว”“ขอค้าน” วรัสยายกมือประท้วงราวกับกำลังคุยเรื่องสำคัญกันอยู่ ดูท่าทางจริงจัง “ที่พวกมึงเห็นกับที่เกิดขึ้นจริงมันต่างกันมาก ตอนขึ้นรถไปด้วยมึงก็คิดไปต่าง ๆ นานาได้แหละ แต่สถานการณ์จริงคือพี่เขาก็เงียบ ๆ ไม่ค่อยได้คุยอะไรกันมาก ส่วนมากก็เป็นกูท
⊹ ปฐมบท ⊹เสียงจอแจดังไปทั่วบริเวณ ทั้งเสียงพูดคุยของผู้คน เสียงเพลงที่ถูกบรรเลงขึ้นและเสียงรถราที่วิ่งอยู่บนท้องถนน ทว่าแทรกสามเสียงนั้นยังคงมีอีกหนึ่งเสียงเกิดขึ้น...เสียงสะอื้นของหญิงสาวในเสื้อสายเดี่ยวผ้าซาตินที่ด้านหน้าแทบจะปิดไม่มิด ด้านหลังนั้นยิ่งกว่า เป็นเพียงเชือกเส้นเล็ก ๆ ที่กระตุกทีเดียวก็หลุด เข้าคู่กับกางเกงยีนส์ขาสั้น ผมที่ยาวประบ่ายิ่งทำให้แผ่นหลังเนียนสวยน่ามอง เธอเป็นดาวเด่นในคืนนี้ได้ไม่ยากหากไม่ติดที่เอาแต่นั่งร้องไห้เหมือนคนถูกแฟนทิ้งหนุ่ม ๆ จ้องมองมาที่เธอราวกับรอจังหวะที่จะเข้ามาดามใจ แต่เจ้าของเสียงร้องนั้นหาได้สนใจไม่ สายตาทอดมองไปยังหน้าจอสี่เหลี่ยมที่อยู่ในมือ“ทำไมอะ ฆ่าเขาเพื่ออะไร” หญิงสาวตัดพ้อด้วยน้ำเสียงเศร้าระคนโกรธ เพื่อนสาวที่นั่งข้างกายได้แต่ตบไหล่เพื่อให้กำลังใจ “เขาน่ารักมากเลย ให้เป็นแค่พระรองไม่พอ ยังให้เขาตายอีก โอ๊ย ฉันจะมีชีวิตอยู่ต่อยังไง”แม้ว่าในสายตาของบุณยากรหรือใบไผ่จะมองว่าการกระทำของเพื่อนช่างไร้สาระ ทว่าเธอก็ยังคงปลอบ ตั้งใจให้เลิกร้องก่อนจะได้สนุกกับสิ่งที่รออยู่ แต่นานนับสิบนาทีก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น สาวเจ้ายังเอาแต่พร่ำเพ้อถึงการ
นับจากวันนั้นจนวันนี้ก็ผ่านมาห้าวันแล้ว ยิ่งคิดนันทภัคก็ยิ่งฉุนกับคนที่เพื่อนบอกว่างานดี หล่อนยกมือเท้าเอวทั้งที่ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ สายตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจหลังเพื่อนสนิทบอกว่าไม่ได้ติดต่อกับพ่อหนุ่มคนนั้นเลยตั้งแต่วันที่เขาไปส่งถึงคอนโด รวมถึงบุณยากรที่เป็นตัวตั้งตัวตีเค้นสมองหาความคิดดี ๆ ทั้งปิ่นปักษาที่บากหน้าไปฝากเพื่อนกลับบ้านกับผู้ชาย โสรยาเองก็ได้แต่ส่ายหน้าให้กับความ ‘ไม่เป็นงาน’ ของเพื่อนที่ทำเหมือนก๋ากั่นไม่มีความกลัวในจิตใจ แต่พอเอาเข้าจริงกลับหงอเหมือนลูกหมา“สุดท้ายแล้วมึงจะเป็นแค่ผักกาดดองใช่ไหม” นันทภัคอดออกปากไม่ด่าไม่ได้แล้ว“ก็บอกเขาแล้วว่าสะดวกให้เลี้ยงข้าววันไหนก็ให้โทร.มา”“แล้ว”“เขายังไม่ติดต่อมาเลยไง ก็แปลว่าไม่สะดวกหรือเปล่า”“ไม่ ๆ” บุณยากรรีบเบรก “อันนี้มันปลายเหตุ มันผิดตั้งแต่อ้อยเข้าปากมึงแต่มึงเลือกที่จะคายแล้ว”“ขอค้าน” วรัสยายกมือประท้วงราวกับกำลังคุยเรื่องสำคัญกันอยู่ ดูท่าทางจริงจัง “ที่พวกมึงเห็นกับที่เกิดขึ้นจริงมันต่างกันมาก ตอนขึ้นรถไปด้วยมึงก็คิดไปต่าง ๆ นานาได้แหละ แต่สถานการณ์จริงคือพี่เขาก็เงียบ ๆ ไม่ค่อยได้คุยอะไรกันมาก ส่วนมากก็เป็นกูท
เที่ยงครึ่งแล้ว...ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองก่อนจะจ้องมองไปยังโทรศัพท์ที่ถืออยู่ เมื่อคิดว่าป่านนี้ก็น่าจะตื่นแล้วเลยตั้งใจจะกดโทร.ออก แต่ก็ต้องชะงักเมื่อคิดว่ามันจะเป็นการเผยไต๋มากเกินจำเป็น เธอเป็นฝ่ายเข้าหาเขา เพราะฉะนั้นเธอก็ควรเป็นคนโทรมาก่อน สุดท้ายสายนั้นก็เป็นหมัน ร่างสูงเก็บมือถือไว้ในกระเป๋าก่อนจะเดินไปรวมกับกลุ่มเพื่อนรุ่นพี่ทั้งสามที่นั่งพักผ่อนระหว่างพัก“มึงไม่รู้จริงเหรอ” พอมาถึงก็ได้ยินดิฐากรเอ่ยถามอะไรบางอย่างกับอรัณย์“กูก็รู้พร้อม ๆ มึงแค่นี่แหละ ปกติเห็นลงอ่างอย่างเดียว ใครจะไปรู้ว่าเลี้ยงอีหนูไว้ด้วย”“รอดพ้นสายตาพวกเราไปได้ไง”“เรื่องของนายก็อย่าไปอะไรมาก เดี๋ยวพายุลงหัวนะมึง” ชยางกูรเตือนรุ่นน้อง แม้ว่าเขาเองก็จะสงสัยมากก็ตาม แต่แค่แอบมองเมื่อเช้ายังแทบจะโดนกินเลือดกินเนื้อทางสายตา จึงคิดได้ว่าเรื่องส่วนตัวของนายไม่ใช่เรื่องที่ลูกน้องอย่างเขาต้องรู้ “คุยธุระเสร็จแล้วเหรอ ไม่เห็นจะยกหูคุย”“จับผิดผม?”“อย่าเยอะ กูแค่หันไปเห็นพอดี สำคัญขนาดนั้นเลยดิมึง”จีรกิตติ์ไหวไหล่ “ไม่ได้คุย ดูรีบเกิน”“กับน้องผักกาด” ดิฐากรเอ่ยแทรกขึ้น คนโดนถามจึงพยักหน้าตอบ “ไม่ได้นะครับคุณจัด
โทรศัพท์มือถือเครื่องบางของเจ้านายหนุ่มแตะลงเบา ๆ ที่ต้นแขนของจีรกิตติ์ เขาหันไปรับมันมาถืออย่างรู้งาน “แวะให้ด้วย เดี๋ยวจะถึงแล้ว”ภาพที่ปรากฏอยู่ในจอสี่เหลี่ยมเป็นร้านกาแฟที่ขายทั้งเครื่องดื่มและอาหารเช้า หนุ่มรุ่นน้องจึงเอ่ยบอกกับรุ่นพี่ที่ทำหน้าที่ขับรถว่าให้จอดที่ไหน ซึ่งก็จวนจะถึงอย่างที่เจ้านายว่า จบธุระจึงส่งมือถือกลับไปให้เจ้าของ จังหวะนั้นเองก็ผ่านซอยที่เขาเพิ่งขับมาส่งใครคนนั้นเมื่อคืนนี้ การห้ามสายตาให้หันไปมองดูเป็นเรื่องยากเกินกำลัง เขาทำไมไม่ได้ จึงหันมองออกไปแม้ว่าจะไม่มีทางได้เห็นแม่ผักกาดหัวเล็ก ๆ นั่น เพราะเจ้าหล่อนเป็นพวกตื่นสายผ่านมาสักพักก็ถึงที่หมาย ร้านขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่แต่มีคนจับจองที่นั่งจนไม่มีที่ว่าง“นายจะรับอะไรครับ” เขาเอ่ยถามและตั้งท่าจะลงไปซื้อให้ฟากปราชญาธิปยกมือมาห้ามในทันที “ไปเอง รออยู่นี่แหละ”ไม่บ่อยนักที่ผู้เป็นนายจะลงจากรถเองโดยที่ไม่วานลูกน้อง สองคนที่ตามมาจอดด้านหลังก็อดแปลกใจไม่ได้ ต่างก็มองตามเข้าไปด้านใน ดีที่เป็นกระจกใจจึงมองเห็นทะลุปรุโปร่ง พวกเขาคิดว่าเจ้านายคงจะไปซื้อกาแฟแต่แทนที่จะตรงไปยังเคาน์เตอร์กลับไปนั่งที่โต๊ะแทน มากกว่านั้นคื
“ทำไมมันถึงมาสายนะ” เสียงเข้มถามย้ำอีกครั้ง“ติดหญิงครับ” ดิฐากรเป็นฝ่ายเอ่ยตอบเจ้านายหลังจากนาฬิกาบอกเวลาเจ็ดโมงสามนาทีแล้วแต่ยังไม่เห็นหัวของจีรกิตติ์ ซึ่งควรจะมารออยู่ที่บ้านตั้งแต่ก่อนเจ็ดโมงเช้าด้วยซ้ำได้ฟังเช่นนั้นปราชญาธิปจึงดุนดันลิ้นอยู่ภายในปากอย่างสะกดอารมณ์ ฝ่ามือหนาตีไปที่หน้าขาตามจังหวะการหายใจ ท่าทีดูสบาย ๆ นั้นไม่น่าเชื่อว่าสามารถกดดันเหล่าลูกน้องทั้งสามชีวิตตรงหน้าได้อย่างมหาศาล อรัณย์กลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคออย่างยากลำบาก ขนาดเขาไม่ใช่คนที่จะโดน ‘เล่น’ ยังรู้สึกเสียวสันหลังวาบอันที่จริงดิฐากรและคนอื่น ๆ ไม่รู้เหตุผลที่แน่ชัดของการมาสาย แต่เขาตั้งใจจะหยิกหลังน้องชายพอเป็นพิธีจึงเอ่ยวาจาออกไปเช่นนั้น แต่อาจจะเพราะไม่ทันฉุกคิดถึงอารมณ์ของผู้เป็นนายที่เปรียบเสมือนพายุจับตัวกันเป็นกลุ่มย่อม ๆ หากน้องเล็กเป็นอะไรขึ้นมาเขาคงรู้สึกผิดไปจนวันตาย“เมื่อคืนไปดื่มกันมานี่”“ครับ”“มันหิ้วสาวกลับห้อง”“ไม่เชิงครับ แต่จะว่าอย่างนั้นก็ได้” เพราะเหตุการณ์เมื่อคืนนั้นไม่ใกล้เคียงกับคำว่าหิ้วสาวกลับห้องเลยสักนิด แต่เป็นสาวขอให้หิ้วไปด้วยต่างหาก แต่เขาคร้านจะอธิบายให้ยืดยาว อีกอย่างนั่
ภายในรถมีแต่ความเงียบเท่านั้นที่ทำงาน เขายังไม่เอ่ยถามด้วยซ้ำว่าที่หมายที่จะต้องไปส่งเธอคือที่ไหน ได้แต่ขับไปตามทางของเขา วรัสยาได้แต่กัดริมฝีปากล่างอย่างรู้สึกประหม่า อยากเอ่ยปากพูดกับเขาแต่ก็รู้สึกกระดากอายที่เพื่อนพูดไปก่อนหน้านี้ เธอชอบเขา แถมยังขอติดรถกลับไปด้วย...ช่างหน้าไม่อาย เธอเหลือบมองเขาเป็นระยะ ว่าบาป หน้าตาดีแท้ล่ะพ่อคุณ เธอต้องพยายามอย่างมากที่จะไม่ยิ้ม ไม่อย่างนั้นเขาจะคิดว่า ‘เพื่อนหนูชอบพี่’ เป็นความจริง เธอไม่ได้ชอบ แต่เขาหล่ออันนี้มันปฏิเสธไม่ได้ “อยู่แถวไหน” เสียงของเขาดังขึ้นเรียกสติของเธอให้กลับมาที่เรื่องสำคัญ หลังจากตอบไปแล้วชายหนุ่มก็ทำหน้าครุ่นคิด คิ้วขมวดเข้าหากันเป็นปม นั่นทำให้เธอรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องไปด้วยเพราะดูเหมือนจะกลายเป็นภาระของคนข้าง ๆ เข้าเสียแล้ว “คนละทางกันเลย” “เอ่อ เดี๋ยวหนูกลับเองดีกว่าค่ะ” เธอรีบกล่าวด้วยความเกรงใจ “จริง ๆ เพื่อนแค่หยอกค่ะ พี่อย่าคิดมากเลยนะคะ ขอโทษที่ทำให้ลำบากใจ งั้นเดี๋ยวพี่จอดข้างหน้านี่เลยค่ะ เดี๋ยวนั่งแท็กซี่กลับได้” “รับปากไปแล้ว” “หนูทราบค่ะ แต่มันไม่จำเป็นหรอก แค่พี่ไม่ด่าที่พวกเพื่อน ๆ หนูเล่นไม่รู้เรื่องก
⊹ ปฐมบท ⊹รอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าคมไม่สามารถลอดผ่านสายตาของหนุ่มรุ่นพี่ทั้งสามได้บุณยากรหันมามองเพื่อนสนิทที่เดินมาด้วยกันพลางเพ่งพินิจองค์ประกอบของใบหน้าอีกฝ่ายไปในตัว เธอรู้ว่าเพื่อนคนนี้หน้าตาดี แต่ในเวลานี้กลับดูดีกว่าทุก ๆ วัน แม้จะเจอเรื่องราวร้าย ๆ แต่วรัสยากลับสวยวันสวยคืน ส่วนสูงหนึ่งร้อยห้าสิบไม่เกินนี้ น้ำหนักสี่สิบถึงสี่สิบสองเห็นจะได้ ผมสีดำขลับยาวประบ่า ตัดกับผิวสีขาวราวกับน้ำนมนั้นได้อย่างดี ปากเล็ก ๆ มีสีชมพูเหมือนลูกพีช จมูกรั้นนิด ๆ เข้ากับหางตาที่เชิดขึ้น ทำให้ใบหน้าเล็ก ๆ นั้นไม่หวานจนเกินไป แต่ให้ความรู้สึกแสบซ่า นั่นยิ่งน่ามองเข้าไปใหญ่วรัสยาเป็นได้ทั้งคนสวยและคนน่ารัก หล่อนนะเป็นพวกขี้โกง ใครมองก็ไม่รู้จักเบื่อ“ชมไปยังนะว่าวันนี้แต่งตัวดีมาก เปรี้ยวเข็ดฟันเลย” ไม่พูดเปล่า มือยังเอื้อมไปแตะที่เชือกด้านหลัง “อันนี้ระวังโดนกระตุกนะ ไปเต้นในที่คนเยอะ ๆ อะ”“ไม่ไปแล้ว เหนื่อย”หญิงสาวใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำไปพักใหญ่เพราะมีคนต่อคิวอยู่พอสมควร หลังจากล้างไม้ล้างมือเป็นที่เรียบร้อยก็เดินออกมาด้านนอก เห็นว่าบุณยากรยืนรออยู่จึงเดินเข้าไปหา“คนเยอะว่ะ รอนานไหม” แค่ส่าย
⊹ ปฐมบท ⊹เสียงจอแจดังไปทั่วบริเวณ ทั้งเสียงพูดคุยของผู้คน เสียงเพลงที่ถูกบรรเลงขึ้นและเสียงรถราที่วิ่งอยู่บนท้องถนน ทว่าแทรกสามเสียงนั้นยังคงมีอีกหนึ่งเสียงเกิดขึ้น...เสียงสะอื้นของหญิงสาวในเสื้อสายเดี่ยวผ้าซาตินที่ด้านหน้าแทบจะปิดไม่มิด ด้านหลังนั้นยิ่งกว่า เป็นเพียงเชือกเส้นเล็ก ๆ ที่กระตุกทีเดียวก็หลุด เข้าคู่กับกางเกงยีนส์ขาสั้น ผมที่ยาวประบ่ายิ่งทำให้แผ่นหลังเนียนสวยน่ามอง เธอเป็นดาวเด่นในคืนนี้ได้ไม่ยากหากไม่ติดที่เอาแต่นั่งร้องไห้เหมือนคนถูกแฟนทิ้งหนุ่ม ๆ จ้องมองมาที่เธอราวกับรอจังหวะที่จะเข้ามาดามใจ แต่เจ้าของเสียงร้องนั้นหาได้สนใจไม่ สายตาทอดมองไปยังหน้าจอสี่เหลี่ยมที่อยู่ในมือ“ทำไมอะ ฆ่าเขาเพื่ออะไร” หญิงสาวตัดพ้อด้วยน้ำเสียงเศร้าระคนโกรธ เพื่อนสาวที่นั่งข้างกายได้แต่ตบไหล่เพื่อให้กำลังใจ “เขาน่ารักมากเลย ให้เป็นแค่พระรองไม่พอ ยังให้เขาตายอีก โอ๊ย ฉันจะมีชีวิตอยู่ต่อยังไง”แม้ว่าในสายตาของบุณยากรหรือใบไผ่จะมองว่าการกระทำของเพื่อนช่างไร้สาระ ทว่าเธอก็ยังคงปลอบ ตั้งใจให้เลิกร้องก่อนจะได้สนุกกับสิ่งที่รออยู่ แต่นานนับสิบนาทีก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น สาวเจ้ายังเอาแต่พร่ำเพ้อถึงการ