เป็นไปตามที่เซี่ยซูเหยาคำนวณไว้จริงๆ พายุเข้าหลังทุกคนเข้านอนในวันถัดไป ช่วงยามที่ต้องเตรียมของไปขายก็เป็นช่วงที่หิมะตกหนัก เหล่าสาวใช้และบ่าวชายจึงย้ายจากบ้านพักเข้าไปที่บ้านใหญ่เซี่ยทันทีบ้านใหญ่เซี่ยหรือก็คือบ้านหลังใหม่ที่เป็นบ้านอิฐที่เพิ่งถูกสร้างขึ้นและแข็งแรงมาก บุรุษหนุ่มอย่างฟางไฉ่ หม่าลี่ปิง และเจ้าบ้านอย่างเซี่ยห้าวไห่จึงคอยช่วยกันดูแลด้านนอกบ้าน ไม่ให้หิมะและน้ำเข้าไปในบ้านได้ และไม่ใช่เพียงบ้านใหญ่ บ้านพักของสาวใช้และบ่าวชายก็ช่วยกันไปกวาดหิมะลงจากหลังคาส่วนเหล่าสตรีอย่างหลิวซิ่น หม่าลี่หลิน และมี่ถิงช่วยกันหาผ้ามาอุดหน้าต่างไม่ให้ลมเข้ามาได้ ถึงจะเป็นบ้านใหม่ทว่าลมก็ยังสามารถลอดผ่านมาด้านในบ้านได้ เหล่าสาวใช้ทั้งสามจึงช่วยกันหาผ้ามาปิดหน้าต่างห้องของเซี่ยซูเหยากว่าเซี่ยซูเหยาจะรู้สึกตัวก็ยามที่พายุหิมะเข้ามาได้แล้วเกือบชั่วยาม นางรีบลุกขึ้นอย่างตกใจเพราะได้ยินเสียงดังด้านนอก ทว่าพอมองไปที่หน้าต่างภายในห้อง นางกลับเห็นผ้าหลายผืนที่แขวนบังไว้ ส่วนข้างๆ บนหัวเตียงของนางยังมีตะเกียงที่ส่องแสงสว่างให้เอ๊ะ!บริเวณใกล้หน้าประตูมีร่างของเด็กสาวที่คุ้นตานอนอยู่ เซี่ยซูเหยาชะ
กุ้งผัดซึงไฉ่ กุ้งคั่วเกี่ยมฉ่ายและกุ้งนึ่งถูกปรุงขึ้นด้วยฝีมือของเซี่ยซูเหยา หรืออันที่จริงอาหารที่เตรียมเอาไว้ก็เป็นฝีมือของนางทั้งหมด ซึ่งเซี่ยซูเหยียนไม่ได้ลิ้มรสฝีมือการทำอาหารของนางมาตั้งนาน และนางก็ไม่ได้ไปเจอพี่ชายเลย นางควรเป็นคนลงมือทำอาหารทั้งหมดเองถึงจะถูกวันนี้บ้านเซี่ยจะมีเพียงเซี่ยห้าวไห่ เซี่ยซูเหยา หลิวซิ่น และฟางไฉ่ที่บังคับเกวียนวัว เห็นทีนางคงต้องหาซื้อรถม้าเสียแล้วเพราะเกวียนวัวเดินทางลำบาก อีกทั้งยังน่าสงสารมากในแต่ละวันพวกนางบรรทุกอาหารเพื่อนำไปขายเป็นจำนวนมาก หากพวกนางยังทำแบบนี้ต่อไปเรี่อยๆ เห็นทีว่าวัวอาจจะตายเอาได้“ท่านพ่อ เสร็จแล้วเจ้าค่ะ” เซี่ยซูเหยาที่อาบน้ำเปลี่ยนชุดเสร็จก็ออกมาหาบิดาที่หน้าบ้านเซี่ยห้าวไห่กำชับสาวใช้และหม่าลี่ปิงที่ต้องอยู่ด้วยกันเพียงลำพังว่าห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้ามาในเขตบ้าน และสามารถจัดการผู้บุกรุกได้ทันทีหากไม่ใช่คนที่มากับพวกเขาเข้าไปในตัวเมืองเฟิงคราวนี้เซี่ยซูเหยาต้องการที่จะเข้าไปดูภายในตัวเมือง แน่นอนว่าเขาต้องไปลงทะเบียนพาลูกชายออกจากสำนักศึกษาด้วย“เสร็จแล้วหรือ พ่อกับคนที่เหลือยกอาหารแห้งขึ้นไปเก็บแล้ว เหลืออาหารที่หลิวซิ่น
พอใกล้ถึงเวลาที่สำนักศึกษาจะปิดแล้ว เซี่ยห้าวไห่กับเซี่ยซูเหยาก็เดินเท้าไปยังสำนักศึกษา เพราะบริเวณนั้นไม่สามารถนำเกวียนวัวหรือพาหนะไปด้วยได้ ทางสำนักศึกษากล่าวว่าหากมีเสียงสัตว์รบกวน จะทำให้เหล่าศิษย์ไม่สามารถมีสมาธิอ่านหนังสือได้เซี่ยซูเหยาปล่อยให้หลิวซิ่นจัดการเสื้อผ้าและให้ฟางไฉ่ดูแลห้องพักทั้งสี่เอาไว้ นางจึงเดินมายังสำนักศึกษาที่ไม่ห่างไกลมากกับบิดาเพียงลำพังหน้าสำนักศึกษามีศิษย์หลายคนที่มายืนรอญาติและคนดูแลมารับออกไปด้านนอก บางคนก็รอรับของที่ถูกส่งมาให้ หากไม่ใช่คนในครอบครัวหรือคนที่มีตำแหน่งมาลงชื่อรับรอง ก็ยากที่จะพาคนออกมาได้เว้นก็แต่คุณหนู คุณชายของจวนใหญ่ต่างๆ ในเมืองเฟิง ก็จะได้รับคำอนุญาตพิเศษที่สามารถเข้าออกสำนักศึกษาได้ตลอดส่วนมากคนที่พักอยู่ในสำนักศึกษาล้วนเป็นลูกหลานของชาวบ้าน เหล่าคุณชายมีน้อยมากที่จะเข้ามาพักในสำนักศึกษาหากไม่มีเหตุการณ์เร่งด่วนยื่นเรื่องขอเข้าพบเซี่ยซูเหยียนและรอให้ทหารเฝ้ายามเข้าไปเรียกลูกชายมา เซี่ยห้าวไห่ก็ลงทะเบียนรับลูกชายออกจากสำนักศึกษาไม่ถึงหนึ่งเค่อเซี่ยซูเหยาก็เห็นเซี่ยซูเหยียนเดินออกมาพร้อมห่อผ้าหนึ่งห่อ นางยิ้มกว้างพลางตะโกนเรียก
ยามเฉินทุกคนก็ลงมานั่งรอที่ชั้นหนึ่งของโรงเตี๊ยม เพื่อรออาหารเช้าที่สั่งเอาไว้ และที่ด้านล่างของโรงเตี๊ยมก็คล้ายๆ กับเหลาอาหาร ที่สามารถสั่งอาหารรับประทานได้เซี่ยซูเหยาตื่นหลังคนอื่นนางจึงเดินลงมาทีหลังพร้อมกับหลิวซิ่นที่อยู่รอ เมื่อวานนี้นางไม่ได้พักเลยจึงตื่นสายมากกว่าปกติ“ท่านพ่อ”หลิวซิ่นเดินแยกไปนั่งอีกโต๊ะที่มีฟางไฉ่นั่งรออยู่ เซี่ยซูเหยาจึงนั่งลงเก้าอี้ที่ว่างข้างพี่ชาย อาหารเช้าของวันนี้เป็นอาหารที่สั่งจากโรงเตี๊ยมไม่กี่จาน ที่เหลือก็จะเป็นอาหารที่เตรียมมาจากบ้านและขออุ่นที่นี่“อาเหยาอยากไปเดินดูตลาดต่อหรือไม่” ตลาดยามเช้าและกลางคืนไม่เหมือนกัน เซี่ยห้าวไห่จึงต้องการให้ลูกสาวไปเดินดูอีกครั้ง“อยากเจ้าค่ะ!”“อืม”ทั้งสามลงมือรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย ก่อนจะพากันออกมาเดินตลาด ครั้งนี้เกวียนวัวของบ้านก็ถูกบังคับตามหลังสามพ่อลูกบ้านเซี่ยที่ตั้งใจเดิน เพราะเซี่ยซูเหยาคิดว่าอาจต้องซื้อของเยอะ เลยให้เอาเกวียนวัวไปด้วยเซี่ยซูเหยามองสิ่งต่างๆ รอบตัวอย่างตื่นเต้น วันนี้นางมองเห็นอย่างเต็มตา ไม่ว่าจะเป็นโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก เหลาอาหาร ร้านอาภรณ์ ร้านเครื่องประดับ
“หนึ่งร้อยตำลึงทอง!”สิ้นเสียงเถ้าแก่เจ้าของเหลาอาหารขนาดเล็ก ทั้งห้าคนไม่เว้นแม้แต่เซี่ยซูเหยาก็แสดงสีหน้าตกใจออกมา หนึ่งร้อยตำลึงทองไม่ใช่จำนวนเงินน้อยๆ เลย ทว่าหากเทียบกับทำเลแล้ว ก็คุ้มค่าไม่น้อยหากได้มาครองเซี่ยซูเหยานับเงินที่นำมาในใจ ยามนี้พวกนางเหลือเงินเพียงเก้าสิบห้าตำลึงทองเท่านั้น หากต้องการซื้อเหลาอาหารนี้ก็ต้องกลับไปเอาเงินที่บ้านอีก แน่นอนว่านางอยากได้เหลาอาหารในราคาที่นางสามารถจ่ายได้“ท่านปู่ อาเหยาขอจ่ายเพียงเก้าสิบตำลึงทองได้หรือไม่เจ้าคะ” เซี่ยซูเหยาทำหน้าอ้อนมิน่าละ ป้ายที่ติดเอาไว้ว่าขายจึงดูเก่า คงเป็นเพราะเหลาอาหารมีขนาดเล็กและเก่า เถ้าแก่เจ้าของเหลาอาหารจึงไม่สามารถขายออกได้ในราคาที่สูงถึงจะเป็นที่ทำเลเหมาะสำหรับขายอาหาร ทว่ามันคงขายได้ไม่ถึงแปดสิบตำลึงทองแน่ๆ ทางเหลาอาหารขนาดใหญ่หรือใครก็ตามที่อยากได้เหลาอาหารนี้จึงไม่ยอมซื้อ และรอให้ที่นี่ลดราคาลงคงจะมาซื้อ“ที่นี่ข้าตั้งราคาไว้หนึ่งร้อยยี่สิบตำลึงทอง หลายปีมานี้ขายไม่ออกเลย ข้าจึงลดลงเหลือเพียงหนึ่งร้อยตำลึงทองเท่านั้น” เขาปฏิเสธแต่ก่อนเหลาอาหารนี้เคยมีชื่อเสียงมาก่อน ทว่าเขาไปมีปัญหากับเจ้าเมืองคนล่าสุ
ยามเหมาเซี่ยห้าวไห่กับหลิวซิ่นที่กลับไปเอาเงินและเอาของก็กลับมาถึงเมืองเฟิง เนื่องจากเร่งเดินทางไปกลับจึงยังไม่ได้พัก ทั้งสองจึงตัดสินใจเข้าไปนอนพักก่อนจะตื่นขึ้นมาอีกครั้งในช่วงสาย พอดีกับฟางไฉ่ที่จะออกไปจองโต๊ะนั่งด้านล่างเจอเข้ากับเซี่ยห้าวไห่พอดีเซี่ยซูเหยารู้ว่าบิดาของนางกลับมาแล้วทว่าก็ไม่ได้เข้าไปปลุก นางรอให้เขาตื่นดีกว่า หลังจากรับประทานอาหารมื้อเช้าเสร็จนางก็สั่งอาหารไว้สองสามอย่าง รอให้ทั้งสองคนตื่น“เห็นทีคงต้องกลับแล้ว” เซี่ยซูเหยาพึมพำนางต้องกลับไปเตรียมของใช้และอาหารบางส่วนเพื่อนำมาเก็บในจวนหลังใหม่ ถึงนางจะต้องการใช้ชีวิตในเมืองเฟิง ทว่านางก็ไม่คิดที่ใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายหรอก อะไรที่สามารถเก็บไว้นานๆ ได้ นางก็จะนำมาจากบ้าน“อาเหยาว่าอย่างไรนะ” เซี่ยซูเหยียนหันมาถามน้องสาวอย่างงๆ“ไม่มีอันใดเจ้าค่ะ” เซี่ยซูเหยาส่ายหน้าสองพี่น้องนั่งรออยู่บนเหลาอาหารชั้นสองที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของโรงเตี๊ยมที่พวกนางเข้าพัก เซี่ยซูเหยานั่งรอให้บิดาตื่น ทว่าจะให้นั่งอยู่ในโรงเตี๊ยมมันก็คงจะแปลกๆ นางจึงข้ามมาอีกฝั่งเพื่อจิบน้ำชารอแทนไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่การกระทำของเซี่ยซูเหยาเปลี่
ของบางส่วนถูกขนเข้าไปไว้ในจวนแล้ว จวนและเหลาอาหารที่ซื้อมาก็ถูกซ่อมแซมพร้อมเข้าอยู่ พร้อมเปิดเหลาอาหารแล้ว ท่านปู่ซ่งพร้อมภรรยาจากไปทันทีที่ขายเหลาอาหารได้จากที่คิดว่าจะเข้าไปในเมืองเลยเซี่ยซูเหยาก็ต้องวางแผนใหม่ทั้งหมด เซี่ยซูเหยียนก็ต้องออกมาเช่าโรงเตี๊ยมอยู่ระหว่างที่พวกนางยังจัดการอะไรไม่เสร็จ รวมๆ ก็สิบกว่าวันเลยทีเดียวเซี่ยห้าวไห่ได้มาคุยกับนางแล้ว เซี่ยซูเหยาจะไปอยู่ในเมืองพร้อมพี่หลิวซิ่น ฟางไฉ่ ส่วนหม่าลี่ปิง หม่าลี่หลิน และสองพี่น้องมี่จะอยู่กับบิดานาง เนื่องจากทุกคนยังต้องทำอาหารขายเหมือนเดิมบางวันก็ต้องเอาของเข้าไปส่งให้พวกนางอีก อีกอย่างก็คือเซี่ยซูเหยาไม่ต้องการแยกพี่น้องออกจากกันฟางไฉ่เคยเป็นองครักษ์มาก่อน บิดาของนางจึงไว้ใจให้ติดตามนางไป ส่วนพี่หลิวซิ่นนั้นติดตามนางมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่นางจะพาไปด้วย หม่าลี่ปิงเป็นบุรุษจึงต้องอยู่ช่วยเซี่ยห้าวไห่ ผู้เป็นน้องสาวอย่างหม่าลี่หลินจึงต้องอยู่ด้วยส่วนสองพี่น้องมี่ถิง มี่ถง หากเซี่ยซูเหยานำไปด้วยทั้งสองคน ที่บ้านเซี่ยก็จะไม่มีคนไว้ช่วยงาน นางเชื่อว่าหากนางไปหาคนใหม่อย่างไรก็หาได้ ส่วนเจ้าเสี่ยวเฮยนาง
เพราะชื่อเสียงข้าวไข่ตุ๋นของบ้านเซี่ย ทำให้เหลาอาหารขนาดเล็กที่ปรับปรุงขึ้นใหม่และใช้ชื่อว่าเหลาอาหารเซี่ย ได้มีโอกาสได้ต้อนรับลูกค้าอย่างล้นหลาม เหลาอาหารเปิดตัวได้เพียงหนึ่งเดือนทว่าห้องอาหารส่วนตัวที่มีเพียงสองห้อง ก็ถูกจองยาวเกือบสามร้อยชื่อแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าการจองที่ว่าก็ไม่ได้จองปากเปล่าชั้นสองของเหลาอาหารเซี่ยมีสองห้อง เซี่ยซูเหยาจึงรับลูกค้าเพียงสองชื่อต่อวันเท่านั้น และการจองของนางก็ต่างจากคนอื่น เพราะผู้ที่จองต้องเป็นหนึ่งในคนที่เข้าใช้งาน ลงชื่อจองว่ามากี่คน รับอาหารรายการไหนบ้าง และต้องมัดจำไว้ครึ่งหนึ่งของราคาอาหารหากมีจำนวนคนเพิ่มและอาหารเพิ่ม เมื่อถึงวันนั้นก็ต้องจ่ายเพิ่มเป็นสองเท่า เพราะข้อตกลงนี้ลูกค้าได้อ่านแล้ว ซึ่งใครที่คิดว่าเหลาอาหารเอาเปรียบก็ไม่สามารถจองได้ปัญหาต่างๆ แทบไม่มีเลย หรืออันที่จริงมีหลายคนรู้มาว่านางเป็นสหายของหลานสาวท่านแม่ทัพใหญ่เสวี่ยจึงไม่กล้าหาเรื่องแน่นอนว่าพอเป็นเหลาอาหารแล้วเซี่ยซูเหยาก็เพิ่มราคาอาหารขึ้นเป็นเท่าตัว อย่างข้าวไข่ตุ๋นที่ราคาไม่ถึงร้อยอีแปะ เซี่ยซูเหยาก็เพิ่มเป็นถ้วยละหนึ่งตำลึงเงิน! ซึ่งนางต้องขนผัก ขนกุ้งมาจากบ้าน ราคาจะ
เช้าวันนี้ในเมืองหลวงแคว้นหนานมีการถกเถียงเรื่องเมื่อหลายปีก่อนของคนสกุลเจิ้ง ว่ากันว่าวันนั้นภรรยาทั้งสามคนของอดีตเสนาบดีเจิ้งที่ล่วงลับไปแล้วคลอดบุตรพร้อมกันหนึ่งฮูหยินใหญ่ภรรยาเอกของเสนาบดีเจิ้งคลอดบุตรชายออกมาเป็นคนที่สอง บุตรชายของนางจึงกลายเป็นคุณชายรองไปโดยปริยาย หากไม่เกิดเรื่องถูกไล่ออกจากสกุลครานั้นคงได้ขึ้นเป็นเสนาบดีเจิ้งคนปัจจุบัน แทนพี่ชายที่เป็นบุตรอนุสองฮูหยินรองที่คลอดบุตรสาวคนเล็กพร้อมเสียชีวิตลงระหว่างคลอดบุตรสาวออกมา จากการสอบถามหมอที่ทำคลอด หมอผู้นั้นกล่าวว่าฮูหยินรองเสียเลือดมาก อีกทั้งเด็กขาดอากาศหายใจจึงไม่สามารถช่วยชีวิตไว้ได้สามคืออนุสามที่คลอดบุตรชายคนโตของสกุลเจิ้งก่อนฮูหยินทั้งสอง กล่าวได้ง่ายๆ ก็คือคุณชายใหญ่เจิ้ง หรือประมุขสกุลเจิ้งคนปัจจุบันนั่นเองทว่าเรื่องที่ถกเถียงในวันนี้ก็คือบุตรชายของฮูหยินผู้เฒ่าเจิ้งนั้นเป็นบุตรชายแท้ๆ ของฮูหยินรอง! ส่วนบุตรแท้ๆ ของนางนั้นเป็นบุตรสาวที่คลอดออกมาแล้วเสียชีวิต หมอทำคลอดกล่าวว่าฮูหยินผู้เฒ่าเจิ้งในยามนั้นเสียเลือดมากและไม่มีโอกาสที่จะมีบุตรได้อีก จึงทำการสลับเปลี่ยนตัวเด็กทั้งยังสังหารฮูหยินรองทิ้ง ซึ่งเรื่องนี
ซื่อจื่อหมิงซูเหยียนที่กำลังช่วยสหายสะสางฎีกาต้องรีบกลับตำหนักบูรพาทันทีเมื่อได้ยินว่าน้องสาวมีใบหน้าเศร้าหมองมาจากจวนสกุลเจิ้ง พอๆ กับผู้เป็นสามีอย่างรองแม่ทัพเจิ้งที่ตามพี่ภรรยาไปด้วยตำหนักบูรพาเดิมทีเป็นตำหนักขององค์รัชทายาทที่จะได้รับตำแหน่งฮ่องเต้องค์ถัดไป ทว่าฮ่องเต้หมิงหลงอันกลับไม่ยอมให้องค์รัชทายาทเข้าไปอยู่และสร้างตำหนักใหม่ให้แทน ในระหว่างนี้องค์รัชทายาทก็ต้องอยู่ในตำหนักเดิมของพระองค์ไปก่อนส่วนตำหนักบูรพาถูกยกให้เป็นจวนสกุลเซี่ยที่มีรองแม่ทัพเซี่ยเป็นประมุขสกุล ซึ่งองค์รัชทายาทไม่มีปัญหาในเรื่องนี้เพราะหากเขายอมรับตำหนักใหม่ยังสามารถเลือกได้ว่าต้องการตำหนักแบบใด และเรื่องนี้เหล่าขุนนางก็ไม่มีผู้ใดคัดค้าน อาจเป็นเพราะแต่ละคนล้วนเป็นขุนนางที่ขึ้นตรงต่อฮ่องเต้หมิงหลงอันเพียงผู้เดียวก็ได้ยิ่งยามนี้จวนสกุลเซี่ยเพิ่งถูกองค์หญิงเจิ้นกั๋วหมิงเมี่ยวซือจ่างกงจู่สั่งทุบไป และจะสร้างเป็นสวนดอกไม้เพื่อรำลึกถึงคนที่เสียชีวิตแทน ทำให้สามพี่น้องไม่ได้ย้ายไปพักที่นี่ อีกอย่างความทรงจำต่างๆ คงไม่ดีสำหรับผู้รอดชีวิตในวันนั้นรองแม่ทัพเจิ้งกระโดดลงจากรถม้าด้วยความเร่งรีบ เมื่อสอบถามนางกำนั
เสียงการเคลื่อนไหวที่ข้างนอกห้องนอนทำให้เซี่ยซูเหยารู้สึกตัวตื่นขึ้นบนที่นอน ตั้งแต่แต่งงานมาตลอดหนึ่งสัปดาห์ วันนี้นางตื่นสายมากๆ ได้ยินว่าวันนี้ฮูหยินผู้เฒ่าเจิ้งกลับมาจากเยี่ยมบุตรชายที่นอกเมืองหลวง นางผู้เป็นหลานสะใภ้จึงต้องไปยกน้ำชาเพื่อแสดงความเคารพสักหน่อย“องค์หญิง”“ยามใดแล้ว” เสียงแหบพร่าเอ่ยถามคนสนิทที่เข้ามาช่วยพยุงตัวให้ลุกขึ้น ทั้งยังยกอ่างล้างหน้ามาให้ผู้เป็นฮูหยินน้อยสกุลเจิ้งหมาดๆ นางพยักหน้า“ยามซื่อแล้วเพคะ ท่านเขยกล่าวว่าไม่ต้องปลุกท่าน บ่าวจึงรอให้ท่านตื่นเอง”“ยามซื่อ!”สามวันมานี้เหลาอาหารอิ้งเยว่เกิดเรื่องขึ้น นางจึงต้องจัดการปัญหาต่างๆ จะให้สามีจัดการให้ก็ไม่ได้ เขาไม่รู้เรื่องในเหลาอาหารทั้งยังมีเพียงนางที่แก้ปัญหาได้ จึงต้องนอนดึกและตื่นเช้ามาตลอดสามวัน เพียงทว่าเมื่อคืนนางคงจะเหนื่อยจริงๆ จึงหลับลึกมากชนิดที่ว่าคนข้างกายลุกไปก็ยังไม่รู้สึกตัว“เพคะ”“เขาล่ะ” นางหมายถึงสามีของนางที่ไม่เห็นหน้าเมื่อตื่นนอน“ท่านเขยออกไปพบองค์รัชทายาทเพคะ ได้ยินว่าพระองค์ป่วยหนักหลังจากถูกฝ่าบาททิ้งงานไว้ให้หลายวัน” หลิวซิ่นกล่าวยิ้มๆ อย่างขบขัน เมื่อองค์รัชทายาทถูกบิดาและบรรด
วันที่สิบเจ็ด เดือนสอง รัชศกหมิงปีที่ยี่สิบเอ็ด แคว้นหนานมีงานมงคลครั้งใหญ่โดยมีฮ่องเต้หมิงหลงอันเป็นญาติผู้ใหญ่ของฝ่ายหญิง หรือก็คือองค์หญิงเจิ้นกั๋วหมิงเมี่ยวซือจ่างกงจู่ ที่สมรสกับรองแม่ทัพเจิ้งรั่วซาน คุณชายรองเจิ้งแห่งสกุลเจิ้งแม้จะมีเสียงกล่าวว่าไม่เหมาะสมบ้าง แต่ใครจะสนกันล่ะ องค์หญิงเจิ้นกั๋วหมิงเมี่ยวลี่จ่างกงจู่ผู้เป็นพี่สาวไม่ปราถนาที่จะแต่งงานเร็วๆ นี้ ทั้งได้ยินว่านางจะออกบวชชีที่อารามนอกเมือง หากรอพี่สาวแต่งงาน องค์หญิงเจิ้นกั๋วหมิงเมี่ยวซือจ่างกงจู่ผู้เป็นน้องสาวก็คงไม่ได้แต่งงานแล้วชีวิตนี้ฮ่องเต้หมิงหลงอันมีราชโองการให้องค์หญิงเจิ้นกั๋วหมิงเมี่ยวซือจ่างกงจู่แต่งให้รองแม่ทัพเจิ้งรั่วซาน โดยที่ไม่ต้องลดบรรดาศักดิ์เชื้อพระวงศ์หญิงอันดับหนึ่ง ยังเป็นองค์หญิงเจิ้นกั๋วเช่นเดิม ไม่ต้องกล่าวก็รู้ว่าเป็นคนโปรดเพียงใด ขนาดองค์หญิงรอง องค์หญิงสี่ที่แต่งไปกับเชื้อพระวงศ์แคว้นอื่นยังต้องลดบรรดาศักดิ์ลงเลยเสียงสนทนาเบาๆ ดังขึ้นที่หน้าห้องแต่งตัวของผู้เป็นเจ้าสาว ทำให้เซี่ยซูเหยาที่แต่งตัวอยู่อดที่จะมองดูไม่ได้ เมื่อได้ยินว่าคนสนิทของนางเดินทางมาถึงแล้ว“องค์หญิง”“ฟางไฉ่!”ฟางไฉ
เสียงหัวเราะท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบสร้างความสุขให้แก่นางกำนัลและองครักษ์ในตำหนักบูรพาเป็นอย่างยิ่ง ทั้งอากาศยังเย็นสบาย“ได้ยินมาว่าพี่หญิงถูกชินอ๋องแคว้นหลิงตามเกี้ยวหรือขอรับ” ซื่อจื่อหมิงซูเหยียนที่นั่งตรงข้ามกล่าวถามองค์หญิงเจิ้นกั๋วหมิงเมี่ยวลี่จ่างกงจู่ชะงักมือที่ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ ริมฝีปากบางยกยิ้มเล็กน้อย หวนนึกถึงคนผู้หนึ่งที่ตามเกี้ยวมาตลอดห้าปีอย่างขบขัน“อืม”“พี่หญิงยังไม่ใจอ่อนให้เขาอีกหรือเจ้าคะ” เซี่ยซูเหยาผู้นั่งข้างๆ พี่สาวเอ่ยถามบ้าง“ใจอ่อนอันใด นางมาปรึกษาข้าว่าอยากบวชชีอยู่เลย”แค่กๆหลายคนถึงกับน้ำพุ่งออกจากปากเมื่อได้ยินคุณหนูเจ็ดเย่กล่าว ทั้งยังหันมององค์หญิงเจิ้นกั๋วหมิงเมี่ยวลี่จ่างกงจู่ที่นั่งจิบน้ำชาอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวเป็นตาเดียว“ฮ่าๆ เหตุใดสีหน้าพวกเจ้าจึงเป็นเช่นนั้น” นางเพียงอยากบวชชีก็เท่านั้นเองเซี่ยซูเหยามองพี่สาวอย่างอึ้งๆ หลายปีที่ผ่านมาชินอ๋องผู้นั้นยังพิชิตใจพี่หญิงของนางไม่ได้อีกหรือ นางคิดว่าเขาจะตามเกี้ยวพี่สาวจนยอมตกลงแล้วเสียอีก“แล้วชินอ๋องแคว้นหลิงเล่า”“ชินอ๋องผู้นนั้นหรือ พี่ไล่เขากลับแคว้นหลิงแล้ว เชื้อพระวงศ์สองแคว้นควรเกี่ยวดอง
ต้นไม้สั่นไหวไปตามสายลมที่พัดมาเอื่อย ๆ บนเนินเขาเต็มไปด้วยทุ่งดอกไม้อยู่ไม่ห่างจากเมืองหลวงมาก ทั้งยังเงียบสงบเหมาะแก่การพักผ่อน ทั่วทั้งเนินเขาไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่ เพราะเป็นพื้นที่ขององค์หญิงเจิ้นกั๋วหมิงเมี่ยวซือจ่างกงจู่ที่ได้รับพระราชทานมาในยามที่ได้รับตำแหน่งองค์หญิงเจิ้นกั๋วม้าสองตัวถูกบังคับตามกันขึ้นไปยังเนินเขาที่มีเหล่าองครักษ์รออยู่ตีนเขา เสียงหัวเราะของสองพี่น้องช่างทำให้ฟางไฉ่และผู้ที่ติดตามมาตั้งแต่เมืองเฟิงยิ้มกว้าง หลายปีที่ผ่านมาองค์หญิงของพวกเขาร่าเริงเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คนก็จริงทว่าโดดเดี่ยวนักเมื่ออยู่เพียงลำพังเด็กหนุ่มเด็กสาวที่เคยเรียกว่าคุณชาย คุณหนู ยามนี้กลายเป็นองค์หญิงและซื่อจื่อกันหมดแล้ว ยิ่งแต่ละคนเติบโตการมีบรรดาศักดิ์ยิ่งแตกต่างกันมากขึ้นองค์หญิงเจิ้นกั๋วหมิงเมี่ยวลี่จ่างกงจู่ผู้เป็นพี่สาวคนโต ยามนี้มีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือนั่นก็คือการเป็นศิษย์ของหมอเทวดาหญิง ทั้งยังมีชื่อเรียกว่าองค์หญิงเทพธิดาจากการช่วยเหลือชาวบ้านที่ยากจน กลับมาหาน้องสาวเพียงปีละครั้งเท่านั้นซื่อจื่อหมิงซูเหยียนพี่ชายคนรองที่อีกไม่กี่ปีข้างหน้าจะได้รับบรรดาศักดิ์อ๋องและยามนี้เ
ท้องฟ้าเริ่มมืด รถม้าของจวนขุนนางต่างทยอยจอดที่หน้าประตูวังเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงเฉลิมฉลอง ยิ่งงานเลี้ยงครั้งนี้อนุญาตให้นำบุตรอนุเข้าร่วมได้ ผู้คนจึงเยอะมากเป็นพิเศษ หากเป็นที่ถูกใจของเชื้อพระวงศ์อย่างน้อยก็อาจได้เป็นสนมเซี่ยซูเหยาก้าวลงรถม้าเมื่อถึงเวลาที่ควรเข้าไปด้านใน อาภรณ์ที่สวมใส่ล้วนเป็นสีแดงที่หมายถึงมงคล กลับปักหลายหงส์ที่ไม่ควรจะสวมใส่ เสด็จลุงเป็นผู้ส่งอาภรณ์นี้ให้นางเพื่องานนี้โดยเฉพาะ แม้ตัวนางจะไม่เห็นด้วยเนื่องจากหงส์เป็นสัญลักษณ์ของฮองเฮาที่เคียงคู่มังกร ทว่าก็ถูกลี่กงกงเอ่ยขอร้อง มิเช่นนั้นจะถูกเสด็จลุงโทษนางจึงยอมเมินเหล่าคุณหนูสกุลใหญ่ที่มองมาอย่างอยากรู้อยากเห็น ก้าวเท้าตามลี่กงกงที่นั่งเฝ้านางแต่งตัวเพื่อไปหาเสด็จลุง อันที่จริงนางควรจะเข้าไปในงานเลยด้วยซ้ำ เพียงแต่เสด็จลุงของนางกล่าวว่าให้ไปหาก่อนเสียงซุบซิบที่พอเห็นว่านางเหลือบมองก็เงียบลง เซี่ยซูเหยาถอนหายใจ หมายมั่นว่าหลังจากจบงานเลี้ยงนี้นางจะไม่ยอมใส่ชุดหงส์ที่เสด็จลุงส่งมาให้แน่“หลานรักมาแล้วหรือ”เซี่ยซูเหยามองฮ่องเต้หมิงหลงอันที่ให้นางกำนัลสวมชุดให้อย่างเบื่อหน่าย หลายปีมานี้นางสนิทกับเสด็จลุงและเสด็
วันที่สิบสาม เดือนสอง รัชศกหมิงปีที่สิบห้า สกุลเย่เป็นหนึ่งในกบฎเมื่อหลายปีก่อน ฮ่องเต้หมิงหลงอันมีราชโองการประหารเจ็ดชั่วโคตรโทษฐานกบฏ ละเว้นคุณหนูหกเย่ คุณหนูเจ็ดเย่ ที่สร้างชื่อเสียงให้แคว้นในการแข่งขันที่ผ่านมา ทว่าถูกกักตัวภายในคุก ส่วนคุณชายสี่เย่ไม่ได้รับการละเว้น บุรุษสกุลเย่ไม่สามารถสอบขุนนางได้อีกตลอดชีวิต รวมถึงสตรีที่ไม่สามารถเข้าวังเป็นพระสนมได้เย่ฮองเฮาคบชู้สู่ชายสวมหมวกเขียวให้ฝ่าบาทจนมีองค์ชายเจ็ด ปลดออกจากตำแหน่งฮองเฮา พระราชทานผ้าแพรขาว รวมถึงพระราชทานยาพิษให้แก่องค์ชายน้อยให้เป็นเยี่ยงอย่างของพระสนม ว่าหากคบชู้จะถูกลงโทษอย่างไร องค์หญิงใหญ่ถูกกักบริเวณภายในตำหนักจนกว่าจะมีการสืบสวนว่าเกี่ยวข้องหรือไม่บ้านรองสกุลเซี่ยถูกราชโองการประหารโทษฐานสร้างความเสื่อมเสียให้แก่แคว้นหนานในขณะที่มีแคว้นพันธมิตรอยู่ในแคว้น ทั้งยังลอบทำร้ายองครักษ์ของฮ่องเต้หมิงหลงอันที่เป็นบิดาขององค์หญิงเจิ้นกั๋วทั้งสองจนถึงแก่ความตายวันที่สิบห้า เดือนสอง รัชศกหมิงปีที่สิบห้ามีราชโองการประกาศรายชื่อผู้เกี่ยวข้องกับสกุลเย่ ขุนนางที่เกี่ยวข้องล้วนต้องโทษประหาร บุรุษในสกุลถูกส่งไปเป็นทาสนอกเมืองหล
เสียงกระทบกันของโลหะบ่งบอกว่ามีคนเปิดประตูคุก ฝีเท้าหลายคู่เดินตามทางที่ทอดยาวไปยังห้องขังใต้ดิน คบเพลิงถูกจุดตามกรงขังเป็นระยะๆ เพื่อให้แสงสว่างแก่ทางเดิน ห้องขังที่เต็มไปด้วยน้ำขังถูกสนิมกัดเซาะชวนให้อาเจียนกลิ่นอับชื้นตีขึ้นคละคลุ้งไปทั่วจมูก เซี่ยซูเหยารีบใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดจมูกเอาไว้ รีบก้าวเท้าตามองครักษ์ที่ถูกส่งมาเปิดห้องขังในยามวิกาล ด้านหลังมีคนติดตามมาอีกหลายคน วันนี้นางมายังคุกคุมขังนักโทษที่บังอาจก่อเรื่องในวันงาน‘ปล่อยข้านะ!’‘หยุนหรง! เพราะเจ้า เป็นเพราะเจ้าคนเดียว!’‘ท่านพ่อ!’‘ข้ากลัว ฮืออ’‘แม่เจ้าก็เข้าคุกไปแล้ว! ยังต้องพาข้าเข้าคุกอีก’‘หุบปาก! ท่านเป็นคนฆ่ามันเองไม่ใช่เหรอ’‘ฮือๆ'เสียงทะเลาะกันที่คุ้นหูทำให้เซี่ยซูเหยาเหยียดยิ้ม หลายวันมานี้คงจะอยู่กันอย่างทรมานสินะ ถึงได้ด่ากันมากขนาดนี้ หลังจัดงานศพบิดาเสร็จนางก็เพิ่งมีเวลามาที่นี่“องค์หญิง ถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”องครักษ์ที่ฮ่องเต้หมิงหลงอันสั่งให้นำหลานสาวมายังคุกหลวงกล่าวกับเด็กสาวด้วยความเคารพ หากไม่ใช่บุคคลสำคัญหรือมีอำนาจมากพอ มีหรือที่จะสามารถเดินเข้าออกคุกหลวงได้อย่างสบายแบบนี้นัยน์ตาเล็กหรี่มองเซี่ยหยุนหรง