“ทำไมมันถึงมาสายนะ” เสียงเข้มถามย้ำอีกครั้ง
“ติดหญิงครับ” ดิฐากรเป็นฝ่ายเอ่ยตอบเจ้านายหลังจากนาฬิกาบอกเวลาเจ็ดโมงสามนาทีแล้วแต่ยังไม่เห็นหัวของจีรกิตติ์ ซึ่งควรจะมารออยู่ที่บ้านตั้งแต่ก่อนเจ็ดโมงเช้าด้วยซ้ำ
ได้ฟังเช่นนั้นปราชญาธิปจึงดุนดันลิ้นอยู่ภายในปากอย่างสะกดอารมณ์ ฝ่ามือหนาตีไปที่หน้าขาตามจังหวะการหายใจ ท่าทีดูสบาย ๆ นั้นไม่น่าเชื่อว่าสามารถกดดันเหล่าลูกน้องทั้งสามชีวิตตรงหน้าได้อย่างมหาศาล อรัณย์กลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคออย่างยากลำบาก ขนาดเขาไม่ใช่คนที่จะโดน ‘เล่น’ ยังรู้สึกเสียวสันหลังวาบ
อันที่จริงดิฐากรและคนอื่น ๆ ไม่รู้เหตุผลที่แน่ชัดของการมาสาย แต่เขาตั้งใจจะหยิกหลังน้องชายพอเป็นพิธีจึงเอ่ยวาจาออกไปเช่นนั้น แต่อาจจะเพราะไม่ทันฉุกคิดถึงอารมณ์ของผู้เป็นนายที่เปรียบเสมือนพายุจับตัวกันเป็นกลุ่มย่อม ๆ หากน้องเล็กเป็นอะไรขึ้นมาเขาคงรู้สึกผิดไปจนวันตาย
“เมื่อคืนไปดื่มกันมานี่”
“ครับ”
“มันหิ้วสาวกลับห้อง”
“ไม่เชิงครับ แต่จะว่าอย่างนั้นก็ได้” เพราะเหตุการณ์เมื่อคืนนั้นไม่ใกล้เคียงกับคำว่าหิ้วสาวกลับห้องเลยสักนิด แต่เป็นสาวขอให้หิ้วไปด้วยต่างหาก แต่เขาคร้านจะอธิบายให้ยืดยาว อีกอย่างนั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เจ้านายสนใจใคร่ฟังด้วย เลยทั้งปฏิเสธและยอมรับกลาย ๆ
ปราชญาธิปกระตุกยิ้มเย็น เหล่าลูกน้องได้แต่ยืนตัวเกร็ง “เกินหน้าเกินตามาก”
เจ็ดนาฬิกาแปดนาที...เจ้าของเรื่องที่โดนคำครหาว่า ‘ติดหญิง’ ก็ก้าวเท้าเข้ามาภายในบ้าน ชายหนุ่มอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวเข้าคู่กับกางเกงสแล็คสีดำ ส่วนสูงกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร ใบหน้าเกลี้ยงเกลาเว้นเสียแต่ตอหนวดสีเข้มๆ เริ่มจะมีให้เห็น ทว่าก็ไม่สามารถฉุดเอาคำว่าดูดีออกไปจากตัวของเขาได้
“สวัสดีครับนาย ต้องขอโทษด้วยที่ผมมาสาย เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยครับ”
“แบบนั้นไม่เรียกอุบัติเหตุนะจัด” พูดเสียงนิ่ง แต่คนฟังหรือจะไม่เข้าใจว่ามันไม่ปกติ
“ครับ?” เขาหันไปหาเพื่อนรุ่นพี่ทั้งสามคนเพื่อขอความเห็นก็พบว่าทั้งหมดเอาแต่ยืนก้มหน้ามองเท้าตัวเอง จึงหันมาสบตากับผู้เป็นนายอย่างเลี่ยงไม่ได้ “ผมไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ ครับ ถึงจะไม่ชอบหมาแต่ก็ไม่คิดจะทำร้าย”
คนเป็นนายขมวดคิ้ว “อะไร”
“ก็ผมขับรถชนหมา มันวิ่งตัดหน้ารถ ดีที่แค่เฉี่ยว ๆ เลยไม่เจ็บมาก เจ้าของเขาก็ไม่เอาความอะไรแค่ซื้อยูกซื้อยาให้ ไม่ต้องไปถึงโรงพยาบาล” จีรกิตติ์อธิบายยาวเหยียด “ผมให้ค่าชดเชยไปตามเห็นสมควร เพราะแบบนี้เลยมาสายครับ”
“แล้วเมื่อคืน”
ถึงคราวคนเป็นลูกน้องขมวดคิ้วบ้าง “ผมไปดื่มกับพวกเฮีย ๆ มา ก่อนจะไปก็บอกนายไปแล้วนะครับ” จีรกิตต์เข้าใจที่เจ้านายจะโกรธเรื่องที่ตนมาสาย แต่ไม่เข้าใจท่าทีที่ถามถึงเรื่องเมื่อคืน ไม่เห็นว่ามีประโยชน์ให้ถามถึงสักนิด
“อ้อ ก็นึกว่าได้เมียแล้วเสียงาน” ชายหนุ่มผู้ทรงอำนาจในวัยเพียงสามสิบสี่กล่าวด้วยทีเล่นทีจริง
ได้ยินเจ้านายพูดเช่นนั้นจีรกิตติ์ก็เข้าใจได้ทันทีว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงพาดพิงไปยังเรื่องของเมื่อคืน ก็คงจะเป็นเพราะใครสักคนที่ยืนก้มหน้าอยู่เอาเขามาเผาให้นายฟังนั่นเอง พี่ก็พี่เถอะ อย่าให้ถึงตาเขาบ้างแล้วกัน
“ไม่ใช่ครับ แค่ไปส่งเขาเฉย ๆ”
ปราชญาธิปได้ยินคำแก้ตัวหรือที่อีกฝ่ายคิดว่ามันเป็นเหตุผลของลูกน้องก็ได้แต่ไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระ ก่อนจะเดินนำไปขึ้นรถเพื่อออกเดินทางไปยังจังหวัดนครนายก สี่หนุ่มเห็นคนเป็นนายทำเช่นนั้นก็ไม่รอช้า รีบเดินตามไปทันที มือแกร่งยื่นไปคว้าข้อมือของรุ่นพี่ที่เดาว่าน่าจะเป็นตัวการให้เดินรั้งท้ายคู่ตน
“เฮียไปพูดอะไร”
“เปล่า กูจะไปพูดอะไรได้เล่า” ดิฐากรปฏิเสธทันควัน ทว่าจีรกิตติ์กัดไม่ปล่อย “ก็นึกว่าสายเพราะนอนดึก แค่แหย่เล่น”
เขาปล่อยให้หนุ่มรุ่นพี่ได้เป็นอิสระ “แค่ไปส่งที่คอนโดแล้วกลับมานอน”
“ทำไมเป็นงั้น”
“กับคนนี้ไม่อยากรีบ”
“โดนคาบไปแดกนะ สวย ๆ แบบนั้นหลุดมือง่ายจะตาย”
“ไม่ให้หลุด” ประโยคนี้เขาตั้งใจบอกกับคนสามคน ทั้งเพื่อนรุ่นพี่ ตัวเขาเองและสุดท้าย ตัวของวรัสยาด้วย
จีรกิตติ์เปิดประตูรถให้ผู้เป็นนายก่อนจะปิดลงเมื่อเจ้าตัวนั่งเป็นที่เรียบร้อย เขาเปิดประตูด้านข้างคนขับแล้วแทรกตัวลงตามด้วยชยางกูรที่นั่งลงในตำแหน่งคนขับรถ อรัณย์และดิฐากรจะขับตามหลังไปอีกหนึ่งคัน รถหรูสัญชาติยุโรปเคลื่อนตัวออกไปจนในที่สุดก็ลับสายตาชายชราที่นั่งมองอยู่บนระเบียงห้องนอนที่ชั้นสอง ริมฝีปากเป็นเส้นโค้ง แววตาที่คล้ายจะใจดีอ่อนยวบลงไปมากพอควรเมื่อเป็นเรื่องของหลายชายหัวแก้วหัวแหวน
“โปรเจกต์ที่เจ้าโปรดเริ่มทำไปถึงไหนแล้วล่ะ”
“เกินห้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้วครับท่าน” เอ่ยตอบชายชราผู้เป็นนายก่อนจะพูดต่อ “ผมได้เห็นบ้างแล้ว ทำงานได้ไวมากครับ ถ้าเสร็จแล้วท่านน่าจะไปพักผ่อนที่นั่นบ้าง”
“แน่อยู่แล้ว ฉันต้องไปสิ รีสอร์ทของหลานเชียวนะจะไม่ไปได้ยังไง” ท่านประมวลเอ่ยยิ้ม ๆ
จากครอบครัวเจ้าพ่อ บ่อนการพนัน เงินกู้ จนมารุ่นลูกถึงอยากวางมือไปเล่นการเมือง มารุ่นหลานไม่มีคนสานต่อ แม้แต่การเมืองปราชญาธิปยังไม่สนใจ หลานชายเลือกที่จะประกอบธุรกิจส่วนตัว ถึงอาชีพจะไม่ถูกส่งต่อ ทว่าความเยือกที่อยู่ในสายเลือดนั้นยากจะสลัดทิ้ง สุดท้ายต่อให้ไม่ทำเรื่องผิดกฎหมายก็ใช่ว่าตระกูลของเขาจะเป็นตระกูลที่ใครจะมากระตุกหนวดเสือเล่นได้ ที่เห็นนิ่ง ๆ ไปไม่ใช้สิ้นลาย แค่อยากใช้ชีวิตปกติสุขเฉกเช่นคนทั่วไปเท่านั้น แต่มันก็ยากเหลือเกิน ชายชราที่รวยล้นฟ้าแต่ไม่สามารถทิ้ง ‘ความสุข’ ไปได้ ต่อให้ไม่มีคนสานต่อแต่เขาก็ยังชักใยอยู่ตลอดเวลาที่ผ่านมา อันที่จริงเจ้าหลานชายที่ฉากหน้าเป็นนักธุรกิจก็ใช่ว่าจะไม่มีส่วนเกี่ยวกับงานของคนเป็นปู่
“มีใครไม่จ่ายดอกไหม”
“มีครับ แต่ผมให้คนไปหาซ้ำสองแล้ว”
“ไม่ค่อยชอบซ้ำสองนะ แต่ยังดีกว่าสาม”
“ไม่พลาดแน่นอนครับ”
ชายชราพยักหน้าเปื้อนรอยยิ้มพร้อมหยิบแก้วชาขึ้นมาจิบ เขาแค่ดูเหมือนใจดี แค่เหมือน...
✿✿✿✿✿✿✿✿
โทรศัพท์มือถือเครื่องบางของเจ้านายหนุ่มแตะลงเบา ๆ ที่ต้นแขนของจีรกิตติ์ เขาหันไปรับมันมาถืออย่างรู้งาน “แวะให้ด้วย เดี๋ยวจะถึงแล้ว”ภาพที่ปรากฏอยู่ในจอสี่เหลี่ยมเป็นร้านกาแฟที่ขายทั้งเครื่องดื่มและอาหารเช้า หนุ่มรุ่นน้องจึงเอ่ยบอกกับรุ่นพี่ที่ทำหน้าที่ขับรถว่าให้จอดที่ไหน ซึ่งก็จวนจะถึงอย่างที่เจ้านายว่า จบธุระจึงส่งมือถือกลับไปให้เจ้าของ จังหวะนั้นเองก็ผ่านซอยที่เขาเพิ่งขับมาส่งใครคนนั้นเมื่อคืนนี้ การห้ามสายตาให้หันไปมองดูเป็นเรื่องยากเกินกำลัง เขาทำไมไม่ได้ จึงหันมองออกไปแม้ว่าจะไม่มีทางได้เห็นแม่ผักกาดหัวเล็ก ๆ นั่น เพราะเจ้าหล่อนเป็นพวกตื่นสายผ่านมาสักพักก็ถึงที่หมาย ร้านขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่แต่มีคนจับจองที่นั่งจนไม่มีที่ว่าง“นายจะรับอะไรครับ” เขาเอ่ยถามและตั้งท่าจะลงไปซื้อให้ฟากปราชญาธิปยกมือมาห้ามในทันที “ไปเอง รออยู่นี่แหละ”ไม่บ่อยนักที่ผู้เป็นนายจะลงจากรถเองโดยที่ไม่วานลูกน้อง สองคนที่ตามมาจอดด้านหลังก็อดแปลกใจไม่ได้ ต่างก็มองตามเข้าไปด้านใน ดีที่เป็นกระจกใจจึงมองเห็นทะลุปรุโปร่ง พวกเขาคิดว่าเจ้านายคงจะไปซื้อกาแฟแต่แทนที่จะตรงไปยังเคาน์เตอร์กลับไปนั่งที่โต๊ะแทน มากกว่านั้นคื
เที่ยงครึ่งแล้ว...ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองก่อนจะจ้องมองไปยังโทรศัพท์ที่ถืออยู่ เมื่อคิดว่าป่านนี้ก็น่าจะตื่นแล้วเลยตั้งใจจะกดโทร.ออก แต่ก็ต้องชะงักเมื่อคิดว่ามันจะเป็นการเผยไต๋มากเกินจำเป็น เธอเป็นฝ่ายเข้าหาเขา เพราะฉะนั้นเธอก็ควรเป็นคนโทรมาก่อน สุดท้ายสายนั้นก็เป็นหมัน ร่างสูงเก็บมือถือไว้ในกระเป๋าก่อนจะเดินไปรวมกับกลุ่มเพื่อนรุ่นพี่ทั้งสามที่นั่งพักผ่อนระหว่างพัก“มึงไม่รู้จริงเหรอ” พอมาถึงก็ได้ยินดิฐากรเอ่ยถามอะไรบางอย่างกับอรัณย์“กูก็รู้พร้อม ๆ มึงแค่นี่แหละ ปกติเห็นลงอ่างอย่างเดียว ใครจะไปรู้ว่าเลี้ยงอีหนูไว้ด้วย”“รอดพ้นสายตาพวกเราไปได้ไง”“เรื่องของนายก็อย่าไปอะไรมาก เดี๋ยวพายุลงหัวนะมึง” ชยางกูรเตือนรุ่นน้อง แม้ว่าเขาเองก็จะสงสัยมากก็ตาม แต่แค่แอบมองเมื่อเช้ายังแทบจะโดนกินเลือดกินเนื้อทางสายตา จึงคิดได้ว่าเรื่องส่วนตัวของนายไม่ใช่เรื่องที่ลูกน้องอย่างเขาต้องรู้ “คุยธุระเสร็จแล้วเหรอ ไม่เห็นจะยกหูคุย”“จับผิดผม?”“อย่าเยอะ กูแค่หันไปเห็นพอดี สำคัญขนาดนั้นเลยดิมึง”จีรกิตติ์ไหวไหล่ “ไม่ได้คุย ดูรีบเกิน”“กับน้องผักกาด” ดิฐากรเอ่ยแทรกขึ้น คนโดนถามจึงพยักหน้าตอบ “ไม่ได้นะครับคุณจัด
นับจากวันนั้นจนวันนี้ก็ผ่านมาห้าวันแล้ว ยิ่งคิดนันทภัคก็ยิ่งฉุนกับคนที่เพื่อนบอกว่างานดี หล่อนยกมือเท้าเอวทั้งที่ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ สายตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจหลังเพื่อนสนิทบอกว่าไม่ได้ติดต่อกับพ่อหนุ่มคนนั้นเลยตั้งแต่วันที่เขาไปส่งถึงคอนโด รวมถึงบุณยากรที่เป็นตัวตั้งตัวตีเค้นสมองหาความคิดดี ๆ ทั้งปิ่นปักษาที่บากหน้าไปฝากเพื่อนกลับบ้านกับผู้ชาย โสรยาเองก็ได้แต่ส่ายหน้าให้กับความ ‘ไม่เป็นงาน’ ของเพื่อนที่ทำเหมือนก๋ากั่นไม่มีความกลัวในจิตใจ แต่พอเอาเข้าจริงกลับหงอเหมือนลูกหมา“สุดท้ายแล้วมึงจะเป็นแค่ผักกาดดองใช่ไหม” นันทภัคอดออกปากไม่ด่าไม่ได้แล้ว“ก็บอกเขาแล้วว่าสะดวกให้เลี้ยงข้าววันไหนก็ให้โทร.มา”“แล้ว”“เขายังไม่ติดต่อมาเลยไง ก็แปลว่าไม่สะดวกหรือเปล่า”“ไม่ ๆ” บุณยากรรีบเบรก “อันนี้มันปลายเหตุ มันผิดตั้งแต่อ้อยเข้าปากมึงแต่มึงเลือกที่จะคายแล้ว”“ขอค้าน” วรัสยายกมือประท้วงราวกับกำลังคุยเรื่องสำคัญกันอยู่ ดูท่าทางจริงจัง “ที่พวกมึงเห็นกับที่เกิดขึ้นจริงมันต่างกันมาก ตอนขึ้นรถไปด้วยมึงก็คิดไปต่าง ๆ นานาได้แหละ แต่สถานการณ์จริงคือพี่เขาก็เงียบ ๆ ไม่ค่อยได้คุยอะไรกันมาก ส่วนมากก็เป็นกูท
⊹ ปฐมบท ⊹เสียงจอแจดังไปทั่วบริเวณ ทั้งเสียงพูดคุยของผู้คน เสียงเพลงที่ถูกบรรเลงขึ้นและเสียงรถราที่วิ่งอยู่บนท้องถนน ทว่าแทรกสามเสียงนั้นยังคงมีอีกหนึ่งเสียงเกิดขึ้น...เสียงสะอื้นของหญิงสาวในเสื้อสายเดี่ยวผ้าซาตินที่ด้านหน้าแทบจะปิดไม่มิด ด้านหลังนั้นยิ่งกว่า เป็นเพียงเชือกเส้นเล็ก ๆ ที่กระตุกทีเดียวก็หลุด เข้าคู่กับกางเกงยีนส์ขาสั้น ผมที่ยาวประบ่ายิ่งทำให้แผ่นหลังเนียนสวยน่ามอง เธอเป็นดาวเด่นในคืนนี้ได้ไม่ยากหากไม่ติดที่เอาแต่นั่งร้องไห้เหมือนคนถูกแฟนทิ้งหนุ่ม ๆ จ้องมองมาที่เธอราวกับรอจังหวะที่จะเข้ามาดามใจ แต่เจ้าของเสียงร้องนั้นหาได้สนใจไม่ สายตาทอดมองไปยังหน้าจอสี่เหลี่ยมที่อยู่ในมือ“ทำไมอะ ฆ่าเขาเพื่ออะไร” หญิงสาวตัดพ้อด้วยน้ำเสียงเศร้าระคนโกรธ เพื่อนสาวที่นั่งข้างกายได้แต่ตบไหล่เพื่อให้กำลังใจ “เขาน่ารักมากเลย ให้เป็นแค่พระรองไม่พอ ยังให้เขาตายอีก โอ๊ย ฉันจะมีชีวิตอยู่ต่อยังไง”แม้ว่าในสายตาของบุณยากรหรือใบไผ่จะมองว่าการกระทำของเพื่อนช่างไร้สาระ ทว่าเธอก็ยังคงปลอบ ตั้งใจให้เลิกร้องก่อนจะได้สนุกกับสิ่งที่รออยู่ แต่นานนับสิบนาทีก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น สาวเจ้ายังเอาแต่พร่ำเพ้อถึงการ
⊹ ปฐมบท ⊹รอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าคมไม่สามารถลอดผ่านสายตาของหนุ่มรุ่นพี่ทั้งสามได้บุณยากรหันมามองเพื่อนสนิทที่เดินมาด้วยกันพลางเพ่งพินิจองค์ประกอบของใบหน้าอีกฝ่ายไปในตัว เธอรู้ว่าเพื่อนคนนี้หน้าตาดี แต่ในเวลานี้กลับดูดีกว่าทุก ๆ วัน แม้จะเจอเรื่องราวร้าย ๆ แต่วรัสยากลับสวยวันสวยคืน ส่วนสูงหนึ่งร้อยห้าสิบไม่เกินนี้ น้ำหนักสี่สิบถึงสี่สิบสองเห็นจะได้ ผมสีดำขลับยาวประบ่า ตัดกับผิวสีขาวราวกับน้ำนมนั้นได้อย่างดี ปากเล็ก ๆ มีสีชมพูเหมือนลูกพีช จมูกรั้นนิด ๆ เข้ากับหางตาที่เชิดขึ้น ทำให้ใบหน้าเล็ก ๆ นั้นไม่หวานจนเกินไป แต่ให้ความรู้สึกแสบซ่า นั่นยิ่งน่ามองเข้าไปใหญ่วรัสยาเป็นได้ทั้งคนสวยและคนน่ารัก หล่อนนะเป็นพวกขี้โกง ใครมองก็ไม่รู้จักเบื่อ“ชมไปยังนะว่าวันนี้แต่งตัวดีมาก เปรี้ยวเข็ดฟันเลย” ไม่พูดเปล่า มือยังเอื้อมไปแตะที่เชือกด้านหลัง “อันนี้ระวังโดนกระตุกนะ ไปเต้นในที่คนเยอะ ๆ อะ”“ไม่ไปแล้ว เหนื่อย”หญิงสาวใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำไปพักใหญ่เพราะมีคนต่อคิวอยู่พอสมควร หลังจากล้างไม้ล้างมือเป็นที่เรียบร้อยก็เดินออกมาด้านนอก เห็นว่าบุณยากรยืนรออยู่จึงเดินเข้าไปหา“คนเยอะว่ะ รอนานไหม” แค่ส่าย
ภายในรถมีแต่ความเงียบเท่านั้นที่ทำงาน เขายังไม่เอ่ยถามด้วยซ้ำว่าที่หมายที่จะต้องไปส่งเธอคือที่ไหน ได้แต่ขับไปตามทางของเขา วรัสยาได้แต่กัดริมฝีปากล่างอย่างรู้สึกประหม่า อยากเอ่ยปากพูดกับเขาแต่ก็รู้สึกกระดากอายที่เพื่อนพูดไปก่อนหน้านี้ เธอชอบเขา แถมยังขอติดรถกลับไปด้วย...ช่างหน้าไม่อาย เธอเหลือบมองเขาเป็นระยะ ว่าบาป หน้าตาดีแท้ล่ะพ่อคุณ เธอต้องพยายามอย่างมากที่จะไม่ยิ้ม ไม่อย่างนั้นเขาจะคิดว่า ‘เพื่อนหนูชอบพี่’ เป็นความจริง เธอไม่ได้ชอบ แต่เขาหล่ออันนี้มันปฏิเสธไม่ได้ “อยู่แถวไหน” เสียงของเขาดังขึ้นเรียกสติของเธอให้กลับมาที่เรื่องสำคัญ หลังจากตอบไปแล้วชายหนุ่มก็ทำหน้าครุ่นคิด คิ้วขมวดเข้าหากันเป็นปม นั่นทำให้เธอรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องไปด้วยเพราะดูเหมือนจะกลายเป็นภาระของคนข้าง ๆ เข้าเสียแล้ว “คนละทางกันเลย” “เอ่อ เดี๋ยวหนูกลับเองดีกว่าค่ะ” เธอรีบกล่าวด้วยความเกรงใจ “จริง ๆ เพื่อนแค่หยอกค่ะ พี่อย่าคิดมากเลยนะคะ ขอโทษที่ทำให้ลำบากใจ งั้นเดี๋ยวพี่จอดข้างหน้านี่เลยค่ะ เดี๋ยวนั่งแท็กซี่กลับได้” “รับปากไปแล้ว” “หนูทราบค่ะ แต่มันไม่จำเป็นหรอก แค่พี่ไม่ด่าที่พวกเพื่อน ๆ หนูเล่นไม่รู้เรื่องก
นับจากวันนั้นจนวันนี้ก็ผ่านมาห้าวันแล้ว ยิ่งคิดนันทภัคก็ยิ่งฉุนกับคนที่เพื่อนบอกว่างานดี หล่อนยกมือเท้าเอวทั้งที่ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ สายตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจหลังเพื่อนสนิทบอกว่าไม่ได้ติดต่อกับพ่อหนุ่มคนนั้นเลยตั้งแต่วันที่เขาไปส่งถึงคอนโด รวมถึงบุณยากรที่เป็นตัวตั้งตัวตีเค้นสมองหาความคิดดี ๆ ทั้งปิ่นปักษาที่บากหน้าไปฝากเพื่อนกลับบ้านกับผู้ชาย โสรยาเองก็ได้แต่ส่ายหน้าให้กับความ ‘ไม่เป็นงาน’ ของเพื่อนที่ทำเหมือนก๋ากั่นไม่มีความกลัวในจิตใจ แต่พอเอาเข้าจริงกลับหงอเหมือนลูกหมา“สุดท้ายแล้วมึงจะเป็นแค่ผักกาดดองใช่ไหม” นันทภัคอดออกปากไม่ด่าไม่ได้แล้ว“ก็บอกเขาแล้วว่าสะดวกให้เลี้ยงข้าววันไหนก็ให้โทร.มา”“แล้ว”“เขายังไม่ติดต่อมาเลยไง ก็แปลว่าไม่สะดวกหรือเปล่า”“ไม่ ๆ” บุณยากรรีบเบรก “อันนี้มันปลายเหตุ มันผิดตั้งแต่อ้อยเข้าปากมึงแต่มึงเลือกที่จะคายแล้ว”“ขอค้าน” วรัสยายกมือประท้วงราวกับกำลังคุยเรื่องสำคัญกันอยู่ ดูท่าทางจริงจัง “ที่พวกมึงเห็นกับที่เกิดขึ้นจริงมันต่างกันมาก ตอนขึ้นรถไปด้วยมึงก็คิดไปต่าง ๆ นานาได้แหละ แต่สถานการณ์จริงคือพี่เขาก็เงียบ ๆ ไม่ค่อยได้คุยอะไรกันมาก ส่วนมากก็เป็นกูท
เที่ยงครึ่งแล้ว...ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองก่อนจะจ้องมองไปยังโทรศัพท์ที่ถืออยู่ เมื่อคิดว่าป่านนี้ก็น่าจะตื่นแล้วเลยตั้งใจจะกดโทร.ออก แต่ก็ต้องชะงักเมื่อคิดว่ามันจะเป็นการเผยไต๋มากเกินจำเป็น เธอเป็นฝ่ายเข้าหาเขา เพราะฉะนั้นเธอก็ควรเป็นคนโทรมาก่อน สุดท้ายสายนั้นก็เป็นหมัน ร่างสูงเก็บมือถือไว้ในกระเป๋าก่อนจะเดินไปรวมกับกลุ่มเพื่อนรุ่นพี่ทั้งสามที่นั่งพักผ่อนระหว่างพัก“มึงไม่รู้จริงเหรอ” พอมาถึงก็ได้ยินดิฐากรเอ่ยถามอะไรบางอย่างกับอรัณย์“กูก็รู้พร้อม ๆ มึงแค่นี่แหละ ปกติเห็นลงอ่างอย่างเดียว ใครจะไปรู้ว่าเลี้ยงอีหนูไว้ด้วย”“รอดพ้นสายตาพวกเราไปได้ไง”“เรื่องของนายก็อย่าไปอะไรมาก เดี๋ยวพายุลงหัวนะมึง” ชยางกูรเตือนรุ่นน้อง แม้ว่าเขาเองก็จะสงสัยมากก็ตาม แต่แค่แอบมองเมื่อเช้ายังแทบจะโดนกินเลือดกินเนื้อทางสายตา จึงคิดได้ว่าเรื่องส่วนตัวของนายไม่ใช่เรื่องที่ลูกน้องอย่างเขาต้องรู้ “คุยธุระเสร็จแล้วเหรอ ไม่เห็นจะยกหูคุย”“จับผิดผม?”“อย่าเยอะ กูแค่หันไปเห็นพอดี สำคัญขนาดนั้นเลยดิมึง”จีรกิตติ์ไหวไหล่ “ไม่ได้คุย ดูรีบเกิน”“กับน้องผักกาด” ดิฐากรเอ่ยแทรกขึ้น คนโดนถามจึงพยักหน้าตอบ “ไม่ได้นะครับคุณจัด
โทรศัพท์มือถือเครื่องบางของเจ้านายหนุ่มแตะลงเบา ๆ ที่ต้นแขนของจีรกิตติ์ เขาหันไปรับมันมาถืออย่างรู้งาน “แวะให้ด้วย เดี๋ยวจะถึงแล้ว”ภาพที่ปรากฏอยู่ในจอสี่เหลี่ยมเป็นร้านกาแฟที่ขายทั้งเครื่องดื่มและอาหารเช้า หนุ่มรุ่นน้องจึงเอ่ยบอกกับรุ่นพี่ที่ทำหน้าที่ขับรถว่าให้จอดที่ไหน ซึ่งก็จวนจะถึงอย่างที่เจ้านายว่า จบธุระจึงส่งมือถือกลับไปให้เจ้าของ จังหวะนั้นเองก็ผ่านซอยที่เขาเพิ่งขับมาส่งใครคนนั้นเมื่อคืนนี้ การห้ามสายตาให้หันไปมองดูเป็นเรื่องยากเกินกำลัง เขาทำไมไม่ได้ จึงหันมองออกไปแม้ว่าจะไม่มีทางได้เห็นแม่ผักกาดหัวเล็ก ๆ นั่น เพราะเจ้าหล่อนเป็นพวกตื่นสายผ่านมาสักพักก็ถึงที่หมาย ร้านขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่แต่มีคนจับจองที่นั่งจนไม่มีที่ว่าง“นายจะรับอะไรครับ” เขาเอ่ยถามและตั้งท่าจะลงไปซื้อให้ฟากปราชญาธิปยกมือมาห้ามในทันที “ไปเอง รออยู่นี่แหละ”ไม่บ่อยนักที่ผู้เป็นนายจะลงจากรถเองโดยที่ไม่วานลูกน้อง สองคนที่ตามมาจอดด้านหลังก็อดแปลกใจไม่ได้ ต่างก็มองตามเข้าไปด้านใน ดีที่เป็นกระจกใจจึงมองเห็นทะลุปรุโปร่ง พวกเขาคิดว่าเจ้านายคงจะไปซื้อกาแฟแต่แทนที่จะตรงไปยังเคาน์เตอร์กลับไปนั่งที่โต๊ะแทน มากกว่านั้นคื
“ทำไมมันถึงมาสายนะ” เสียงเข้มถามย้ำอีกครั้ง“ติดหญิงครับ” ดิฐากรเป็นฝ่ายเอ่ยตอบเจ้านายหลังจากนาฬิกาบอกเวลาเจ็ดโมงสามนาทีแล้วแต่ยังไม่เห็นหัวของจีรกิตติ์ ซึ่งควรจะมารออยู่ที่บ้านตั้งแต่ก่อนเจ็ดโมงเช้าด้วยซ้ำได้ฟังเช่นนั้นปราชญาธิปจึงดุนดันลิ้นอยู่ภายในปากอย่างสะกดอารมณ์ ฝ่ามือหนาตีไปที่หน้าขาตามจังหวะการหายใจ ท่าทีดูสบาย ๆ นั้นไม่น่าเชื่อว่าสามารถกดดันเหล่าลูกน้องทั้งสามชีวิตตรงหน้าได้อย่างมหาศาล อรัณย์กลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคออย่างยากลำบาก ขนาดเขาไม่ใช่คนที่จะโดน ‘เล่น’ ยังรู้สึกเสียวสันหลังวาบอันที่จริงดิฐากรและคนอื่น ๆ ไม่รู้เหตุผลที่แน่ชัดของการมาสาย แต่เขาตั้งใจจะหยิกหลังน้องชายพอเป็นพิธีจึงเอ่ยวาจาออกไปเช่นนั้น แต่อาจจะเพราะไม่ทันฉุกคิดถึงอารมณ์ของผู้เป็นนายที่เปรียบเสมือนพายุจับตัวกันเป็นกลุ่มย่อม ๆ หากน้องเล็กเป็นอะไรขึ้นมาเขาคงรู้สึกผิดไปจนวันตาย“เมื่อคืนไปดื่มกันมานี่”“ครับ”“มันหิ้วสาวกลับห้อง”“ไม่เชิงครับ แต่จะว่าอย่างนั้นก็ได้” เพราะเหตุการณ์เมื่อคืนนั้นไม่ใกล้เคียงกับคำว่าหิ้วสาวกลับห้องเลยสักนิด แต่เป็นสาวขอให้หิ้วไปด้วยต่างหาก แต่เขาคร้านจะอธิบายให้ยืดยาว อีกอย่างนั่
ภายในรถมีแต่ความเงียบเท่านั้นที่ทำงาน เขายังไม่เอ่ยถามด้วยซ้ำว่าที่หมายที่จะต้องไปส่งเธอคือที่ไหน ได้แต่ขับไปตามทางของเขา วรัสยาได้แต่กัดริมฝีปากล่างอย่างรู้สึกประหม่า อยากเอ่ยปากพูดกับเขาแต่ก็รู้สึกกระดากอายที่เพื่อนพูดไปก่อนหน้านี้ เธอชอบเขา แถมยังขอติดรถกลับไปด้วย...ช่างหน้าไม่อาย เธอเหลือบมองเขาเป็นระยะ ว่าบาป หน้าตาดีแท้ล่ะพ่อคุณ เธอต้องพยายามอย่างมากที่จะไม่ยิ้ม ไม่อย่างนั้นเขาจะคิดว่า ‘เพื่อนหนูชอบพี่’ เป็นความจริง เธอไม่ได้ชอบ แต่เขาหล่ออันนี้มันปฏิเสธไม่ได้ “อยู่แถวไหน” เสียงของเขาดังขึ้นเรียกสติของเธอให้กลับมาที่เรื่องสำคัญ หลังจากตอบไปแล้วชายหนุ่มก็ทำหน้าครุ่นคิด คิ้วขมวดเข้าหากันเป็นปม นั่นทำให้เธอรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องไปด้วยเพราะดูเหมือนจะกลายเป็นภาระของคนข้าง ๆ เข้าเสียแล้ว “คนละทางกันเลย” “เอ่อ เดี๋ยวหนูกลับเองดีกว่าค่ะ” เธอรีบกล่าวด้วยความเกรงใจ “จริง ๆ เพื่อนแค่หยอกค่ะ พี่อย่าคิดมากเลยนะคะ ขอโทษที่ทำให้ลำบากใจ งั้นเดี๋ยวพี่จอดข้างหน้านี่เลยค่ะ เดี๋ยวนั่งแท็กซี่กลับได้” “รับปากไปแล้ว” “หนูทราบค่ะ แต่มันไม่จำเป็นหรอก แค่พี่ไม่ด่าที่พวกเพื่อน ๆ หนูเล่นไม่รู้เรื่องก
⊹ ปฐมบท ⊹รอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าคมไม่สามารถลอดผ่านสายตาของหนุ่มรุ่นพี่ทั้งสามได้บุณยากรหันมามองเพื่อนสนิทที่เดินมาด้วยกันพลางเพ่งพินิจองค์ประกอบของใบหน้าอีกฝ่ายไปในตัว เธอรู้ว่าเพื่อนคนนี้หน้าตาดี แต่ในเวลานี้กลับดูดีกว่าทุก ๆ วัน แม้จะเจอเรื่องราวร้าย ๆ แต่วรัสยากลับสวยวันสวยคืน ส่วนสูงหนึ่งร้อยห้าสิบไม่เกินนี้ น้ำหนักสี่สิบถึงสี่สิบสองเห็นจะได้ ผมสีดำขลับยาวประบ่า ตัดกับผิวสีขาวราวกับน้ำนมนั้นได้อย่างดี ปากเล็ก ๆ มีสีชมพูเหมือนลูกพีช จมูกรั้นนิด ๆ เข้ากับหางตาที่เชิดขึ้น ทำให้ใบหน้าเล็ก ๆ นั้นไม่หวานจนเกินไป แต่ให้ความรู้สึกแสบซ่า นั่นยิ่งน่ามองเข้าไปใหญ่วรัสยาเป็นได้ทั้งคนสวยและคนน่ารัก หล่อนนะเป็นพวกขี้โกง ใครมองก็ไม่รู้จักเบื่อ“ชมไปยังนะว่าวันนี้แต่งตัวดีมาก เปรี้ยวเข็ดฟันเลย” ไม่พูดเปล่า มือยังเอื้อมไปแตะที่เชือกด้านหลัง “อันนี้ระวังโดนกระตุกนะ ไปเต้นในที่คนเยอะ ๆ อะ”“ไม่ไปแล้ว เหนื่อย”หญิงสาวใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำไปพักใหญ่เพราะมีคนต่อคิวอยู่พอสมควร หลังจากล้างไม้ล้างมือเป็นที่เรียบร้อยก็เดินออกมาด้านนอก เห็นว่าบุณยากรยืนรออยู่จึงเดินเข้าไปหา“คนเยอะว่ะ รอนานไหม” แค่ส่าย
⊹ ปฐมบท ⊹เสียงจอแจดังไปทั่วบริเวณ ทั้งเสียงพูดคุยของผู้คน เสียงเพลงที่ถูกบรรเลงขึ้นและเสียงรถราที่วิ่งอยู่บนท้องถนน ทว่าแทรกสามเสียงนั้นยังคงมีอีกหนึ่งเสียงเกิดขึ้น...เสียงสะอื้นของหญิงสาวในเสื้อสายเดี่ยวผ้าซาตินที่ด้านหน้าแทบจะปิดไม่มิด ด้านหลังนั้นยิ่งกว่า เป็นเพียงเชือกเส้นเล็ก ๆ ที่กระตุกทีเดียวก็หลุด เข้าคู่กับกางเกงยีนส์ขาสั้น ผมที่ยาวประบ่ายิ่งทำให้แผ่นหลังเนียนสวยน่ามอง เธอเป็นดาวเด่นในคืนนี้ได้ไม่ยากหากไม่ติดที่เอาแต่นั่งร้องไห้เหมือนคนถูกแฟนทิ้งหนุ่ม ๆ จ้องมองมาที่เธอราวกับรอจังหวะที่จะเข้ามาดามใจ แต่เจ้าของเสียงร้องนั้นหาได้สนใจไม่ สายตาทอดมองไปยังหน้าจอสี่เหลี่ยมที่อยู่ในมือ“ทำไมอะ ฆ่าเขาเพื่ออะไร” หญิงสาวตัดพ้อด้วยน้ำเสียงเศร้าระคนโกรธ เพื่อนสาวที่นั่งข้างกายได้แต่ตบไหล่เพื่อให้กำลังใจ “เขาน่ารักมากเลย ให้เป็นแค่พระรองไม่พอ ยังให้เขาตายอีก โอ๊ย ฉันจะมีชีวิตอยู่ต่อยังไง”แม้ว่าในสายตาของบุณยากรหรือใบไผ่จะมองว่าการกระทำของเพื่อนช่างไร้สาระ ทว่าเธอก็ยังคงปลอบ ตั้งใจให้เลิกร้องก่อนจะได้สนุกกับสิ่งที่รออยู่ แต่นานนับสิบนาทีก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น สาวเจ้ายังเอาแต่พร่ำเพ้อถึงการ