โทรศัพท์มือถือเครื่องบางของเจ้านายหนุ่มแตะลงเบา ๆ ที่ต้นแขนของจีรกิตติ์ เขาหันไปรับมันมาถืออย่างรู้งาน “แวะให้ด้วย เดี๋ยวจะถึงแล้ว”
ภาพที่ปรากฏอยู่ในจอสี่เหลี่ยมเป็นร้านกาแฟที่ขายทั้งเครื่องดื่มและอาหารเช้า หนุ่มรุ่นน้องจึงเอ่ยบอกกับรุ่นพี่ที่ทำหน้าที่ขับรถว่าให้จอดที่ไหน ซึ่งก็จวนจะถึงอย่างที่เจ้านายว่า จบธุระจึงส่งมือถือกลับไปให้เจ้าของ จังหวะนั้นเองก็ผ่านซอยที่เขาเพิ่งขับมาส่งใครคนนั้นเมื่อคืนนี้ การห้ามสายตาให้หันไปมองดูเป็นเรื่องยากเกินกำลัง เขาทำไมไม่ได้ จึงหันมองออกไปแม้ว่าจะไม่มีทางได้เห็นแม่ผักกาดหัวเล็ก ๆ นั่น เพราะเจ้าหล่อนเป็นพวกตื่นสาย
ผ่านมาสักพักก็ถึงที่หมาย ร้านขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่แต่มีคนจับจองที่นั่งจนไม่มีที่ว่าง
“นายจะรับอะไรครับ” เขาเอ่ยถามและตั้งท่าจะลงไปซื้อให้
ฟากปราชญาธิปยกมือมาห้ามในทันที “ไปเอง รออยู่นี่แหละ”
ไม่บ่อยนักที่ผู้เป็นนายจะลงจากรถเองโดยที่ไม่วานลูกน้อง สองคนที่ตามมาจอดด้านหลังก็อดแปลกใจไม่ได้ ต่างก็มองตามเข้าไปด้านใน ดีที่เป็นกระจกใจจึงมองเห็นทะลุปรุโปร่ง พวกเขาคิดว่าเจ้านายคงจะไปซื้อกาแฟแต่แทนที่จะตรงไปยังเคาน์เตอร์กลับไปนั่งที่โต๊ะแทน มากกว่านั้นคือโต๊ะไม่ได้ว่าง มีหญิงสาวเกล้าผมดังโงะดูยุ่ง ๆ คนหนึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้ว เพียงแต่นั่งหันหลังให้ถนนจึงไม่เห็นหน้าคร่าตาว่าเป็นเช่นไร
ปราชญาธิปเอื้อมมือไปโยกศีรษะของสาวเจ้าก่อนจะหย่อนก้นนั่งลงตรงข้าม ใบหน้าที่ปกติมีแต่ความเรียบสนิท หากจะยิ้มก็เป็นยิ้มที่แสนจะเยือกเย็นบัดนี้กลับฉายแววใจดีอย่างไม่น่าเชื่อ จีรกิตติ์กับชยางกูรหันมาสบตากันอย่างสื่อความหมาย เวลาเดียวกันนั้นก็มีข้อความเด้งเข้ามาจากไลน์กลุ่ม
ดิน ;; เด็กนายหรอวะ
ขึ้นอ่านครบทั้งสามคนทว่าไม่มีใครตอบอะไรกับไป เพราะเข้าใจตรงกันว่าคำถามของเพื่อนก็มีคำตอบอยู่ในสี่พยางค์นั้นแล้ว
“ไม่เคยเห็นนายอยู่กับเด็กมาก่อนเลย” ชยางกูรพูดขึ้น “ขึ้นชื่อว่าผู้ชายดุแค่ไหนก็แพ้ผู้หญิงหมด”
ปกติปราชญาธิปจะลงอ่างมากกว่า ไม่มีมาเลี้ยงเด็กเล็กเด็กน้อยอย่างที่เขาได้เห็น เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นภาพที่แปลกตาอยู่พอสมควร
“แล้วเฮียจะกลับวันไหน” หญิงสาวที่นั่งหัวยุ่งถามขึ้นหลังจากเพิ่งยัดครัวซองต์เข้าปาก สภาพไม่น่าดูนัก แต่คู่สนทนากลับยิ้มอย่างนึกเอ็นดู ปากก็เคี้ยวตุ้ย ๆ แล้วยังมาพูดกับเขาอีก
“ทำไม คิดถึง”
“ถ้าตอบว่าคิดถึงจะได้กี่บาท”
“สองหมื่น”
“คิดถึงค่า” ฉีกยิ้มให้อย่างพยายามที่จะจริงใจ ไม่นานก็มีแจ้งเตือนว่ามีเงินถูกโอนเข้าบัญชีจำนวนสองหมื่นบาทถ้วน เธอหัวเราะอย่างถูกอกถูกใจก่อนจะยื่นมือข้างที่ไม่มีขนมไปเกาคางของชายหนุ่มตรงหน้า “แสนรู้มากเลย พันธุ์อะไรเนี่ย”
“พันหัว ผ้าก๊อซน่ะ ระวังตัวไว้เถอะ” เหมือนจะดุแต่แค่หมั่นไส้สาวน้อยขี้เล่นเท่านั้น
ทว่าภาพนั้นทำเอาสี่หนุ่มที่ซุ่มดูอยู่ในรถได้แต่มองกันตาค้าง ถึงฉากหน้าเจ้านายของเขาจะเป็นนักธุรกิจ แต่มาดก็ใช่ว่าจะเป็นมิตร กลับกัน มันดูน่ากลัวไม่หยอก แววตาที่ดูจะขวางโลกอยู่ตลอด หนวดที่นาน ๆ ทีจะนึกครึ้มอยากโกน ท่าทียียวนกวนประสาทโดยรวม ต่อให้ไม่รู้ว่าลับหลังจะไปยุ่งเกี่ยวกับบ่อนการพนันก็ตาม แต่แค่นี้ก็พอให้น่าเกรงขามแล้ว ทว่าตอนนี้เจ้านายคนที่ว่ากลับมานั่งให้สาวเกาคางเหมือนลูกหมา
“เมื่อไรจะสร้างเสร็จ อยากไปเที่ยวแล้ว”
“อีกไม่นานแล้วครับ”
เจ้าหล่อนฉีกยิ้มกว้างกับคำตอบที่ได้รับ “อะ นี่ของเฮีย เอาไปกินระหว่างทางนะ”
“ครับ ของเฮีย ที่เฮียก็จ่ายเอง ของที่อยู่ในปากนั่นเฮียก็จ่าย” ว่าพลางจิ้มไปที่ปากเล็ก ๆ นั่นอย่างรู้สึกมันเขี้ยว “เดี๋ยวจะสาย ไปก่อนนะ ไว้กลับมาจะซื้อของมาฝากครับ”
“ค่า ไม่ออกไปส่งนะ”
เป็นอีกครั้งที่หัวยุ่ง ๆ นั่นถูกยีด้วยมือใหญ่จนสภาพดูไม่ได้มากกว่าเดิม ปราชญาธิปเดินออกมานอกร้านพร้อมกาแฟหนึ่งแก้วกับเบเกอรี่อีกสองสามชิ้น เขาเป็นคนกินง่าย ของที่ได้มาจึงสามารถกินคนเดียวจนหมด ใบหน้าที่เปื้อนยิ้มอย่างในร้านกาแฟได้หายไปแล้ว คงเหลือเพียงถุงกระดาษที่เคยมีขนมปังบรรจุอยู่ในนั้นกับแก้วกาแฟที่พอจะยืนยันได้ว่า ‘ยิ้ม’ เมื่อครู่มันเกิดขึ้นจริง
ออกจากกรุงเทพฯ ได้ไม่นานมือถือของปราชญาธิปก็ส่งเสียงร้อง เจ้าของคว้าเจ้าเครื่องมือสื่อสารออกมาถือไว้ เมื่อเห็นว่าเป็นสายของใครก็กดรับอย่างไม่อิดออด และการที่ปรายสายเป็นคนที่น่าเอ็นดูในสายตาเขา ต่อให้เป็นการพูดคุยทางโทรศัพท์ก็ไม่อาจหยุดรอยยิ้มนั้นไว้ได้
(หน้านี้มีมะยงชิดไหมอะ) เสียงเจื้อยแจ้วดังขึ้นแต่ไม่ดังพอให้อีกสองคนรับรู้ รู้เพียงแค่ว่าเป็นเสียงของผู้หญิงที่จับใจความไม่ได้ว่าพูดอะไร
“หาแต่เรื่องกิน”
(เพิ่งนึกได้ว่ามันของดีที่นั่น ถ้ามีซื้อมาฝากหนูด้วยนะ)
“ซื้อไปนี่จะจ่ายเงินเฮียไหม”
(ไม่จ่ายค่ะ)
“ชื่นใจจังเลยครับ อยากซื้อให้ทั้งสวน” เขาว่าแกมประชดแต่ดูเหมือนจะถูกอกถูกใจปลายสายเป็นอย่างมาก เจ้าตัวถึงได้หัวเราะออกมาราวกับเป็นเรื่องตลก
(หอมกลิ่นเงิน)
“หมั่นไส้ เรามีอะไรทำก็ไปทำเถอะ”
(ว่างมาก)
“ช่วยไม่ได้นะ เด็กขี้เกียจ วัน ๆ กินแล้วก็นอน อ้วนเป็นโอ่งแล้วจะขำให้”
(หนูเปล่าน้า) เธอปฏิเสธเสียงสูง (กำลังอยู่ในระหว่างเลือกทางเดินของชีวิตต่างหาก)
ปราชญาธิปยิ้มรับ “อือ ไม่ต้องรีบ เอาที่ใช่จริง ๆ แล้วค่อยเดิน เดี๋ยวเฮียช่วยทุกอย่างแหละ”
(ช่วยซื้อมะยงชิดมาให้ก่อนก็แล้วกันค่ะ)
“เหมาให้ทั้งสวนเลย”
(ไม่เกรงใจน้า ไว้เจอกันค่ะ รักนะเจ้าตุ่นปากเป็ด)
“รักเหมือนกันครับไอ้ตูดหมึก” ชายหนุ่มส่ายหน้ายิ้ม ๆ ก่อนจะกดวางสาย ในขณะที่พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติก็เห็นว่าคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยได้ลอบมองมาด้วยสายตาแปลก ๆ “เฉื่อย ทำไมมองแบบนั้น”
“เปล่าครับ แค่ดูว่าไอ้อาร์มอยู่ตรงไหน”
“อ้อ เหรอ”
ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าพวกมันคิดอะไรกันอยู่ มันน่า!
✿✿✿✿✿✿✿✿
เที่ยงครึ่งแล้ว...ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองก่อนจะจ้องมองไปยังโทรศัพท์ที่ถืออยู่ เมื่อคิดว่าป่านนี้ก็น่าจะตื่นแล้วเลยตั้งใจจะกดโทร.ออก แต่ก็ต้องชะงักเมื่อคิดว่ามันจะเป็นการเผยไต๋มากเกินจำเป็น เธอเป็นฝ่ายเข้าหาเขา เพราะฉะนั้นเธอก็ควรเป็นคนโทรมาก่อน สุดท้ายสายนั้นก็เป็นหมัน ร่างสูงเก็บมือถือไว้ในกระเป๋าก่อนจะเดินไปรวมกับกลุ่มเพื่อนรุ่นพี่ทั้งสามที่นั่งพักผ่อนระหว่างพัก“มึงไม่รู้จริงเหรอ” พอมาถึงก็ได้ยินดิฐากรเอ่ยถามอะไรบางอย่างกับอรัณย์“กูก็รู้พร้อม ๆ มึงแค่นี่แหละ ปกติเห็นลงอ่างอย่างเดียว ใครจะไปรู้ว่าเลี้ยงอีหนูไว้ด้วย”“รอดพ้นสายตาพวกเราไปได้ไง”“เรื่องของนายก็อย่าไปอะไรมาก เดี๋ยวพายุลงหัวนะมึง” ชยางกูรเตือนรุ่นน้อง แม้ว่าเขาเองก็จะสงสัยมากก็ตาม แต่แค่แอบมองเมื่อเช้ายังแทบจะโดนกินเลือดกินเนื้อทางสายตา จึงคิดได้ว่าเรื่องส่วนตัวของนายไม่ใช่เรื่องที่ลูกน้องอย่างเขาต้องรู้ “คุยธุระเสร็จแล้วเหรอ ไม่เห็นจะยกหูคุย”“จับผิดผม?”“อย่าเยอะ กูแค่หันไปเห็นพอดี สำคัญขนาดนั้นเลยดิมึง”จีรกิตติ์ไหวไหล่ “ไม่ได้คุย ดูรีบเกิน”“กับน้องผักกาด” ดิฐากรเอ่ยแทรกขึ้น คนโดนถามจึงพยักหน้าตอบ “ไม่ได้นะครับคุณจัด
นับจากวันนั้นจนวันนี้ก็ผ่านมาห้าวันแล้ว ยิ่งคิดนันทภัคก็ยิ่งฉุนกับคนที่เพื่อนบอกว่างานดี หล่อนยกมือเท้าเอวทั้งที่ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ สายตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจหลังเพื่อนสนิทบอกว่าไม่ได้ติดต่อกับพ่อหนุ่มคนนั้นเลยตั้งแต่วันที่เขาไปส่งถึงคอนโด รวมถึงบุณยากรที่เป็นตัวตั้งตัวตีเค้นสมองหาความคิดดี ๆ ทั้งปิ่นปักษาที่บากหน้าไปฝากเพื่อนกลับบ้านกับผู้ชาย โสรยาเองก็ได้แต่ส่ายหน้าให้กับความ ‘ไม่เป็นงาน’ ของเพื่อนที่ทำเหมือนก๋ากั่นไม่มีความกลัวในจิตใจ แต่พอเอาเข้าจริงกลับหงอเหมือนลูกหมา“สุดท้ายแล้วมึงจะเป็นแค่ผักกาดดองใช่ไหม” นันทภัคอดออกปากไม่ด่าไม่ได้แล้ว“ก็บอกเขาแล้วว่าสะดวกให้เลี้ยงข้าววันไหนก็ให้โทร.มา”“แล้ว”“เขายังไม่ติดต่อมาเลยไง ก็แปลว่าไม่สะดวกหรือเปล่า”“ไม่ ๆ” บุณยากรรีบเบรก “อันนี้มันปลายเหตุ มันผิดตั้งแต่อ้อยเข้าปากมึงแต่มึงเลือกที่จะคายแล้ว”“ขอค้าน” วรัสยายกมือประท้วงราวกับกำลังคุยเรื่องสำคัญกันอยู่ ดูท่าทางจริงจัง “ที่พวกมึงเห็นกับที่เกิดขึ้นจริงมันต่างกันมาก ตอนขึ้นรถไปด้วยมึงก็คิดไปต่าง ๆ นานาได้แหละ แต่สถานการณ์จริงคือพี่เขาก็เงียบ ๆ ไม่ค่อยได้คุยอะไรกันมาก ส่วนมากก็เป็นกูท
⊹ ปฐมบท ⊹เสียงจอแจดังไปทั่วบริเวณ ทั้งเสียงพูดคุยของผู้คน เสียงเพลงที่ถูกบรรเลงขึ้นและเสียงรถราที่วิ่งอยู่บนท้องถนน ทว่าแทรกสามเสียงนั้นยังคงมีอีกหนึ่งเสียงเกิดขึ้น...เสียงสะอื้นของหญิงสาวในเสื้อสายเดี่ยวผ้าซาตินที่ด้านหน้าแทบจะปิดไม่มิด ด้านหลังนั้นยิ่งกว่า เป็นเพียงเชือกเส้นเล็ก ๆ ที่กระตุกทีเดียวก็หลุด เข้าคู่กับกางเกงยีนส์ขาสั้น ผมที่ยาวประบ่ายิ่งทำให้แผ่นหลังเนียนสวยน่ามอง เธอเป็นดาวเด่นในคืนนี้ได้ไม่ยากหากไม่ติดที่เอาแต่นั่งร้องไห้เหมือนคนถูกแฟนทิ้งหนุ่ม ๆ จ้องมองมาที่เธอราวกับรอจังหวะที่จะเข้ามาดามใจ แต่เจ้าของเสียงร้องนั้นหาได้สนใจไม่ สายตาทอดมองไปยังหน้าจอสี่เหลี่ยมที่อยู่ในมือ“ทำไมอะ ฆ่าเขาเพื่ออะไร” หญิงสาวตัดพ้อด้วยน้ำเสียงเศร้าระคนโกรธ เพื่อนสาวที่นั่งข้างกายได้แต่ตบไหล่เพื่อให้กำลังใจ “เขาน่ารักมากเลย ให้เป็นแค่พระรองไม่พอ ยังให้เขาตายอีก โอ๊ย ฉันจะมีชีวิตอยู่ต่อยังไง”แม้ว่าในสายตาของบุณยากรหรือใบไผ่จะมองว่าการกระทำของเพื่อนช่างไร้สาระ ทว่าเธอก็ยังคงปลอบ ตั้งใจให้เลิกร้องก่อนจะได้สนุกกับสิ่งที่รออยู่ แต่นานนับสิบนาทีก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น สาวเจ้ายังเอาแต่พร่ำเพ้อถึงการ
⊹ ปฐมบท ⊹รอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าคมไม่สามารถลอดผ่านสายตาของหนุ่มรุ่นพี่ทั้งสามได้บุณยากรหันมามองเพื่อนสนิทที่เดินมาด้วยกันพลางเพ่งพินิจองค์ประกอบของใบหน้าอีกฝ่ายไปในตัว เธอรู้ว่าเพื่อนคนนี้หน้าตาดี แต่ในเวลานี้กลับดูดีกว่าทุก ๆ วัน แม้จะเจอเรื่องราวร้าย ๆ แต่วรัสยากลับสวยวันสวยคืน ส่วนสูงหนึ่งร้อยห้าสิบไม่เกินนี้ น้ำหนักสี่สิบถึงสี่สิบสองเห็นจะได้ ผมสีดำขลับยาวประบ่า ตัดกับผิวสีขาวราวกับน้ำนมนั้นได้อย่างดี ปากเล็ก ๆ มีสีชมพูเหมือนลูกพีช จมูกรั้นนิด ๆ เข้ากับหางตาที่เชิดขึ้น ทำให้ใบหน้าเล็ก ๆ นั้นไม่หวานจนเกินไป แต่ให้ความรู้สึกแสบซ่า นั่นยิ่งน่ามองเข้าไปใหญ่วรัสยาเป็นได้ทั้งคนสวยและคนน่ารัก หล่อนนะเป็นพวกขี้โกง ใครมองก็ไม่รู้จักเบื่อ“ชมไปยังนะว่าวันนี้แต่งตัวดีมาก เปรี้ยวเข็ดฟันเลย” ไม่พูดเปล่า มือยังเอื้อมไปแตะที่เชือกด้านหลัง “อันนี้ระวังโดนกระตุกนะ ไปเต้นในที่คนเยอะ ๆ อะ”“ไม่ไปแล้ว เหนื่อย”หญิงสาวใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำไปพักใหญ่เพราะมีคนต่อคิวอยู่พอสมควร หลังจากล้างไม้ล้างมือเป็นที่เรียบร้อยก็เดินออกมาด้านนอก เห็นว่าบุณยากรยืนรออยู่จึงเดินเข้าไปหา“คนเยอะว่ะ รอนานไหม” แค่ส่าย
ภายในรถมีแต่ความเงียบเท่านั้นที่ทำงาน เขายังไม่เอ่ยถามด้วยซ้ำว่าที่หมายที่จะต้องไปส่งเธอคือที่ไหน ได้แต่ขับไปตามทางของเขา วรัสยาได้แต่กัดริมฝีปากล่างอย่างรู้สึกประหม่า อยากเอ่ยปากพูดกับเขาแต่ก็รู้สึกกระดากอายที่เพื่อนพูดไปก่อนหน้านี้ เธอชอบเขา แถมยังขอติดรถกลับไปด้วย...ช่างหน้าไม่อาย เธอเหลือบมองเขาเป็นระยะ ว่าบาป หน้าตาดีแท้ล่ะพ่อคุณ เธอต้องพยายามอย่างมากที่จะไม่ยิ้ม ไม่อย่างนั้นเขาจะคิดว่า ‘เพื่อนหนูชอบพี่’ เป็นความจริง เธอไม่ได้ชอบ แต่เขาหล่ออันนี้มันปฏิเสธไม่ได้ “อยู่แถวไหน” เสียงของเขาดังขึ้นเรียกสติของเธอให้กลับมาที่เรื่องสำคัญ หลังจากตอบไปแล้วชายหนุ่มก็ทำหน้าครุ่นคิด คิ้วขมวดเข้าหากันเป็นปม นั่นทำให้เธอรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องไปด้วยเพราะดูเหมือนจะกลายเป็นภาระของคนข้าง ๆ เข้าเสียแล้ว “คนละทางกันเลย” “เอ่อ เดี๋ยวหนูกลับเองดีกว่าค่ะ” เธอรีบกล่าวด้วยความเกรงใจ “จริง ๆ เพื่อนแค่หยอกค่ะ พี่อย่าคิดมากเลยนะคะ ขอโทษที่ทำให้ลำบากใจ งั้นเดี๋ยวพี่จอดข้างหน้านี่เลยค่ะ เดี๋ยวนั่งแท็กซี่กลับได้” “รับปากไปแล้ว” “หนูทราบค่ะ แต่มันไม่จำเป็นหรอก แค่พี่ไม่ด่าที่พวกเพื่อน ๆ หนูเล่นไม่รู้เรื่องก
“ทำไมมันถึงมาสายนะ” เสียงเข้มถามย้ำอีกครั้ง“ติดหญิงครับ” ดิฐากรเป็นฝ่ายเอ่ยตอบเจ้านายหลังจากนาฬิกาบอกเวลาเจ็ดโมงสามนาทีแล้วแต่ยังไม่เห็นหัวของจีรกิตติ์ ซึ่งควรจะมารออยู่ที่บ้านตั้งแต่ก่อนเจ็ดโมงเช้าด้วยซ้ำได้ฟังเช่นนั้นปราชญาธิปจึงดุนดันลิ้นอยู่ภายในปากอย่างสะกดอารมณ์ ฝ่ามือหนาตีไปที่หน้าขาตามจังหวะการหายใจ ท่าทีดูสบาย ๆ นั้นไม่น่าเชื่อว่าสามารถกดดันเหล่าลูกน้องทั้งสามชีวิตตรงหน้าได้อย่างมหาศาล อรัณย์กลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคออย่างยากลำบาก ขนาดเขาไม่ใช่คนที่จะโดน ‘เล่น’ ยังรู้สึกเสียวสันหลังวาบอันที่จริงดิฐากรและคนอื่น ๆ ไม่รู้เหตุผลที่แน่ชัดของการมาสาย แต่เขาตั้งใจจะหยิกหลังน้องชายพอเป็นพิธีจึงเอ่ยวาจาออกไปเช่นนั้น แต่อาจจะเพราะไม่ทันฉุกคิดถึงอารมณ์ของผู้เป็นนายที่เปรียบเสมือนพายุจับตัวกันเป็นกลุ่มย่อม ๆ หากน้องเล็กเป็นอะไรขึ้นมาเขาคงรู้สึกผิดไปจนวันตาย“เมื่อคืนไปดื่มกันมานี่”“ครับ”“มันหิ้วสาวกลับห้อง”“ไม่เชิงครับ แต่จะว่าอย่างนั้นก็ได้” เพราะเหตุการณ์เมื่อคืนนั้นไม่ใกล้เคียงกับคำว่าหิ้วสาวกลับห้องเลยสักนิด แต่เป็นสาวขอให้หิ้วไปด้วยต่างหาก แต่เขาคร้านจะอธิบายให้ยืดยาว อีกอย่างนั่
นับจากวันนั้นจนวันนี้ก็ผ่านมาห้าวันแล้ว ยิ่งคิดนันทภัคก็ยิ่งฉุนกับคนที่เพื่อนบอกว่างานดี หล่อนยกมือเท้าเอวทั้งที่ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ สายตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจหลังเพื่อนสนิทบอกว่าไม่ได้ติดต่อกับพ่อหนุ่มคนนั้นเลยตั้งแต่วันที่เขาไปส่งถึงคอนโด รวมถึงบุณยากรที่เป็นตัวตั้งตัวตีเค้นสมองหาความคิดดี ๆ ทั้งปิ่นปักษาที่บากหน้าไปฝากเพื่อนกลับบ้านกับผู้ชาย โสรยาเองก็ได้แต่ส่ายหน้าให้กับความ ‘ไม่เป็นงาน’ ของเพื่อนที่ทำเหมือนก๋ากั่นไม่มีความกลัวในจิตใจ แต่พอเอาเข้าจริงกลับหงอเหมือนลูกหมา“สุดท้ายแล้วมึงจะเป็นแค่ผักกาดดองใช่ไหม” นันทภัคอดออกปากไม่ด่าไม่ได้แล้ว“ก็บอกเขาแล้วว่าสะดวกให้เลี้ยงข้าววันไหนก็ให้โทร.มา”“แล้ว”“เขายังไม่ติดต่อมาเลยไง ก็แปลว่าไม่สะดวกหรือเปล่า”“ไม่ ๆ” บุณยากรรีบเบรก “อันนี้มันปลายเหตุ มันผิดตั้งแต่อ้อยเข้าปากมึงแต่มึงเลือกที่จะคายแล้ว”“ขอค้าน” วรัสยายกมือประท้วงราวกับกำลังคุยเรื่องสำคัญกันอยู่ ดูท่าทางจริงจัง “ที่พวกมึงเห็นกับที่เกิดขึ้นจริงมันต่างกันมาก ตอนขึ้นรถไปด้วยมึงก็คิดไปต่าง ๆ นานาได้แหละ แต่สถานการณ์จริงคือพี่เขาก็เงียบ ๆ ไม่ค่อยได้คุยอะไรกันมาก ส่วนมากก็เป็นกูท
เที่ยงครึ่งแล้ว...ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองก่อนจะจ้องมองไปยังโทรศัพท์ที่ถืออยู่ เมื่อคิดว่าป่านนี้ก็น่าจะตื่นแล้วเลยตั้งใจจะกดโทร.ออก แต่ก็ต้องชะงักเมื่อคิดว่ามันจะเป็นการเผยไต๋มากเกินจำเป็น เธอเป็นฝ่ายเข้าหาเขา เพราะฉะนั้นเธอก็ควรเป็นคนโทรมาก่อน สุดท้ายสายนั้นก็เป็นหมัน ร่างสูงเก็บมือถือไว้ในกระเป๋าก่อนจะเดินไปรวมกับกลุ่มเพื่อนรุ่นพี่ทั้งสามที่นั่งพักผ่อนระหว่างพัก“มึงไม่รู้จริงเหรอ” พอมาถึงก็ได้ยินดิฐากรเอ่ยถามอะไรบางอย่างกับอรัณย์“กูก็รู้พร้อม ๆ มึงแค่นี่แหละ ปกติเห็นลงอ่างอย่างเดียว ใครจะไปรู้ว่าเลี้ยงอีหนูไว้ด้วย”“รอดพ้นสายตาพวกเราไปได้ไง”“เรื่องของนายก็อย่าไปอะไรมาก เดี๋ยวพายุลงหัวนะมึง” ชยางกูรเตือนรุ่นน้อง แม้ว่าเขาเองก็จะสงสัยมากก็ตาม แต่แค่แอบมองเมื่อเช้ายังแทบจะโดนกินเลือดกินเนื้อทางสายตา จึงคิดได้ว่าเรื่องส่วนตัวของนายไม่ใช่เรื่องที่ลูกน้องอย่างเขาต้องรู้ “คุยธุระเสร็จแล้วเหรอ ไม่เห็นจะยกหูคุย”“จับผิดผม?”“อย่าเยอะ กูแค่หันไปเห็นพอดี สำคัญขนาดนั้นเลยดิมึง”จีรกิตติ์ไหวไหล่ “ไม่ได้คุย ดูรีบเกิน”“กับน้องผักกาด” ดิฐากรเอ่ยแทรกขึ้น คนโดนถามจึงพยักหน้าตอบ “ไม่ได้นะครับคุณจัด
โทรศัพท์มือถือเครื่องบางของเจ้านายหนุ่มแตะลงเบา ๆ ที่ต้นแขนของจีรกิตติ์ เขาหันไปรับมันมาถืออย่างรู้งาน “แวะให้ด้วย เดี๋ยวจะถึงแล้ว”ภาพที่ปรากฏอยู่ในจอสี่เหลี่ยมเป็นร้านกาแฟที่ขายทั้งเครื่องดื่มและอาหารเช้า หนุ่มรุ่นน้องจึงเอ่ยบอกกับรุ่นพี่ที่ทำหน้าที่ขับรถว่าให้จอดที่ไหน ซึ่งก็จวนจะถึงอย่างที่เจ้านายว่า จบธุระจึงส่งมือถือกลับไปให้เจ้าของ จังหวะนั้นเองก็ผ่านซอยที่เขาเพิ่งขับมาส่งใครคนนั้นเมื่อคืนนี้ การห้ามสายตาให้หันไปมองดูเป็นเรื่องยากเกินกำลัง เขาทำไมไม่ได้ จึงหันมองออกไปแม้ว่าจะไม่มีทางได้เห็นแม่ผักกาดหัวเล็ก ๆ นั่น เพราะเจ้าหล่อนเป็นพวกตื่นสายผ่านมาสักพักก็ถึงที่หมาย ร้านขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่แต่มีคนจับจองที่นั่งจนไม่มีที่ว่าง“นายจะรับอะไรครับ” เขาเอ่ยถามและตั้งท่าจะลงไปซื้อให้ฟากปราชญาธิปยกมือมาห้ามในทันที “ไปเอง รออยู่นี่แหละ”ไม่บ่อยนักที่ผู้เป็นนายจะลงจากรถเองโดยที่ไม่วานลูกน้อง สองคนที่ตามมาจอดด้านหลังก็อดแปลกใจไม่ได้ ต่างก็มองตามเข้าไปด้านใน ดีที่เป็นกระจกใจจึงมองเห็นทะลุปรุโปร่ง พวกเขาคิดว่าเจ้านายคงจะไปซื้อกาแฟแต่แทนที่จะตรงไปยังเคาน์เตอร์กลับไปนั่งที่โต๊ะแทน มากกว่านั้นคื
“ทำไมมันถึงมาสายนะ” เสียงเข้มถามย้ำอีกครั้ง“ติดหญิงครับ” ดิฐากรเป็นฝ่ายเอ่ยตอบเจ้านายหลังจากนาฬิกาบอกเวลาเจ็ดโมงสามนาทีแล้วแต่ยังไม่เห็นหัวของจีรกิตติ์ ซึ่งควรจะมารออยู่ที่บ้านตั้งแต่ก่อนเจ็ดโมงเช้าด้วยซ้ำได้ฟังเช่นนั้นปราชญาธิปจึงดุนดันลิ้นอยู่ภายในปากอย่างสะกดอารมณ์ ฝ่ามือหนาตีไปที่หน้าขาตามจังหวะการหายใจ ท่าทีดูสบาย ๆ นั้นไม่น่าเชื่อว่าสามารถกดดันเหล่าลูกน้องทั้งสามชีวิตตรงหน้าได้อย่างมหาศาล อรัณย์กลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคออย่างยากลำบาก ขนาดเขาไม่ใช่คนที่จะโดน ‘เล่น’ ยังรู้สึกเสียวสันหลังวาบอันที่จริงดิฐากรและคนอื่น ๆ ไม่รู้เหตุผลที่แน่ชัดของการมาสาย แต่เขาตั้งใจจะหยิกหลังน้องชายพอเป็นพิธีจึงเอ่ยวาจาออกไปเช่นนั้น แต่อาจจะเพราะไม่ทันฉุกคิดถึงอารมณ์ของผู้เป็นนายที่เปรียบเสมือนพายุจับตัวกันเป็นกลุ่มย่อม ๆ หากน้องเล็กเป็นอะไรขึ้นมาเขาคงรู้สึกผิดไปจนวันตาย“เมื่อคืนไปดื่มกันมานี่”“ครับ”“มันหิ้วสาวกลับห้อง”“ไม่เชิงครับ แต่จะว่าอย่างนั้นก็ได้” เพราะเหตุการณ์เมื่อคืนนั้นไม่ใกล้เคียงกับคำว่าหิ้วสาวกลับห้องเลยสักนิด แต่เป็นสาวขอให้หิ้วไปด้วยต่างหาก แต่เขาคร้านจะอธิบายให้ยืดยาว อีกอย่างนั่
ภายในรถมีแต่ความเงียบเท่านั้นที่ทำงาน เขายังไม่เอ่ยถามด้วยซ้ำว่าที่หมายที่จะต้องไปส่งเธอคือที่ไหน ได้แต่ขับไปตามทางของเขา วรัสยาได้แต่กัดริมฝีปากล่างอย่างรู้สึกประหม่า อยากเอ่ยปากพูดกับเขาแต่ก็รู้สึกกระดากอายที่เพื่อนพูดไปก่อนหน้านี้ เธอชอบเขา แถมยังขอติดรถกลับไปด้วย...ช่างหน้าไม่อาย เธอเหลือบมองเขาเป็นระยะ ว่าบาป หน้าตาดีแท้ล่ะพ่อคุณ เธอต้องพยายามอย่างมากที่จะไม่ยิ้ม ไม่อย่างนั้นเขาจะคิดว่า ‘เพื่อนหนูชอบพี่’ เป็นความจริง เธอไม่ได้ชอบ แต่เขาหล่ออันนี้มันปฏิเสธไม่ได้ “อยู่แถวไหน” เสียงของเขาดังขึ้นเรียกสติของเธอให้กลับมาที่เรื่องสำคัญ หลังจากตอบไปแล้วชายหนุ่มก็ทำหน้าครุ่นคิด คิ้วขมวดเข้าหากันเป็นปม นั่นทำให้เธอรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องไปด้วยเพราะดูเหมือนจะกลายเป็นภาระของคนข้าง ๆ เข้าเสียแล้ว “คนละทางกันเลย” “เอ่อ เดี๋ยวหนูกลับเองดีกว่าค่ะ” เธอรีบกล่าวด้วยความเกรงใจ “จริง ๆ เพื่อนแค่หยอกค่ะ พี่อย่าคิดมากเลยนะคะ ขอโทษที่ทำให้ลำบากใจ งั้นเดี๋ยวพี่จอดข้างหน้านี่เลยค่ะ เดี๋ยวนั่งแท็กซี่กลับได้” “รับปากไปแล้ว” “หนูทราบค่ะ แต่มันไม่จำเป็นหรอก แค่พี่ไม่ด่าที่พวกเพื่อน ๆ หนูเล่นไม่รู้เรื่องก
⊹ ปฐมบท ⊹รอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าคมไม่สามารถลอดผ่านสายตาของหนุ่มรุ่นพี่ทั้งสามได้บุณยากรหันมามองเพื่อนสนิทที่เดินมาด้วยกันพลางเพ่งพินิจองค์ประกอบของใบหน้าอีกฝ่ายไปในตัว เธอรู้ว่าเพื่อนคนนี้หน้าตาดี แต่ในเวลานี้กลับดูดีกว่าทุก ๆ วัน แม้จะเจอเรื่องราวร้าย ๆ แต่วรัสยากลับสวยวันสวยคืน ส่วนสูงหนึ่งร้อยห้าสิบไม่เกินนี้ น้ำหนักสี่สิบถึงสี่สิบสองเห็นจะได้ ผมสีดำขลับยาวประบ่า ตัดกับผิวสีขาวราวกับน้ำนมนั้นได้อย่างดี ปากเล็ก ๆ มีสีชมพูเหมือนลูกพีช จมูกรั้นนิด ๆ เข้ากับหางตาที่เชิดขึ้น ทำให้ใบหน้าเล็ก ๆ นั้นไม่หวานจนเกินไป แต่ให้ความรู้สึกแสบซ่า นั่นยิ่งน่ามองเข้าไปใหญ่วรัสยาเป็นได้ทั้งคนสวยและคนน่ารัก หล่อนนะเป็นพวกขี้โกง ใครมองก็ไม่รู้จักเบื่อ“ชมไปยังนะว่าวันนี้แต่งตัวดีมาก เปรี้ยวเข็ดฟันเลย” ไม่พูดเปล่า มือยังเอื้อมไปแตะที่เชือกด้านหลัง “อันนี้ระวังโดนกระตุกนะ ไปเต้นในที่คนเยอะ ๆ อะ”“ไม่ไปแล้ว เหนื่อย”หญิงสาวใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำไปพักใหญ่เพราะมีคนต่อคิวอยู่พอสมควร หลังจากล้างไม้ล้างมือเป็นที่เรียบร้อยก็เดินออกมาด้านนอก เห็นว่าบุณยากรยืนรออยู่จึงเดินเข้าไปหา“คนเยอะว่ะ รอนานไหม” แค่ส่าย
⊹ ปฐมบท ⊹เสียงจอแจดังไปทั่วบริเวณ ทั้งเสียงพูดคุยของผู้คน เสียงเพลงที่ถูกบรรเลงขึ้นและเสียงรถราที่วิ่งอยู่บนท้องถนน ทว่าแทรกสามเสียงนั้นยังคงมีอีกหนึ่งเสียงเกิดขึ้น...เสียงสะอื้นของหญิงสาวในเสื้อสายเดี่ยวผ้าซาตินที่ด้านหน้าแทบจะปิดไม่มิด ด้านหลังนั้นยิ่งกว่า เป็นเพียงเชือกเส้นเล็ก ๆ ที่กระตุกทีเดียวก็หลุด เข้าคู่กับกางเกงยีนส์ขาสั้น ผมที่ยาวประบ่ายิ่งทำให้แผ่นหลังเนียนสวยน่ามอง เธอเป็นดาวเด่นในคืนนี้ได้ไม่ยากหากไม่ติดที่เอาแต่นั่งร้องไห้เหมือนคนถูกแฟนทิ้งหนุ่ม ๆ จ้องมองมาที่เธอราวกับรอจังหวะที่จะเข้ามาดามใจ แต่เจ้าของเสียงร้องนั้นหาได้สนใจไม่ สายตาทอดมองไปยังหน้าจอสี่เหลี่ยมที่อยู่ในมือ“ทำไมอะ ฆ่าเขาเพื่ออะไร” หญิงสาวตัดพ้อด้วยน้ำเสียงเศร้าระคนโกรธ เพื่อนสาวที่นั่งข้างกายได้แต่ตบไหล่เพื่อให้กำลังใจ “เขาน่ารักมากเลย ให้เป็นแค่พระรองไม่พอ ยังให้เขาตายอีก โอ๊ย ฉันจะมีชีวิตอยู่ต่อยังไง”แม้ว่าในสายตาของบุณยากรหรือใบไผ่จะมองว่าการกระทำของเพื่อนช่างไร้สาระ ทว่าเธอก็ยังคงปลอบ ตั้งใจให้เลิกร้องก่อนจะได้สนุกกับสิ่งที่รออยู่ แต่นานนับสิบนาทีก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น สาวเจ้ายังเอาแต่พร่ำเพ้อถึงการ